สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... ถ้าพูดถึงบริษัทในฝันของคนรักไอที เชื่อว่าหลายคนคงอยากมีโอกาสเข้าไปทำงานใน "ซิลิคอนวัลเลย์" ซึ่งหมายถึงชื่อเรียกพื้นที่ทางตอนใต้ของพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก เป็นแหล่งรวมบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลกนั่นเองค่ะ
วันนี้มีประสบการณ์ของรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเคยทำงานในซิลิคอนวัลเลย์กับบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลก แถมยังพ่วงดีกรีนักเรียนทุน และที่สำคัญที่สุด พี่คนนี้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Dek-D.com ที่พวกเรากำลังเปิดอ่านกันอยู่นั่นเอง! เรื่องราวจะเป็นยังไง เลื่อนลงไปอ่านกันได้เลยค่ะ ^^
วันนี้มีประสบการณ์ของรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเคยทำงานในซิลิคอนวัลเลย์กับบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลก แถมยังพ่วงดีกรีนักเรียนทุน และที่สำคัญที่สุด พี่คนนี้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Dek-D.com ที่พวกเรากำลังเปิดอ่านกันอยู่นั่นเอง! เรื่องราวจะเป็นยังไง เลื่อนลงไปอ่านกันได้เลยค่ะ ^^
สวัสดีครับ พี่ชื่อ พี่แชร์ - สุปิติ บูรณวัฒนาโชค เป็นนักเรียนทุนธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2544 เรียนจบปริญญาตรีและโทจาก Carnegie Mellon University ประเทศสหรัฐอเมริกา สาขา Electrical and Computer Engineering (วิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์) ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนโปรแกรมมิ่งอยู่ที่ ProDev Square และทำงานบริษัท Start up หลายแห่งครับ นอกจากนี้ พี่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัท Dek-D Interactive Co., Ltd หรือเว็บ Dek-D.com นั่นเองครับ
นักเรียนทุนที่สอบติด 3 ทุน!!
ย้อนไปตอนมัธยมปลาย พี่เรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบ คงเหมือนกับเด็กวัยรุ่นหลายคนที่กำลังค้นหาตัวเองว่าเราชอบอะไรกันแน่ ตอนนั้นพี่ลองทำหลายอย่าง มีทั้งชอบบ้างและไม่ชอบบ้าง จนมีโอกาสได้ร่วมมือกับเพื่อนในห้องอีก 3 คนลองทำเว็บ Dek-D ขึ้นมา พอได้ใช้ชีวิตอยู่กับคอมพิวเตอร์มากๆ ปรากฏว่า เฮ้ย นี่แหละ ใช่เราเลย ตอนนั้นตัดสินใจค่อนข้างแน่ชัดว่าจะเรียนต่อด้านนี้ในระดับมหาวิทยาลัย
พอตอน ม.6 มีโอกาสได้ลองสอบชิงทุน ปรากฏติด 3 ทุนคือ ทุนโอลิมปิก พสวท. ทุน ก.พ. และทุนธนาคารแห่งประเทศไทย สุดท้ายพี่เลือกทุนธนาคารแห่งประเทศไทยครับ (ปัจจุบันทั้ง 3 ทุนยังมีแจกอยู่ทุกปีนะครับ)
