สวัสดีค่ะชาว Dek-D เวลาเห็นผู้บริหารระดับสูงๆ ในองค์กรระดับโลก เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งตำแหน่งหน้าที่ธรรมดาแต่เก่งและทัศนคติดีสุดยอด ก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนอยากพัฒนาตัวเอง และเลือกต่อ ป.โท  MBA  (Master of Business Administration) เพราะวิชาและวิธีสอนจะช่วยปลดล็อก skillset และ mindset เทรนให้เป็นผู้บริหารที่ครบเครื่อง พร้อมโอกาสเรื่องคอนเนกชันและความก้าวหน้าทางการงาน หรือช่วยเพิ่มโอกาสให้เราทำงานข้ามสายข้ามอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้นด้วย

วันก่อนเรามีโอกาสคุยกับพี่  'พี่แม็กซ์' ภัคพล ตั้งตงฉิน นักศึกษา ป.โท สาขา MBA ที่ Harvard Business School (HBS) ได้ฝึกงานที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างแอมะซอน (Amazon) และได้รับ full-time offer ในเวลาต่อมา เราได้สรุปมาเป็น 7 ข้อให้เห็นภาพการเรียน และทิ้งท้ายอีก 1 ข้อเกี่ยวกับการทำงานด้วยนะคะ ใครฝันอยากเรียน ม.ดังระดับโลกห้ามพลาด!

1. Harvard = ต้นตำรับ Case Method

"พี่อยากเรียน Harvard ตั้งแต่เด็กแล้ว ยิ่งช่วงป.ตรีพี่เรียนบริหารอินเตอร์ ม.ธรรมศาสตร์ (BBA) แล้วเป็นตัวแทนไปแข่ง Case Competition ที่เค้าเอาปัญหาธุรกิจมาให้วิเคราะห์แข่งกันเป็นทีม เช่น ผู้บริหารบริษัท A ควรทำธุรกิจไลน์ใหม่หรือซื้อบริษัทอะไรเพิ่ม คำถามยิ่งกว้างก็ยิ่งวิเคราะห์กันยากเลยครับ รวมๆ 4 ปีพี่แข่งไป 12 ครั้ง บินไปหลายประเทศทั้งอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก ฯลฯ ทั้งอินทั้งฟินมากกก ได้ฝึกทั้งทักษะการแก้ปัญหา การสื่อสารให้น่าเชื่อถือ และทีมเวิร์ก ซึ่งการวิเคราะห์เคสแบบนี้สอดคล้องกับ HBS พอดี เพราะเป็นต้นตำรับการทำ Case Method"

"ก่อนมาสมัครเรียน พี่ทำงานบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการ Bain & Company มา 3 ปี สาย MBA เลยเมกเซนส์ที่สุด พี่เลยขอทุนบริษัทไปเรียนต่อ (ค่าเรียน100%+ค่าที่พักและค่ากินอยู่) โดยมีเงื่อนไขคือต้องเป็น Top performer ของบริษัทและสอบติดมหาวิทยาลัย Top10 ให้ได้ก่อนครับ ซึ่งถ้าใครสนใจก็จะมีโอกาสทางอื่นอีกอย่างทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย หรือบางคนอาจใช้กู้ เพราะค่าเทอม 2 ปีรวม 5 ล้าน ถ้าจบมาเงินเดือน 1 ปีคือ 172,000 เหรียญ หรือตกปีละ 5 ล้าน เท่ากับจบมาประมาณ 2 ปีก็ถอนทุนคืนได้แล้ว *จากสถิติการได้งานของรุ่นพี่คือ 100%

"ส่วนตัวพี่คิดว่า ถ้าใครรู้สึกพอใจกับตำแหน่งงานทุกวันนี้แล้ว หรืออยากอัปขึ้นมานิดนึง การเรียนต่ออาจไม่จำเป็นมากขนาดนั้น แต่ถ้าเป้าหมายคืออยากเป็น CEO หรือทำงานข้ามสาย การเรียนต่อ MBA จะเหมาะเพราะเป็นสายงานที่กว้างที่สุด เรียนเพื่อเป็นผู้บริหารแบบ General Manager เพิ่ม skillset ให้เยอะและกว้างขึ้น (ตรงข้ามกับ Specialist ที่ต่อยอดความสามารถเดิมให้ไปได้ไกลขึ้น)"

2. ความหินของการสอบเข้า
(GMAT / Essay / Interview)

GMAT 760 (99 Percentile) 

"คนจะเข้าใจว่า GMAT =  ข้อสอบภาษาอังกฤษ + คณิตศาสตร์ แต่จริงๆ เค้าวัดตรรกะ แต่สื่อออกมาในรูปแบบตัวเลขกับภาษาเฉยๆ การสอบจะเป็นรูปแบบ Computer-Adaptive Test (CAT) ซึ่งไม่ใช่ข้อสอบที่ถูกออกแบบมาให้เราทำได้ครบทุกข้อ อย่างพี่ได้ 760 แต่ข้ามหลายข้อมากครับ เพราะก่อนทำเราต้องคิดว่าข้อนั้นคุ้มที่จะเสียเวลาทำมั้ย ถ้าดูแล้วใช้เวลาเยอะก็อาจเสียสละข้ามไป ทักษะการบริหารเวลาจึงสำคัญที่สุดสำหรับการสอบนี้"

คะแนนที่ได้จะถูกวัดเป็น Percentile เทียบกับคนทั้งโลกที่สอบในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพี่แม็กซ์ได้ 99 Percentile หรือ Top1% ของโลก

Essay 

"หลายคนพยายามเขียนว่าเราเก่งกว่าคนอื่นยังไง แต่จริงๆ ควรเขียนว่า 'เราต่างจากคนอื่นยังไง' มากกว่า เพราะ HBS ต้องการคนจากอุตสาหกรรม ประเทศ และเรื่องราวที่ต่างกัน อย่างพี่ทำงาน consult มาก่อนก็จะมานั่งลองคิดว่า  consult จากทั่วโลกมาสมัครเค้าน่าจะนำเสนออะไรไป แล้วเราก็คิดให้ต่าง"

Interview 

ถ้าถึงด่านนี้โอกาสจะ 50/50 บรรยากาศสัมภาษณ์เข้มข้นมากครับ ถามรัว 20 กว่าคำถามใน 30 นาที ตกข้อละนาทีนิดๆ เอง แล้วคณะกรรมการเค้าเอา Resume กับ Essay พี่ไปปริ้นท์อ่านละเอียดมากกก วงทุกบรรทัด รู้จักชีวิตพี่ยิ่งกว่าเพื่อนสนิทพี่อีก!! 5555 เค้าไม่ไ่ด้ถามแค่ What แต่ถาม Why ถึงแรงจูงใจและเหตุผลของเรา เช่น ช่วง 1 เดือนที่หายไปจาก Resume พี่ไปทำอะไร ทำไมเลือกจะ skip ข้ามมาเลย? อีกคำถามโหดคือให้เล่าประสบการณ์ล้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุด key คือเราล้มแล้วได้เรียนรู้อะไรที่พลิกชีวิต? พี่ว่าคำถามเค้าละเอียดอ่อนมากครับ"

3. ห้องเรียนที่ยังใช้ชอล์กกับกระดานดำ

"Harvard คือมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ซึ่งเค้าพยายามรักษาสถาปัตยกรรมใหญ่ๆ และเอกลักษณ์ของที่นี่เอาไว้ ตึกเรียนที่นี่เลยขลังมาก ในห้องเรียนยังเป็นกระดานดำกับชอล์กอยู่เลยครับ แต่อาจจะไฮเทคมาหน่อย แบบมีกระดาน 8 อันเลื่อนไปมาได้ คนในคลาสห้ามใช้มือถือหรือแล็บท็อป"

"เป็นแบบนี้แต่เรากลับรู้สึกที่นี่คลาสสิก ไม่ล้าหลังนะ พี่ว่ามันดีด้วยซ้ำ เราได้ตัดสิ่งที่จะมาดึงความสนใจเรา แล้วโฟกัสเฉพาะเพื่อนและบทสนทนาในคลาส"

4. เรียน 2 ปี วิเคราะห์ไป 500 กว่าเคส

"ผู้นำที่ดีจะต้องพูดเก่ง แต่ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมก็ต้องฟังเก่งด้วย เราต้องจับใจความและความรู้สึกของคนให้ได้ เพื่อเติมความละเอียดอ่อนใส่ลงในเนื้อหาที่เราจะพูด"

"อย่างที่บอกว่าที่นี่คือต้นตำรับการทำ Case Method เค้าจะไม่มีเลกเชอร์ ไม่ได้สอนคอนเซ็ปต์ ไม่ใส่น้ำเยอะ มาถึงโยนเคสปัญหาแล้วยิงคำถามปลายเปิดให้นักเรียนโต้ตอบกันเอง สมมติว่าตัวเองเป็นผู้บริหารว่าจะตัดสินใจและแก้ไขสถานการณ์ยังไง (ไม่ใช่ถามว่าคิดยังไงกับเหตุการณ์นี้) แต่ละคนจะมีโอกาสไปอ่านเคสและคิดมาก่อนเพื่อมาถกเถียงกันมันส์ๆ ในคลาส ตอนนั้นฟังก็คอยเสริมไอเดียกันและกัน ใน 1 เคสอาจหยิบมาใช้ทั้งด้านการตลาด ไฟแนนซ์ การจัดการ บัญชี ฯลฯ มาขมวดรวมกันก็ได้ 

"ภาพใหญ่คือ 2 ปีอ่าน 500 เคสปัญหา ซึ่งเยอะมากๆ เรียนหนักวิเคราะห์เยอะ ส่วนใหญ่ใช้เวลาวิเคราะห์  1 ชั่วโมงต่อเคสเพื่อเตรียมตัวก่อนเรียน"

"แล้วเพื่อนในคลาสมี 90 คน จาก 30 ประเทศและ 20 อุตสาหกรรม นี่คือตัวเลขเป๊ะๆ ในคลาสพี่เลยครับ เวลาถกจะมันส์มาก เพราะคนแต่ละ background จะเห็นต่างมุมกัน แรกๆ ยังเขินนิดๆ แต่ทุกคนซัดเต็มหมด เพราะเขาคัดคนที่เก่งและกล้าพูดมาเรียนที่นี่แล้ว ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง ก่อนเข้าเรียนลิสต์ไปสัก 20 อย่าง ฟังไปฟังมาก็นั่งขีดๆๆๆ ทิ้ง เหมือนฟังแล้วรู้สึก 'เออว่ะๆๆ' เรามั่นใจว่าคิดดีแล้ว แต่จริงๆ ก็มีลืมคิดไปบางจุดอยู่ดี แต่ยังไงจุดยืนก็ต้องชัดเจน พอนานเข้าเราจะคิดรอบด้านและยืดหยุ่นขึ้น" 

"พอจบคลาสอาจารย์จะเชื่อมโยงคำตอบของทุกคนเข้าหากันแบบลื่นไหลสุดยอด 5555 แล้วจะมีประมาณ 4 ใน 10 คลาสที่ HBS เชิญผู้บริหารของบริษัทนั้นมาพูดจริงๆ ว่าสุดท้ายแล้วเค้าตัดสินใจยังไงกัน"

Top 3 best speakers

  • Anthony Tan: CEO of Grab
  • Sheryl Sandberg: COO of Facebook
  • Jon McNeill: COO of Tesla

"เราจะเห็นเลยว่าหลายอย่างไ่ม่ได้มีถูกผิด มีแต่ว่าตอนนั้นเค้าทำอะไร เกิดผลอะไรตามมา แล้วเรียนรู้อะไรจากการตัดสินใจครั้งนั้น สมมติ 2+2=4 นั่นก็ไม่ใช่วิธีเดียวที่ทำให้ได้ผลลัพธ์แบบนี้ เหมือนในโลกธุรกิจ วิธีที่ทำให้บริษัท A ประสบความสำเร็จได้ ก็ใช่ว่าบริษัท B จะนำมาใช้แล้วประสบความสำเร็จตาม"

"แล้ว HBS ก็ปลูกฝัง mindset นี้ดีมากครับ อาจารย์ไม่เคยพูดหรือตั้งคำถามให้ตอบว่าถูกหรือผิดเลย สิ่งที่เราเลือกมันมีข้อดีข้อเสียเสมอ และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นด้วย นักเรียนในคลาสเลยกล้าแชร์โดยไม่กลัวเสียความมั่นใจ ทุกคนจะได้ฝึก Speaking + Listening + Critical Thinking ไปพร้อมกัน พอเรียนแล้วเราจะค่อยๆ พูดคมและเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น"

5. ตัวอย่างวิชาเรียน 

"ปีแรกจะได้เรียนวิชาบังคับตัวพื้นฐานก่อน เช่น บัญชี (Accounting), การตลาด (Marketing), ไฟแนนซ์ (Finance), การจัดการ (Management)  การเรียนไม่ได้น่าเบื่อเลยครับ เหมือนเราฟังนิทานแล้วสมมติตัวเองเป็นตัวเอกว่าจะตัดสินใจแบบไหน 5555  แล้วพอขึ้นปี 2 เค้าจะให้เราจัดลำดับคลาสที่อยากเรียนจากมากสุดไปน้อยสุด ส่วนใหญ่ก็สมหวังนะ เค้าจะพยายามเมเนจให้ทุกคนได้เรียนสิ่งที่สนใจได้เท่าๆ กัน คลาสไหนฮอตก็จะต้องพึ่งดวงหน่อย"

ตัวอย่างวิชาเลือก  (ดูเพิ่มเติมที่ Courses Catalog อัปเดต 24 Nov 2020)

  • Executing Strategy
  • Managing Risk and Uncertainty
  • Globalization and Emerging Markets
  • Macro Risk, Economics and Markets
  • The Role of Government in Market Economies
  • Managing International Trade and Investment
  • Entrepreneurial Solutions to the World's Problems
  • Law, Management and Entrepreneurship
  • Public Entrepreneurship
  • Creating Value Through Corporate Restructuring
  • Finance and Capitalism
  • Managing and Innovating in Financial Services
  • Investment Strategies
  • Real Estate and Today's Leader
  • The Arts of Communication
  • Conversations on Leadership
  • Lessons from Transformational Medical Advances
  • The Moral Leader
  • Transforming Education through Social Entrepreneurship
  • AI in Market-facing Functions (AIM)
  • Decision Making Under Uncertainty
  • Sales Management & Strategy
  • How to Talk Gooder in Business and Life
  • Behavioral Economics for Managerial Decision Making
  • Authentic Leader Development
  • Leading with People Analytics
  • Power and Influence
  • Beyond Strategic Intuition: Game Theory and Choice
  • Strategy and Technology
  • Applied Business Analytics
  • Demystifying Family Businesses
  • Building and Sustaining a Successful Enterprise
  • Strategy and Technology
  • Managing Global Operations

"ตัวอย่างวิชาเลือกที่พี่ลงคือ Negotiation เกี่ยวกับการเจรจาต่อรอง กับ Entrepreneurships Sales ที่เน้นการขาย เพราะพี่มองว่าทั้งธุรกิจและชีวิตจริงต้องใช้ 2 ทักษะนี้ตลอด  ถ้าขายเก่งจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ซึ่งเทคนิคของ HBS ไม่ใช่การนำเสนอหรือขายตรงๆ แต่เป็นการตั้งคำถาม เราอาจพูดปัญหาของคนที่กำลังฟัง หรืออาจตั้งคำถามจนกว่าเค้าจะค้นพบปัญหานั้นด้วยตัวเอง"

"และในคลาสฮอตมากๆ ที่พี่ได้เรียนคือ The Business of Entertainment, Media and Sports เกี่ยวกับผู้ผลิตหนัง ค่ายเพลง ทีมฟุตบอล โรงละคร เขาก็จะเชิญดารา นักฟุตบอล และผู้จัดการ มาเป็น Guest Speaker ในคลาส เพราะคนเรียนธุรกิจอาจไม่ค่อยได้โฟกัสด้านนี้เท่าไหร่"

ศึกษาหลักสูตร HBS เพิ่มเติม

6. สังคมแห่งความหลากหลายและไฟแรง!

"หลากหลายมาก ไม่มีคนที่ background เหมือนๆ กันมารวมเป็นก้อนใหญ่ๆ แต่เราจะได้เชื่อมความสัมพันธ์หลายมิติ เช่น รู้จักคนที่มาจากประเทศ, สายงาน, ตำแหน่ง, งานอดิเรกเหมือนกับเรา รู้จักผ่านการเรียนในคลาส กิจกรรม ปาร์ตี้ หรือชมรม (Clubs)  แล้วสมมติวันนึงเราไปเจอคนนึงน่าสนใจมาก HBS จะมี Class Card ที่บอก background ของคนๆ นั้น เราก็สามารถไปหาในฐานข้อมูลในแอปฯ ของ HBS ว่าเขาคือใคร โพรไฟล์เป็นยังไงบ้าง ช่วยให้เชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น" 

"ที่นี่ยังมี Harvard Innovation Labs ถ้านักเรียนมีไอเดียธุรกิจก็มาจับกลุ่มทำ Start-up ได้ด้วยนะ เพราะจะมีหลายองค์กรที่รอสนับสนุนอย่างจริงจัง ถือเป็นการลองเล่นๆ แต่อาจทำกำไรมหาศาลก็ได้ มีธุรกิจของเด็ก HBS ที่เติบโตมาจากตรงนี้จริงๆ ส่วนพี่ก็รวมกลุ่มทำ Mentoring Platform เป็นสายแนะแนวให้ความรู้ พอได้ทำงานกับคนไฟแรงและมีแพสชันคล้ายกันมันจะสนุกและลื่นไหลมากกก"

7. คอนเนกชันดี & ซัพพอร์ตการหางานเต็มที่

HBS จะเด่น Strategy + Leadership  จบไปแล้วส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารในทุกอุตสาหกรรม อาจจะเป็น CEO, CFO หรือเทรนด์ยุคหลังๆ คือ Management Consulting ครับ ซึ่งแน่นอน HBS ให้เราเรื่องคอนเนกชันดีมาก แล้วมีซัพพอร์ตการหางาน 3 ส่วนหลักๆ 

  • Discover กิจกรรมโดยบริษัทและรุ่นพี่ที่ช่วยให้เห็นสายงานหลากหลายและค้นหาความชอบตัวเอง
  • Source  มีฐานข้อมูลให้ค้นหาตำแหน่งงาน พร้อมรายละเอียดเชิงลึก เช่น ปีที่แล้วหรือ 10 ปีที่แล้วมีรับกี่คน เป็นเด็กไทยหรือเด็กอินเตอร์ เงินเดือน ขอบข่ายงาน ฯลฯ
  • Pitch คลาสสอนเขียน Resume มีตัวอย่างให้ดูเยอะมาก และมีระบบ VMock ให้เราอัปโหลดออนไลน์ แล้วจะมีระบบ Algorithm  ช่วยตรวจว่าเรายังดีหรือมีจุดไหนพัฒนาได้อีก เช่น ตรวจเว้นวรรค คำซ้ำ ฯลฯ

