สวัสดีค่ะชาว Dek-D เชื่อมั้ยว่าประเทศที่ดูน่ารักและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวอย่าง "ญี่ปุ่น" ก็มีปัญหาสังคมเรื้อรังเหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือ "จิคัง" (Chikan) หรือพวกโรคจิตที่ชอบลวนลามสาวๆ (หรืออาจจะหนุ่มๆ) ในที่สาธารณะ ด้วยการไปแต๊ะอั๋ง หรือโชว์ของลับตนให้เหยื่อดู สถานที่พบก็จะมีทั้งบนรถไฟที่คนแน่นขนัด ทางเดิน หรือสวนสาธารณะ ฯลฯ แต่ในวันนี้เราจะโฟกัสกันที่พวกโรคจิตบนรถไฟฟ้าค่ะ
หนังสือที่เขียนจากความทรงจำอันเลวร้าย
เป็นที่รู้กันดีว่า สถานีรถไฟในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า โคนากาว่า ไซตามะ และโกเบ ประชากรจะอัดแน่นมากๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน และมักมีพวกโรคจิตแฝงตัวก่อเหตุ โดยเฉพาะรถไฟสายไซเคียวในไซตามะที่มีอัตราการล่วงละเมิดทางเพศสูงที่สุดในญี่ปุ่น
ถ้ายังนึกไม่ออกว่าปัญหานี้ซีเรียสขนาดไหน...ลองคิดดูว่า "คุมิ ซาซากิ" (Kumi Sasaki) นักเขียนสาวชาวญี่ปุ่นวัย 33 ปี ถึงกับออกมาเขียนหนังสือชื่อ "Tchikan" ตีแผ่ประสบการณ์ที่เธอถูกลวนลามบนรถไฟฟ้าเกือบทุกวันตั้งแต่อายุ 12-17 ปี จุดประสงค์คืออยากให้คนตระหนักว่าปัญหานี้น่ากลัวกว่าที่เราคิด และแสดงให้เห็นว่าแผลที่ได้จากพวกโรคจิตเหล่านั้นมันบาดลึกแค่ไหน... โดยหนังสือเล่มนี้เผยแพร่ออกไปตั้งแต่พฤศจิกายนปีก่อน แถมยังขึ้นแท่นหนังสือขายดีด้วยค่ะ (หากใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ Amazon ฝรั่งเศส)
ประสบการณ์การถูกลวนลามครั้งแรกของเธอ เกิดขึ้นบนรถไฟสายยะมะโนะเตะของโตเกียว เธอรู้สึกได้ถึงมือผู้ชายที่มาสัมผัสตัวเธอ ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเพราะรถไฟเคลื่อนกระทันหัน แต่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เขาก็ยังไม่หยุด เธอบรรยายเหตุการณ์ในวันนั้นว่า "นิ้วมือที่ไม่คุ้นเคยได้สอดเข้ามาในกระโปรงของฉัน แล้วเขาก็จับหลัง ขา เอว ไปจนถึงก้นของฉัน เขาค่อยๆ ใช้นิ้วมือเปิดกระโปรง และจับต้นขาของฉัน" และด้วยตอนนั้นเธอยังเด็ก จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก
แต่เรื่องเลวร้ายยังไม่จบแค่นั้น เธอต้องเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่านานถึง 6 ปี คนที่ลวนลามก็มีตั้งแต่วัยรุ่นปลายๆ จนถึงแก่ มีครั้งนึงเธอถูกชายอายุ 50 ที่แต่งงานแล้วตามไปถึงบ้าน และบอกกับเธอว่าอยากให้เธอมีลูกกับเขา!
เพราะเหตุนี้เองทำให้เธอคิดทำร้ายตัวเองและพยายามฆ่าตัวตาย แต่โชคดีที่มีเพื่อนคอยช่วยเหลือ ปัจจุบันนี้เธออายุ 30 กว่าแล้ว อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่น แต่ใจก็ยังคงหวาดกลัวผู้ชายและการขึ้นรถไฟอยู่ดี
สารพันเหตุผล...คนโรคจิตมีเยอะเพราะอะไรกันแน่?
