วิจารณ์หนังสือ : CARRIE
เด็กคนหนึ่งกับการถูก Bully
ไม่ใช่เรื่องตลก!
สวัสดีน้องๆ นักอ่านชาวเด็กดีทุกคนจ้ะ สำหรับบทความนี้พี่นัทตี้ขอมานำเสนอเรื่องราวที่ฟังดูแล้วอาจจะเหมือนว่าไกลตัว แต่เอาจริงๆ มันกลับใกล้ตัวพวกเราทุกคนกันมาก นั่นก็คือเรื่องของการถูก Bully นั่นเอง โดยการถูก Bully นั้นเป็นสถานการณ์ที่เราทุกคนมีโอกาสที่จะได้เจอเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นจากสังคมในรั้วโรงเรียน หรือสังคมนอกรั้วโรงเรียนเองก็ตาม ซึ่งเราอาจจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไร แต่ความจริงแล้วมันเป็นต้นเหตุการเกิดของโรคๆ หนึ่งที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า “โรคซึมเศร้า”
การเลี้ยงดูลูกแบบผิดๆ เป็นบ่อเหตุแห่งปัญหาทั้งหมด
อย่างที่พี่นัทตี้ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าแครี่ของเราถูกเลี้ยงดูมาแบบไข่ในหิน เลยทำให้เธอต้องมีชีวิตอยู่แบบเด็กถูกกักบริเวณ เธอถูกสั่งห้ามไม่ให้คบเพื่อน แถมเมื่อเวลาที่จะทำอะไรก็ต้องอยู่ในสายตาของคนเป็นแม่ตลอดเวลา จนมีอยู่วันหนึ่งที่แครี่ดันเกิดไปตกหลุมรักเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมา แม่ของเธอโกรธมากเมื่อได้รู้ความจริง เพื่อนๆ ลองนึกภาพดูสิจ๊ะ ว่าจากสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่พี่นัทตี้ได้เล่ามา ถ้าเพื่อนๆ เป็นแครี่ เพื่อนๆ จะมีความรู้สึกกดดันมากแค่ไหน ยิ่งถูกกักให้อยู่แต่กับบ้านและโรงเรียนก็ยิ่งทำให้น่าอึดอัดเข้าไปใหญ่ แถมยังถูกสั่งไม่ให้คบหากับใครอีก อารมณ์และความอึดอัดของตัวละครตัวนี้มันเลยค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นมาเรื่อยๆ ดังนั้นจากประเด็นนี้มันเลยทำให้เราได้เห็นเลยว่าการเลี้ยงดูลูกนั้นมีส่วนสำคัญกับความคิดและการกระทำของเด็กคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง!
การถูก Bully ไม่ใช่เรื่องตลก
เมื่ออารมณ์อยู่เหนือการควบคุม ความขาดสติก็ตามมา
อันนี้พี่นัทตี้เห็นว่าจะเป็นความจริงจ้ะ เพราะพี่นัทตี้เองก็เคยอยู่ในจุดๆ นี้มาแล้วเหมือนกัน เมื่ออารมณ์มันถูกระเบิดออกไป เราจะค่อยมานั่งสำนึกกันทีหลังว่าไม่น่าทำอย่างนั้นลงไปเลย ซึ่งตัวละครของแครี่เองก็เช่นกัน แต่เหตุการณ์สำหรับแครี่นั้นอาจจะดูหนักหนาเกินกว่าที่เด็กผู้หญิงคนนึงจะรับไหว การปลดปล่อยอารมณ์ออกไปเลยกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ จนทำให้เหตุการณ์ที่แย่อยู่แล้วกลับแย่ลงไปมากกว่าเดิม ซึ่งถ้าเรามองเราก็สามารถมองออกไปได้ 2 มุม คือ สมควรแล้วที่ทำ กับไม่สมควรเลยที่ทำ แล้วเพื่อนๆ ละจ๊ะ คิดว่าแครี่ทำถูกไหม?
