น้องๆ ชาว Dek-D เคยมีความรู้สึกว่าบางครั้งเราเองนั้นไม่คู่ควรกับการได้รับคำชม เวลาที่เราทำอะไรสักอย่างแล้วประสบความสำเร็จ เวลามีคนชมว่าเราทำงานดี เราเองกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องฟลุกมากกว่า หรือบางครั้งเวลาที่น้องๆ ทำคะแนนสอบออกมาได้ดี เรากลับไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่กลับรู้สึกไม่มั่นใจเลยว่าที่ทำไปนั้นคือมาจากความสามารถของเราเอง แต่น้องกลับรู้สึกว่า ที่ได้คะแนนเยอะ คงเป็นเพราะโชคช่วยมากกว่า คงเป็นเรื่องบังเอิญ และคงจะไม่มีโอกาสที่จะได้ทำขนาดนี้อีกแล้ว
อาการเหล่านี้ที่พี่ยกตัวอย่างไป ทางจิตวิทยาเราเรียกว่า “Imposter Syndrome” หรือ ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองด้อยค่า คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ถ้าน้องๆ กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังตกอยู่อาการเหล่านี้หรือเปล่า? ว่าแล้วก็ตาม พี่วุฒิ มาเลยครับ ไปเช็กตัวเองพร้อมๆ กันเถอะ...
จริงๆ แล้ว ถ้าจะบอกว่า ‘Imposter Syndrome’ เป็นโรคที่เกี่ยวกับจิตเวชก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น และถึงแม้ว่าทางการแพทย์จะไม่ได้ออกมาระบุว่าอาการนี้เป็นโรคทางจิตเวชอย่างเป็นทางการ แต่การที่เรามีความคิดแง่ลบ มีความคิดว่าตัวเองไร้ค่า และดูถูกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิ่งที่ได้รับ มันก็อาจจะเป็นจุดที่สัมพันธ์กับสภาพจิตใจของเรา และนำไปสู้โรคทางจิตเวชอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘โรคเครียด และ โรคซึมเศร้า’ และแน่นอนว่าถ้าพาตัวเองไปถึงจุดนั้นก็คงจะไม่ดีแน่
ถ้าถามถึงที่มาที่ไปของอาการนี้มันมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็อาจจะบอกไม่ได้ เพราะว่ามันเรื่องที่มาจากสภาพจิตใจของแต่ละคน ซึ่งอาจจะมีปัจจัยที่ทำให้ตัวเอง ‘รู้สึกว่าไม่เก่งจริง’ แต่ละคนอาจมีเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่เมื่อปี 1978 ได้มีนักจิตวิทยา 2 ท่าน คือ ‘ซูซาน ไอเมส์ และ พอลีน โรส ลนซ์’ ที่ได้เริ่มตั้งข้อสงสัยและเริ่มทำการศึกษาและอธิบายปรากฏการณ์ของอาการ Imposter Syndrome แบบจริงจัง ซึ่งพวกเขาก็ได้อธิบายว่า ส่วนใหญ่แล้วอาการเหล่านี้จะพบในกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็คิดว่าความสำเร็จเหล่านี้มันคือภาพมายาที่เค้าสร้างขึ้นมา จริงๆ แล้วเค้าไม่ได้เก่งจริง ไม่สมควรได้รับคำชม สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็คือ ‘ของปลอม’
แล้วจะรู้ได้ไงว่าเรากำลังเป็น Imposter Syndrome หรือเปล่า?
