หลัก 3 "Self" ตัวช่วยค้นหาตัวเอง+สร้างความมั่นใจ
ให้ชาว GEN Z
EP. 2 Self-Empathy&Empathy หลักในการปรับตัวในสังคมมหาวิทยาลัย
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคน จากบทความที่แล้ว ใน EP.1 ได้เล่าถึงปัญหาต่างๆ ของเด็ก ม.ปลาย ที่ต้องเจอก่อนเข้ามหาวิทยาลัย และการค้นหาตัวเองพร้อมคณะที่ใช่ด้วย Self-Awareness ไปแล้ว สำหรับบทความนี้จะพาน้องๆ ทุกคนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยกันค่ะ
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงจากวัยมัธยมสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เราต้องพบเจอสิ่งใหม่ๆ มากมายที่รอให้เราได้ไปเรียนรู้ เช่น เพื่อนร่วมคณะที่มาจากคนละจังหวัด ซึ่งมีความหลากหลายทั้งด้านความคิด ทัศนคติ การแสดงออก ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
3 ปัญหาของวัยรุ่นเมื่ออยู่ในสังคมมหาวิทยาลัย
น้องๆ หลายคนมีความกังวลว่าเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว ‘เราจะสามารถปรับตัวกับสังคมใหม่ได้หรือเปล่า?’ เพราะแต่ละคนมาจากต่างที่ต่างถิ่น ซึ่งมีมุมมองและทัศนคติแตกต่างกัน ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเข้ากับเพื่อนและปรับตัวในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้
กังวลว่าจะปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ไม่ได้
สังคมในมหาวิทยาลัยเป็นสังคมขนาดใหญ่ที่รวมผู้คนไว้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งบุคลิกภาพและนิสัยของแต่ละคนล้วนมีความซับซ้อนและแตกต่างกัน สำหรับคนที่ชอบเข้าสังคมอาจเป็นเรื่องง่ายในการทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ แต่สำหรับคนบางกลุ่มที่มักตื่นเต้นเวลาต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้า หรือไม่ค่อยชอบอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ อาจมองว่าเป็นเรื่องยากสำหรับการปรับตัวเข้าสู่สังคมใหม่ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีลักษณะนิสัยอย่างไร และกังวลว่าการกระทำหรือการแสดงออกของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดใจ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะไม่มีเพื่อน และปรับตัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้
การตัดสินตัวตนของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
บางคนได้เปลี่ยนแปลงตัวเองในด้านต่างๆ หลังจากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป เช่น การสร้างตัวตนใหม่เพื่อให้คนรอบข้างยอมรับและเป็นที่น่าจดจำ โดยการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก เช่น การลดน้ำหนัก ดูแลผิวหน้า เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ หรือ บางคนอาจเปลี่ยนชื่อตัวเองให้มีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อใหม่ หรือ การเพิ่มพยางค์ให้ชื่อ ทั้งนี้การแสดงออกผ่านตัวตนของแต่ละคนล้วนมีจุดประสงค์ที่ต่างกัน และช่วงแรกของการอยู่ในสังคมใหม่อาจทำให้เราเผลอตัดสินตัวตนของผู้อื่นด้วยมุมมองความคิดที่มีข้อจำกัดของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
สไตล์การทำงานกลุ่มแตกต่างกัน
หากย้อนกลับไปสมัยมัธยม การทำงานกลุ่มส่วนใหญ่จะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ทำให้รู้วิธีการสื่อสาร หรือวิธีหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับเพื่อนได้ เพราะต่างรู้นิสัยของกันและกัน แต่เพื่อนในมหาวิทยาลัยที่มาจากหลากหลายที่ นิสัย และลักษณะในการทำงานของแต่ละคนก็อาจไม่เหมือนกัน หลายวิชาที่เรียนต้องทำงานร่วมกับเพื่อนนอกกลุ่ม ซึ่งเราจำเป็นต้องปรับตัวให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นในการทำงานกลุ่มคือ การไม่ให้ความร่วมมือ เช่น ไม่แสดงความคิดเห็น หรือ ไม่มาช่วยงาน จนทำให้เกิดความไม่สบายใจในการทำงานกลุ่ม
