สวัสดีค่ะชาว Dek-D พบกับคอลัมน์เด็กพลังบวกที่จะพาน้องๆ ไปรู้จักวัยรุ่นทัศนคติดีๆ ที่จะมาสร้างแรงบันดาลใจให้เราใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองและสังคมค่ะ
ไม่กี่วันที่ผ่านมา เพจ FM91 Trafficpro ได้ลงรูป "เครือข่ายช่างภาพเยาวชนจิตอาสา" หรือกลุ่มเยาวชนที่ลงพื้นที่เก็บภาพพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวง ร.10 ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่คนไทยจะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นภาพคุณภาพสูงและคมชัด (ภาพที่ชมรมนี้ถ่ายจะถูกเก็บในหอจดหมายเหตุ) ทว่าท่ามกลางกระแสชื่นชมความสามารถและความตั้งใจจริงของน้องๆ กลับมีบางคนโฟกัสผิดจุด แล้วออกมาแซะว่า "ไม่รวยเป็นจิตอาสาไม่ได้นะจ๊ะงานนี้" เพียงเพราะเห็นว่าน้องในภาพถือเลนส์ที่มีราคาสูงประมาณ 4 แสนบาท แต่โชคดีที่ชาวเน็ตส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับคอมเมนต์แบบนั้น แต่พากันออกมาปกป้องน้องๆ ที่ทั้งเก่งและมีความตั้งใจจริง
ก่อนจะพาไปรู้จัก "ชมรมช่างภาพเยาวชนจิตอาสา" เราเลยขอไปพูดคุยกับน้องคนกลางในภาพดังกล่าวที่ตกเป็นประเด็นดราม่า นั่นก็คือ "น้องจอร์จ" บุญธรรม จ่างตระกูล อายุ 15 ปี ตอนนี้น้องกำลังจะขึ้น ม.4 โรงเรียนสาธิตพัฒนาค่ะ
"ตอนอ่านคอมเมนต์แบบนั้นก็รู้สึกเสียใจนะครับ ตกใจนิดนึงด้วย แต่ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว เพราะกระแสไปในทางที่ดีขึ้น ผมต้องขอขอบคุณทุกคนที่ส่งกำลังใจมาให้นะครับ และสำหรับเรื่องอุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมดของผม ผมมีครอบครัวคอยสนับสนุนส่วนนี้ครับ" เดาว่ามีคนเริ่มมาติดตามเรามากขึ้นด้วย? "ใช่ครับ เพิ่มเยอะมาก ตอนแรกไอจีผมมีคนฟอลแค่ 600 ตอนนี้พุ่งมาเป็น 30,000"
อยากให้เล่าจุดเริ่มต้นของการถ่ายภาพให้ฟัง "ตอน ม.2 ผมเริ่มถ่ายรูปประกวดจากกล้องมือถือ แล้วภาพของผมก็ถูกนำไปแสดงที่หอศิลป์ เลยตัดสินใจซื้อกล้องมาเล่นครับ ช่วงแรกใช้กล้องไม่เป็นเลย Auto อย่างเดียว แล้วให้ครูฝ่ายโสตฯ ช่วยสอนตั้งค่ากล้อง ส่วนเทคนิคต่างๆ ผมจะดูจากเน็ต แล้วโรงเรียนก็มีวิชาสอนถ่ายภาพด้วย ผมฝึกเรื่อยๆ จนมั่นใจถึงจะกล้ารับงานครับ"
"ผมเคยรับงานแนวถ่าย Portrait กับงานแข่งรถ ส่วนชมรมช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ฝ่ายโสตฯ ส่งมาให้ดูว่าเขากำลังเปิดรับสมัคร ต้องสอบข้อเขียน 3 ชุด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเส้นทางพระราชพิธี และมีสอบภาคสนามด้วย ผมเลยไปลองดูและได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชมรมนี้ครับ ^^"
ย้อนไปเมื่อเดือนตุลาคม 2560
เรามีโอกาสพูดคุยกับ "ชมรมช่างภาพเยาวชนจิตอาสา"
