‘โม’ จากเด็กวิทย์ห้องคิง สู่การเรียนโทและทำงานเป็น Animator ในอังกฤษ!



 
         สวัสดีค่ะชาว Dek-D วันก่อนเรามีโอกาสพูดคุยกับพี่คนนึงที่ timeline ชีวิตน่าสนใจมาก เขาเป็นอดีตเด็กวิทย์ห้องคิงที่เบนเข็มมาเรียนสายแอนิเมชันตั้งแต่ขึ้น ป.ตรีที่ศิลปากร (เกียรตินิยมอันดับ 2) ยิงยาวจนถึง ป.โทในอังกฤษ (เกียรตินิยมอันดับ 1) แล้วจบมาก็ยังทำตามฝันตัวเองสำเร็จโดยการได้งานที่อังกฤษแบบฉิวเฉียดหลังจากยื่นมาแล้ว 60 ที่ในประเทศ เบื้องหลังคือความพยายามและใจรักสุดๆ จนลบล้างคำพูดบั่นทอนที่บางคนบอกว่า"จบมาสายนี้ไม่มีอนาคตหรอก"

         ชีวิตของเขาจะครบรสแค่ไหน ตามไปอ่านกันเลยค่ะ!


 

แนะนำตัว
 

         “สวัสดีค่า ชื่อ ‘โม’ ฉัตรธิดา อัจจิมากุล ตอนนี้อายุ 27 ปี จบ ป.ตรี สาขาการออกแบบ Animation จากคณะ ICT ม.ศิลปากร เคยฝึกงานเป็น  Animator ที่ Teapot studio จบมาทำงานในไทยเกือบปีก่อนจะมาเรียน Animation and Visual Effects ที่ Teesside University และทำงานเป็น 3D Generalist ที่บริษัท Annimersion UK Utd ในเมือง Middelesbrough ประเทศอังกฤษ มาประมาณ 2 ปีครึ่ง งานนี้จะคล้ายๆ กองกำลังพิเศษของบริษัทที่ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายอะไร ก็ต้องทำได้ทุกอย่าง”
 




 

จากเด็กวิทย์ห้องคิงสู่สายอาร์ต

เคยโดนสบประมาทว่าสายนี้ไม่มีอนาคต
 

         โมชอบวาดรูปมากกมาตั้งแต่จำความได้ + เป็นแฟนดิสนีย์ตัวยงเลย พอดูแล้วเราก็สงสัยว่าเขาทำยังไงให้ภาพออกมาแบบนี้   เพียงแต่ช่วงนั้นยังไม่มีสื่อที่จะช่วยไกด์ว่าเราต้องเรียนอะไร โมก็เลยเก็บความชอบไว้ด้วยการเป็นคนชอบวาดรูป"
 
         “ทีนี้ตอน ม.ปลายโมเรียนสายวิทย์ห้องคิง เพื่อนๆ 90% ในห้องเขาไปต่อแพทย์ วิศวะ เภสัช ฯลฯ แต่เราถามตัวเองว่ามันใช่เราจริงๆ มั้ย? (ขนาดตอนนั่งเรียนยังวาดรูปตลอดเลย 5555) พอ ม.5 ก็เลยมั่นใจว่าเราจะไปทางอาร์ตแน่ๆ เลยนั่งหาสาขาที่จะได้เรียนทำการ์ตูนหรือ 3D ในที่สุดก็สอบติดโควตาของศิลปากร และเป็นคนเดียวในเพชรบุรีที่มาเรียนสายนี้ ทำให้ได้เริ่มต้นชีวิตมหา'ลัยแบบไม่รู้จักใครเลยค่ะ"
 
         ช่วงที่โมตัดสินใจเรียนแอนิเมชัน มีผู้ใหญ่หลายคนไม่ยอมรับ เพราะมองว่าอาชีพนี้ไม่มีอนาคต บางคนด่าว่าเราเรียนวิทย์มาขนาดนี้แล้วจะมาสายนี้ทำไม? แต่โชคดีที่พ่อแม่สนับสนุนให้เลือกสิ่งที่จะเป็นความสุขระยะยาวของเรา และจะอยู่กับมันได้ตลอด แถมเขายังมองว่า 3D Animation สามารถเอาไปปรับใช้ได้กับสื่ออีกหลายรูปแบบด้วย” 