Self-Empathy&Empathy หลักในการปรับตัวในสังคมมหาวิทยาลัย
การปรับตัวช่วงเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่น้องๆ หลายคนให้ความสนใจ ทั้งการอยากเป็นตัวเองโดยให้ผู้อื่นยอมรับ การปรับตัวเมื่อเจอเพื่อนที่นิสัยอาจเข้ากันไม่ได้ หรือการทำงานกลุ่มกับคนที่ไม่สนิท สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลให้เรารู้สึกกังวลและสับสน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร เพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีและสามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในมหาวิทยาลัยได้อย่างมีความสุข
ทั้งนี้เราต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจกับตัวเอง โดยมี Self-empathy กับตัวเองก่อน เมื่อเราเห็นคุณค่าในตัวเองก็จะสามารถเข้าใจคนอื่นได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเราต้องมี Empathy กับอีกฝ่าย พยายามทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ทำไมถึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ ถือเป็นทักษะสำคัญที่ควรมีในปัจจุบัน
Self-Empathy และ Empathy คืออะไร?
Self-Empathy คือ ความสามารถในการเข้าใจตัวเอง ไม่ตัดสินตัวเองแม้ว่าเราจะทำผิดพลาด และไม่เอาความหวังหรือความสุขส่วนตัวไปฝากไว้กับการกระทำของผู้อื่น เป็นการมีความสุขในแบบของเราเองโดยที่ไม่เบียดเบียนใคร ซึ่งเราสามารถสร้าง Self-Empathy ให้กับตัวเองได้ด้วยวิธีดังนี้
- คุยกับตัวเองเหมือนที่เราคุยกับเพื่อน
- มีสติ มีสมาธิกับตัวเอง
- ไม่โทษตัวเอง และให้อภัยตัวเองเมื่อผิดพลาด
- ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
ส่วน Empathy คือ ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น โดยไม่ยึดถือความคิดของตัวเองเป็นศูนย์กลาง แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่สุขหรือทุกข์ก็พยายามตั้งใจและทำความเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย หรือเรียกอีกอย่างว่า การเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยเราสามารถมี Empathy กับผู้อื่นได้ ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
- รับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายโดยไม่ใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไป
- พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวของผู้อื่น
- สังเกตกริยาท่าทางของผู้อื่น ดูว่าเขาต้องการจะสื่อสารอะไร
- ลองคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เขาเจอ
รู้และเข้าใจตัวเอง (Self-Empathy) นำไปสู่การเข้าใจคนอื่น (Empathy) ได้อย่างแท้จริง
เมื่อได้รู้แล้วว่า Self-Empathy กับ Empathy คืออะไร มีวิธีการอย่างไรถึงมีทักษะเหล่านี้ได้ สำหรับการนำไปประยุกต์ใช้กับการปรับตัวและการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย สามารถทำได้ ดังนี้
เริ่มจากการเข้าใจตัวของเราเอง
ก่อนที่เราจะเข้าใจผู้อื่นได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจตัวเองได้อย่างแท้จริง ยิ่งในช่วงที่ต้องมีการปรับตัว สิ่งที่จะทำให้ผ่านช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปได้นั่นคือ ตัวเราเอง สำหรับชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ต้องเจอกับผู้คนหลากหลายรูปแบบ อาจทำให้เกิดการตั้งคำถามและการเปรียบเทียบระหว่างตัวเองและผู้อื่นได้ เช่น ความแตกต่างของจำนวนเพื่อน ความสามารถด้านการเรียน ซึ่งความคิดเหล่านี้อาจทำให้เราเผลอโทษตัวเอง บั่นทอนจิตใจ และกดดันตัวเองเมื่อทำสิ่งที่ผิดพลาด
