ไข 7 ความลับที่นักเขียนดังไม่เคยบอกคุณ :
สร้างแรงจูงใจตัวละครยังไงให้นิยายทรงพลัง
สวัสดีค่ะชาวนักเขียนเด็กดีทุกคน เคยอ่านนิยายบางเรื่องไหมคะ แม้ว่าพล็อตเรื่องจะธรรมดา ไม่ซับซ้อน แต่เมื่ออ่านแล้วกลับรู้สึกติดงอมแงมเกินกว่าจะถอนตัวได้ หลายครั้งที่เราหวีด ชื่นชมตัวละครในเรื่องนั้นจนแทบเก็บไปนอนฝัน สิ่งสำคัญที่ทำให้คนอ่านติดนิยายเหล่านี้จนวางไม่ลง ไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่อง แต่ตัวละครเองก็เป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นปัจจัยที่ทำให้คนอ่านติดนิยายงอมแงม ดังนั้นในฐานะนักเขียน เราเองก็ควรโฟกัสที่ตัวละครด้วยเช่นกัน
แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ตัวละครมีเสน่ห์ น่าสนใจและสมจริง? คำตอบก็คือ “เป้าหมาย” และ “แรงจูงใจ” ของตัวละครไงล่ะ! แรงจูงใจไม่เพียงแต่ทำให้ตัวละครมีชีวิตชีวา แต่ยังทำให้เนื้อเรื่องมีประสิทธิภาพและดำเนินได้ง่ายในแบบที่ต้องการ นี่คือความลับ 7 ประการในการเขียนตัวละครที่มีแรงจูงใจอันทรงพลัง
ตัวละครทุกตัวต้องการเป้าหมาย
ใช่ค่ะ ข้อแรกสำคัญมาก ตัวละครทุกตัวต้องมีเป้าหมาย แม้แต่ตัวละครรองที่พูดแค่ว่า “โอ้พระเจ้า เสียงนั้นมัน…?” ก่อนตาย
ทำไมล่ะ?
เมื่อตัวละครมีเป้าหมาย พวกเขาจะเกิดแรงผลักดันหรือแรงจูงใจในการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อช่วยให้ตัวเองได้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ แรงจูงใจทำให้ตัวละครของเราดูสมจริง มันง่ายมากๆ ที่จะใส่ใจเกี่ยวกับตัวละครที่ต้องการบางอย่าง แม้ว่าเรากำลังเขียนวายร้าย ผู้อ่านจะต้องเห็นเป้าหมายของพวกเขา
ทุกคนคิดว่าใครน่าสนใจกว่ากัน ระหว่าง...
- วายร้ายที่ไม่สนใจโลก (ไม่มีเป้าหมาย)
- วายร้ายผู้เกลียดชังโลกมาก เขาต้องการเผลาผลาญโลกใบนี้ให้เป็นจุณ (มีเป้าหมายชัดเจน)
ตัวละครรองของเราอาจไม่ต้องการเป้าหมายที่ลึกซึ้งและน่าสนใจ แต่ก็ขอให้มีเป้าหมายเอาไว้เพื่อความสมจริง ตัวอย่างเช่น ตัวละครของจอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน ส่วนใหญ่ต้องการ “มีชีวิตอยู่” และไม่ต้องการจบลงที่ “หายนะ” ผลก็คือ เวลาตัวละครต่อสู้ จะมีแรงผลักดันให้ทำยังไงก็ได้ให้รอดชีวิต
เพิ่มแรงกระตุ้นของตัวละครด้วยการตรวจสอบภูมิหลัง
มีหลายวิธีในการเพิ่มแรงกระตุ้นของตัวละครให้ดูสมจริง เราอาจจะลองลิสต์สิ่งที่เป็นแรงจูงใจของพวกเขา หรือดูความต้องการขั้นพื้นฐานของพวกเขาก็ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ มันเป็นวิธีที่จะช่วยปรับเรื่องราวของเราให้ดีขึ้น เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการมองย้อนกลับไปยัง “ภูมิหลัง” ของพวกเขา แล้วถามกับตัวเองว่า
- สิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้รับ?
- อะไรเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาจะสูญเสีย?
ในตอนที่ตอบคำถามนี้ เรากำลังมองหาจุดที่ไม่น่าพึงพอใจที่สุด บางสิ่งที่ทำให้ตัวละครมีการตื่นรู้หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเอง ลองนึกถึงจอห์น วิค ตัวละครจากภาพยนตร์จอห์น วิค ดูสิ คำตอบของเขาก็จะประมาณนี้
- ไม่เคยได้รับความสงบและความเงียบ
- จากนั้นพวกเขาก็ฆ่าสุนัขของเขา สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต
หาลิสต์แรงจูงใจที่เป็นไปได้สำหรับตัวละคร เราต้องการมันสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้...