 
         ตอนเรียนมหา’ลัยเหมือนเราเข้าสู่ห้องแห่งการ evolution มนุษย์แอนิเมชันเลเวล 0 ให้ออกมาทำงานได้เลย มันเป็นพื้นฐานดีและแน่นมากจนช่วยให้เรียน ป.โท ที่ UK ได้ง่าย ถ้าใครอยากทำอะไรทางนี้ ทั้ง 3D Animation, Visual Effect, CG ครบวงจร จบมาทำเป็นหมด แล้วช่วงฝึกงานที่บริษัทแอนิเมชันที่ ‘Teapot Studio’ ก็ช่วยเบิกเนตรไปอีก เราได้เป็นหนึ่งในทีมทำซีรีส์ 'Shelldon’ และแจมใน ‘The Dancing Pumpkin’ ของอเมริกานิดนึง”
 
         “่ส่วนการฝึกงานทำให้เราเห็นภาพการทำงานชัดขึ้นว่าควรรู้ทักษะอะไรบ้าง ต้องระวังจุดไหน ทำยังไงให้งานดูดีและตอบโจทย์ Director ที่สำคัญคือถ้าเราอยากรู้เรื่องไหน พี่ๆ จะยินดีมาสอนเราแบบเต็มใจ ทำให้เป็น 4-5 เดือนนั้นได้อะไรเยอะมากแบบพร้อมทำ Final Porject ของมหา'ลัยเลย"

ผลงาน 2D
 

ผลงาน 2D

 

มหา’ลัยท็อปด้านแอนิเมชันในอังกฤษ

เมืองค่าครองชีพถูก & ค่าเทอมแสนเก๋
 

         “หลังจากเรียนจบโมก็ทำงานช่วงสั้นๆ และตัดสินใจเรียนต่อ ป.โทที่ต่างประเทศ เรารู้จักชื่อ Teesside University จากการไปนั่งไล่ดูรายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่ติดอันดับ Top5 ในงานประกวด Animation ระดับโลกของนักศึกษา ซึ่งโมสังเกตว่ามีชื่อสถาบันนี้ติดอยู่ทุกปี”
 
         “นอกจากนั้นยังมีเหตุผลเรื่องเงิน โมมีเสิร์ชชื่อมหา’ลัยมาแล้วเกือบทั่วโลก ซึ่งแต่ละที่ค่าเรียนสูงมากแบบปีละล้าน แต่ที่นี่เราจ่ายไปแค่ 12,000 ปอนด์หรือราวๆ 4-5 แสนบาท เห็นแล้วก็รู้สึก เฮ้ยยย มันเก๋ไก๋ทางด้านราคามาก หลักสูตรกับ lecturer ก็ตอบโจทย์เรามาก  แถมมหา'ลัยยังอยู่ Middlebrough โซนภูเขาๆ บ้านนอกๆ ซึ่งค่าครองชีพถูกมาก ร้านค้าเยอะ ธุรกิจรอบเมืองก็เหมือนทำมาเพื่อซัพพอร์ตนักศึกษา”


Teesside University


[Lake District]
รับกลิ่นอายแบบ "Game Of Thrones"

 
         “ในหลักสูตร Animation and Visual Effects ที่นี่ เราสามารถเลือกเรียนแบบ 1 ปี (แบ่งย่อยเป็น 4 เทอม และไม่มีปิดเทอม) หรือแบบ 2 ปี (ปิดเทอม + ฝึกงาน) ก็ได้ สำหรับโมเลือกแบบแรก แต่ละวิชาจะมีงานเล็กๆ ทุกวีค มีโปรเจกต์ให้ส่งทุกสัปดาห์ และมีงานไฟนอลชิ้นใหญ่ หลักสูตรของเขาจะไม่ใช่การเรียนพื้นฐานยิบย่อย แต่เน้น develop เลยเป็นเหตุผลที่เขามหา’ลัยค่อนข้างคัดโหดมาก เขาจะพิจารณาจาก Portfolio + สัมภาษณ์ + คะแนน IELTS ตอนปีโมกำหนด 6.5+ แต่แต่ปีนี้ปรับลดเหลือ 6 แล้ว พอผ่านสัมภาษณ์เขาก็เสนอลดค่าเรียนให้โม 20%
 