หลังจากนั้นหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ออกมา ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปหลายทางตามสื่อโซเชียล บางคนออกมาบอกว่า "ถ้าเธอกลัวโดนลวนลาม ก็เลิกขึ้นรถไฟฟ้าไปเลยสิ!" บางคนบอกให้เธอเลิกโม้ได้แล้ว ในขณะที่หลายคนก็ตระหนักได้ว่า การลวมลามคือปัญหาใหญ่ แต่ไม่มีใครพยายามจะหยุดปัญหานี้เลย
บางคนโทษว่าเป็นเพราะยังขาดการสอนเรื่องเพศศึกษาในสังคมญี่ปุ่น เช่นผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งที่บอกว่า "การกดขี่ผู้หญิงมีมานานแล้ว ฉันได้ยินว่าประเทศในแอฟริกาเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่พอมีการสอนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ปัญหานี้ก็ลดลงไปกว่าครึ่ง ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด"
และบางคนก็ออกมาโทษว่าเป็นเพราะผู้หญิงเป็นเพศที่ด้อยกว่าในสังคมญี่ปุ่น อย่างเช่นคอมเมนต์นึงที่บอกว่า"พอได้ยินว่าเธอโดนลวนลามมาตั้ง 6 ปี ตอนแรกฉันก็คิดนะว่าทำไมเธอไม่เลิกใช้บริการรถไฟฟ้าไปเลยล่ะ? แต่พอมาคิดอีกที ถ้าเธอไม่มีทางเลือกนอกจากการขึ้นรถไฟ มันก็ถือเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดมากๆ เลย แต่ยังไงฉันก็ยังคงเชื่อว่า พวกโรคจิตลวนลามผู้หญิง เพราะเห็นว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ด้อยกว่า"
จากสถิติเมื่อปี 2011 ของ Japan's National Police Agency พบว่าคนกว่าร้อยละ 90 ที่โดนลวนลามบนรถไฟฟ้าไม่แจ้งตำรวจ และผู้หญิงไม่รู้ว่าสามารถปรึกษาเรื่องนี้กับใครที่ไหนได้บ้าง หนังสือ Tchikan ของซาซากิ จึงถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม และเธอเองก็กล้าหาญอย่างมากที่ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือเล่าสิ่งที่ตัวเองเจอเช่นนี้
ตำแหน่งที่ใช่...กับเป้าหมายที่ชอบ!
บนรถไฟที่แน่นขนัดในชั่วโมงเร่งด่วน เหยื่ออันโอชะของพวกโรคจิตคือนักเรียนประถมและมัธยมต้นนั่นเองค่ะ เหตุผลคือเด็กเหล่านั้นยังอายุน้อยเกินจะเข้าใจว่าตนกำลังโดนอะไร แถมยังหวาดกลัวจนไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือหรือกลับไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พ่อแม่ฟังอีกด้วย ทั้งนี้ โรคจิตมักจะกลับมาก่อเหตุกับเหยื่อรายเดิม เพราะเขารู้ดีว่าเหยื่อคนนั้นไม่กล้าพอที่จะแสดงตัว และที่น่ากลัวคือโรคจิตบางคนมโนไปว่าเหยื่อชอบให้พวกเขาสัมผัส ทั้งที่จริงๆ มันไม่ใช่เลย
เว็บไซต์ตำรวจโอซาก้าระบุว่า พวกโรคจิตจะรู้ตำแหน่งที่ดีที่สุดบนรถไฟฟ้า โดยจะมองหาเป้าหมายที่ยืนอยู่ตรงมุมใกล้ประตูทางเข้า เพราะเป็นจุดที่เป้าหมายหนีได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นทางซ้าย ขวา หรือหลัง แถมยังเป็นมุมอับสายตาให้ผู้โดยสารคนอื่นไม่เห็นการกระทำที่ชั่วช้าของเขาด้วย นอกจากนี้ ตำรวจโอซาก้ายังแนะนำว่า จุดที่ปลอดภัยจากพวกโรคจิตที่สุด คือการยืนด้านหน้าที่นั่งผู้โดยสาร เพราะหากโดนลวนลาม ผู้โดยสารคนอื่นจะมองเห็นชัดเจน
สำหรับพวกโรคจิตบางคน จะเริ่มมองหาเหยื่อตั้งแต่ตอนรอรถไฟที่ชานชาลาของสถานี แล้วค่อยๆ แอบเนียนไปอยู่ทางขวาของเป้าหมาย และตามขึ้นรถไปเงียบๆ พออยู่ขบวนเดียวกันและยืนข้างๆ กันแล้ว พวกโรคจิตก็เริ่มลงมือลวนลามเหยื่อตามสเต็ป
และนี่คือรูปแบบการลวนลามของพวกโรคจิต...