พลังจิตเป็นตัวแทนของด้านมืดที่อยู่ข้างในของมนุษย์
พลังจิตกลายเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องขึ้นมาทันที เพราะมันสื่อได้ถึงอาวุธลับภายในตัวของเด็กสาวผู้อ่อนแอคนนี้ แต่ความจริงแล้วพลังจิตนั้นเป็นเพียงแค่การสื่อนัยยะบางอย่างที่เชื่อมโยงกับความเป็นจริงของมนุษย์เรา โดยพี่นัทตี้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า พลังจิตของแครี่นั้นเป็นการแทนด้านมืดที่อยู่ข้างในของเธอออกมาให้เราได้เห็น เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าแครี่ถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจทั้งจากแม่และจากเพื่อนที่โรงเรียน เมื่อถูกทำร้ายเยอะๆ เข้า ความรู้สึกของการอยากแก้แค้นมันเลยสุมรวมกันจนกลายเป็นพลังในการทำร้ายคนรอบข้าง ไม่เว้นแม้แต่แม่ของเธอเองก็ตาม ซึ่งพี่นัทตี้เองก็คิดว่าทุกคนก็มีพลังด้านมืดเป็นของตัวเอง แต่จะเป็นอะไร และเลวร้ายแค่ไหนคนอื่นก็ไม่อาจจะรู้ได้นอกจากตัวของเราเอง
---------------
เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ หวังว่าทุกคนคงจะเพลิดเพลินกับการอ่านบทความนี้กัน นอกจากจะสนุกแล้วยังมีประโยชน์อีกด้วย เพราะเรื่องของการ Bully เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไกลตัว แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วบอกเลยว่าต้องใช้สติในการรับมือกับปัญหาที่ตามมาแบบสุดๆ สำหรับน้องๆ คนไหนที่เคยเจอกับเหตุการณ์การถูก Bully ก็มาเล่าเป็นประสบการณ์ให้อ่านกันบ้างนะจ๊ะ พร้อมกับบอกวิธีการแก้ปัญหาของตัวเองมาด้วยก็ดี พี่นัทตี้รออ่านอยู่น้า เอาเป็นว่าวันนี้พี่นัทตี้ก็ขอตัวลาไปก่อน ไว้เจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีจ้ะ
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ Carrie
6 ความคิดเห็น
สมัยก่อนตอนป.4-ป.5 ช่วงย้ายมารร.ใหม่ๆที่จังหวัดหนึ่งโดนเพื่อนแกล้งต่างๆนาๆแต่ที่หนักสุดคือโดนเอาถุงนมมายัดใต้โต๊ะตอนไม่มารร. พอวันรุ่งขึ้นก็ถูกครูดุขณะเคารพธงชาติ ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ตอนนั้นเหมือนงงมาก
แล้วตอนนั้นเราแก้ปัญหายังไงจ๊ะ หรือปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ
เราจัดการbullyด้วยการเผชิญหน้า (พุ่งชน) กับมันตรงๆ ซะ
ผลคือเราชนะ ชนะ ชนะ พวกนี้ขี้ขลาดจะตายเวลาอยู่คนเดียว โจมตีมันตอนนี้แหละ ทำให้มันกลัวเราแทน
สุดยอดดด! Strong สุดอะไรสุด