         วินาทีที่เหยียบลงอังกฤษ ก็ไม่ได้พูดไทยเลยใน  6 เดือนแรก สำเนียงในพื้นที่นั้นเราก็ไม่ชิน  แต่วิธีที่ช่วยให้ซึมซับเร็วคือไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนบ่อยๆ จนอยู่ตัวในเวลา  6 เดือน ช่วยให้เรามีเพื่อนต่างชาติเพียบ และพบว่าสำเนียงกับแกรมมาร์เป็นเรื่องรอง ขอแค่สื่อสารได้ก็พอค่ะ นอกจากนี้ 3 เดือนแรกยังมีบังคับให้เด็กอินเตอร์ลงเรียนคอร์สภาษาอังกฤษพื้นฐาน เพราะทุกคนต้องรู้ภาษาเชิงวิชาการ (Academic) แถมยังมี   English Café    ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับงานเขียนได้ เช่น เอางานเขียนไปขอคำแนะนำเพื่อปรับให้เป็น academic หรือ formal ขึ้น"



 

เรียนมาครอบคลุม

จนอาจารย์ให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม
 

         “ความรู้สึกตอนเข้ามาใหม่ๆ คือ   นี่มันอะไรเนี่ยยย A Whole New World ชัดๆ แล้วพีคตรงตอนมีงานกลุ่ม เราดันได้เป็นหัวหน้ากลุ่มท่ามกลางฝรั่ง ทั้งที่โมไม่ได้มั่นใจภาษาตัวเองขนาดนั้น พยายามไปคุยกับอาจารย์เพื่อบอกให้เปลี่ยนหัวหน้าเถอะ แต่เขาให้เหตุผลว่าเรารู้บอกว่า you รู้ทุกอย่าง ในขณะที่เพื่อนเป็น specialist ที่เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง
 
         “กลุ่มโมมี 10 คน มาจากหลายชาติ เช่น คนอังกฤษ 3 คน เอเชีย 2 คน นอกนั้นยุโรป แต่ละคนก็มีสกิลเด่นต่างกัน เช่น compositor, modelor, animation, effect ฯลฯ ส่วนโปรเจกต์ที่ว่านี้เป็นแอนิเมชันสั้นๆ ที่ต้องดึงความสามารถของทุกคนมาใช้ หลังจากที่ปรึกษาจนได้คอนเซ็ปต์แล้ว เราก็ต้องคุม Concept Art ให้ทุกคนทำตามในทิศทางเดียวกัน (เหมือนเป็น Project Manager) ปัญหาหลักๆ ที่เจอคือเพื่อนบางคนไม่เก่งภาษา แล้วสุดท้ายเราต้องมาทำส่วนของเขาแทนในนาทีสุดท้าย แต่ในทุกงานเราต้องเขียน report ปัญหาเพื่อให้อาจารย์ทราบอยู่แล้ว”








 

รีวิววิชาที่สนุกสุด & หินสุด
 

         “ยกตัวอย่างวิชาที่ชอบมากๆ โมเรียนเอกแอนิเมชันเลยได้เรียน ‘Acting for Animation’ เรียนกึ่งๆ จิตวิทยา + acting ทุกคนที่เป็น animator จะเหมือนนักแสดงคนนึงที่ต้องเข้าใจตัวละครนั้นก่อน เช่น เด็ก 6 ขวบที่ background ชีวิตแบบนี้ จะแสดงอาการโกรธออกมายังไงบ้าง มันทำให้เราเป็นคนช่างสังเกตขึ้น”
 
         “ส่วนวิชาหินสุดนี่ยกให้ 'Programming' เลย ปกติคนเรียนสายโมจะต้องมีความรู้ทางนี้นิดๆ อยู่แล้วเพื่อให้เราสามารถแก้ปัญหาที่ซอฟต์แวร์ไม่มีบอก โดยเราสามารถ customize ด้วยการเขียนโปรแกรมลงไปได้ อารมณ์เหมือนเขียนเว็บเลย (ที่นี่ทำให้โมเจอโปรแกรม Python เป็นครั้งแรก)”






Master Project!!

 

สุดยอดความประทับใจ

เมื่ออาจารย์ทำคลิป Tutorial ให้ในวันหยุด!
 