ตัวอย่างพฤติกรรมของพวกโรคจิต มีตั้งแต่การแตะเนื้อต้องตัว การดึงมือไปจับอวัยวะเพศของเขา การพยายามปลดกระดุมหรือตะขอชุดชั้นใน การแอบถ่ายใต้กระโปรง การกระซิบคำลามกๆ หรือโชว์ภาพลามกให้ดู หรือบางคนอาจเลือกที่นั่งข้างๆ เหยื่อ และแกล้งหลับพร้อมลวนลามแบบเนียนๆ ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายรูปแบบที่พวกโรคจิตเลือกใช้ ดังนั้นต้องระวังตัวให้ดีๆ ค่ะ
หากคุณสงสัยว่าทำไมพวกโรคจิตถึงทำสิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมญี่ปุ่น เหตุผลหลักๆ เลยคือ สาวญี่ปุ่น (หรืออาจรวมถึงชายด้วย) มักรู้สึกอายที่จะบอกผู้โดยสารคนอื่นๆ ให้รู้ว่าตนกำลังโดนกระทำ หรือบางคนอาจไม่กล้าพูดอะไรให้พวกโรคจิตหยุดลวนลาม นอกจากนี้ เหยื่อบางคนโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ยังรู้สึกกลัวมากๆ จนไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากใคร ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาทำต่อไปแบบเงียบๆ
ไอเดียลดปัญหาด้วยสติกเกอร์ "Anti-Chikan" (เวิร์กมั้ย?)
ทางกรมตำรวจได้ไซตามะ ได้ผุดไอเดียทำสติกเกอร์ "Anti-Chikan" เพื่อลดปัญหาพวกโรคจิตบนรถไฟ โดยให้ติดไว้ที่ด้านหลังโทรศัพท์ เขาได้อธิบายวิธีการใช้ว่า...
"ถ้าคุณรู้สึกว่ามีคนตั้งใจมาแต๊ะอั๋งคุณ ให้โชว์สติกเกอร์ขึ้นเป็นการเตือนให้หยุด หากเขายังไม่หยุด ให้ลอกสติกเกอร์ชั้นบนสุดออก แล้วปั๊มลงไปที่มือของโรคจิตคนนั้น สติกเกอร์จะทิ้งรอยกากบาทไว้เป็นตราบาปของชายผู้นั้น" และรอยดังกล่าวจะเป็นหลักฐานเพื่อเอาผิดพวกโรคจิตได้ค่ะ
คราวนี้น้องๆ นึกออกมั้ยคะว่าวิธีนี้ไม่เวิร์กตรงไหน? มีคนมาแสดงความเห็นว่ามันเหมือนเหรียญสองด้าน เพราะมันใช้ใส่ร้ายได้ง่ายมากๆ เลย สมมติคุณไม่ชอบหน้าใคร ก็สามารถปั๊มแสตมป์ใส่เขาได้ เพื่อให้เขาดูแย่ ผู้ชายบางคนถึงกับออกมาพูดว่า พวกเราอยากได้ขบวนรถไฟสำหรับผู้ชาย (men-only) เพื่อให้รู้สึกปลอดภัยจากการโดนใส่ร้ายแบบนี้! และบางคนก็ออกมาบอกว่า พวกโรคจิตอาจภูมิใจกับจำนวนรอยกากบาทบนมือก็ได้ ใครจะไปรู้" (เออ...ก็จริงของเขาแฮะ)
"women-only" รถไฟตู้นี้มีไว้เพื่อสาวๆ เท่านั้น
คราวนี้มาฟังไอเดียที่เข้าท่ากันบ้างค่ะ เมื่อปี 2002 บริษัทรถไฟได้สร้างความสบายใจให้ผู้โดยสารผู้หญิง ด้วยการออกนโยบายตู้รถไฟสำหรับผู้หญิง (women-only) สำหรับบางสถานี อย่างโตเกียว คานากาว่า ไซตามะ และชิบะ แต่อาจจำกัดแค่ในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้าและเย็น ส่วนในเขตคันไซ รวมถึงโอซาก้าและโกเบ บริษัทได้ปล่อยรถไฟเฉพาะผู้หญิงตลอดทั้งวันหยุด อีกทั้งยังติดโปสเตอร์ที่กำแพงของสถานีเพื่อเตือนให้ระวังพวกโรคจิต พร้อมระบุว่า การกระทำของพวกโรคจิตถือเป็นความผิดทางอาญา! เอาเป็นว่าถ้าน้องๆ คนไหนมีโอกาสไปโดยสารรถไฟในญี่ปุ่น ก็จะเห็นตู้รถไฟสีชมพูหวานแหววชัดเจนเลยค่ะ ^^
