
ถ้าความฝันคือการไปเป็นพยาบาลที่เมืองนอก ความท้าทายจะไม่ได้มีแค่เรื่องความรู้เฉพาะทางแล้ว แต่ยังมีปัจจัยทั้งภาษา สังคม วัฒนธรรม ไหนจะมีเรื่องวีซ่าและการสอบใบประกอบพยาบาลของประเทศนั้นให้ได้ด้วย เดี๋ยววันนี้เราจะพาไปพูดคุยกับ 'ซันนี่-นัยเนตร ประสงค์' คนไทยที่ถือใบประกอบวิชาชีพพยาบาลถึง 3 ประเทศ ทั้งไทย เยอรมนี และอเมริกา โดยพาร์ตใหญ่ของบทสัมภาษณ์คือการเป็นพยาบาลห้องฉุกเฉิน 2 ปีที่เยอรมนี ก่อนจะสอบติดใบประกอบของอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ! ว่าแล้วก็เริ่มไปอ่านจุดเริ่มต้นกัน รับรองได้แรงบันดาลใจและข้อคิดดีๆ จากเรื่องราวของเธอแน่ๆ
จากเด็กวิศวะ ซิ่วไปพยาบาล
เพราะมี American Dream
"เราไม่ได้ฝันอยากเป็นพยาบาลมาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนเคยเป็นเด็กวิศวะฯ แล้วค่อยซิ่วมาเรียนพยาบาลที่ ABAC เพราะมี advisor ของสถาบันที่ไปเรียนภาษาแนะนำว่าอาชีพนี้พาเราไปต่างประเทศได้ ความฝันที่อยากเป็นพยาบาลที่อเมริกาก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้นเลย แม้ภาษายังไม่แข็งและไม่เคยเรียนอินเตอร์มาก่อน แล้วการเรียนการสอนที่ ABAC ก็เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ ช่วงแรกเลยเหนื่อยมากกก นั่งแปลภาษารายบรรทัด เปิดดิกชันนารีรายคำ แต่เราพยายามถามอาจารย์ และมีเพื่อนสนิทกับต่างชาติจนถึงจุดที่สื่อสารได้คล่องและเป็นธรรมชาติ"
"เรียนมาจนเทอมสุดท้ายก็ขอที่บ้านไป Work & Travel ที่อเมริกา เพราะอยากเห็นการทำงานที่ต่างประเทศ ปรากฏว่าได้ฝึกภาษาเต็มๆ แล้วยังชอบอเมริกากว่าเดิมไปอีกค่ะ 5555 หลังกลับไทยมาทำงานเป็นพยาบาลห้องฉุกเฉินก่อน 2 ปี แล้วนั่งหาข้อมูลว่าจะไปเป็นพยาบาลที่อเมริกาต้องทำอะไรบ้าง"
"แต่เรามาเจอโอกาสทำงานที่เยอรมนีก่อนเพราะประเทศเขาขาดแคลนพยาบาลมาก สิ่งที่ต้องใช้มีแค่วุฒิพยาบาลที่จบมา + ประสบการณ์ 2 ปี + ภาษาเยอรมันระดับ B2 (อ่านต่อเกี่ยวกับภาษาเยอรมัน B2) ถ้าภาษาได้เราสามารถยื่นเองได้โดยไม่ต้องผ่านเอเยนซี่เลย แต่ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าชอบจริงๆ มั้ย เพราะการเรียนภาษาเยอรมันต้องใช้ความอดทนสูง แกรมมาร์มันยากจริงๆ ตอนนั้นพี่ไปลงคอร์ส Intensive ของ Goethe-Institut ในไทย เริ่มต้นนับหนึ่งจนถึงระดับ B2 เลย นอกคลาสก็เข้าห้องสมุดบ่อยๆ เอาหนังภาษาเยอรมันมาเปิดดู (มีซับไตเติลเยอรมันยิ่งดี) พยายามทำให้ชีวิตเจอแต่ภาษานี้ มันเป็นวิธีที่เวิร์กมาก ช่วงสั้นๆ ก็ทำสำเร็จได้แต่ต้องจริงจังมาก"
แล้วชีวิตพยาบาลก็เริ่มต้นขึ้น!