เมื่อไม่นานมานี้ ดร. วาเลรี ยัง นักเขียนและนักจิตวิทยาชื่อดัง ได้เขียนสรุปเกี่ยวกับอาการ Imposter Syndrome ลงในหนังสือ “The Secret Thoughts of Successful Women: Why Capable People Suffer from the Imposter Syndrome and How to Thrive in Spite of It” เพื่ออธิบายเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ว่าเกิดขึ้นกับใครบ้าง ซึ่งเธอได้สรุปหลักๆ ไว้ 5 ประการดังต่อไปนี้
1. The Perfectionist
สำหรับคนประเภทแรกที่เข้าข่ายอาการ Imposter Syndrome ก็คือ คนที่ค่อนข้างทำตัวเจ้าระเบียบ หรือที่หลายคนเรียกว่า “Perfectionist” ดร. วาเลรี ได้วิจัยว่า คนที่เสพติดความเพอร์เฟกต์ในทุกๆ เรื่อง ก็อาจจะสามารถรวมอยู่ในกลุ่มอาการนี้ เพราะคนที่เป็นเพอร์เฟกต์ชันนิสต์มักจะตั้งเป้าหมายไว้สูงในทุกๆ เรื่องที่ทำ และถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่สามารถทำได้ตามสิ่งที่หวังไว้ ก็จะเกิดความวิตกกังวลที่สูงมากกว่าคนปกติทั่วไป และอาจทำให้ครุ่นคิดและกล่าวว่าตัวเองไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำให้สำเร็จได้
ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?
- เคยโดนคนอื่นบอกว่าตัวเองเป็นคนประเภท micromanager หรือ คนประเภทที่ชอบตั้งบรรทัดฐานในทุกๆ เรื่องจนเกินไป ชอบเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเวลาทำงานหรือไม่?
- คุณเคยได้รับมอบหมายให้ทำงานใหญ่ๆ ที่มีอุปสรรคมากมายหรือไม่? ซึ่งความจริงแล้วคุณเองก็สามารถทำได้ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ หรือกลัวผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีตามที่คนอื่นคาดหวัง เลยปฏิเสธที่จะไม่ทำ
- คุณเคยทำงานใหญ่พลาดแล้วเอาแต่โทษตัวเอง และจมอยู่กับความคิดและเอาแต่กร่นด่าตัวเองเป็นเวลาหลายวันหรือไม่?
- คุณรู้สึกว่าทุกๆ งานที่คุณทำ จะต้องสมบูรณ์แบบ 100% ทุกงานหรือไม่?
2. The Superwoman / Superman
สำหรับคนที่มักคิดว่าตัวเองด้อยค่าในสายตาคนอื่น ถ้าพูดถึงในเรื่องของการทำงาน หลายคนมักพยายามที่จะทำให้งานออกมาให้ดีขึ้น และดียิ่งขึ้นในทุกๆ งานเพิ่มไปอีก เหมือนเป็นการสร้างมาตรฐานให้ตัวเองทุกครั้ง ซึ่งเค้าอาจจะไม่ทันคิดว่ายิ่งคาดหวังเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการสร้างความกดดันให้ตัวเอง นักวิจัยเลยบอกว่าการกระทำแบบนี้ เข้าข่ายของคนประเภท “Superwoman และ Superman” ที่มักคิดว่าตัวเองจะต้องทำได้ดีในทุกๆ ครั้ง เพราะคิดว่าทุกคนจะต้องคาดหวังว่าเค้าจะได้ดีเพิ่มขึ้นไปอีกเหมือนกับเหล่าฮีโร่ที่ทำได้ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งการทำงานหนักหักโหมตัวเอง ก็ไม่ใช่แค่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของตัวเอง แต่ก็อาจทำให้กระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วยเช่นกัน
ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?
- เวลาทำงาน คุณมักจะกลับบ้านช้ากว่าเพื่อนร่วมงานหรือไม่ ถึงแม้ว่างานของคุณอาจจะเสร็จแล้ว แต่คุณก็ยังนั่งเคร่งเครียดอยู่กับงาน จนไม่สามารถกลับบ้านได้?
- คุณเคยรู้สึกเครียดเวลาที่ว่างอยู่เฉยๆ ไม่มีงาน และคิดว่าเวลาว่างที่ได้รับนั้นไร้ประโยชน์?
- คุณละทิ้งความฝันและงานอดิเรกของคุณไว้ และเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทกับงานอยู่อย่างเดียวหรือไม่?
