เมื่อได้ไปเรียนสายสังคมที่ "อิตาลี" ดีต่อใจทั้งการเรียน ศิลปะ และสวัสดิการนักศึกษา!

สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับที่ชื่นชอบเสพงานอาร์ตเป็นชีวิตจิตใจ หลงใหลเรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง และกำลังมองหาประเทศเหมาะๆ สักแห่งเพื่อวางแผนเรียนต่อในอนาคต วันนี้เรามีรีวิวการเรียนฉบับ "พี่พะพลอย" คนไทยที่ไปเรียน ป.ตรี คณะรัฐศาสตร์สาขาธรรมาภิบาลโลก (Global Governance) ณ มหาวิทยาลัยใหญ่ในกรุงโรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลี มาให้อ่านเพลินๆ ประกอบการตัดสินใจว่าเรื่องการเรียนและบรรยากาศจะตอบโจทย์เรามากน้อยแค่ไหน? // ในนี้มีเรื่องราวน่าสนใจของประเทศอิตาลีสอดแทรกอยู่ด้วย ตามมาออกค้นหากันเลยค่ะ!

บทความนี้อ้างอิงค่าเงิน 1 EUR = 36.55 บาท (อัปเดตเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565)

ที่มาที่ไป ทำไมถึงมาเรียนต่อที่อิตาลี?

สวัสดีค่า ชื่อ "พะพลอย-ไพลิน ทองมณี" นะคะ ตอนนี้กำลังเรียนปี 1 Global Governance ภาคภาษาอังกฤษ ที่  Università di Roma Tor Vergata

ย้อนไปช่วง ม.ปลาย เราเคยแลกเปลี่ยน AFS ช่วงปี 2018-2019 ที่เมือง Reggio Emilia ประเทศอิตาลีค่ะ เป็นเมืองทางตอนเหนือใกล้กับ Bologna ถึงจะเจอกับช่วง homesick หรือเครียดเรื่องภาษาและการปรับตัวบ้าง แต่ก็เป็นชีวิต 1 ปีที่มีความสุขที่สุด หลังจากที่เรากลับไทย (ตอนนั้นเรียนแผนศิลป์-เกาหลีที่ รร.เตรียมอุดมศึกษา) เลยเริ่มมีความคิดอยากไปเรียนต่อประเทศที่เพิ่งได้รับความประทับใจกลับมา พยายามหาข้อมูลมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคณะที่เราสนใจ แล้วยื่นใบสมัครกับคะแนนไปค่ะ

ตอนนั้นสมัครเรียนติด 3 ที่คือ

  • คณะ Economics, Politics and Social Science (EPOS) ที่ University of Bologna
  • คณะ Global Laws ที่ University of Torino
  • คณะ Global Governance, University of Rome Tor Vergata *เราเลือกที่นี่

เรานั่งอ่าน Course Structure เปรียบเทียบ 3 ที่ดูว่าที่ไหนตอบโจทย์ที่สุด บวกกับตอนสัมภาษณ์กับมหาวิทยาลัยที่กำลังเรียนตอนนี้ มีอาจารย์ท่านนึงพูดกับเราว่า "This is going to be the best decision you have ever make" ทำให้รู้ว่าเขามั่นใจในคณะมาก พอเข้ามาเรียนแล้วเรารู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนี้จริงๆ ค่ะ

รีวิวประสบการณ์สมัครเรียน 
พิจารณาอะไร? สัดส่วนเท่าไหร่?

  • Portfolio (20%) พอร์ตนำเสนอผลงานที่เราเคยทำและเกี่ยวข้องกับคณะ *ถ้าคะแนนพอร์ตไม่ถึง 12% จะไม่มีสิทธิ์สอบข้อเขียน
  • Writtern Exam (40%) เป็นคำถามให้เราเขียนตอบในเวลา 45 นาที ตอนนั้นเราเจอ topic เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เราต้องแสดงจุดยืนและแสดงความคิดเห็นออกมา
  • Oral Exam (40%) เค้าจะให้เราแสดงทัศนคติต่อเรื่องที่เขากำหนด หรือรู้สึกว่าเรื่องนี้มีิอิทธิพลต่อทั่วโลกยังไงบ้าง แล้วเราจะพัฒนาอะไรยังไง ประมาณนี้ค่ะ
  • สอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เราได้ B2
หน้าระบบสมัครเรียน
https://web.uniroma2.it
https://web.uniroma2.it