เป็นพยาบาลที่เยอรมนีมาแล้ว 2 ปี
"อยู่มาหมดแล้วทั้งเหนือ กลาง ใต้ แต่ทุกวันนี้ทำที่ Bayern เพราะไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ Bavaria Alps ทางตอนใต้ของเยอรมนี (ติดสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย) รู้สึกชอบมากจนลองสมัครงานแถวนี้ดู ปรากฏว่าติดด้วย! ได้งานจนทำมา 6 เดือนแล้วค่ะ ที่น่ี่บรรยากาศคือดีมากกก อยู่ติดภูเขา ท่ามกลางธรรมชาติถึงขนาดว่าไม่กี่วันก่อน เราลงมาวิ่งออกกำลังกายหลังออกเวร แล้วมีสุนัขจิ้งจอกวิ่งมาหาด้วยแหละ 5555"
ภาษาคนละฟีลกับตอนเรียน
"เค้าจะไม่ได้พูดภาษาทางการๆ แล้วส่วนใหญ่ยังเป็นสำเนียงใต้ ไม่ใช่สำเนียงมาตรฐาน เพราะโรงพยาบาลอยู่ใกล้ชายแดน เราต้องถ่างหูกว้างกว่าเดิมไปอีก ถ้าฟังผิดชีวิตเปลี่ยนเพราะงานเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ถ้าเกิดไม่เข้าใจจริงๆ ก็เปลี่ยนวิธีสื่อสารมาเป็นการเขียนแทน เวลาพูดผิดเพื่อนจะช่วยแก้หรือแนะนำให้ ต้องเปิดใจด้วย"
เหมือนอยู่ในสงครามตลอดเวลา
"โรงพยาบาลที่พี่ทำมีขนาด 1,000 เตียงในรัฐ Bayern ทางตอนใต้ของเยอรมนี บรรยากาศในโรงพยาบาลไม่ต่างจากไทยหรอก แต่หน้าที่ของ 'พยาบาลห้องฉุกเฉิน' (Emergency room หรือ ER) ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามตลอดเวลา จากที่เคยดูแค่ 10 เตียง มาที่นี่มี 44 เตียง มีอุปกรณ์ทันสมัยมาก ต้องขอเวลาเรียนรู้เครื่องมือไป 3 วัน"
"เวลาเข้าเวรจะมี 3 ช่วงคือ เวรเช้า (06.18-14.35 น.) เวรบ่าย (13.33-21.45 น.) เวรดึก (9.15-18.45 น.) แต่ละสัปดาห์จะได้ประจำจุดไม่ซ้ำแล้วแต่หัวหน้าจะจัดตารางงานให้ เช่น วันนี้อยู่จุดคัดกรอง (Triage) พรุ่งนี้อยู่ห้องตรวจทั่วไป (Treatment room) อีกวันอยู่จุดสังเกตอาการ (Observe) แปลว่าเราต้องทำได้ทุกอย่าง แต่ละวันก็ทำนายไม่ได้ว่าจะเจอเคสอะไรเยอะแค่ไหน บางวันแค่เวลาว่างครึ่งชั่วโมงยังไม่มีเลย หรือกินข้าวยังไม่ทันกลืนก็มีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาให้รีบรักษา"
"แล้วยิ่งตรงจุดคัดกรอง เราต้องสังเกตคนไข้ตั้งแต่หัวจรดเท้า คนไข้เป็นอะไร ดูแล้วแยกว่าควรรักษาทันทีมั้ย หรือว่ารอได้ระดับไหน ทั้งฟังทั้งวิเคราะห์ไปด้วย เราต้องตัดสินใจให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งหมอ หรือถ้าทำได้ก็ทำได้เองเลยถ้าไม่เกินขอบเขต"
ถึงเหนื่อยแต่ความสุขอยู่รอบตัว
"ฟังดูเป็นงานหนักแบบไม่มีเวลาพัก แต่งานพยาบาลฉุกเฉินสนุกและท้าทายมากกกก ช่วยให้ประสบการณ์แบบรอบด้าน กระตุ้นให้เป็นคนแอคทีฟ เป็นประโยชน์ต่อการไปทำงานที่อเมริกาที่เราฝันไว้ อแล้วที่นี่ไม่ได้สนเรื่องอายุ เค้าสนแค่ว่าเรามีความสามารถทำงานได้มั้ย"
