ก่อนเขียนนิยายต้องทำสิ่งนี้ :
ลับสมองทดสอบไอเดียของคุณ!
เคยเป็นแบบนี้มั้ยคะ…?
คิดในหัวไว้ซะดิบดี คิดแล้วน่าสนุก แต่พอลงมือทำจริง กลับไม่ใช่อย่างที่เราคิด!
ถ้าหากว่าเคยเป็นเหมือนกัน วันนี้ขอชวนทุกคนมา “ทดสอบไอเดีย” ก่อนลงมือเขียนจริงกัน เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่าไอเดียของเรานั้นแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้เรื่องของเราดำเนินต่อไปได้ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการทุ่มเทในเรื่องราวที่ไม่เวิร์ก แล้วลงมือทำงานร่วมกับไอเดียที่เวิร์กกว่า
มาค่ะ เปิดคอมพ์แล้วดำดิ่งไปกับแบบฝึกหัดทดสอบไอเดียวันนี้กัน!
แบบฝึกหัด #1
เขียน Storyline ของเราออกมา
Storyline คือเส้นเรื่อง เป็นบทสรุปสั้นๆ ที่บอกถึงส่วนสำคัญของเรื่องใน 1-2 ประโยค มันบอกผู้อ่านว่าใครคือตัวละครหลัก ความขัดแย้งคืออะไร และเดิมพันคืออะไร
สำหรับ Storyline เราควรเขียนมันออกมาในรูปแบบ ใคร (Who) ที่ไหน (Where) ทำอะไร (What) แต่ไม่ต้องบอกอย่างไร (How)
ตัวอย่าง
- Jurassic Park - ในระหว่างการทัวร์ชมตัวอย่าง เกิดไฟฟ้าขัดข้องครั้งใหญ่ในสวนสนุก ทำให้ไดโนเสาร์โคลนนิ่งที่จัดแสดงอยู่ออกมาอาละวาดได้
- Star Wars: A New Hope - ลุค สกายวอล์คเกอร์ เด็กหนุ่มชาวไร่ผู้ร่าเริง เข้าร่วมกองกำลังกบฏเพื่อช่วยเจ้าหญิงเลอาจากดาร์ธ เวเดอร์ผู้ชั่วร้าย และช่วยปกป้องกาแล็กซี่จากดาวมรณะทำลายล้างของจักรวรรดิ
ลงมือทำ
เขียน Storyline สำหรับเรื่องของเราประมาณ 1-2 ประโยค เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้ถามตัวเองและคนอื่นๆ ว่า เรื่องนี้ฟังดูน่าสนใจไหม เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการอ่านหรือไม่?
ถ้าคำตอบคือใช่ ให้ทำแบบฝึกหัดถัดไป
แต่ถ้าคำตอบคือไม่ เราจำเป็นต้องกลับมาเขียน Storyline ใหม่ เพื่อเน้นส่วนที่น่าสนใจที่สุดของเรื่อง หรือเลือกไอเดียอื่นๆ มาใช้งานแทน
แบบฝึกหัด #2
เขียนเรื่องของเราแบบ Elevator Pitch
Elevator Pitch เป็นหนึ่งในเทคนิคการขาย และเราจะใช้ทริคนี้ในการพัฒนาไอเดียของเราให้ยอดเยี่ยม
หลักการของ Elevator Pitch คือการนำเสนอแนวคิดแบบกระชับ สั้น ฉับไว แต่มัดใจคนฟังให้อยู่หมัด! (ในกรณีนี้คือมัดใจนักอ่าน)
Elevator Pitch ยาวกว่าแบบฝึกหัดด้านบน โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 250 คำ ซึ่งไม่ได้บอกตอนจบของเรื่อง แต่ครอบคลุมถึงความขัดแย้งและเดิมพันหลัก เป็นบทสรุปที่บางครั้งปรากฏบนปกหลังของหนังสือ หรืออาจเป็นบทสรุปที่เราจะแปะไว้บนหน้าแรกของนิยายเรา สำหรับการอัปออนไลน์
เมื่อเขียน Elevator Pitch เราต้องตอบคำถามเหล่านี้
- เรื่องนี้เกี่ยวกับใคร?
- สถานการณ์คืออะไร?
- เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน?
- ทำไมมันถึงสำคัญ?
ตัวละครเอก: ใครคือตัวละครหลักของเรื่อง? อะไรที่ทำให้ตัวละครตัวนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว? ตัวละครนี้ต้องการอะไรในตอนต้นของเรื่อง?
ความขัดแย้ง: สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร? ใครหรืออะไรกำลังขวางทางตัวเอกในการบรรลุเป้าหมายของเขา?
เดิมพัน: ทำไมมันถึงสำคัญ? จะเป็นยังไงถ้าตัวเอกไม่บรรลุเป้าหมาย? อะไรคือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น? ความสำเร็จหรือความล้มเหลวมีความหมายต่อตัวเอกอย่างไร?