- คุณรู้สึกว่าตำแหน่งหน้าที่การงานที่คุณได้รับมา มันไม่เหมาะสมกับตัวคุณเอง และรู้สึกกดดันมากขึ้นกว่าเดิม และพยายามที่จะทำงานให้หนักมากขึ้นเพื่อให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวคุณเองควรค่ากับตำแหน่งนี้
3. The Natural Genius
มาถึงคนประเภทที่ ‘ฉลาดโดยธรรมชาติหรือมีพรสวรรค์มาแต่เกิด’ บางคนก็สามารถที่จะตกอยู่ในอาการ Imposter Disorder ได้เช่นกัน เพราะว่าคนประเภทนี้มักจะตัดสินความสำเร็จจากความสามารถและความพยายามของตัวเอง พูดง่ายๆ คือ ถ้าต้องทำงานบางอย่างให้หนักขึ้นไปอีก คนเหล่านี้ก็อาจจะคิดว่าตัวเองต้องแย่แน่ๆ และไม่สามารถทำได้ และถึงแม้ว่าในการทำงานแต่ละครั้ง อาจจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงเหมือนกับคนประเภท Perfectionist แต่มักจะตัดสินจากความคุ้นชินของตัวเอง ประมาณว่า เคยทำได้แค่ไหนก็จะทำได้เท่านั้น แต่ถ้าต้องให้ทำมากกว่านั้นก็จะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า คงทำไม่ได้แน่ๆ
ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?
- คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบให้ใครมาคอยแสดงความเห็น หรือคอยชี้แนะอยู่ตลอดเวลา เพราะคุณคิดว่าคุณสามารถรับมือทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
- เวลาที่คุณเผชิญกับความล้มเหลว คุณจะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ เพราะว่าคุณทำได้ไม่ดี และรู้สึกอับอายมาก
- คุณมักรู้สึกกลัวความท้าทายใหม่ๆ เพราะว่าคุณจะคิดว่าคุณจะไม่สามารถทำในสิ่งนั้นได้ดี
4. The Rugged Individualist
“The Rugged Individualist” หรือ คนประเภทปัจเจกนิยม ไม่ชอบพึ่งพาใคร รักที่จะทำงานแบบอิสระมากกว่า คิดว่าตัวเองไม่สามารถทำงานกับใครได้ เลยเลือกที่จะพึ่งพาตัวเองมากกว่า จนบางครั้งก็อาจจะส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจตัวเองแบบไม่รู้ตัว ซึ่งการกระทำเหล่านี้อาจจะนำพาให้เราตกอยู่ในอาการ Imposter Syndrome ได้
ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?
- เป็นคนที่ชอบทำอะไรให้สำเร็จด้วยตัวเองอยู่เสมอ
- ไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใคร
- รู้สึกว่าการขอความช่วยเหลือ คือ การรบกวนคนอื่นให้มาช่วยงานของตัวเองทั้งหมด
5. The Expert
มาถึงประเภทสุดท้ายก็คืิอ “The Expert” หรือ คนที่เก่งและเชี่ยวชาญมากๆ ซึ่งหลายคนอาจจะมีความรู้สึกลึกๆ ว่า ตัวเองไม่ได้เก่งจริง ไม่ใช่ของจริงอย่างที่ใครคิด สิ่งที่เค้าทำอยู่มันไม่ได้ดีขนาดที่ทุกคนจะกล่าวชื่นชมและควรได้รับการยอมรับ และบางคนก็อาจรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลอกคนอื่นว่าตัวเองเก่ง กลัวคนอื่นจะมาเปิดโปงว่าที่แท้จริงแล้วเราไม่ได้เก่งจริง และที่แย่ไปกว่านั้นบางคนเก็บความรู้สึกเหล่านี้มาเป็นความเครียด และสะสมมากจนนำไปสู่โรคซึมเศร้า
ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?