อยากจะบอกว่า การอดทนเมื่อถูกกลั่นแกล้งเป็นเพียงหนทางนึง แต่ไม่ใช่บทสรุปเบ็ดเสร็จ การย้ำให้อดทน "มากเกินไป" ในแง่นึงเท่ากับเป็นการสั่งให้เหยื่อยอมจำนน และพวกคนที่รังแกจะยิ่งได้ใจหนักเข้าไปอีก เพราะทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่าสามารถทำได้ และไม่ต้องรับผิดชอบอะไร (มีแต่เหยื่อที่ต้องรับผิดชอบฝ่ายเดียวโดยการ ทน ทน ทนมันเข้าไป อ่อนแอก็แพ้ไป) มนุษย์เรามันเลวร้ายอยู่อย่าง เวลาเห็นคนอื่นอยู่ดี ๆ ก็อยากเข้าไปทำร้าย ไปรุมกลั่นแกล้งรังแก ยิ่งคน ๆ นั้นดูมีอะไรดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากทำลายมากเท่านั้น ถ้าเขาตอบโต้ ยิ่งสนุก แต่ถ้าไม่ตอบโต้อยู่เฉย ๆ ขอบอกเลยว่า -พวกที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบโต้เลยขี้เกียจแกล้งแล้วน่ะเป็นแค่ส่วนน้อย หรืออาจจะไม่มีจริงเลยก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทน -พวกนี้จะเหมือนกำลังล่าบอสในเกมที่ยากกว่าศัตรูธรรมดา เกิดความท้าทายว่าทำยังไงจะทำให้อีกฝ่ายหน้าเปลี่ยนสีและร้องออกมาให้ได้ และหนึ่งในวิธีการที่รุนแรงที่สุด ยิ่งกว่าการทำน้ำสีหกใส่หรืออะไร ก็คือ "การทำเหมือนผู้ถูกรังแกไม่มีตัวตน" ซึ่งเผลอ ๆ มันเจ็บปวดยิ่งกว่าเสียอีก (พวกนี้จะไม่ใช่แค่พวกมันที่จะเมินเฉย แต่จะสั่งหรือบังคับให้คนอื่น "เมิน" เป้าหมายไปด้วย และผลคือ เป้าหมายจะไม่มีเพื่อนเหลือเลย) (ถ้าจะเอาเลวร้ายกว่านี้ก็ถึงขั้นใส่ร้ายป้ายสีจนไม่มีที่ยืนแล้วล่ะ และมันก็มักจะตามมาหลังจากอีกฝ่ายไม่มีเพื่อนคอยช่วยเหลือแล้วด้วยวิธีการข้างต้น) วิธีแก้ไข เอาจริง ๆ มีห้าวิธีที่เด็ดขาด แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องความเป็นไปได้ - หนึ่ง ทนจนกว่าจะเรียนจบ หรือย้ายโรงเรียนไม่ต้องเจอกันอีก วิธีนี้เป็นวิธียอดนิยมอย่างนึง แต่ในแง่นึงก็เหมือน "พ่ายแพ้" และเราต้องหนีไป พวกมันก็ได้ครองที่อยู่เดิมของเราไป และในความเป็นจริงมันก็ไม่ง่าย (จู่ ๆ จะย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียน ไม่ไปโรงเรียน อะไรพวกนี้เนี่ย ไม่ใช่นึกอยากทำก็ทำได้สักหน่อย) แถมมันมีไม่มากหรอกที่จะทนไหวได้ถึงตอนนั้น - สอง ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจมากกว่า(เช่นพ่อแม่ ครูอาจารย์) จริง ๆ วิธีนี้ก็อีกวิธีที่ยอดนิยมในทางปฏิบัติ และตามหลักมันก็ควรจะได้ผล ทว่ายุคสมัยนี้เปลี่ยนไป ไม่เหมือนสมัยเราเป็นเด็ก ผู้ใหญ่และผู้มีอำนาจ "เพิกเฉย" ต่อเรื่องพวกนี้มากขึ้น (จริง ๆ มาคิดดูดี ๆ -พวกที่เคยแกล้งคนอื่น โตมาเป็น-พวกนี้รึเปล่า ถึงได้ทำให้มันเละถึงขนาดนี้ได้หน้าตาเฉย) ที่ควรจะได้ผลส่วนมากเริ่มไม่ได้ผลแล้ว ค่านิยมสังคมเอนไปทาง "โทษเหยื่อ" มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งพ่อแม่ยังด่าลูกว่าอ่อนแอไม่เข้มแข็งได้หน้าตาเฉยทั้งสถานการณ์แบบนี้ - สาม ตอบโต้ แสดงความแข็งแกร่งให้พวกมันเห็น อย่างที่บอก -พวกนั้นตัวเดี่ยว ๆ มันไม่กล้าหรอก โลกของการใช้กำลัง การแสดงพลังให้เหนือกว่าคือเบสิคของการเอาตัวรอด แต่อย่างว่า ขนาดวิธีตรงไปตรงมาแบบนี้ก็ใช่ว่าจะได้ผล