ฉาก: เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน?
ตัวอย่าง
The Hunger Games โดยซูซาน คอล์ลินส์
ในซากปรักหักพังของสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยรู้จักในนามอเมริกาเหนือคือประเทศปาเนม ศาลากลางที่ส่องแสงแวววาวรายล้อมไปด้วยเขตรอบนอกสิบสองเขต ศาลากลางนั้นเข้มงวดและโหดร้าย บังคับให้ทุกเขตส่งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปีอย่างละ 1 คน เข้าร่วมเกมประจำปี (Hunger Games) ซึ่งเป็นการต่อสู้กันจนตาย และออนแอร์สดๆ บนทีวี
แคตนิส เอฟเวอร์ดีนวัย 16 ปีมองมันเหมือนเป็นโทษประหาร เธอเข้าร่วมเกมนี้แทนน้องสาวของเธอ แต่แคตนิสเคยเฉียดตายมาก่อน และการเอาตัวรอดสำหรับเธอนั้นเป็นนิสัยที่สอง เธอจึงกลายเป็นผู้แข่งขัน
แต่ถ้าเธอต้องการชนะ เธอจะต้องเลือกระหว่างการเอาชีวิตรอดกับมนุษยชาติ และชีวิตกับความรัก
(146 คำ)
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟินิกซ์ โดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง
มีประตูอยู่ที่ปลายทางเดินอันเงียบสงบ และมันกำลังหลอกหลอนแฮร์รี่ พอตเตอร์ในความฝัน ทำไมเขาถึงตื่นขึ้นกลางดึกและกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว?
ปีที่ห้าของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ เขาครุ่นคิดถึงเรื่องมากมาย ทั้งครูสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดที่มีบุคลิกเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ เซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ของทีมควิดดิชแห่งบ้านกริฟฟินดอร์ และความน่ากลัวที่ปรากฏขึ้นระหว่างการสอบวัดระดับพ่อมดสามัญ แต่เรื่องทั้งหมดเหล่านี้ดูจืดชืด เมื่อเทียบกับการคุกคามที่เพิ่มขึ้นของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ทั้งรัฐบาลเวทมนตร์และเจ้าหน้าที่ของฮอกวอตส์ไม่สามารถหยุดยั้งได้
ในขณะที่ความมืดมิดที่คืบคลานเข้ามา แฮร์รี่ค้นพบกับความจริงที่ลึกล้ำ ความแข็งแกร่งของเพื่อนๆ ความสำคัญของความภักดีที่ไร้ขีดจำกัด และราคาของการเสียสละที่น่าตกใจ
ชะตากรรมของแฮร์รี่ขึ้นอยู่กับพวกมันทั้งหมด
(179 คำ)
ลงมือทำ
เขียนสรุป 250 คำสำหรับเรื่องราวของเรา เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้ถามตัวเองและคนอื่นๆ ว่าเรื่องนี้ฟังดูน่าสนใจไหม? เป็นสิ่งที่ต้องการอ่านหรือเปล่า?
ถ้าคำตอบคือใช่ แสดงว่าเราพร้อมที่จะแบบฝึกหัดที่ 3 แล้ว!
แต่ถ้าคำตอบคือไม่ เราจะต้องเขียน Elevator Pitch ใหม่ โดยเน้นที่ส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องราว อย่าลืมโฟกัสไปที่ Storyline และแนวที่เขียน เช่น ในนิยายแนวรัก เนื้อเรื่องหลักจะเป็นความสัมพันธ์ที่โรแมนติกระหว่างตัวละครทั้งสองตัว
แบบฝึกหัด #3
เขียนแง่คิด
เรื่องราวที่ดีควรเป็นเรื่องที่สอดแทรกแง่คิดให้นักอ่านได้ตกตะกอน
ลองถามตัวเองดูว่า นอกเหนือจากความสนุก นักอ่านจะได้อะไรหลังจากอ่านนิยายของเรา? พวกเขาได้เรียนรู้อะไร?
ในแบบฝึกหัดนี้ เราจะเขียนย่อหน้าเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่นักอ่านจะได้เรียนรู้หลังอ่านนิยายของเรา และเรายังสามารถใช้เป็นบทสรุปได้ เมื่อเขียนมันค่ะ
ตัวอย่าง
- เจ้าชายกบ – คำพูดเป็นนายคน เมื่อพูดออกไปแล้ว ต้องรักษาคำพูดให้ได้ เราจะได้เป็นคนที่ซื่อสัตย์และน่าเชื่อถือ
- แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ – ความกล้าหาญ การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว และมิตรภาพ จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้
ลงมือทำ
ลองลิสต์แง่คิดที่นักอ่านจะได้รับหลังอ่านเรื่องจบ เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้ถามตัวเองว่านั่นควรค่าแก่การอ่านไหม?
ถ้าคำตอบคือใช่ แสดงว่าเราพร้อมที่จะทำแบบฝึกหัดสุดท้ายแล้ว!