แม้เหตุการณ์ที่พ่อหลวง ร.9 จากไปจะไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยหากมีใครบางคนบันทึกภาพประวัติศาสตร์ความทรงจำแสนเศร้านั้นไว้ ก็คงช่วยบรรเทาความรู้สึกของคนไทยได้บ้าง เพราะภาพใบเดิมจะย้ำเตือนให้เห็นพลังความรักของคนไทยที่มีแต่พระองค์ และพลังน้ำใจที่คนไทยมอบให้แก่กันในวันที่ทุกคนตกอยู่ในความเศร้าเหมือนๆ กัน... ด้วยเหตุนี้จึงมีช่างภาพจิตอาสาจำนวนมากออกมาถ่ายภาพมุมต่างๆ ในบริเวณท้องสนามหลวง รวมถึง "ชมรมช่างภาพเยาวชนจิตอาสา" ที่ออกมาเก็บภาพความคืบหน้า 365 วันแห่งการสร้างพระเมรุมาศ รวมถึงปฏิกิริยาของคน และบรรยากาศโดยรอบ ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปชมภาพสวยๆ และรู้จักพวกเขากันเลยค่ะ
ก่อนจะมาอยู่หลังเลนส์
"ชมรมเด็กหลังเลนส์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2549 โดย 'ครูสุรกานต์ ดะห์ลัน' ส่วนสมาชิกคือศิษย์ รร.พระหฤทัยคอนแวนต์ และจะกลายเป็นเครือข่ายตามโรงเรียนที่พวกเราไปเรียนต่อ คอนเซ็ปต์ของคนกลุ่มนี้คือ "ให้เขาได้เห็นภาพของตัวเขาในมุมที่เขาอาจไม่เคยได้เห็น" ปกติงานของพวกเขาคือการเก็บภาพกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน ทั้งงานพิธีการ งานกิจกรรมต่างๆ เช่น งานวันไหว้ครู งานวันวิชาการ ค่ายลูกเสือ ค่ายปัจฉิม ฯลฯ บางครั้งอาจออกไปถ่ายภาพหลวง หรือในวาระสำคัญต่างๆ เช่น พระราชพิธีพระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ, งานของสมเด็จพระสังฆราช, Bike for mom ฯลฯ
ฟังคร่าวๆ แล้ว เดี๋ยวเรามารู้จักสมาชิกส่วนหนึ่งของชมรมกันค่ะ
คนแรก 'มุก - ศิรภัสสร กังสัมฤทธิ์' รร.พระหฤทัยคอนแวนต์ เธอคนนี้อยากถ่ายภาพเก่งเหมือนพี่ชายของเธอที่เป็นช่างภาพมือดี จึงพยายามฝึกฝนและเรียนรู้เทคนิคจากเขาตลอด ความสนใจอย่างจริงจังทำให้ตอน ม.ต้น เธอตัดสินใจเข้าร่วมชมรมเด็กหลังเลนส์โดยไม่ลังเล
'พลอยณัฐ - ณัฐณี ลีลาวรรณี' รร.สตรีมหาพฤฒาราม เธอเคยมีคำถามในใจตั้งแต่เด็กว่า 'ทำไมเขาถึงมีกล้อง แล้วคนที่โดนถ่ายก็ยิ้มมีความสุข?' ทำให้เธออยากมีโอกาสอยู่หลังกล้องเพื่อกดชัตเตอร์บ้าง
ส่วน 'ว่าน - ธันย์ชนก ศิริชัยนฤมิตร' รร.สาธิต มศว ประสานมิตร ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบถ่ายภาพ มีงานอดิเรกคือหามุมถ่ายภาพดีๆ เวลาไปเที่ยว บางครั้งก็ถ่ายศิลปินที่ชอบตามห้างฯ ประเด็นคือตอนแรกยังปรับอะไรไม่เป็น เลยหาตัวช่วยด้วยการเข้าชมรมนี้
ปิดท้ายด้วยสองพี่น้อง 'แพร - แพรทอง ใจอ่อน' รร.ยอแซฟอุปถัมภ์ สามพราน และ 'พีท - ธารา ใจอ่อน' ป.6 รร.สารสาสน์วิเทศธนบุรี ทั้งคู่เป็นจิตอาสารับถ่ายภาพฟรีเหมือนกัน หลังจากนั้นอาจารย์ก็ชวนเข้าชมรม
และแน่นอนว่าถึงแม้จะต่างคนต่างที่มา แถมยังชอบถ่ายภาพคนละแนว แต่เขามีจุดร่วมสำคัญอย่างหนึ่ง...ตามอ่านกันต่อเลยค่ะ ^^
แรงบันดาลใจการถ่ายภาพจากพ่อ...ผู้ประทับอยู่ ณ สรวงสวรรค์
คนไทยมักทราบกันดีว่าในหลวง ร.9 สนพระราชหฤทัยการถ่ายภาพมาตั้งแต่วัยเยาว์ และไม่ว่าจะเสด็จฯ ไปพื้นที่ใด ก็จะทรงพก "กล้อง" เป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญไปด้วย ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการถ่ายภาพว่า"การถ่ายภาพเป็นงานศิลปะ เป็นของดีมีประโยชน์ ขออย่าได้ถ่ายภาพกันเพื่อความสนุกสนานหรือความสวยงามเท่านั้น จงใช้ภาพให้เกิดคุณค่าแก่สังคมให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม งานศิลปะจะได้ช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อีกแรงหนึ่ง"