เริ่มชีวิตเด็กรัฐศาสตร์
 Università di Roma Tor Vergata

 Università di Roma Tor Vergata  เป็นมหาวิทยาลัยที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และอยู่โรมประมาณ 30 นาที โดยแต่ละคณะจะมีโซนของตัวเอง มีโรงอาหาร บาร์ (*สำหรับบาร์ที่อิตาลีจะคล้ายคาเฟ่ที่ประเทศไทย มีกาแฟ ชา เบเกอรี่ ขนม แซนด์วิช) ที่ผ่านมาการพักผ่อนของเราไม่ใช่แค่การอยู่ในห้อง เพราะมหาวิทยาลัยนี้มีพื้นที่สีเขียวเยอะมาก เราสามารถเดินเล่น นั่งอ่านหนังสือ หรือไปปิกนิกที่สวนได้ตลอด

เปิดความปังของสวัสดิการมหาวิทยาลัย

  1. คอร์สภาษาอิตาเลียน ที่ช่วยให้พัฒนาได้เร็วมากเพราะเรียนกับเจ้าของภาษาตั้งแต่พื้นฐาน 3 วัน/สัปดาห์ เพื่อนหลายคนมาเริ่มนับหนึ่งภาษาอิตาเลียนตอนนี้แหละ ส่วนเราพอมีพื้นฐานมาแล้ว เค้าเลยให้สอบวัดระดับภาษา (ข้อเขียน/สอบพูด) มีแบ่งเป็นหลายระดับมากค่ะ
     
  2. ส่งเสริมนักศึกษาให้อยู่ในทีมกีฬา มีให้เลือกทั้งฟุตบอล เทนนิส บาสเกตบอล ยิงธนู เต้นโพลแดนซ์ ปั่นจักรยานภูเขา ว่ายน้ำ โยคะ ฯลฯ  เค้าให้ความสำคัญมากๆ อย่างปีที่แล้วมีนักศึกษาคนนึงได้ไปโอลิมปิก ทาง ม.จึงสนับสนุนค่าเทอมและแถมเงินขวัญถุงให้ด้วย
     
  3. เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาลขนาดใหญ่ จึงมีโรงพยาบาลของตัวเอง นักศึกษาทุกคนจะได้รับสวัสดิการตรวจสุขภาพฟรีทุกเดือน!  และ ม.ยังจัดการเรื่องวัคซีนโควิดให้ด้วยนะคะ เลือกได้ทุกยี่ห้อ สำหรับใครเครียดเรื่องเรียนก็สามารถไปปรึกษา Mental Care ได้ฟรีๆ เช่นกัน
     
  4. ใช้บัตรนักศึกษาเป็นส่วนลดในโรงอาหารหรือมิวเซียมต่างๆ ได้ นอกจากนี้ถ้าเป็นผู้ที่พักอาศัยใน Lazio อย่างถูกกฎหมาย มีสิทธิ์สมัคร MIC card จ่ายปีละ 5 ยูโร (~182 บาท) เข้ามิวเซียมฟรีทุกแห่งแบบไม่มีจำกัด (จริงๆ ทุกวันอาทิตย์แรกของสัปดาห์จะสามารถเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ฟรี รวมถึงที่โคลอสเซียมหรือวาติกันด้วย)
Photo by Ágatha Depiné on Unsplash
Photo by Ágatha Depiné on Unsplash
https://unsplash.com/photos/MtbSRQq7gdI 

เรียนอะไรมาบ้าง?

  บอกก่อนเลยว่าเป็น "คณะรัฐศาสตร์" แต่มหาวิทยาลัยไม่ได้ปิดกั้นความสนใจด้านอื่นๆ อย่างตอนนี้ที่เรียนปี 1 เราก็ได้เจอวิชาจากต่างคณะให้เลือกเรียนได้หลากหลาย เช่น 