ตามหาสิ่งที่ใช่ของแรงจูงใจของตัวละคร - ควรสอดคล้องกับธีมเรื่อง
เมื่อตัวละครของเราถูกกระตุ้นด้วยสิ่งที่ “ผิด” มันจะทำให้เรื่องราวของเราออกนอกลู่นอกทาง แทนที่เรื่องราวจะดำเนินไปตามพล็อตที่วางไว้อย่างเรียบร้อย กลับกลายเป็นว่าเต็มไปด้วยความซับซ้อน แถมยังทำให้เกิดความสับสนของธีมเรื่องและงงกับความคิดของตัวเอง
สิ่งที่ “ผิด” ไม่ได้หมายถึงวายร้ายของเรื่อง แต่หมายถึงแรงจูงใจของตัวละครที่ “ไม่มีจุดแข็ง” ในเรื่องราว นึกถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์สิ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับมิตรภาพ ความสงสัย และความมหัศจรรย์ของความรัก ลองจินตนาการดูว่า ถ้าแฮร์รี่ไม่ได้มีแรงจูงใจในการปกป้องเพื่อนของเขาและโลกมหัศจรรย์ใหม่ที่เขาค้นพบ แต่กลับมีแรงจูงใจด้วยความกระหาย เลือดบริสุทธิ์ และความเกลียดชังสไตล์แรมโบ้ที่พร้อมฆ่าโวลเดอมอร์ได้ทุกเมื่อ การแก้แค้นที่ทิ้งเพื่อนของตัวเองไว้ใต้รถบัส เพื่อคว้าโอกาสใช้เอกซ์เปลล์ลิอาร์มัส (คาถาปลดอาวุธ) กับโวลเดอมอร์ นั่นคงทำให้ธีมเรื่องเปลี่ยนไป
ความลับก็คือ ตัวละครหลัก ตัวละครรอง (ฝ่ายสนับสนุน) และตัวประกอบสามารถต้องการอะไรก็ได้ที่เราต้องการให้พวกเขาต้องการ แรงจูงใจของตัวละครควรสอดคล้องกับธีมเรื่องของนิยายเรา แม้ว่าเรากำลังเขียนเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ อีปิก มีเจ็ดเล่มจบเหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ยังไงเราก็ต้องพิจารณาว่าแรงจูงใจของตัวละครมันเป็นยังไง เติบโตแบบไหน ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ตัวละครหลัก แต่ยังรวมไปถึงตัวละครรองด้วย
หยุดบอกแรงจูงใจตรงๆ แต่ใช้วิธีการแทรกซึมแทน
เราไม่จำเป็นต้องให้ตัวละครของเราตะโกนบอกเป้าหมายของพวกเขาจากยอดเขาเหมือนตัวละครดิสนีย์ แต่เราสามารถบอกใบ้ให้นักอ่านได้รู้ อาจจะผ่านการกระทำ คำพูด ปฏิกิริยา หรือความคิดของตัวละคร
01 ปฏิกิริยาและความคิด
ในซีรี่ส์ The Expanse ของฝั่งอเมริกา โฮลเดนถูกกลุ่มดาวอังคารจับตัว ผู้ซักถามใช้ “ยาโฟกัส” ซึ่งทำให้ตาของเขาขยายออก จากนั้นจึงถามโฮลเดนด้วยคำถามที่น่ารำคาญอีกหลายข้อ และวิเคราะห์ปฏิกิริยาของโฮลเดนกับทุกๆ คำถาม
สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ เกี่ยวกับฉากนี้คือ เราในฐานะผู้ชมมีความสนใจในปฏิกิริยาของตัวละครทั้งสอง ทั้งปฏิกิริยาของโฮลเดนและปฏิกิริยาของผู้ซักถามที่มีต่อปฏิกิริยาของโฮลเดน มันเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจของชาวดาวอังคาร โดยไม่บอกเราตรงๆ ว่าพวกเขามีส่วนร่วมในความขัดแย้งของเรื่องอย่างไร
ปฏิกิริยาทั้งสองสามารถอธิบายแรงจูงใจ (และล่อเราให้ติดกับตัวละครนั้นๆ) หรือทำให้คนดูสับสน มันเป็นวิธีที่จะทำให้เรื่องราวของเราน่าสนใจยิ่งขึ้น ในส่วนเรื่องของการแสดงแรงจูงใจผ่านความคิด แนะนำให้อ่านนิยายที่ดำเนินเรื่องด้วยบุรุษที่ 1 จะช่วยให้เราเข้าใจการนำเสนอมากขึ้น
02 การกระทำและคำสัญญา
ในนิยายเรื่อง The Way of Kings โดย Brandon Sanderson ตัวละครหลักอย่าง “คาลาดิน” เป็นผู้มีคุณธรรม ผู้เสียสละและเป็นทาส เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นเพื่อนทาสของเขาตกอยู่ในอันตราย เขาจะไม่บอกนักอ่านว่า “ฉันต้องช่วยพวกเขา” แต่เขาจะใช้การกระทำแทน ด้วยการปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อหยุดคนที่มาทำร้ายเพื่อนทาสของเขา