         “ประทับใจสุดคือ  supervisor ค่ะ ช่วงที่เราทำ  Master Project มันตรงกับช่วงวันหยุดยาวของอาจารย์ (แต่เราต้องทำงาน 5555) แล้วโปรเจกต์โมเจอปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ และไม่มีใครแก้ได้ด้วย ปรากฏว่าอาจารย์ทำคลิป tutorial วิธีแก้ปัญหามาให้ส่วนตัว ความยาวเป็นชั่วโมง ซึ่งเราเห็นว่าถ้านอกเวลางาน เขาจะทำแบบนี้ตลอดระยะเวลาที่เราเรียนที่นี่ มันดีมากกกก เฮ้ยแบบ มันเป็นการเรียนที่โคตรเหนื่อยและโคตรมีความสุขเลย เขาทุ่มเทมากจริงๆ”

         “แล้วตอนเรียนที่นั่น เราสามารถคิดโปรเจกต์แล้วเดินไปบอกอาจารย์ได้เลย เขาจะบอกเราว่า    ‘you ไม่ต้องกลัวจะทำไม่ได้ I จะสอนให้ you ทำได้เอง’  แปลว่าเราจะไม่มีลิมิตของการจินตนาการ และไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา”



 

พาร์ตหางานสุดระทึก สมัคร 60 ที่

ได้งานช่วง 2 วีคก่อนวีซ่าหมด!
 

         “นอกจากอยากไปเรียนเอาปริญญา เรายังตั้งใจวางแผนไปทำงานต่างประเทศด้วย ปัญหาคือปกติเขาให้วีซ่าพอดีกับระยะเวลาการเรียน เช่นถ้าเรียน 1 ปี ก็ให้วีซ่าอยู่ได้ 1 ปีหรือเกินนิดหน่อย ส่วนเราคือเกินมา 2 เดือน เลยต้องวางแผนดีๆ ว่าจะเริ่มส่งสมัครงานตอนไหน เพื่อให้บริษัทพิจารณาก่อนที่คนอังกฤษทั้งประเทศจะเรียนจบพร้อมกัน ซึ่งแปลว่าเราต้องทยอยทำโปรเจกต์ให้เสร็จเร็วกว่าคนอื่นด้วย”


 
         ช่วงหางานโมส่งไปเกือบ 60 ที่ในอังกฤษ ตอบรับ 3 ที่ และ 2 ใน 3 นั้นติดปัญหาวีซ่า เพราะที่อังกฤษมีกฎหมายว่าทางบริษัทต้องทำวีซ่าของเขาเองด้วย ต้องจ่ายเงินสูงเพื่อรับเราที่เป็นคนต่างชาติเข้ามาทำงาน นอกจากนี้ยังมีกำหนดอัตราส่วนคนต่างชาติด้วย เช่น คนอังกฤษ:คนต่างชาติ 20:1 ทำให้การหางานที่นั่นเป็นเรื่องยากมากกกก ช่วงวิกฤตคือตอนเหลือ 2 สัปดาห์วีซ่าหมดแต่ยังหางานไม่ได้ ตอนนั้นสิ่งที่ผลักดันให้พยายามสุดตัวคือ ‘เรามายืนอยู่ตรงนี้แล้ว เห็นสตูดิโอที่เป็นแรงบันดาลใจอยู่ใกล้ๆ นี่เอง’"

         "ความโชคดีคือถึงที่ไหนเรียกไปสัมภาษณ์แล้วติดปัญหาวีซ่า ก็จะช่วย feedback พอร์ตฯ ว่าควรปรับแก้ตรงไหนให้ดีขึ้น ทำให้เราได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงบริษัท ‘Animmersion’ เรียกเราไปสัมภาษณ์เป็นที่สุดท้าย บริษัทนี้มีขนาดกลางๆ ไม่เคยรับต่างชาติมาก่อน ไม่ใช้ software ที่เราถนัด งานคนละสไตล์ ทั้งเยอะและยากกว่า อย่างโมจะทำ 3D, โฆษณา, เกม แต่บริษัทนี้ทำ VR, hologram และสื่อมัลติมีเดียทุกชนิด ทำให้ตอนแรกมั่นใจมากว่าไม่ได้แน่ๆ”
 
         แต่พอสัมภาษณ์เสร็จ เขาก็ปรึกษากันแล้วตกลงรับเข้าทำงาน โมตกใจมากกก ถามเขาด้วยว่าแน่ใจเหรอ เพราะปกติเราใช้ Maya ไม่เคยใช้ 3Dmax เลย เขาตอบกลับมาว่า 'เราเห็นสิ่งที่คุณทำใน Maya แล้วเชื่อว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของคุณเลย'  จากนั้นเขาก็ใช้เวลา 1-2 เดือนแรกช่วยเทรนเรา แต่ก็ได้จับโปรเจกต์จริงของลูกค้า และตอนนี้ก็ทำมา 2 ปี 5 เดือนแล้ว (เพิ่มเติม: คนต่างชาติทำงานที่อังกฤษ เสียภาษี 40% ของเงินเดือน)