  • Legal Traditions and Comparative Laws วิชานี้จะแตกเป็นกฎหมายหลายส่วน กับลักษณะกฎหมายในแต่ละประเทศ
  • Applied English: Speech and Performance เมื่อก่อนเรากลัวว่าความคิดเห็นของตัวเองจะทำให้ใครไม่พอใจรึเปล่า แต่วิชานี้ช่วยเปลี่ยนเราให้กล้าแสดงจุดยืนและถ่ายทอดออกไปมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องให้เกียรติและเคารพความคิดเห็นของคนอื่นด้วย
  • Natural Disasters Prevention and Reaction วิชานี้เราชอบที่สุดเลยค่ะ  อาจารย์เป็นคนตุรกี และทำงานเป็นนักวิจัยและภัยพิบัติทางธรรมชาติและสังคม เมื่อเกิดภัยพิบัติหรือโรคระบาดขึ้น รัฐบาลจะต้องจ้างนักวิจัยกลุ่มนี้เข้ามาช่วยทำงานกับนักการเมือง เช่น สร้างแคมเปญ รณรงค์สร้าง speech เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ประชาชนไม่ตื่นตะหนก  ซึ่งอาจารย์และทีมของเค้าก็เคยไปเป็นอาสาสมัครตอนเกิดภัยพิบัติในประเทศเฮติด้วย

เราประทับใจตรงที่มหาวิทยาลัยเน้นการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย อย่างเช่นเคยพาไปสำนักงานใหญ่ธนาคารหลักของอิตาลี ซึ่งปกติแล้วการจะเข้าไปเห็นบรรยากาศในนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ

สำนักงานใหญ่ของอิตาลี
สำนักงานใหญ่ของอิตาลี

โหมดการเรียนก็มีบ้างที่กดดัน
แต่โดยรวมอบอุ่นจนน่าประทับใจ

คนอิตาเลียนในคลาสเค้าเรียนหนัก กลับบ้านไปอ่านหนังสือทุกวันเพื่อรีวิวสิ่งที่เพิ่งเรียนในคลาส ส่วนเด็กต่างชาติคือปาร์ตี้กันยันวันก่อนสอบเลยค่ะ  อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่าเพื่อนๆ ช่วยเหลือกันดีมาก เพื่อนในคลาสคอยแชร์โน้ตกัน ช่วงสอบช่วยกันติว มีรุ่นพี่คอยเก็บแนวข้อสอบไว้ให้ หรือเวลามีโปรเจกต์อะไรน่าสนใจ ก็จะมาบอกต่อรุ่นน้องตลอด (ที่นี่จะมีห้องสมุดของของแต่ละคณะด้วย ช่วงสอบมิดเทอมหรือไฟนอลจะเต็มเลยค่ะ)

ปกติแล้วในแต่ละปีเขายังกำหนดอาจารย์ประจำตัวให้เราสามารถเข้าพบและพูดคุยได้ ตอนนั้นได้เป็นอาจารย์ที่สอนวิชา Microeconomics ใจดีและดูแลเหมือนเป็นคุณพ่อคนที่สอง คอยถามตลอดว่าเป็นยังไง เรียนยากมั้ย ให้คำแนะนำเวลาเรารู้สึกท้อๆ  อีกทั้งช่วงแรกๆ ทางคณะจะมอบหมายให้รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง  อาจจะพาไปแฮงก์เอาต์ มีปาร์ตี้ค็อกเทล, Scavenget Hunt, ช่วงวันคริสต์มาสก็พาไปปลูกต้นไม้ที่ Botanical Garden  ด้วยกัน // กิจกรรมเยอะมากๆ

รุ่นพี่ที่คณะจัดให้ดูแลรุ่นน้อง
รุ่นพี่ที่คณะจัดให้ดูแลรุ่นน้อง

เราชอบความจริงใจของคนที่นี่มากเลย ส่วนตัวคิดว่าคนทางภาคกลางและภาคใต้ของอิตาลีเค้าจะเฟรนด์ลี่มากกกก และมีความเป็น Extrovert ชวนแฮงก์เอาต์ตลอด อยากรู้เรื่องราวของเรา  เพื่อนในคลาสเจอหน้าแล้วคอยชวนไปเที่ยวเสาร์-อาทิตย์หรือช่วงซัมเมอร์