- คุณมักรู้สึกเขินอายที่จะบอกดีกรีของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ และรู้สึกกลัวคนอื่นไม่เชื่อ
- คุณมักรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ และอยากที่จะเรียนทุกๆ อย่างเพื่อเพิ่มเติมความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ
- คุณมักกลัวที่จะถูกถาม และกลัวตอบไม่ได้ เพราะคุณมักคิดว่าคุณยังรู้ไม่พอ
- คุณรู้สึกประหม่าและเกิดอาการตัวสั่น เวลามีคนมาบอกว่าคุณเชี่ยวชาญในเรื่องนี้
แล้วถ้าเราเป็นแบบนี้ ควรจะแก้อย่างไร? จริงๆ แล้วเชื่อว่าหลายคนเองก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอยากเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว จะให้แก้แบบหายขาดมันก็ยาก เพราะกว่าเราจะมาถึงจุดนี้ มันก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เรามีความคิดและความรู้สึกแบบนี้ หรือถ้าให้ใครมาบอกว่า ก็ลองเลิกคิดมากสิ อย่าไปคาดหวังอะไรมากเกินไป ซึ่งมันก็อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างที่เค้าบอกนั่นแหละ แต่มันก็อาจจะไม่ได้เลิกเป็นกันง่ายๆ
ดังนั้น ลองค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองทีละนิด พยายามอย่ากดดันตัวเองมากเกินไป ลองมีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆ และค่อยๆ สร้างความมั่นใจในตัวเอง คิดเอาไว้เสมอว่าใครๆ ก็สามารถทำผิดพลาดได้ และเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นและเปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันให้กับตัวเอง ย้ำเตือนใจตัวเองไว้เสมอว่า “ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา และก็ไม่มีใครที่จะสามารถทำอะไรแล้วไร้ที่ติ 100% หรอก” เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นธรรมดาที่บางครั้งอาจจะผิดหวัง หรือบางครั้งงานที่ทำอาจจะหนัก มีอุปสรรคเข้ามาให้แก้ไข ถึงแม้ว่าเราอาจจะทำได้ไม่ดี แต่อย่างน้อย มันก็คือสิ่งที่จะทำให้เราเติบโตนะ :)
Source:
9 ความคิดเห็น
ตอนนี้คาดว่าตัวเองจะคล้ายๆ (?) แบบที่ 3 เพราะเป็นคนที่ไม่กล้าเริ่มทำอะไรสักอย่างค่ะ 555 น่าจะเป็นคนเขียนเก่ง (มั้ง แต่ตอนนี้ไม่น่าจะเก่งละ 555) แต่ไม่กล้าเขียนนิยายเพราะไม่กล้าเริ่ม ตอนนี้ก็มีปัญหาคืออยากเรียนต่อสายวิทย์-คณิตแต่เรียนทั้งวิทย์ทั้งคณิตไม่เก่ง แต่พอจะลองสู้ติวเพิ่มก็ไม่กล้าค่ะ 555 ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีวันพัฒนาได้ แต่ถึงจะรู้แบบนี้ก็แก้ความคิดนี้ไม่ได้เลยค่ะ
เราจะออกแนว perfectionist หน่อยๆ
เพราะเราจะเป็นพวกที่ชอบตั้งความหวังไว้สูง ว่าแบบงานนี้เราต้องทำได้สวยมาก การแข่งขันครั้งนี้จะต้องชนะ และถ้าครั้งไหนที่เรามั่นใจมากๆ พอไม่ได้ขึ้นมา เราจะสติแตก ซึ่งบางครั้งมันก็พลาดจากจุดที่หวังมาแค่นิดเดียวเอง แต่ถ้าอันไหนที่มั่นใจแบบสุดๆ แล้วไม่ได้ตามที่คิดไว้ เราจะสติแตก เราไม่ได้โวยวาย หรือไปวีนใส่ใครนะ แค่แบบร้องไห้แบบควบคุมตัวเองไม่ได้อ่ะ ตอนนั้นก็รู้นะว่าตัวเองร้อง บางทีก็ยังด่าตัวเองในใจเลยว่าเรื่องแค่นี้ร้องทำไมวะ แต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ คือหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย คือเราต้องออกมาจากที่ตรงนั้นอ่ะ แล้วอยู่ที่เงียบๆ บางครั้งพอเรามานั่งอยู่คนเดียวในที่เงียบๆ ตั้งสติแล้วก็หยุดได้นะ แต่บางครั้งก็ไม่ มีบางครั้งเหมือนกันที่นั่งอยู่คนเดียวแล้วก็ยังร้องไห้ต่อ โทษตัวเอง ด่าตัวเอง เอาหัวโขกตู้โขกผนัง(แค่เบาๆ แบบเรียกสติอ่ะ) ข่วนแขนจิกแขนตัวเองก็มี ซึ่งเราเกลียดตัวเองตอนนั้นมากอ่ะ แต่มันควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ T_T
ไม่ให้กดดันตัวเอง แต่คนอื่นคนรอบข้างก็ยังคาดหวัง ทำผิดสักครั้งคือจบ แบบนั้นมันจะไม่กดดันได้ไง
จากที่สังเกตตัวเองมาน่ะ เราเป็นคนที่ชอบตั้งความหวังไว้สูง ยิ่งอะไรที่ีคิดว่าทำได้ก็จะชอบคาดไว้สูงมาก พอทำไม่ได้ก็เอาแต่โทษตัวเองว่าไร้ค่า หงุดหงิดใสทุกคนที่สนิท แล้วไปแอบร้องไห้คนเดียว เป็นคนไม่ชอบพึ่งพาใคร ทำงานเองตลอด กลัวว่าไปขอร้องใครแล้วจะไปรบกวนเขา คิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะไปยุ่งกะใคร มักมีคนชมเสมอว่าเราเก่งอย่างนั้นนอย่างนี้ แต่เรารู้สึกว่ามันแค่เรื่องโกหก บางครั้งก็ไม่ชอบให้ใครมาแนะนำอะไร แล้วก็รู้สึกอับอายที่ทำอะไรล้มเหลว ทำงานก็ชอบทำทุ่มเทกว่าคนอื่น แล่วรู้สึกว่าเวลาที่เรานั่งเล่นคุยกันมันไร้ประโยชน์ พยายามไม่เครียด แก้ด้วยงานอดิเรกต่างๆ แต่สุดท้ายก็อดด่าตัวเองไม่ได้ว่าขี้เกียจเเล้วน่ะ เราเนี่ยมันเป็นโรคนี้รึปล่าวน่ะ
ทุกอันเลย ยกเว้น The Natural Genius ตอนนี้รักษาโรคซึมเศร้าอยู่ (เกลียดชื่อโรคมาก ให้ตายสิ) ทุกครั้งที่ไปหาหมอหมอก็บอกว่าเราทำดีแล้ว นั่นนี่ แต่ไม่ เราไม่สามารถรู้สึกพอใจกับงานหรือความรู้ที่มี อารมณ์ดีขึ้นนะ แต่ยังรู้สึกเกี่ยวกับการเรียน การทำงาน เหมือนเดิม อย่าง The Perfectionist นี่ชัดมาก
มันตรงหมดเลย หลายๆครั้งมันถูกคนอื่นคาดหวังไว้อยู่เสมอ จนกลายเป็นเมื่อไม่มีใครคาดหวังเราเราก็จะคาดหวังตัวเอง คนรอบข้างชมมาตั้งแต่เด็กๆ แต่มีเพียงพ่อกับแม่ที่ไม่เคยชมเลยไม่เคยสนใจว่าเราจะคิดอะไรทำอะไรได้ มันเลยเสียความมั่นใจมากๆ จนมันกลายเป็นความเฉยชาเมื่อได้รับคำชมไปแล้ว พยายามแก้นะ แต่สุดท้ายพอเจอพ่อแม่ เห็นชื่อนามสกุลของตัวเองมันก็กลับมาที่สิ้นหวังเหมือนเดิม ถ้ามันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องคงง่ายกว่านี้ แต่เพราะเขาคือพ่อแม่ ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังคงเป็นพ่อแม่เราเหมือนเดิม มันเปลี่ยนไม่ได้เลย มันเปลี่ยนที่เราคนเดียวไม่ได้เลย ถ้าเราเปลี่ยนไปคนเดียว เดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม มันต้องร่วมมือกัน แต่ มันเป็นไปไม่ได้
คนส่วนใหญจะรู้ตัวเองใหมมีตัวช่วยในการรักษายังไงขอคำตอบที