ต้องบอกก่อนว่า เวลาที่นักเรียนไทยได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา ส่วนมากเค้าจะให้เราไปเรียนปรับพื้นฐานก่อน 1 ปีในโรงเรียนมัธยม พูดง่ายๆ เหมือนเราจบ ม.6 จากไทยแล้วไปเข้าเกรด 13 ก่อนแล้วค่อยสมัครเข้าเรียนปี 1 ซึ่งโรงเรียนที่ทางทุนจัดให้นั้นบอกเลยว่ายิ่งใหญ่อลังการมากสุดๆ ครับ พี่ได้ไปที่ The Loomis Chaffee School อยู่ที่รัฐ Connecticut เป็นโรงเรียนระดับท็อปของรัฐเลยก็ว่าได้ครับ ค่าเทอมแบบอยู่ประจำตกปีละเกือบ 2 ล้านบาทในตอนนี้ คือต้องรวยมากและต้องเก่งโดดเด่นมากๆๆๆ ถึงจะเข้ามาเรียนที่นี่ได้
ชีวิตในไฮสคูลแนวหน้าของอเมริกา
ขอบอกเลยว่า ตอนช่วงแรกๆ ที่ Loomis Chaffee School พี่ร้องไห้เกือบทุกวัน มีปัญหาค่อนข้างมากโดยเฉพาะเรื่องภาษา ก่อนมาก็ค่อนข้างมั่นใจทักษะภาษาอังกฤษของตัวเราเองนะว่าพอใช้ได้ ได้เกรด 4 ตลอด แกรมมาร์เป๊ะ แต่พอมาใช้ชีวิตในอเมริกาจริงๆ มันไม่ใช่เลย มีหลายอย่างที่เราฟังไม่ออกหรือไม่เข้าใจ ทุกอย่างรอบตัวเป็นภาษาอังกฤษหมด ใช้เวลาปรับตัวเทอมนึงกว่าจะเข้าที่
ความเจ๋งของโรงเรียนนี้คือ ไม่ใช่การจะผลักดันนักเรียนทุกคนเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ระดับโลก แต่เป็นการดึงความสามารถของเด็กคนนั้นออกมาแล้วพัฒนาไปให้สุด ถ้าเราวิ่งเก่ง เค้าจะไปจ้างนักวิ่งระดับโลกมาเป็นโค้ชให้เราเลยนะ อุปกรณ์การเรียนการสอนทุกอย่างคือดีมาก คลาสเล็กแค่ 5-10 คน ครูเอาใจใส่เราได้เต็มที่ เรียนเข้มข้นมาก อย่างตอนแรกพี่ไม่ค่อยชอบวิชาชีววิทยา แต่พอมาเรียนที่นี่ กลับกลายเป็นชอบเลย เพราะเค้ารื้อกระบวนความคิดของเราใหม่หมด กระตุ้นให้เราคิดอะไรที่ท้าทาย เช่น "เวลาต้นไม้ผสมพันธุ์กัน คุณคิดว่ามันรู้สึกเสียวมั้ย แล้วจะวัดได้ยังไงว่ามันเสียวจริงหรือเปล่า" ฟังดูเหมือนจะตลก แต่มันช่วยเปลี่ยนกระบวนความคิดเราได้มากจริงๆ
ต่อยอดกับมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์
พอจบจากที่นี่ ก็ถึงเวลาเข้ามหาวิทยาลัย พี่ตั้งเป้าจะเข้า Computer Science หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยที่ดังในเรื่องนี้คือ Carnegie Mellon University พี่ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 4 ปี จบทั้งปริญญาตรีและโทเลยครับ คือมหาวิทยาลัยในอเมริกาเค้าจะมี requirement หรือข้อกำหนดมาว่า ภายใน 4 ปี คุณเรียนจบกี่หน่วยกิตเท่านี้ๆ คุณจะได้ปริญญาตรี ถ้าเรียนเพิ่มเท่านี้ๆ คุณจะได้ปริญญาโทด้วย ซึ่งพี่ลงไปหลายวิชามาก เรียนหนักมาก ลงวิชาของปริญญาโทไปด้วย ท้ายสุดเลยได้มาทั้ง 2 ปริญญาเลย
วิชาที่พี่ชอบมากคือ วิชา Operating System หรือ OS มันคือการเรียนเขียนระบบปฏิบัติการ เช่น Windows Linux เป็นการเรียนที่โหดสะใจมาก หามรุ่งหามค่ำดี 55555 ส่วนอีกวิชาที่ชอบมากคือวิชา Database หรือฐานข้อมูล ที่อื่นๆ อาจสอนให้ใช้ แต่ที่อเมริกาเค้าจะสอนให้เราสร้างให้พัฒนาขึ้นมา