ดังนั้นเราควรหันมาทำความเข้าใจตัวเอง โดยหาเวลาว่างในแต่ละวันมาพูดคุยกับตัวเองสัก 5 - 10 นาที ลองนึกภาพเวลาที่คุยกับเพื่อนและใช้วิธีเดียวกันมาพูดคุยและทบทวนกับตัวเอง เช่น ‘วันนี้มีเกิดอะไรขึ้นบ้าง?’ ‘มีอะไรที่เราทำพลาดไปหรือเปล่า?’ โดยที่ไม่ตัดสินว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด ให้รับฟังตัวเองอย่างอ่อนโยนพร้อมกับทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น หรืออาจใช้วิธีฝึกสมาธิ เพื่อให้เรามีสติพร้อมรับมือกับเรื่องต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
การเข้าใจผู้อื่นอย่างเต็มใจ
เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็พร้อมที่จะเข้าใจคนอื่นได้อย่างเต็มใจเช่นกัน การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอาจเกิดการกระทบกระทั่งกันได้ง่าย ไม่ว่าจะมาจากการทำกิจกรรม การทำงานกลุ่มที่ทำให้เราได้เห็นพฤติกรรมของผู้อื่น รวมถึงวิธีการทำงานที่มีความแตกต่างจากตนเองจนนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น เพื่อนไม่ตอบแชท ไม่มาช่วยงาน หรือ จะเป็นลักษณะนิสัยของอีกฝ่ายที่อาจแสดงออกมา
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่สามารถทำให้เราผิดใจกับอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าเราเข้าใจอีกฝ่ายก็จะเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ เพราะการที่คนหนึ่งคนแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมา ย่อมมีเหตุผลในใจเสมอ เช่น การที่เพื่อนไม่ตอบแชท เพราะอาจจะมีธุระส่วนตัวทำให้ไม่มีเวลาตอบ แต่รับรู้การทำงานแล้วว่างานถึงขั้นตอนไหน หรือการที่อีกฝ่ายไม่ช่วยงานกลุ่ม เพราะอาจมีปัญหาส่วนตัวที่ไม่สะดวกมาช่วยมาในวันนั้น
วิธีแก้ปัญหา คือ การพูดคุยกับเพื่อนอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามรับฟังอีกฝ่ายโดยไม่นำความคิดเห็นหรือความรู้สึกส่วนตัวไปตัดสินอีกฝ่าย เราทุกคนต่างเติบโตมาไม่เหมือนกัน พื้นฐานการรับมือกับปัญหาของแต่ละคนก็แตกต่างกัน หากเราอยากเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น อาจลองนึกภาพตัวเองถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเราจะรู้สึกอย่างไร จะแก้ปัญหาอย่างไร ถึงแม้อาจจะยากที่จะเข้าใจก็ตาม แต่วิธีการนี้จะทำให้เข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเราเข้าใจอีกฝ่ายมากพอก็จะทำให้เราไม่ทุกข์ และสามารถหาวิธีแก้ไขและปรับตัวได้ในที่สุด
จะเห็นได้ว่า Self-Empathy และ Empathy เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยทำให้แต่ละคนเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในมุมมองความคิดของตัวเองและผู้อื่น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความเชื่อใจระหว่างกัน ทำให้เรารับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้ในแบบที่เขาเป็น และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดีมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://th.hrnote.asia/orgdevelopment/empathy-skill-210714/https://www.verywellmind.com/what-is-empathy-2795562https://www.mangozero.com/empathy/https://www.leadershipforfuture.com/giving-empathy/https://www.goodtherapy.org/blog/4-ways-to-be-kinder-to-yourself-build-self-empathy-052418เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับทั้งสองบทความที่ผ่านมา ได้เล่าถึงเส้นทางชีวิตทั้งก่อนเข้ามหาวิทยาลัย และการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยไปแล้ว บทความต่อไปจะเป็นบทส่งท้ายที่จะพาทุกคนไปสัมผัสกับอีกหนึ่งขั้นสำหรับเส้นทางการเติบโตของชาว GEN Z ลองเดากันดูนะคะว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^
0 ความคิดเห็น