นี่คือวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแสดงให้เห็นว่า คาลาดินไม่ได้แค่มีคุณธรรมเท่านั้น แต่เขายังมีคุณธรรมและพร้อมเสี่ยงชีวิตของเขาแม้ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จะเห็นได้ว่าคำสัญญาและการกระทำมีส่วนทำให้แรงบันดาลใจของตัวละครเราสมจริง
The Way of Kings
(via: overdrive)
แรงจูงใจเปลี่ยนตัวละครได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของนิยายคือ “แรงจูงใจเปลี่ยนตัวละคร” ให้ดีขึ้น (หรือแย่ลง) มีวิธีเป็นร้อยในการทำสิ่งนี้ แต่เราจะมาพูดคร่าวๆ 2 ประเด็นคือ
01 แรงจูงใจทำให้ตัวละครเติบโต
ย้อนกลับไปที่นิยายเรื่อง The Way of Kings คาลาดินลุกขึ้นสู้ในขณะที่เขามีพันธมิตรเพิ่มขึ้น เขาสาบานกับตัวเองว่าจะต้องปกป้องให้ได้มากกว่าเดิม ในที่สุดมันก็เติบโตขึ้นจนกลายเป็นสังคมที่เรียกว่า “Lighteyes” แรงจูงใจของเขาทำให้เขากล้าหาญมากกว่าเดิม
ตามหลักการแล้ว คาลาดินเกลียด Lighteyes เนื่องจากวิธีที่พวกเขาทำกับคาลาดินและบางคนก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด กระนั้นการเติบโตของแรงจูงใจทำให้เกิดการเติบโตของตัวละครคาลาดิน ในขณะเดียวกัน คาลาดินถูกบังคับให้ยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเป้าหมายเดียวกัน
02 แรงจูงใจทำให้เห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น
ใน In The Lies of Locke Lamora ล็อกเป็นตัวละครที่เป็นหัวขโมยทั่วไปที่มีพฤติกรรมดังนี้
- ชอบอาหารรสเลิศ
- ขโมยมาจากคนรวย
- ทำร้ายร่างกายเล็กๆ น้อยๆ เช่นเตะ ต่อย
แรกเริ่มหัวขโมยผู้นี้หลอกลวงใครบางคนโดยทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อย่างไรก็ต่างล็อกพบว่าล็อกพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางแผนการแก้แค้นที่อันตรายและหลอกลวง ถึงแม้ว่าเหตุผลของเขาอาจไม่สูงส่ง แต่ภายหลังแรงจูงใจของเขาเปลี่ยนไป ล็อกถูกบังคับให้ต้องทำสิ่งนี้เพื่อปกป้องโลกใต้พิภพของเมือง เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเขาเปลี่ยนจากการลักทรัพย์เป็นการช่วยเหลือคน ทำให้คนอ่านรู้สึกพึงพอใจ
แรงจูงใจลับๆ นำไปสู่ความตึงเครียดของเรื่อง
วิธีที่ชัดเจนในการสร้างความตึงเครียดของเรื่องด้วยตัวละคร สมมติว่า ตัวละคร A ต้องการบางอย่าง ตัวละคร B เข้ามาขวางทาง ในเคสนี้ตัวละคร B สามารถเป็นวายร้าย เป็นตัวประกอบ หรือแม้แต่เป็นตัวละครหลักที่เป็นพวกพ้องของตัวละคร A ก็ได้
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อตัวเอกของเราไปไกลเกินไป? ความตึงเครียดแบบไหนที่สร้างในเรื่องราวของเรา? แต่เราสามารถก้าวไปอีกขั้นหนึ่งได้นะ นี่คือหนึ่งในไอเดียดีๆ ที่พี่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับแรงจูงใจของตัวละคร “ตัวละครหลักของคุณต้องการมากกว่าหนึ่งเป้าหมาย”
ตัวอย่างเช่น โบโรเมียร์จากเดอะลอร์ดออฟเดอะริง เขาต้องการปกป้องมัชฌิมโลก (Middle Earth) แต่เขาก็อยากเห็นกอนดอร์กลับสู่ความรุ่งเรืองเหมือนเช่นในอดีต เมื่อพูดถึงโอกาสที่จะใช้แหวนวงนั้น โบโรเมียร์คิดว่าเขาสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้กอนดอร์กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ ทุกคนในคณะเดินทางรู้ว่าแหวนจะทรยศผู้สวมใส่ ถึงกระนั้นโบโรเมียร์ ก็ยอมแพ้ต่อแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นของเขา หลังจากช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอนี้ หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ต่อโฟรโด ชื่อเสียงของโบโรเมียร์ก็พังทลายลง ความขัดแย้งระหว่างแรงจูงใจทั้งสองของเขาทำให้เขาเกิดปัญหา และนั่นทำให้โบโรเมียร์เป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าสนใจที่สุดใน LOTR