และพระราชดำรัสดังกล่าวกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กหลังเลนส์จนถึงทุกวันนี้ "พวกเรามีในหลวง ร.9 เป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพค่ะ เมื่อก่อนเราถ่ายเพราะอยากถ่าย ภาพเลยออกมาดูไม่มีอะไร แต่ตอนนี้กลับมาคิดว่าเราจะถ่ายแบบนั้นไม่ได้แล้วนะ เพราะแต่ละภาพมีเรื่องราวอยู่ในนั้น เราต้องถ่ายทอดออกมาให้ได้ เน้นถ่ายเพื่อมอบความสุขให้ผู้อื่น ไม่ได้เน้นแค่สวยงามค่ะ"
ภาพถ่าย 365 วัน แห่งการสร้างพระเมรุมาศของพ่อ
กลุ่มเด็กหลังเลนส์เล่าให้ฟังว่า "พวกเรามาทำงานนี้ในฐานะ 'ช่างภาพเยาวชนจิตอาสาของกรมศิลปากร' ค่ะ เราจะได้ทราบหมายกำหนดจากกรมศิลปากรที่เขามาเชิญสื่อมวลชนทำข่าวความคืบหน้า หลักๆ พวกเราจะเน้นถ่ายความคืบหน้าการสร้างพระเมรุมาศกลางท้องสนามหลวงฝั่งทิศใต้ ตั้งแต่ตอนยังเป็นลานโล่ง จนเริ่มมีหมุดทั้ง 9 จุด เริ่มมีเสาเอกต่อมาเรื่อยๆ การกดชัตเตอร์แต่ละครั้งเราจะเลือกมุมที่เล่าเรื่องได้"
"นอกจากนี้เรายังถ่ายภาพประชาชนที่มากราบสักการะพระบรมศพ ถ่ายคนงานที่กำลังก่อสร้าง ขนต้นไม้ ขนทราย ขุดเจาะ ทาสี รวมถึงช่างสิบหมู่ที่กำลังระบายสีเทพยดา นางฟ้า สัตว์ป่าหิมพานต์ ทำลวดลายฉลุสำหรับโกศไม้จันทน์ และเก็บภาพความรู้สึกตอนพวกเขาทำงานด้วย เพราะทุกคนมีส่วนร่วมทั้งหมด คนตรงนั้นก็จะดีใจที่มีภาพเขาด้วย"
ได้ยินว่าเราคือช่างภาพจิตอาสาที่บริการถ่ายภาพให้ประชาชนฟรีด้วย? "ใช่ค่ะ เรามีถ่ายให้ผู้คนแล้วขอที่อยู่เพื่อส่งกลับไปให้พวกเขาทางไปรษณีย์ด้วย"
สุดท้ายแล้วภาพเซ็ตนี้จะไปอยู่ที่ไหน? "เราจะรวมเป็นจดหมายเหตุฉบับเยาวชน และมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดินต่อไปค่ะ"
หนึ่งงานกับหลากความรู้สึก
นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของการสร้างพระเมรุมาศ เราเห็นอะไรบ้าง? "การสร้างพระเมรุมาศคืบหน้าเร็วก็จริง แต่เขาไม่ทิ้งเรื่องความสวยงามพิถีพิถันเลยค่ะ วันที่เราประทับใจสุดคือวันที่ 14 ตุลาคม 59 ที่มีพิธีการเคลื่อนย้ายพระบรมศพของพระองค์มาประดิษฐานที่วัดพระแก้ว วันนั้นเดินทางลำบากมาก เดินเยอะ ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน แต่พอมาเห็นผู้คนที่เดินทางมารอ เราหายเหนื่อยทันทีเลยค่ะ เราได้เห็นความรักของประชาชนที่มีให้พระองค์จากใจจริง"
"หนึ่งปีมันเร็วมากเลย ถึงจะไม่มีใครอยากให้เกิด แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับโอกาสมาถ่ายภาพที่นี่ ภาพถ่ายจะแสดงให้เห็นบรรยากาศในช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย ได้เห็นน้ำใจของคนไทย จะว่าไปก็เหมือนปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน"
มุกพูดความรู้สึกบ้างว่า "ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของงานใหญ่ขนาดนี้ อย่างแรกคือภูมิใจค่ะ แต่ก็กดดันว่าเราจะทำได้ดีเท่าที่ญาติผู้ใหญ่หรือครูอาจารย์คาดหวังไว้รึเปล่า" ส่วนพีทก็ถึงกับบอกว่า "นี่คือโอกาสครั้งใหญ่มากในชีวิตเด็กอายุ 10 ขวบเลยครับ"
การเติบโตของกลุ่มเด็กหลังเลนส์