 

จับซอฟแวร์ที่ไม่คุ้นเคย

กับรูปแบบงานที่เพิ่งรู้จัก
 

         ทุกคนในแผนกแอนิเมชันจะเป็น Generalist ที่ต้องทำได้ทุกอย่างและเก่งทุกอย่างเหมือนเป็นกองกำลังพิเศษขนาดเล็ก ซึ่งความท้าทายที่โมเจอก็คือ
 
1. บริษัทเน้นทำ Hologram ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา เริ่มจากต้องเรียนรู้ว่ามันคืออะไร เรียนหลักการทำงานของเครื่องฉาย ข้อจำกัดของแต่ละรูปแบบ และวิธีการสร้างแอนิเมชันให้ออกมาดูดีแม้มีพื้นที่จำกัด
 
2. บริษัทเน้นทำแนว Realistic ในขณะที่เราทำสไตล์การ์ตูนมาก่อน
 
3. เราได้ทำงานสไตล์ engineering เยอะ หน้าที่คือต้องเรียนรู้ว่าภายในเครื่องจักรใหญ่ๆ มันทำงานยังไงบ้าง จากนั้นก็อธิบายความซับซ้อนนั้นออกมาเป็นแอนิเมชันที่คนดูเข้าใจง่าย ซึ่งเราไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อนสักนิด
 
4. นอกจากนี้การทำ Virtual Reality (VR) ทำให้เราต้องเรียนรู้ game engine ใหม่ทั้งหมด
 
5. ออฟฟิศนี้ทำทุกอย่าง ต้องควบคุม 3 โปรเจกต์ในเวลาเดียวกันให้ได้ ไม่มีช่วงไหนที่ว่างเลย แต่ถ้าจะค้างคืนเลยก็กรณีเจอปัญหา แต่ก็ได้ OT”
 
         การทำ Mechanical Engineering  ให้คนเข้าใจมันเหมือนเป็นโลกใหม่ของเราเลย มันแหกจากสิ่งที่เคยทำ ช่วยเปิด area ใหม่ในชีวิต หลายคนถามว่าเรารู้สึกยังไงกับงานแบบนี้ คำตอบคือเราชอบการสร้างสื่อแบบนี้ขึ้นมาโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นรูปแบบไหน มันอาจดูน่าเบื่อกว่านิดนึง แต่มันคือความสนุกว่า เราจะทำยังไงให้เรื่องที่น่าเบื่อมันดูสนุกขึ้นมาได้?
 



 

เมื่อเรื่องร้ายทำให้เจอเรื่องดี

จนรู้สึกภาษีที่เสียไปไม่สูญเปล่า
 

         ชวนคุยเรื่องงานแล้วก็มาถามเรื่องชีวิตความเป็นอยู่กันบ้าง   “โมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกคนโอ๋เอ๋เรามากกก คนที่นี่เฟรนด์ลี่และค่อนข้างรักคนไทยเลย บ้านเราเป็นประเทศในฝันที่คนอังกฤษหลายคนอยากมาเที่ยว เพราะเหมือนมีภาพในหัวว่าคนไทยใจดีมีน้ำใจ บางคนก็เล่าให้ฟังว่าครอบครัวเคยมาเที่ยวแล้วได้ความทรงจำดีๆ กลับไป”
 
          “แต่เมื่อไม่นานมานี้ โมเจอเหตุการณ์ที่เดินอยู่แล้วมีเด็กชายอายุ 12-13 ขี่รถผ่านแล้วถุยน้ำลายใส่ จากนั้นก็ขับวนมาอีกรอบแล้วเตะเรา ตอนนั้นไม่ตอบโต้เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นทะเลาะวิวาท เราปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายผิด" 

         "ตอนนั้นเราโพสต์สเตตัสเล่าว่ารู้สึกแย่กับเรื่องนี้มากๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือเพื่อนที่ออฟฟิศทั้งโทรทั้ง text หาโมเกือบทุกคน แล้วพอมาถึงออฟฟิศก็เห็นจดหมายเขียนประมาณว่า พวกเรารักเธอนะ กอดๆ อย่าสนใจคนพวกนั้น แล้วพวกเขาก็เดินมากอดเราด้วย แล้วพูดว่า ไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับคุณ ทุกคนน่ารักมากกก TT”