แต่ถ้าคำตอบคือไม่ พยายามเขียนเรื่องราวของเราในแบบที่นักอ่านสามารถดึงบทเรียนจากมันได้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการพยายามสร้างบทสรุปที่ทำให้ตัวละครมีจุดจบ!
แบบฝึกหัด #4
ตั้งชื่อเรื่องให้น่าสะดุดใจ
ได้ Storyline บทสรุป และแง่คิดแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือชื่อเรื่อง และนิยายที่ดีควรมีชื่อเรื่องที่น่าดึงดูดใจ
ชื่อเรื่องเปรียบเสมือนด่านแรกที่ดึงดูดนักอ่าน ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับมันมากๆ
เราควรมองหาชื่อที่สามารถทำให้เรื่องราวของเราดูน่าอัศจรรย์และแตกต่าง ควรสร้างชื่อเรื่องให้โดดเด่นมากพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน
ตัวอย่าง
- บางครั้งชื่อนิยายก็อาจไม่ได้บอกถึงเรื่องราวทั้งหมดในเรื่อง ตัวอย่างเช่น To Kill a Mockingbird เพียงแค่เห็นจากชื่อเรื่อง ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติในอเมริกา หรือนิยายเรื่อง Normal People, Origin, และ The Secrets Between Us เองก็มีการตั้งชื่ออย่างลึกลับด้วย แต่ทั้งหมดล้วนเป็นหนังสือขายดีในปี 2018 และไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความโด่งดังของมัน!
- นิยายบางประเภทมีการตั้งชื่อที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น นิยายแฟนตาซีหรือนิยายวิทยาศาสตร์มักใช้สิ่งของหรือสถานที่ สิ่งประดิษฐ์ในชื่อหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นตัวอย่างที่ดี โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “เครื่องรางยมทูต” หรือ “นักโทษแห่งอัซคาบัน”
- หรือถ้าเป็นนิยายแนวระทึกขวัญ มักมีแนวโน้มในการใช้ชื่อเรื่องในลักษณะ “คำนาม + คำนาม” เช่น The Girl on the Train (ปมหลอน รางมรณะ) The Woman in the Window (ส่องปมมรณะ) หรือ The Woman in Cabin 10
- นอกจากนี้ชื่อเรื่องในลักษณะ “คำนาม + 'ของ/แห่ง' + คำนาม” ก็เป็นที่นิยมด้วยเช่นกัน เช่น Lord of the Rings (ลอร์ดออฟเดอะริงส์ / อภินิหารแหวนครองพิภพ)
ลงมือทำ
มีวิธีการมากมายในการตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจ ลองเข้าไปดูในบทความ ตั้งชื่อนิยายอย่างไร ให้เป็นตัวเราและถูกใจคนอ่าน ได้
หลังจากทำแบบฝึกหัดนี้แล้ว ให้ถามตัวเองและเพื่อนดูว่า ชื่อเหล่านี้ดีพอที่จะดึงความสนใจมั้ย? ถ้าใช้ชื่อนี้ เราจะคลิกเข้ามาอ่านหรือเปล่า?
หากคำตอบคือใช่ แสดงว่าเราพร้อมที่จะเริ่มเขียนร่างแรกของนิยายเราแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็ควรหาชื่อใหม่ แต่ถ้าคิดไม่ออกจริงๆ เราสามารถเขียนเรื่องก่อนได้ แล้วระหว่างนั้นก็คิดหาชื่อใหม่ไปด้วย พอเจอเรื่องไหนสะดุดตาก็ใช้เลย!
……………..
การใช้เวลารวบรวมไอเดียของตัวเองจะช่วยให้เราไม่ตันระหว่างการเขียน และยังช่วยให้เรามองเห็นปลายทางของเรื่อง นั่นหมายถึง เราเองก็มีโอกาสจะเขียนนิยายจบด้วย! หวังว่าแบบฝึกหัดในวันนี้จะช่วยให้เรามองเห็นไอเดียของเราชัดขึ้น และช่วยให้เราสามารถเขียนนิยายต่อไปได้อย่างมั่นใจ แต่ถ้าแบบฝึกหัดเหล่านี้ยากสำหรับเรา ก็อย่ายอมแพ้นะ!
หากสนใจเคล็ดลับการเขียนหรืออยากเป็นนักเขียนที่เก่งขึ้น สามารถกดติดตามรวมบทความเด็ดได้ที่ "เปิดคัมภีร์! ส่งต่อเคล็ดลับที่จะทำให้การเขียนนิยายของคุณกลายเป็นเรื่องง่าย!" เชื่อว่าน่าจะมีเคล็ดลับการเขียนที่ตรงใจทุกคนอยู่แน่ๆ ค่ะ
พี่น้ำผึ้ง : )
ขอบคุณรูปภาพจาก https://unsplash.com/
0 ความคิดเห็น