เมื่อเราสามารถบังคับให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแรงจูงใจที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวละครของเรา เราจะทำให้ตัวละครเหมือนถูกบีบคั้น และมันเป็นการเผยแก่นทางอารมณ์ที่ลึกที่สุดของพวกเขา นั่นทำให้ตัวละครของเราน่าค้นหามากขึ้นกว่าเดิม
สร้างแรงจูงใจให้ตัวละครรู้สึก “คุ้มค่า”
ความลับข้อสุดท้าย ต้องถามก่อนว่า เคยเล่นวิดีโอเกมมั้ย? เช่นพวก Final Fantasy หรือ Dragon Raja ถ้าเคย...เชื่อว่าหลายคนน่าจะเผชิญกับสิ่งนี้เหมือนกัน...เสพติดความรู้สึกของการอยากรู้ว่าเนื้อเรื่องถัดไปของเกมจะเป็นอย่างไร ความคืบหน้าเป็นแบบไหน เช่นเดียวกับงานเขียนของเรานั่นแหละ ผู้อ่านจะติดและอยากดูความคืบหน้าของตัวละครของเรา
แต่เราไม่ต้องบังคับให้นักอ่านยอมรับไอเดียและความคิดเห็นของเราหรอกนะ เราแค่ต้องทำให้ตัวละครของเราเวิร์คสำหรับ “ความคืบหน้า” ที่อยากให้นักอ่านเสพติด และวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับสิ่งนี้คือ “Try/Fail cycles” นี่คือหลักสองอย่างที่เราทำได้
- ใช่ แต่...
- ไม่ และ...
ตัวอย่างเช่น
- ลุค สกายวอล์กเกอร์ทิ้งทาทูอินหรือเปล่า?
ใช่ แต่ครอบครัวของเขาถูกฆ่า และเขาติดกับอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองกาแล็กซี่
- ลุคเอาชนะดาร์ธ เวเดอร์ใช่ไหม?
ไม่ และเขาพบว่าเวเดอร์คือพ่อที่แท้จริงของเขา
Try/Fail cycles เปรียบกับหนังสือทั้งเล่ม มันคือชุดทดสอบที่เราสร้างขึ้นเพื่อดูว่าตัวละครจะพยายามแก้ไขความขัดแย้งในมืออย่างไร รวมทั้งพวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคใดกว่าจะไปถึงเป้าหมายของตน เรื่องราวที่ประสบความสำเร็จได้แรงผลักดันจากตัวละครหลักที่มีเป้าหมาย ลงมือดำเนินการ และบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
ดังนั้น Try/Fail cycles จึงสามารถช่วยให้ตัวละครได้ในสิ่งที่เขาต้องการ มันเป็นวิธีที่เพอร์เฟกต์ในการแสดงให้นักอ่านเห็นว่าเป้าหมายของตัวละครสำคัญแค่ไหน หลังจากที่เราดูตัวละครลองแล้วล้มเหลว และลองใหม่อีกครั้ง เราขอขอบคุณสำหรับความสำเร็จของพวกเขาที่เกิดขึ้น
…………….
เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องราวที่นำมาฝากในวันนี้ ด้วยความลับทั้งเจ็ดข้อที่พี่นำมาฝาก เราจะมีเวลามากขึ้นในการสร้างตัวละครที่รู้สึกมีชีวิตชีวา นักอ่านของเราจะเป็นกำลังใจให้เหล่าตัวละครของเรา พวกเขาจะรู้สึกถึงความล้มเหลวและจะไม่สามารถหยุดอ่านนิยายของเราลงได้ ลองหยิบนำไปใช้ แรงจูงใจอันทรงพลังที่นำมาสู่ตัวละครทรงพลังจะทำให้นักอ่านเสพติดเรื่องราวของเรามากกว่าสิ่งอื่นใด อย่าลืมนะว่า “แรงจูงใจของตัวละครที่มีประสิทธิภาพทำให้เรื่องราวดีขึ้น”
พี่น้ำผึ้ง : )
ขอบคุณรูปภาพจากภาพยนตร์
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.reddit.com
https://www.helpingwritersbecomeauthors.com/
https://tvtropes.org
https://pshoffman.com
3 ความคิดเห็น
บทความนี้ต้องใช้เวลาอ่านนาน สงสัยจะหัวไม่ค่อยไป ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนาน เพราะต้องคิดตามไปด้วยให้เห็นภาพ เป็นบทความที่ดีและมีประโยชน์ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนครับ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