 
         “ยังไม่จบแค่นั้น จุดเปลี่ยนนึงที่ทำให้รู้สึกว่าการจ่ายภาษีคุ้มค่า คือเจ้าของบริษัทรับรู้เหตุการณ์ที่เจอ แล้วส่งเรื่องให้นายกเทศมนตรี (mayor) ของเมืองเพื่อให้เขาช่วยทำอะไรสักอย่าง ปรากฏว่าเมเยอร์ตอบอีเมลว่าเขาและเลขาฯ จะมาออฟฟิศเรา 10 โมงเช้า แล้วเรียกเราไปเล่าเรื่องทั้งหมดในห้องประชุม”

                  "พอได้โอกาสเราก็พูดแทนเด็กอินเตอร์ที่มาเรียนใน UK เกี่ยวกับปัญหาที่หลายคนเจอ นั่นก็คือพวกเราไม่กล้าเดินหลังพระอาทิตย์ตกดิน มันอันตรายเพราะบางจุดมีเด็ก bully หรือคนเมา แล้วอย่างโมเองเดินมา 2 ปี ก็มาเจอเหตุการณ์นี้จนได้"
 
         “ทางเมเยอร์ได้ยินก็ขอโทษ แล้วพูดว่า เราเป็นเหมือนเกสต์ของเมืองเขา เขาจะนำงบมาเพิ่มเจ้าหน้าที่ที่เดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยในโซนนี้ + ติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม 10 ตัวตามจุดบอด (จริงๆ เมืองมีกล้องเยอะแล้ว แต่ก็มีบางมุมเป็นมุมอับจริงๆ) ทุกอย่างนี้จะเกิดขึ้นภายใน 7 วัน แล้วปรากฏว่าเขาทำจริงๆ ตามกำหนดเป๊ะ ตอนดึกเราออกมาเดินเล่นก็เห็นตำรวจแล้ว กลายเป็นเรื่องที่ประทับใจมากที่สุดแห่งปีเลย ไม่คิดว่าเสียงเราที่เป็นต่างชาติจะ effect ต่อเมืองเขาขนาดนี้ แล้วเรื่องนี้ดังถึงขั้นมหา'ลัยส่งอีเมลหานักเรียนที่โดนโจรกรรมหรือบูลลี่ต่างๆ นานา ให้แจ้งมหา’ลัยได้เลย เขาจะส่งเรื่องไปสถานีตำรวจให้”
 

 


 

ทิ้งท้ายถึงน้องๆ วัยเรียน
 

         หลังจากเล่าประสบการณ์แบบครบรสมาแล้ว พี่โมก็ปิดท้ายฝากถึงน้องๆ วัยเรียนว่า “อยากให้น้องๆ เรียนสิ่งที่ชอบจริงๆ ฝึกภาษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาจฝึกด้วยการดูหนัง ดูการ์ตูน ฟังเพลง ดูทีวี หรือวิธีไหนก็ได้ที่เราชอบ และถ้าใครอยากเรียนสายเดียวกับโมก็ให้เก็บผลงานทั้งที่เราพอใจและไม่พอใจ เพราะผลงานสมัยนั้นอาจถูกเราหยิบมาทำใหม่ในเวอร์ชันที่เราเก่งขึ้นแล้วก็ได้ "


          ถือเป็นอีกคนที่ค้นพบความชอบของตัวเองเร็วมากๆ และเรียนตรงสายยิงยาวจนได้ทำงานที่ใช่ ท่ามกลางเพื่อนร่วมงานที่สุดยอดแบบนี้ พี่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านได้เจอสิ่งที่จะเป็นความสุขระยะยาวของเราเจอเช่นกันนะคะ ^^
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

5 ความคิดเห็น

Aki_Kaze Member 20 ม.ค. 63 15:30 น. 1

ดีใจมากที่ได้รู้จักโมตอนเรียนที่อังกฤษ ได้เจอคนไทยที่เรียนที่เดียวกัน อยู่เมืองเดียวกันแล้วแฮปปี้ อีกอย่างโมเป็นคนที่เก่งมากกกกกกกกก

ส่วนเรื่องมหาลัยและเมือง อยากจะมายืนยันความดีงามอีกเสียง มหาลัยช่วยเหลือเราดีมากแล้วค่าเทอมไม่แพง ค่ากินอยู่ไม่แพง ที่สำคัญพอได้เห็นวิธีที่เขาจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับโมงแล้วรู้สึกภูมิใจมากที่ได้ไปเรียนที่นั่น

2
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด