สวัสดีค่ะชาว Dek-D ใครกำลังลังเลระหว่างคณะแพทย์กับวิศวะฯ แต่อยากสัมผัสความเจ๋งของทั้งสองสายไปพร้อมๆ กัน วันนี้จะพาไปรู้จัก “สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์” (Biomedical Engineering) ผ่านประสบการณ์เรียนสุดชาเลนจ์ของ “พี่เทม” เจ้าของ Studygram: @tanyram__ และนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักร (UK) เรียนต่อ ป.ตรี Swansea University ประเทศเวลส์ และ ป.โท University of Surrey ประเทศอังกฤษ (ใช้เวลาเรียน 3+1 ปี)

ภายใต้ระยะเวลาเรียนที่สั้นกระชับ คือหลักสูตรที่เข้มข้นและผสมผสานหลากหลายศาสตร์ ตั้งแต่กายวิภาคศาสตร์ ชีววิทยา คณิตศาสตร์ สถิติ แคลคูลัส ไฟฟ้า วัสดุศาสตร์ เขียนแบบ การออกแบบ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอื่นๆ โดยมีจุดหมายเพื่อคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีมาซัพพอร์ตวงการแพทย์ อีกความน่าสนใจคือพี่เทมได้ไปเรียน UK ซึ่งเป็นสังคมที่ส่งเสริมด้านการวิจัยและเทคโนโลยีการแพทย์อย่างเต็มที่ // ตามไปอ่านประกอบการตัดสินใจกันเลย!

เล่าจุดเริ่มต้นเส้นทางสายวิศวะการแพทย์

บ้านเราทำธุรกิจเกี่ยวกับวิศวกรรม คุณพ่อเป็นวิศวะฯ ส่วนเราเองรู้ตัวว่าถนัดเลขที่สุดและสนใจการแพทย์อยู่บ้าง แต่ไม่ถนัดชีวะก็เลยไม่แน่ใจว่าเหมาะกับคณะไหน สิ่งที่จุดประกายให้เราอย่างแรกคือการบริจาคเลือด เรามองว่าเป็นปัญหาใหญ่และยังแก้ไขไม่ได้ คำถามที่เกิดขึ้นในความคิดเราตอนนั้นคือ "จริงๆ แล้วเราสามารถเพาะเลือดเองได้มั้ย?" 

จังหวะเดียวกับที่แม่เราแนะนำคณะวิศวะการแพทย์ให้รู้จัก พอนั่งหาข้อมูลแล้วเรารู้สึกว่าคณะนี้ใหม่มาก เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคณะนี้เลย (คือไม่รู้ว่ามีในโลกด้วย 5555) แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีการแพทย์ในต่างประเทศทั้งน่าสนใจและกำลังบูมจนกลายเป็นแพสชันของเราขึ้นมา พอลงหลักปักฐานแล้วพ่อแม่ก็ซัพพอร์ตเต็มที่แม้ว่าขณะนั้นจะแทบไม่มีไกด์ไลน์ใดๆ เราใช้การเก็บข้อมูลจากเว็บต่างประเทศแล้วสมัครเรียนเลยค่ะ

เราเลือกเรียนต่อ UK เพราะหลักสูตรที่นั่นเราสามารถจบ ป.ตรี ได้ในระยะเวลา 3 ปี หรือถ้าจะต่อโท ก็จบใน 4 ปีได้  อีกทั้งเรามองว่าฝั่งยุโรปกับอเมริกาเขาให้ความสำคัญกับด้านการวิจัยมากกก มีงบสนับสนุนเยอะ เครื่องมือทันสมัย แล้วเราจะได้ไปเรียนท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีประเทศเขาด้วย

ลุยสมัครเรียน!

**เคสของเราคือเรียนจบโรงเรียนอินเตอร์ในไทย มีวุฒิ A Level และใช้เกรด A Level ยื่นสมัครได้เลย แต่ถ้าใครจบหลักสูตรไทยอาจจะต้องลงเรียนปรับพื้นฐาน (Foundation) ให้ตรงสายที่จะเรียนต่อ พอสอบผ่านถึงจะสมัครเรียนต่อได้ 

แต่ช่วงที่กำลังตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัย เราก็ไปลงเรียน Foundation Year Programme for Engineering ของ Newcastle University ในคอร์สจะมีวิชาคณิตกับอังกฤษที่เน้นด้านวิศวกรรมและการเขียนเชิงวิชาการ (Academic Writing) เช่น การเขียนเปเปอร์, การใช้ Tense, การนำเสนองาน ฯลฯ เพราะเมืองนอกจะมีพรีเซนต์งานเยอะ

ขั้นตอนสมัครเรียน ป.ตรี คือเข้าไปเช็กคุณสมบัติผู้สมัคร แนะนำว่าควรผ่านเกณฑ์ ไม่งั้นมีโอกาสไม่ติดสูงมาก จากนั้นยื่นเอกสารที่เขากำหนด โดยระบบ UCAS มีค่าดำเนินการสมัครเรียนด้วย (อัปเดตปี 2022 ระดับ ป.ตรี คือ £22 กรณียื่น 1 อันดับ  และ £26.50 กรณียื่น 2-5 อันดับ

  • เกรด ม.ปลาย *ถ้าเกิดเรายื่นสมัครตอน ม.6 เทอม 1 เขาจะดูแนวโน้มว่าเราน่าจะเกรดถึงตามที่เขากำหนดมั้ย และจะคอนเฟิร์มรับเข้าเรียนตอนเกรดถึง
  • ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ของเราคือปริญญาตรีกำหนดขั้นต่ำ IELTS 6.0 (หรือเทียบเท่า) ขึ้นอยู่กับคณะนะคะ บางคณะอาจขอสูงกว่าหรือยื่นคะแนนอื่นนอกจาก IELTS ได้
  • Statement of Purpose (SoP) หรือ Personal Statement เป็นจดหมายแนะนำตัว 1 หน้า *นำเสนอว่าเราอยากเรียนอะไร เพราะอะไร จะนำไปใช้อะไรต่อ กิจกรรมที่เคยทำช่วยพัฒนาอะไรบ้าง ฯลฯ เขาอยากเห็นทัศนคติของเรา แต่ถ้าเป็น ป.โท ควรเขียนจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับ Thesis หรือฝึกงาน
  • Reference Letters หาอาจารย์มาช่วยรับรอง

ในที่สุดเราก็ได้มาเรียนต่อ ป.ตรี Biomedical Engineering ที่ Swansea University ประเทศเวลส์ (Wales) แต่ไม่ได้ขอทุน ถ้าใครสนใจส่วนมาก ม.ในอังกฤษจะมี  International Scholarship สำหรับเด็กต่างชาติอยู่แล้ว สามารถเช็กได้ตามเว็บมหาวิทยาลัย

. . . . . . . 

ชีวิตใน Swansea ม.ดังติดทะเล
พายเรือไปสอบก็ยังได้~

เล่าบรรยากาศสักเล็กน้อย

Swansea เป็นเมืองเล็กๆ ในประเทศเวลส์ (Wales) ให้ฟีลชนบท ทั้งอบอุ่น อยู่ติดทะเล และมีสวนสาธารณะเยอะ แต่ไม่ค่อยตอบโจทย์สายชอปปิง ถ้าจะเดินทางไป London นานหน่อยเพราะต้องนั่งรถไฟหรือรถทัวร์ข้ามประเทศ 5-6 ชั่วโมงได้ แต่ค่าครองชีพจะถูกกว่าเยอะมากถ้าเทียบกับในเมือง เราสามารถซื้อข้าวผัดกะเพราที่ Swansea ได้ในราคา £4-5  หรือประมาณ 120 บาท ในขณะที่ข้าวกะเพราที่ Surrey อาจปาไปจานละ £10

*£1 = 43.80 บาท (อ้างอิงเรตเงินเมื่อ เม.ย.65)
 

Swansea University จะมี 2 แคมปัสที่ Singleton Park Campus กับ Bay Campus ซึ่ง Bay Campus อยู่ติดทะเลแบบว่าพายเรือไปสอบได้ ซึ่งพื้นที่ 90% ของแคมปัสเป็นของวิศวะฯ โดยมีตึกเรียนของ Finance/Management ตึกนึง สำหรับสาขาชูโรงของที่นี่คือวิศวกรรมการบินและอวกาศ (Aerospace Engineering) กับวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering) นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังเด่น Medicine ด้วย

การปรับตัวช่วงแรก

ภาษา ช่วงแรกๆ มีปัญหาเรื่องสำเนียง อย่างตอนปรับพื้นฐานที่ Newcastle เราเจอคนพูดอังกฤษสำเนียงสกอตแลนด์ ฟังยากมากๆ แล้วพอย้ายมา ป.ตรีที่ Swansea ก็เจอสำเนียงเวลส์ที่มีความเหน่อ สูงๆ ต่ำๆ ต้องจูนไปครึ่งปีเลย 

ที่พัก เราอยู่หอใน มีแบ่ง 6-8 ห้องเดี่ยวคล้ายคอนโด และใช้ครัวส่วนกลางร่วมกันเลยมีเจอ Culture Shock นิดหน่อยเช่นกลิ่นเครื่องเทศอาหารบางชาติที่กลิ่นแรงเตะจมูก หรือวัฒนธรรมการล้างจานของคนอังกฤษที่ไม่นิยมล้างฟองออก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ เพราะพวกเขานิสัยดีมากๆ มีไปเที่ยวด้วยกัน หรือตอนเราวุ่นกับการทำแล็บจนเช้า เพื่อนร่วมหอยังมีเตรียมกับข้าวเผื่อให้เราเลย  (การไม่อยู่แต่กับคนไทย ทำให้เราได้ออกจาก Comfort Zone ได้ใช้ภาษามากขึ้น และเรียนรู้การปรับตัวเข้ากับคนหลายรูปแบบ)

FB: @swanseauniversity
FB: @swanseauniversity
FB: @swanseauniversity
FB: @swanseauniversity

เรียนอะไรบ้างใน 3 ปี?

หลักสูตร Biomedical Engineering, BEng (Hons) ใช้เวลาเรียน 3 ปี วิชาหลากหลายจนบางทีปรับอารมณ์ไม่ทันเลย เช่น

  • กายวิภาคศาสตร์ หรือ Anatomy (วิชานี้ผ่านแบบคาบเส้น ได้ 51)
  • ชีวะพื้นฐาน เช่น Physiology / Neuromusculoskeletal System
  • วัสดุศาสตร์
  • การคำนวณของเหลว (พวกกลศาสตร์ต่างๆ)
  • ไฟฟ้า
  • แคลคูลัส สถิติ พื้นฐานคณิตอื่นๆ
  • การวาด เช่น Autocad / Solidwork
  • เขียนโค้ด
  • การจัดการ

*วิชาส่วนใหญ่มีโพรเจกต์เกือบหมด (ทำรายงาน+พรีเซนต์) 

ปีแรกได้เรียนพื้นฐาน มีบางวิชาเรียนรวมกับเด็กคณะอื่นที่ปูพื้นฐานเรื่องเดียวกันด้วย ก็จะเป็นห้องเลกเชอร์ใหญ่ๆ พอปี 2 ได้ประยุกต์ใช้ความรู้ตอนปีแรกมาประยุกต์เข้ากับวงการแพทย์มากขึ้น เช่น กลศาสตร์ของไหล (Fluid mechanics) ประยุกต์กับเรื่องเส้นเลือด ช่วงนี้คนในคลาสจะน้อยลงและมีรูปแบบ Seminar เพิ่มเข้ามา หรือบางครั้งอาจได้ไปเก็บข้อมูลในโรงพยาบาลเพื่อทำโพรเจกต์ด้วย ซึ่งข้อดีคือมหาวิทยาลัยในอังกฤษทุกแห่งจะมี รพ.เป็นของตัวเอง

เนื้อหาเรียนคือว้าวๆ ทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นตอนปี 3 ได้เรียน “Medical Diagnostic Techniques” ครึ่งแรกจะได้เรียนทฤษฎีวิจัย และทุกสัปดาห์เขาจะกำหนด Case Study ขึ้นมาให้เรานั่งล้อมวงกันดิสคัสว่าเครื่องมือไหนนะที่น่าจะช่วยวินิจฉัยโรคนี้ได้ดีที่สุด คำตอบไม่มีถูกผิดแต่ต้องมีเหตุผลสนับสนุน ส่วนตอนสอบจะเป็นข้อเขียนกรุบๆ หรืออีกวิชาที่เรียนตอนปี 3 เหมือนกันคือ “Medical Ethics” (จริยธรรมทางการแพทย์) เขาจะมีกรณีศึกษาคนไข้ด้วย และจะได้นั่งดิสคัสเหมือนกัน

แต่วิชาที่เปิดโลกสุดๆ สำหรับเราคือ “Research Project” แต่ละสัปดาห์อาจารย์จะกำหนดโจทย์มาให้เรา อย่างเช่นเราเลือกทำเกี่ยวกับ “รถเข็นสำหรับเด็ก”​ ตอนแรกคิดว่าจะใช้แค่คำนวณกับ Drawing แต่จริงๆ เราต้องนั่งคิดตั้งแต่วัสดุที่ใช้ ปริมาณ แหล่งซื้อ ฯลฯ จำได้ว่าเราต้องโทรไปถามบริษัทอะลูมิเนียมแห่งหนึ่งเพื่อทำรายงานสรุปราคา แล้วนำไปเทียบกับในท้องตลาดต่อ จากนั้นก็ตรวจสอบอีกว่ารถเข็นนี้ผ่านมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ข้อไหนบ้าง

ความท้าทายคือถ้าตกวิชานึง = นับหนึ่งใหม่

ขอบอกก่อนว่าแล้วแต่ condition แต่ละมหาวิทยาลัย และรุ่นต่อจากเราอาจมีเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขจากเดิมค่ะ แต่ตอนเราคือ ป.ตรีคะแนนรวมต้องไม่ต่ำกว่า 40% ส่วน ป.โท ต้องไม่ต่ำกว่า 50% ไม่งั้นถือว่าตก โดยจะมีโอกาสสอบซ่อม 1 ครั้ง ถ้ายังตกแม้แต่ตัวเดียวก็ต้องซ้ำชั้นและเรียนวิชาเทอมนั้นใหม่หมด   คะแนนจะมาจากการสอบ Final รวดเดียว ไม่มีมิดเทอม แต่บางวิชาอาจมีคะแนนจากรายงาน สอบย่อยต่างๆ หรืออาจเป็น Coursework 100% ก็ได้

ด้วยความที่ค่าเรียนไม่เบาเท่าไหร่ ถ้าต้องเรียนซ้ำคือกระเป๋าฉีก ก็เลยทุ่มสุดตัวค่ะ 5555 ทบทวนทั้งก่อนและหลังเรียน ช่วง 2 เดือนก่อนสอบมานั่งติวกับเพื่อน ทำข้อสอบเก่า ช่วยกันคิดโจทย์เขียนใส่การ์ด ผลัดกันถาม-ตอบ เป็นความโชคดีของเราที่เจอเพื่อนสนิทที่ช่วยกันเรียนมาก เพราะโดยทั่วไปอังกฤษเป็นสังคมที่มีความ Independent สูงมากกก พึ่งตัวเองแทบจะ 100% นอกคลาสจะไม่ค่อยคุยกันแล้ว 

ช่วงชีวิตที่ยิ่งหลงรักการทำแล็บขึ้นไปอีก

การเรียนที่ Swansea ตอบโจทย์คนที่เลิฟการทำแล็บอย่างเรามากกกก ไม่ได้มีแค่วิชาแล็บเคมี แต่มีแล็บวิศวะด้วย ซึ่งสนุกเพราะเราเรียนรู้ได้ดีเวลาได้ทำ Practical Work แถมเครื่องมือยังใหม่เอี่ยม มีโกดังที่รวมเครื่องมือทางวิศวกรรมการแพทย์โดยเฉพาะด้วย  เราจะได้ทำแล็บบ่อยโดยเฉพาะปี 2 ต้องทำการทดลองแล้วส่ง Lab Report ทุกสัปดาห์ ซึ่งแล็บก็มักจะเป็นวิชาสุดท้ายของวัน บางวันแบบเข้าแล็บ 5 โมงเย็น ออกมาอีกที 6 โมงเช้า อยู่ยาวๆ ยันหว่าง โชคดีที่อยู่หอในเลยเดินกลับง่ายๆ  

แน่นอนว่าเขาเน้นเรื่อง Safety เช่น ถ้าทำแล็บที่มีสารเคมี เราต้องสวมคล้ายๆ ชุดเสื้อกาวน์ รองเท้าผ้าใบที่ปิดเท้ามิดชิด และมีแว่นตาพิเศษให้ใส่ ปกติเขาจะมีบอกข้อปฏิบัติก่อนถึงวันทำแล็บ เช่น ต้องมัดผม ห้ามใส่แว่น ห้ามใส่รองเท้าแตะ ฯลฯ  

ความพิเศษคือเราจะมี Unlimited Access ในการใช้แล็บ ขอแค่บอกอาจารย์ว่าอยากลองทำอะไร ถ้าอาจารย์โอเคคือสามารถใช้ได้หมด เช่น เครื่องพิมพ์สามมิติ (3D Printing), เครื่องตัดเหล็ก หรือแล็บ Ultrasound ต่างๆ

ฝ่ามรสุมโพรเจกต์และการสอบ
จนเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2

การเรียนช่วงปีสุดท้าย เราจะได้ทำ Thesis 2 ตัวคือเดี่ยวและกลุ่ม โพรเจกต์เดี่ยวของเราคือเขียนโปรแกรมจำลองการดูดซึมของสารอาหารภายในลำไส้ โดยใช้โปรแกรม MATLAB (Coding Programme) ตอนท้ายนำเสนอ 20 นาที และดีเฟนซ์อีกประมาณ 40-60 นาที ประเด็นคือโพรเจกต์กลุ่มค่ะ เขาสุ่มสมาชิก 5 คนมาอยู่ด้วยกัน แต่ไปๆ มาๆ กลุ่มเราดร็อปจนเหลือ 3 คน หนึ่งในนั้นไม่ค่อยเจอตัว 

ตอนนั้นเราทำโพรเจกต์  “เครื่องฟอกไตพกพา” โดยที่ต้องทำเครื่องให้เล็กที่สุด เริ่มจากคำนวณแบบ manual ตั้งแต่แรกแล้วไปใส่โปรแกรม MATLAB ดูกราฟเรื่องอัตราการฟอกไตและประมวลผลเชิงสถิติ, วาดแบบจำลองการหมุนเวียนของเลือด และทำ Prototype แบบจำลองโดยใช้ 3D Printing ฯลฯ

ตอนนั้นต้องมานั่งแบ่งงานกับเพื่อนอีกคน(เป็นคนอังกฤษ) เขาภาษาสวยเลยให้เขาเรียบเรียง ส่วนเราจะเป็นคนคำนวณ สุดท้ายใช้เวลาพรีเซนต์ 40 นาทีเพราะรายละเอียดเยอะมาก + ดีเฟนซ์ 1 ชั่วโมง // ผลคือยับบบพอสมควร แต่คะแนนออกมาน่าพอใจนะ

แล้วจังหวะนั้นไม่ได้มีแค่งานกลุ่ม เราต้องเตรียมสอบอีก 5-6 ตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ปีนั้นได้นอนวันละ 3 ชั่วโมงเกือบทั้งปี ตอนสอบเสร็จนอนยาวไปเลย 20 ชั่วโมงติด เป็นการเรียนที่หนักแต่สู้เพราะคิดว่าปีสุดท้ายแล้ว ยอมแพ้ไม่ได้ สุดท้ายจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 คะแนน 60%

เย้!!

เว็บหลักสูตร Biomed Engineering (Swansea)

. . . . . . 

ความท้าทายบทใหม่ เริ่ม!!
(ป.โท University of Surrey)
 

เราสมัครเรียนต่อ ป.โท Biomedical Engineering ที่ University of Surrey รีวิวรวมๆ บรรยากาศเมืองนี้จะเป็นกึ่งเมืองกึ่งธรรมชาติ คนไทยเยอะและขับรถสะดวก ถ้าใครเป็นสายชอปปิงไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะไป London สะดวกสุดๆ

จุดสำคัญสำหรับคนกำลังเลือกที่เรียนคือ ควรตั้งต้นจากหัวข้อโพรเจกต์ที่สนใจ แล้วหามหาวิทยาลัยที่เขาเด่นด้านนั้น แล้วดูประวัติอาจารย์ เพราะมหาวิทยาลัยจะหาเด็กที่มาทำเทคโนโลยีซัพพอร์ต ***ย้ำว่ายิ่งถ้าสายวิทย์ต้องดูดีๆ!!

ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว อย่างเราตั้งใจว่าจะทำโพรเจกต์เกี่ยวกับสมอง แต่สมัครเรียนต่อ ป.โท University of Surrey ที่เขาเด่นด้านกระดูกและการเคลื่อนไหวของคน กลายเป็นว่าไม่มีอาจารย์มาซัพพอร์ตด้านที่เราสนใจเลย เพียงแต่ตอนนั้นมีอาจารย์คนนึงเรียกไปคุยว่าเขามีโพรเจกต์นี้อยู่ ถ้าสนใจจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้

หัวข้อที่เราทำคือการดีไซน์ข้อต่อเทียมสำหรับคนเป็นโรค Osteoarthritis หรือ “ข้อเสื่อม” เป็นอาการที่กระดูกอ่อน (Cartilage) ในข้อต่อกระดูกเสื่อมสภาพจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น อายุ การใช้งาน การเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อน โดยทั่วไปการรักษาจะมีตั้งแต่การกินยา หากยาไม่ได้ผลจะเป็นการฉีดหรือ Corticosteroid Injections หรือถ้าไม่ได้ผลจะใช้การผ่าตัด 

ทีนี้เราจะมาคิดค้นวิธีรักษาระยะยาว โดยการทำข้อต่อเทียมให้ผู้ป่วยผ่าตัดแล้วใส่ลงไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จะช่วยให้เดินได้เรื่อยๆ  สิ่งที่เราต้องทำคือแบบจำลอง เริ่มจากดูว่าจะใช้วัสดุอะไรสร้าง ซิลิโคนดีมั้ย คำนวณว่าคนน้ำหนักเท่านี้ๆ สามารถใช้ได้รึเปล่า ทำเป็น mockup ใน 3D printing จำลองการเดินในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 

นอกจากนี้เราจะได้เข้าไปสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคนี้แล้วขอ x-ray (ผ่านการยินยอมจากผู้ป่วยและทางโรงพยาบาล) เมื่อได้เป็นแผ่นกระดาษก็จะต้องนำไปเข้าโปรแกรมเพื่อปั้นแบบจำลองออกมา *แต่ด้วยสถานการณ์โควิดเราจึงทำได้แค่จำลองในคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถทำ 3D Printing ได้

กลับไทยเพราะโควิดทำให้ทุกอย่างเป็นออนไลน์

ป.ตรี Independent แค่ไหน ป.โท ก็ต้องพึ่งตัวเองยิ่งกว่าเดิม ตอนนั้นเราตัดสินใจกลับไทย แต่ต้องปรับชีวิตเป็นนอนกลางวันและตื่นกลางคืนให้เป็นไปตาม timezone อังกฤษ อย่างเช่นเรียน 4 ทุ่ม หรือสอบออนไลน์ตอน 2-3 ซึ่งจริงๆ เราก็เข้าไปเรียน VDO ย้อนหลังที่เขาอัดไว้ได้ แต่จะทำให้เราขาดการ interact ถ้าเราสงสัยอะไรก็พลาดโอกาสถามเขาในคลาสไปเลย 

แล้วยิ่ง ป.โทเป็นการทำ Thesis ตลอดทั้งปี อาจมีสอนคำนวณและทฤษฎีเล็กๆ น้อยๆ ได้เจออาจารย์ที่ปรึกษาแค่สัปดาห์ละครั้ง คุยผ่าน Zoom ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องเก็บไว้ก่อน ยิ่งกว่านั้นคือโปรแกรมที่ใช้วาดรูปตอน ป.ตรี กับ ป.โท เป็นคนละตัวกัน เราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่จากศูนย์ โชคดีเพื่อนคุณแม่ที่มีความรู้ด้านนี้มาช่วยไกด์ให้ 

เว็บหลักสูตร Biomed Engineering (Surrey)

. . . . . . 

สำหรับเรา 
การทำวิจัยก็เหมือนการต่อจิ๊กซอว์

เราค่อยๆ ต่อวันละชิ้นสองชิ้น ถ้าชิ้นก่อนผิดก็ค่อย Undo แก้ไขใหม่ อาจารย์เคยบอกว่า “ธีสิสไม่จำเป็นต้องสำเร็จเสมอไป แต่ผิดแล้วต้องเสนอวิธีรับมือ ต่อให้ถูกหรือไม่ถูกอย่างน้อยต้องได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์นั้น” เวลาเขียนเปเปอร์จะมีหัวข้อ “Future Research Directions” เราเจอปัญหานี้มาแล้ว ครั้งหน้าน่าจะลองแบบนี้ดูนะ

ด้วยความที่เราสนุกกับอะไรใหม่ๆ เลยชอบการทำวิจัย แต่ถ้ามีใครมาปรึกษาว่าจะเดินเข้าเส้นทางนี้ดีมั้ย เราจะไม่พูดว่า “ให้หนีไป” แต่อยากให้มั่นใจก่อนว่าชอบสายนี้จริงๆ เพราะมันหนัก ถ้าไม่ชอบแล้วหนักจะไม่ enjoy เลย

และเมื่อไหร่ก็ตามที่สภาพจิตใจไม่ไหวก็ควรพบแพทย์ อย่าเชื่อมั่นว่าจะปรับตัวเองได้ เราคือคนนึงที่เรียนแล้วมีนิสัยชอบกดดันตัวเอง จะมี one shot ว่าทำไมต้องแค่ผ่าน ไม่ 100% ไปเลยล่ะ เราเลยต้องไปหาจิตแพทย์ทั้งตอนเรียน ป.ตรี และ ป.โท 

ส่วนตัวรู้สึกขอบคุณที่มหาวิทยาลัยมีเตรียม Mental Support System คอยดูแลสภาพจิตใจของนักศึกษา แต่นอกจากนั้นเราก็สามารถไป relax โดยการเดินเล่นสวนสาธารณะในวันหยุด อากาศและสถานที่ดีๆ ช่วยฮีลเราได้ อย่างที่บอกคือ Swansea อยู่ติดทะเล หรือถ้าอยากนั่งรถไฟไปเมืองอื่นก็ทำได้อีกเหมือนกัน 

Swansea
Swansea
Swansea
Swansea
สนามฟุตบอลที่ Manchester
สนามฟุตบอลที่ Manchester
สนามฟุตบอลที่ Swansea
สนามฟุตบอลที่ Swansea

. . . . . . 

เป้าหมายต่อไปคือปริญญาเอก!

อัปเดตล่าสุดคือเรายื่นสมัครเรียนต่อไป 2 ที่คือ Imperial College London กับ King’s College London ในด้าน Translational Neuroscience เรียนเกี่ยวกับโรคทางสมอง (อย่าง Parkinson หรือ Alzheimer) เพราะช่วง ป.ตรีเราได้แตะเรื่องนี้มาบ้าง และพบว่าเป็นด้านที่สนใจที่สุด รวมถึงอยากทำงานในองค์กรด้านนี้ที่อังกฤษด้วย

อธิบายสาเหตุของโรค Alzheimer คร่าวๆ คือปกติบริเวณต้นคอของคนเราจะมี Hippocampus ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำภายในสมอง แต่ส่วนนี้จะถูกกัดเซาะไปเรื่อยๆ เมื่อแก่ตัวลง เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเริ่มหลงลืมสิ่งต่างๆ  

ถ้าในเมืองนอกจะใช้วิธีวินิจฉัยโดยการให้ทำแบบทดสอบและ MRI หรืออย่างในอังกฤษจะมีองค์กรด้านนี้โดยเฉพาะ (อย่างเช่น Alzheimer's Society ซึ่งเราก็ตั้งใจขอทุนวิจัยจากที่นี่ด้วย) ตัวอย่างแนวทางที่เขาช่วยเหลือผู้ป่วย คือการจัดบ้านพักชราสำหรับคนที่เป็นอัลไซเมอร์ มีผู้เชี่ยวชาญมาดูแล หรือที่อ่านเจอล่าสุดคือมีหุ่นยนต์มาอยู่บ้านคอยแจ้งเตือนแทนในช่วงที่ลูกหลานไม่ได้อยู่ดูแลตอนนั้น

แต่เรารู้สึกว่าประเทศไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับโรคนี้เท่าที่ควรหากเทียบกับโรคร้ายแรงอื่นๆ ทั้งที่โรคนี้ฆ่าคนได้ไม่ต่างกัน ในขณะที่เทคโนโลยีที่มีตอนนี้ ได้แค่ช่วยซัพพอร์ตการใช้ชีวิต แต่ยังไม่มีวิธีที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างน้อยเราอยากหาเทคโนโลยีมาทำให้โรคนี้ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

อัปเดตตตต! ล่าสุดคนในประเทศอังกฤษไม่ใส่ mask และกลับมาเรียน on-site กันแล้วค่ะ เขาประกาศว่าต่อให้ติดเชื้อก็ให้ใช้วิจารณญาณในการใช้ชีวิต เราตั้งใจว่าถ้าได้ทุนไปเรียนต่อ ป.เอก ก็คงใช้ชีวิตแบบไม่ใส่หน้ากากเหมือนกัน

พาไปส่อง Studygram สุดละมุน
ฉบับเด็ก Biomed Engineering

เส้นทางเรียนต่อของเราเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ อย่างเช่นข้อสงสัยเรื่องการบริจาคเลือด จนมีโอกาสได้มาเปิดโลกในประเทศที่ Health Tech ก้าวหน้า ได้พบว่าเมืองนอกมีการจ่ายยาเข้าเส้นเลือดแทนการใช้เข็ม มีการเพาะเลี้ยงอวัยวะ หุ่นยนต์ผ่าตัด หรือแม้กระทั่งตอนเรียนในอังกฤษ ยังได้สวมแว่น VR (Virtual Reality) เพื่อเข้าชมร่างกายของมนุษย์แบบเสมือนจริงด้วย บางอย่างถึงจะยังใช้การไม่ได้ 100% แต่ก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เรามองว่า Health Tech เป็นอะไรที่ไม่มีวันตายแน่นอน...

และเราเชื่อว่ามีคนอีกไม่น้อยที่ไม่แน่ใจว่างานของสาย Medical Engineering คืออะไร จบมาทำอะไรได้บ้าง จะหาอ่านได้จากที่ไหน เป็นที่มาของ Studygram: @tanyram__ ที่จะแชร์ข้อมูลให้ทุกคนได้รู้จักคณะนี้มากขึ้น เพราะเป็นสาขาที่น่าสนจมากๆ เราจะแนะนำวิชาเรียนใหม่ๆ แนวทางการเลือกสายเรียนสำหรับคนที่วางแผนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ หรืออยากรู้ว่าวงการ Health Tech ไปถึงไหนแล้ว ในนี้สามารถหาอ่านได้ครบจบเลยค่ะ ^^

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น