ถ้าว่ากันตามตรง...ปัญหาโรคจิตแบบนี้มีอยู่ทุกสังคมนั่นแหละค่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไทยหรือไปเที่ยวต่างประเทศก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี วันไหนเจอลวนลามในที่สาธารณะ แนะนำให้ตะโกนขอความช่วยเหลือซะ แล้วถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวตอนมืดค่ำนะคะ ^^ สุดท้ายนี้ถ้าชาว Dek-D คนไหนอยากแชร์ประสบการณ์หรือวิธีป้องกันการถูกลวนลามในที่สาธารณะ ขอชวนมาเล่าสู่กันฟังได้เลยค่ะ~
อ้างอิง
https://en.rocketnews24.com
https://en.rocketnews24.com









7 ความคิดเห็น
น่ากลัววว ดีนะที่ไทยไม่มีอะไรแบบนี้
มีครับ มีข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ไม่บ่อยเท่าญี่ปุ่นนะ ของไทยเรายังมีทั้งใน รถเมล์ หรือรถตู้สาธารณะ ด้วยนะ
เป็นหนู -คิดว่าเด็กจะไม่รู้เรื่องหรือไง?? //จับมือมันตบตัวเองแล้วทุ่มต่อ
แน่ใจว่าไทยไม่มี? เมื่อก่อนก็กลัวไม่กล้าบอก(เด็กแถวบางกะปิขอไม่เอ่ยชื่อสังกัดละกัน ช่างกล้า) ตอนนี้เหรอมาดิ แม่จะตบเหม่งให้หายเกรียนเลย
เพื่อนเราเคยเจอในกทมเหมือนกัน ถ้าเราอยู่ด้วยคงมีไฟท์
ปัญหาที่ควรแก้อย่างเร่งด่วนก่อนคือ การให้เหยื่อที่ถูกกระทำกล้าร้องขอความช่วยเหลือ กล้าที่จะปกป้องตัวเอง ไม่ใช่ยืนทื่อให้เขาทำอยู่อย่างนั้น
เราคงร้องอ่ะ ยังไงก็ช่าง เราจะลากมันลงนรกความอับอายจนต้องฆ่าตัวตายไปด้วยกันเลย มาจับชั้นแลกกับอนาคตทั้งชีวิตของมันเลย
เราเคยกับตัวบนรถเมล์ค่ะ ระหว่างกลับบ้าน เขาจับก้นเรา แรกๆเราก็นึกว่าคนเยอะเลยเบียดๆกันก็เลยไม่เป็นไร แต่พอมากๆเข้าก็รู้เลย ยืนตัวแข็ง ปากไม่ขยับ ไม่กล้าพูดอะไรด้วย หันไปมงก้นตัวเองก็เห็นแต่มือผู้ชาย แต่ไม่เห็นเจ้าของมือแม้แต่น้อย แต่เป็นเวลาไม่นานไม่ถึง5นาที แต่เขาบีบแรงมาก น่ากลัวค่ะ
ตอนนี้ก็ไม่เคยบอกพ่อแม่ ส่วนตัวเราก็ไม่คิดอะไรมากด้วย แค่ตกใจเฉยๆ
เราเคยโดนค่ะ บนรถเมล์ นั่งติดริมหน้าต่างแบบที่นั่ง2คน แล้วก็มีผู้ชายมานั่งข้างๆ รู้สึกได้เลยค่ะว่าจับเอวเรา แต่ไม่กล้าหันไปมอง ,_, โชคดีที่เราเอากระเป๋าวางบนขา ไม่ง้นอาจโดนลูบต้นขาไปแล้ว แต่ตอนนั้นกลัวสุดคือกลัวของหายค่ะ เพราะกระเป๋าเราเป็นแบบถุงผ้า ล้วงเอาง่าย เลยพยายามคีพกระเป๋าตลอด แกล้งทำเป็นไม่สนใจ มองวิวข้างทาง แต่เขาก็จับเอวเราตลอด จนถึงป้ายที่เราจะลง เราก็เลยยืนและเหยียบเท้าเขาค่ะ (แบบไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่ แต่ก็ดีที่ยังเอิญจังหวะมันได้) พอเหยียบไปก็เหยียบค้างนานเลยค่ะ 55555555555
ซึ่งพอเราลงเขาดันลงตาม เราหันไปมองเขากำลังรอขึ้นรถเมล์คันใหม่ ซึ่งตรงนี่ทำให้เราเอะใจมากๆๆๆๆ เพราะตอนแรกเขาไม่มีทีท่าจะลงป้ายนี้เลยค่ะ แต่พอเราลงก็ลงตาม แถมยังรอขึ้นคันใหม่ ไม่ได้เดินตามเรา เลยกลัวว่าจะหาเหยื่อรายใหม่
แต่เรื่องนี้เราไม่ได้บอกพ่อแม่หรือคนในครอบครัวเลยค่ะ ;--;