"เราได้เติมเต็มคำว่า 'ช่างภาพจิตอาสา' มากขึ้นค่ะ เรารู้สึกได้ก้าวขึ้นมาอีกขั้น ได้ทำงานกับคนทำงานจริง ได้คำแนะนำจากพี่ๆ สื่อมวลชนที่เขาสอนเรา บางทีเขาก็แนะนำมุมกล้องให้ ทำให้ภาพเราดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น "
พวกเขายังเล่าอีกว่า "ตอนแรกเรายังไม่กล้าคุยกับคนอื่นเท่าไหร่เพราะกลัวและขาดความมั่นใจ แต่ตอนนี้พัฒนาขึ้นมาก ทักษะการถ่ายภาพก็พัฒนา เคยเปิดไปดูรูปเก่าๆ แล้วรู้สึกตกใจ เราเคยถ่ายแบบนั้นด้วยเหรอ! แต่ในขณะที่เราตำหนิตัวเองเนี่ย กลับรู้สึกโหวงๆ ว่าเรากำลังก้าวเข้าไปใกล้ถึงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ อยากหยุดยืนที่เดิมแต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะต่อให้หยุดเดิน นาฬิกาก็ยังคงเดินต่อไปอยู่ดี" ...แน่นอนว่าความรู้สึกพวกเขาไม่ต่างจากคนไทยทั้งประเทศเลยค่ะ
กว่าจะเป็นภาพที่ดี...เบื้องหลังย่อมมีอุปสรรค
"การที่เราใส่ชุดนักเรียนเดินถือกล้องมา เขาก็จับตามองกันค่ะ จะขยับตัวแต่ละทีเราเลยกดดัน กลัวทำอะไรผิด แต่พอนานๆ ไปเรารู้จักพี่ๆ สื่อมวลชนบ้างแล้วก็อาจจะอึดอัดน้อยลง ส่วนเรื่องสุขภาพก็มีที่รู้สึกปวดหัว ต้องพกยาติดตัว สะพายกล้องนานๆ ก็ปวดบ่า เลยต้องพกทั้งไทลินอลกับเคาท์เตอร์เพนติดกระเป๋า"
และแน่นอน เรื่องยอดฮิตที่ช่างกล้องต้องเจอคือสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ "บางครั้งเราเจออากาศแปรปรวนคะ ตอนตี 3 ฝนตกหนักมาก ตอน 7 โมงแดดออกแรงไปจนถึงเที่ยง เรื่องฝนตกนี่ปัญหาหนักมาก เพราะส่วนของพระเมรุมาศตอนยังสร้างไม่เสร็จ จะยังเป็นพื้นปูน มีทราย แล้วเราใส่รองเท้านักเรียนสีดำ..."
ทิ้งท้ายจากเด็กสะพายกล้อง
"เราได้มาทำงานตรงนี้เพราะได้รับโอกาสจากหลายๆ คน ดังนั้นเวลามีใครเปิดโอกาสให้เราทำอะไรใหม่ๆ รับไว้เถอะค่ะ เพราะเราไม่รู้นะว่าจะมีโอกาสดีๆ แบบนี้เข้ามาในชีวิตอีกไหม อย่าให้ตัวเองมาเสียดายตอนหลัง มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว"
ปิดท้ายด้วยคำพูดสั้นๆ เกี่ยวกับในหลวง ร.9 "เรามีพระองค์เป็นแบบอย่างหลายๆ เรื่อง อยากให้ทุกคนน้อมนำคำสอนของพระองค์มาปรับใช้ค่ะ อย่างเรื่องใกล้ตัวที่สุดคือความประหยัด พอเพียง เพราะทำได้ไม่ยาก เหมือนกับพวกเราที่น้อมนำพระราชดำรัสเรื่องการถ่ายภาพมาใช้ นอกจากนี้ พระองค์ทรงสอนให้เราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นใคร มีหน้าที่อะไร ก็ให้ตั้งใจทำสิ่งนั้นให้ดี ที่สำคัญคือไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนด้วย"
อีกไม่นาน ผลแห่งความรักและความอดทนของคนกลุ่มนี้ก็จะทำให้ชาติเรามีจดหมายเหตุที่เป็นผลงานของเด็กและวัยรุ่นกลุ่มนี้ไว้ศึกษา และได้ย้อนเวลาไปห้วงเวลาแสนเศร้านั้นอีกครั้ง เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราจะจดจำได้ทันทีว่า "นี่เป็นอีกหนึ่งครั้ง...ที่แผ่นดินไทยกำลังร้องไห้"
อย่าลืมย้อนอ่านเด็กพลังบวกคนก่อนหน้านะคะ ><





















2 ความคิดเห็น
เก่งมากๆค่ะ ชื่นชมน้องๆทุกคน ^^
มีแต่พวกขี้อิจฉาที่ไม่มีปัญญาซื้อกล้องสวยๆมาใช้เท่านั้นแหละค่ะที่คิดแบบนี้