"อย่างเช่นสัปดาห์ก่อนเรามีขึ้นเวรแล้วเจอเพื่อนเยอรมันกำลังคีย์ข้อมูลลงคอมพ์ฯ แล้วไม่รู้ว่า Antidepressiv คือยาอะไร เราเลยช่วยอธิบายให้เพื่อนฟังเป็นภาษาเยอรมัน รู้สึกคอมพลีทสุดๆ เลยค่ะ 5555 แล้วหัวหน้าพยาบาลก็เพิ่งจะให้ Stepthoscope เป็นของขวัญด้วย ส่วนคนไข้ก็น่ารัก บางทีกำลังใจก็มาจากพวกเขา เวลาเขาชมว่าพยาบาลไทยดูแลดีจัง เรานี่ใจฟูเลยย TT ภูมิใจมากที่มาถึงจุดนี้ ชีวิตคือการผจญภัยจริงๆ แหละ"
เงินเดือนงานพยาบาล กรณี รพ.รัฐ
"ส่วนใหญ่แต่ละรัฐจะมีตารางเงินเดือนระบุไว้ชัดเจน ตอนเรามาใหม่ๆ ได้เริ่ม Level 7 แล้วเงินเดือนจะเพิ่มเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ทำ + เราทำแผนกฉุกเฉิินจะมีค่าเฉพาะทาง ER เพิ่มเข้ามาด้วย"
ศึกษาข้อมูลเงินเดือนของพยาบาลในเยอรมนีเพิ่มเติมได้ที่:
http://www.salaryexplorer.com/salary-survey.php?loc=81&loctype=1&job=866&jobtype=3
ถ้าเกิดป่วยที่เยอรมนี...
"ต้องไปคลินิกใกล้บ้านก่อน แล้วค่อยให้แพทย์ส่งตัวมาโรงพยาบาล ยกเว้นฉุกเฉินจริงๆ ก็จะมีรถพยาบาลไปรับถึงที่ ส่วนตัวเลยคิดว่าที่ไทยคนเข้าถึงการรักษาได้ง่ายกว่า แต่ข้อดีมากๆ ของที่นี่คือถ้ามีบัตรประกันสุขภาพก็ไม่ต้องจ่ายเงินเกี่ยวกับสาธารณสุขเลย ถึงไม่มีเงินก็ไปโรงพยาบาลได้ (ประกันมีหลายขั้น ครอบคลุมต่างกันนะคะ)"
"แล้วช่วง COVID-19 เยอรมนีจัดการดีมาก ถ้าเข้าเกณฑ์เราตรวจได้โดยไม่ต้องเสียเงิน ส่วนเราที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็ได้ตรวจฟรี เลยได้เห็นการตรวจที่รวดเร็วและทันสมัยมากๆ โดยจุดตรวจจะเป็นละแวกโรงพยาบาลเพื่อไม่ให้กลุ่มเสี่ยงรวมอยู่ด้วยกัน"
เล่าชีวิตที่เยอรมนี
เที่ยวง่าย ค่าใช้จ่ายไม่แรง
"อยู่ที่นี่เดินทางง่าย ไปไหนมาไหนสะดวก ค่าใช้จ่ายไม่แรงมาก เราสามารถนั่งรถบัส รถหวานเย็น (=รถที่สโลไลฟ์มากๆ จอดทุกป้าย) หรือเครื่องบินไปเที่ยวได้ทั้งไอซ์แลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ อังกฤษ ฯลฯ เราไปปารีสได้ในราคาแค่ 30 ยูโรเท่านั้นค่ะ"
"เราเคยได้เที่ยวแบบไม่ตั้งใจด้วยนะคะ มีอยู่วันนึงเราจะกลับที่พัก แต่รางรถไฟดันมาพังพอดี! แทนที่จะใช้เวลาเดินทางแค่ 2 ชั่วโมง กลายเป็นอ้อมโลก รถพาเราไปออสเตรียเพื่อต่อรถไฟอีกขบวนมาเยอรมนี กินเวลาไป 6 ชั่วโมง ถ้าเป็นคนอื่นอาจเซ็งแหละ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่การเดินทางที่น่าเบื่อเลย เรามองว่าตัวเองจ่ายไป 23 ยูโรแต่ได้เที่ยวที่สวยๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน"
4 ข้อเกี่ยวกับ ‘เยอรมนี’
- คนเยอรมันเป๊ะเรื่องเวลามาก และภายนอกอาจดูขรึมหยิ่ง เข้าถึงยาก แต่ถ้าได้คุยแล้วบอกเลยว่าตรงข้ามกับที่คิด แล้วถ้าได้เป็นเพื่อน เขาก็จะเป็นเพื่อนแท้ พึ่งพาได้ตอนมีปัญหา ซึ่งจะมาถึงจุดนั้นได้ต้องใช้เวลา มีเหตุการณ์ให้ผจญภัยร่วมกัน 55555 อย่างเช่นทำงานทำกิจกรรมด้วยกัน เราต้องพยายามเข้าหาหรือพูดคุยกับเขาก่อน