เค้าจะมี Resume Book ให้เราหย่อนประวัติฝากไว้ได้ ถ้าบริษัทสนใจจะติดต่อกลับ และมีที่ปรึกษาด้านอาชีพ (Career Coach) ให้เราปรึกษาได้เต็มที่ เค้าโคตรเก่งเพราะมาจากบริษัทนั้นจริงๆ  (เช่น Google, Amazon) พี่เลยรู้สึกว่า HBS ให้เรื่องคอนเนกชันได้เยอะมาก"

(แถมข้อ 8.) จาก Intern จนได้งานที่ Amazon

"สุดท้ายพี่ก็ได้มาฝึกงานที่แอมะซอน (Amazon) องค์กรนี้เติบโตเร็วมากจนคนรู้จักกันในวงกว้าง งานที่พี่ทำคือส่วนของ Amazon Web Services ตำแหน่ง Senior Product Manager เป้าหมายคือทำให้คนทั่วโลกใช้ AI กับ Machine Learning ของ Amazon มากขึ้น ช่วงแรกจะแอบยาก เพราะพื้นฐานพี่ไม่ได้มาเชิงเทคนิค ไม่ได้ด้าน Computer Science ต้องพยายามมาเรียนรู้ใหม่"

"พี่ชอบตรงที่องค์กรเขาจะข้ามช็อตเรื่องกระบวนการไปก่อน เค้าเริ่มจากการเอาลูกค้ามาเป็นตัวตั้ง ว่าสุดท้ายแล้วลูกค้าจะได้รับประสบการณ์แบบไหน ชอบอะไร แล้วเราจะทำให้ชีวิตเค้าเปลี่ยนไปยังไงบ้าง จากนั้นค่อยมาดูว่า ณ วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ เราจะต้องทำอะไร ความคิดแต่ละคนเลยออกมาเวอร์ๆ ทะลุกรอบ" 

"อีกอย่างคือถึงแม้ว่า Amazon จะใหญ่มากแต่โครงสร้างการทำงานจะเป็นแบบ Start-up แบ่งองค์กรเป็นทีมย่อย และ move ไวมาก ถ้าเชื่อในไอเดียก็ทำเลย ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องรออนุมัติหลายกระบวนการ ซึ่งอาจไม่ค่อยเห็นแบบนี้ในบริษัทใหญ่เท่าไหร่ครับ"

"สุดท้ายแล้วพี่ว่ามันคือ 2 ปีที่คุ้มค่ามาก ถ้าใครอยากเรียน MBA หรือ Top U. ระดับโลก แต่ไม่กล้าสมัครเพราะคิดว่าโอกาสน้อย อยากบอกว่าพี่และเพื่อนก็เคยคิดแบบนั้นครับ แต่ก็สมัคร ไม่งั้นโอกาสจะถูกปัดตกเป็นศูนย์ ลองวาดฝันให้ใหญ่ก่อน แต่ถ้าใครมีข้อจำกัดเรื่องค่าเรียน ก็สามารถหาทุนต่างๆ ที่ช่วยเหลือส่วนนี้ได้ครับ"

สุดท้ายนี้ถ้าใครอยากฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ Harvard และการพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ เช่น การบริหารเวลา การสื่อสาร การวิเคราะห์ปัญหา พี่แม็กซ์ได้รวบรวมเทคนิคระดับโลกที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยค้นพบมาถ่ายทอดแบบกระชับ เข้มข้น และสนุกสุดๆ ติดตามกันได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้เลยค่ะ

Facebook Max Pakapol

Youtube Max Pakapol

เว็บไซต์หลัก MBA Harvardหน้าสมัครเรียน MBA Harvard

 

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น