ประสบการณ์ในบริษัท IT ระดับโลก
หลังจากเรียนจบ พี่เข้าทำงานที่ Oracle เป็นบริษัทซอฟต์แวร์อันดับที่ 2 ของโลกรองจาก Microsoft เป็นบริษัทที่ดังมาก ตั้งอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ เงินเดือนดี สวัสดิการดี ตอนไปสัมภาษณ์งาน ทางบริษัทส่งตั๋วเครื่องบินมาให้พร้อมที่พักโรงแรม 5 ดาวมาให้เลยครับ เปย์สุดฤทธิ์ 555555
พอเข้ามาทำงานในตำแหน่ง Software Engineer บอกเลยว่าเป็นอะไรที่ท้าทายมากและสนุกสุดๆ พี่ได้มีโอกาสเรียนรู้งานจากฝ่ายอื่นๆ เก็บประสบการณ์ได้เยอะมาก ที่น่าภูมิใจคือ สิ่งที่เราสร้างและพัฒนา มีบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกซื้อเอาไปใช้จริงๆ ทั้ง Ebay Google Amazon เราได้มีโอกาสพบเจอกับผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อจะทำงานร่วมกัน
อีกสิ่งที่ประทับใจคือ เพื่อนร่วมงาน แน่นอนว่าการทำงานในบริษัทระดับ World Class เค้าก็คัดเลือกคนมาแล้ว แต่ละคนจบมหาวิทยาลัยดังๆ เก่งกันมาก คุยภาษาเดียวกัน ทำงานเข้ากันได้ดี น้องๆ อาจจะสงสัยว่า บริษัทต่างชาติดังๆ แบบนี้คัดเลือกคนจากสถาบันมั้ย? มันไม่เชิงครับ ถ้าตอบให้ตรงจุดคือเค้าคัดเลือกคนที่เก่ง และคนเก่งหัวกะทิส่วนมากก็มักไปกองกันอยู่ในสถาบันดังๆ นั่นเอง
สุดท้ายก็ขอเลือกประเทศไทย
นอกจากจะทำงานที่ Oracle แล้ว พี่มีโอกาสได้ลองจับธุรกิจพวกสตาร์ทอัปอยู่หลายตัวครับ บอกเลยว่าถ้าใครมีความสามารถมีไอเดีย หาเงินได้ในอเมริกาแน่นอน เพราะคนอเมริกาเค้าพร้อมจะลงทุน เป็นพวกทุนนิยมที่แท้จริง ส่วนตอนนี้พี่กลับมาไทยได้หลายปีแล้วครับ พออยู่ต่างประเทศนานๆ เราจะเริ่มถามตัวเองว่า เอ๊ะ ชีวิตที่เหลือเราจะไปอยู่ไหนดี อยู่นี่ต่อหรือกลับไทย? ซึ่งพี่ก็ตัดสินใจเลือกชอยซ์หลังครับ แต่อยากฝากน้องๆ ที่สนใจไปเรียนต่อหรือหาประสบการณ์ในต่างประเทศว่า มันคุ้มค่ามากจริงๆ หลายๆ อย่างที่เจอมันคือปัญหา แต่ทักษะต่างๆ โดยเฉพาะทักษะการเอาตัวรอดจะทำให้เรามองว่า นี่มันไม่ใช่ปัญหา และหาทางแก้ไขให้ได้ ขอให้น้องๆ ทุกคนโชคดีครับ
อ่านจบแล้วอยากชูป้ายไฟให้พี่แชร์เลยค่ะ น่าจะเป็นครั้งแรกที่พี่แชร์บอกเล่าประสบการณ์ละเอียดยิบขนาดนี้ (ทีมงาน Dek-D เองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน 5555) หากน้องๆ คนไหนอยากมีโอกาสไปทำงานในซิลิคอนวัลเลย์แบบพี่แชร์ล่ะก็ อย่าลืมวางแผนการเรียนและมองหาหนทางดีๆ นะคะ เตรียมตัวก่อน มีสิทธิ์ก่อนนะเออ! รับรองว่าได้ตามรอยไปเป็นรุ่นน้องคนไทยในซิลิคอนวัลเลย์แน่นอน







1 ความคิดเห็น
อยากทำได้แบบพี่เลยค่ะ