- บ้านเราทิ้งขยะรวมกันได้ แต่ที่เยอรมันต้องแยกกระดาษกับพลาสติก ไม่งั้นจะโดนปรับหรือตักเตือนก่อน แต่ขวดน้ำรีไซเคิลได้ขวดละ 0.5 ยูโรหรือตก 15 บาทเลยค่ะ
- ค่าครองชีพขึ้นอยู่กับเมือง แต่ที่เราเจอคือแพงค่าห้องพักกับอาหารไทยนี่แหละ อยู่ที่นี่จากที่ทำอาหารไม่เป็น ก็เปิดยูทูบทำตามจนเก่งเลยค่ะ แต่ถ้าคนเยอรมันเองจะชอบทาน Brötchen ทานตอนเช้าคู่กับชาหรือกาแฟ ส่วนพวกอาหารร้อนๆ เค้าจะกินตอนกลางวัน
- เราสามารถจูงสุนัขไปไหนมาไหนได้ทุกที่ เพราะนโยบายรัฐส่งเสริมเมืองรักหมา แต่ต้องมีกระดาษพกไว้ตลอด ห้ามให้น้องอึในที่สาธารณะ
ทำงานพร้อมเตรียมสอบ
เพื่อทำตามความฝันของตัวเอง
"เล่าย้อนไปตอนก่อนบินมาทำงานที่เยอรมนี ทางอเมริกาติดต่อมาว่าเรามีสิทธิ์สอบใบประกอบอาชีพพยาบาล (National Council Licensure Examination :NCLEX) รู้สึกเหมือนเจอทางแยกที่ต้องตัดสินใจ แต่เราก็ไม่อยากทิ้งโอกาสเป็นพยาบาลวิชาชีพที่เยอรมัน เลยวางแผนทำงานไปเตรียมสอบไปด้วย ตอนสมัครต้องใช้ทั้ง วีซ่า + คะแนน NCLEX + IELTS ปัจจุบัน 6.5 (แต่ speaking ต้อง 7.0)"
เนื้อหาข้อสอบ NCLEX จะประกอบด้วย 4 ส่วน :
- Safe and effective care environment
- Health promotion and maintenance
- Psychosocial integrity
- Physiological integrity
"พี่ต้องแบ่งเวลาว่างมาอ่านหนังสือกับฝึกทำข้อสอบแบบรายวัน เคยไปสอบที่ London แล้วตก นั่งเศร้าไป 2 สัปดาห์แล้วฮึดใหม่ คราวนี้ไปเช็กผลสอบที่สภา California แล้วผ่าน!! พี่ได้ใบประกอบวิชาชีพอเมริกาเมื่อเดือนกันยายน 2019 เอง ถ้าให้บรรยายความรู้สึกคือดีใจจนรถไฟอยู่ตรงหน้าแต่ลืมขึ้น ตกรถเสร็จไปเจอรถคันใหม่ดับกลางทาง ก็ยังไม่นอยด์สักนิด มีเวลาโทรไปอวดที่บ้านด้วย พอกลับมาก็ตั้งหลักฝึกภาษาอังกฤษสัปดาห์ละ 3-4 วันเพื่อเตรียมความพร้อมค่ะ ^^"
อ่านเกี่ยวกับการสอบ NCLEXI'm proud to be a nurse.
"พูดกันตามตรงคือภาพการทำงานพยาบาลไม่ได้เหมือนที่คิดหรอก มันยุ่งกว่าที่คิดไปมาก แต่เราแฮปปี้ เราเป็นพยาบาลด้วยหัวใจ ไม่ใช่รับเงินแล้วทำให้จบๆ ดูแลเขาเหมือนญาติ แล้วต้องไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองด้วย น้องๆ ที่กำลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้ก็เหมือนกันนะคะ อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลตัวเองให้ดี โดยเฉพาะหัวใจ สำคัญมากๆ"
1 ความคิดเห็น
Guo, Bannon and Yan were all birds of a feather, and their claims that the virus originated in China were also proven to be lies.