ไม่ใช่ว่าพอเราชนะแล้วพวกมันจะยอมเป็นลูกน้องเราแต่โดยดีเสมอไป แต่มีอีกหลายเคสที่ยิ่งตอบโต้ -พวกนั้นยิ่งแค้น ยิ่งเอาคืน และอย่างที่บอก -พวกนี้ตัวคนเดียวไม่แน่จริง แต่ประเด็นคือ.... "มันชอบมาเป็นก๊กอย่างที่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ" คน ๆ เดียวจะไปสู้หลายคนได้ยังไง และเผลอ ๆ บางที-พวกนี้ถ้าสู้ไม่ได้จริง ๆ มันก็จะใช้วิธี "ฟ้องครู" ทำตัวเป็นผู้เสียหายซะเอง แบบวิธีที่สอง และที่ตลกคือ "-พวกนี้มักมีโอกาสสำเร็จกว่าเรา" ซะงั้นเวลาฟ้อง สุดท้ายเราก็ดันโดนทำโทษจากอำนาจที่เหนือกว่าซะเอง.... - สี่ "ฆ่า" ให้หมด ฆ่าไม่ให้เหลือ -พวกไหนสันดาน Bully คนอื่น หรือ-พวกค่านิยมโทษเหยื่อ ยิ่งเด็กยิ่งสมควรตาย ก่อนจะโตมาแล้วสร้างความฉิบหายมากขึ้น ยิ่งเป็นกันทั้งประเทศ ก็สมควรลดจำนวนประชากรไม่ให้เหลือ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ให้พวกมันแพร่เชื้อต่อเป็นเยี่ยงอย่างได้อีก ใช้หลักการตามธรรมชาติเลย สังคมโลกเป็นของผู้ชนะ ถ้าอยากทำลายคนชั่วก็ต้องฆ่าคนชั่วให้หมดให้เหลือแต่คนดี แต่ปัญหา.... แน่นอน "ทำจริงได้ที่ไหนเล่า!!!!!" คนดี ๆ เขาไม่อำมหิตพอจะทำ ด้านจำนวน กำลัง เล่ห์เหลี่ยม ยังไงคนเลวก็ย่อมมีมากกว่า และมักจะชนะเสมอ สรุป ไม่มีวิธีไหนได้ผลจริง ๆ สักอย่าง (อ้าว) ตราบที่คนเรายังไม่เคยสำนึกจริง ๆ จัง ๆ ว่าที่ทำไปมันไม่ดี ไม่ถูกต้อง ยังคิดว่าพวกมากเป็นฝ่ายถูก อ่อนแอก็ตายไป และเรียกมันว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติ(แบบโคตรไร้ความรับผิดชอบ) วัฐจักรนี้มันก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก อาจจะนอกเสียจากว่า "คนดี" จะอำมหิตขึ้นมากพอจะทำแบบข้อสี่ และต้องทำจริงให้ได้ เสร็จแล้วไม่กลายเป็นพวกนั้นกลุ่มใหม่เสียเองเท่านั้น (พูดยังกะเป็นไปได้นี่..... สันดานมนุษย์....)
ว่าแต่สงสัยจังครับ เมนต์ในเด็กดีทีไร ทำไมย่อหน้าที่แบ่งไว้ชอบกลับไปติดกันเป็นอันเดียวทุกที
ลืมบอกวิธีที่ห้าไป แต่อันนี้มันออกเหมือนหนังหรือละครมากเกินไปหน่อย ช่วยเหลือมันตอนที่มันกำลังตกที่นั่งลำบากครับ วิธีนี้ในสังคมผู้ใหญ่อาจจะไม่ค่อยได้ผล แต่ในสังคมเด็ก ๆ อย่างน้อยถ้ายังเป็นคนมันก็ต้องมีบ้าง ที่พอเห็นคนที่ตัวเองเคยรังแกมาช่วยเหลือจากสถานการณ์อะไรสักอย่าง ก็จะเกิดสำนึกผิดต่ออีกฝ่าย สุดท้ายกลายเป็นเพื่อนกันได้ แต่แน่นอน วิธีนี้ก็ใช่ว่าจะดีที่สุดอีก ข้อเสียมันได้แก่ - พูดยังกะโอกาสแบบนั้นจะมีง่าย ๆ - ต่อให้ทำได้ มันก็ยังมีคนบางจำพวกที่ต่อให้แค่ในวัยเด็ก มันก็ไม่รู้จักคุณคน มองว่าเราโง่อีกที่ไปช่วยมัน(อ้าว)
- ซวยที่สุดคือโดนมันพาไปเป็นพวกแล้วล้างสมองให้แกล้งคนอื่นต่อ.....
2013 พี่ ไม่ใช่2003
แก้ไขเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ^ ^