อยากเล่าความน่ารักให้ฟังค่ะ ในวันคริสต์มาสของที่นี่จะหยุดยาว 2-3 สัปดาห์ แล้วคณะเราจะมีกลุ่มเด็กต่างชาติที่ไม่ได้กลับประเทศตัวเองเพราะต้องเดินทางไกลมาก (เช่น เพื่อนจากลาตินอเมริกาหรือเอเชีย)  เพื่อนคนอิตาเลียนกลุ่มนึงเลยเสกงานวันคริสต์มาสขึ้นมา แล้วชวนเพื่อนที่ไม่ได้มีแพลนไปไหน ให้มากินข้าว เล่นบิงโก และแลกของขวัญกันในวันนั้น  สำหรับคนอิตาเลียน คริสต์มาสคือเทศกาลครอบครัว แต่เขายังใส่ใจเพื่อนคนอื่นแล้วต้อนรับเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกันในช่วงเวลานั้น เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากๆ เลยค่ะ ^^

คิดว่าทำไมประเทศอิตาลี
ถึงเหมาะกับการมาเรียนสายสังคม?

เราคิดว่าอิตาลีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชนและให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมาก ถึงเห็นต่างก็อยู่ร่วมกันได้ ตัวอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ในห้องเรียนเลยค่ะ นักเรียนในคลาสไม่ใช่น้อยๆ แต่เด็กยกมือถามกันตลอดเพราะเขาสนับสนุนให้แสดงความคิดเห็น  หรือเวลาทำงานกลุ่มถ้ามีคนไม่เห็นด้วยเค้าก็กล้าแชร์มุมมองของตัวเอง โดยที่ทุกคนจะรับฟังและให้เกียรติความคิดเห็นซึ่งกันและกัน // ขอบอกว่าบางทีอาจารย์ยังยกคลาสให้เพื่อให้สามารถไปเข้าร่วมการประท้วงเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยนะคะ

และอีกเหตุผลที่เรามองว่าอิตาลีน่าจะตอบโจทย์คนเรียนสายสังคมก็คือที่นี่มีบทบาทการเมืองมากในสมัยก่อน อย่างเช่น ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐก็มีต้นแบบมาจากอาณาจักรโรมัน (เมืองหลวงของอิตาลีในปัจจุบัน = กรุงโรม = อดีตศูนย์กลางจักรวรรดิโรมัน)

ประเทศที่ให้ความสำคัญกับศิลปะ
และร่องรอยทางประวัติศาสตร์

เท่าที่เราสังเกต คนบางกลุ่มอาจไม่ค่อยชอบโรม เพราะเป็นเมืองเก่าแก่และอาจดูพัฒนาไม่ชัดเจนเท่ายุโรปชาติอื่นๆ ด้วยหลายปัจจัย เช่น สถานีรถไฟใต้ดินหรือ Metro หลายครั้งที่เขาพยายามจะสร้างให้ใหญ่ขึ้น แต่ยิ่งขุดยิ่งเจอซากยุคโรมัน อย่าง basilica Porta maggiore ก็เป็นสถานที่ที่ขุดพบตอนที่จะสร้าง Metro (สมัยก่อนระดับพื้นดินของอาณาจักรโรมันจะอยู่ต่ำกว่ากรุงโรมในปัจจุบัน) 

การจะปรับปรุงเมืองนึงต้องคำนึงองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่สามารถจะ Modernized ทุกอย่างในโรมได้ เพราะเขาให้ความสำคัญกับซากวัตถุโบราณที่ค้นพบ และอยากสืบทอดไปถึงรุ่นหลังด้วย ถ้าเกิดเราศึกษาจริงๆ จะพบว่าอาณาจักรโรมันเคยรุ่งเรืองมากและเป็นรากฐานการดำเนินชีวิตหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ด้านการเมือง 

ดังนั้นถ้าใครชอบประวัติศาสตร์ ที่นี่จะมีอะไรให้ศึกษาที่รอเราไปค้นหา แต่ถ้าเกิดคาดหวังเมืองที่โมเดิร์น สะอาด เงียบๆ สงบๆ มีแต่คนท้องถิ่น เมืองนี้อาจไม่ตอบโจทย์  ปกติแต่ละเมืองจะต่างกับไลฟ์สไตล์ที่ต่างอยู่แล้ว มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าเป็นไปได้เราไม่อยากให้ปิดกั้นตัวเอง  ลองเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนตรงนั้น และศึกษาประวัติความเป็นมาของประเทศที่สนใจ 

ประเทศอิตาลีจะมีพื้นที่ให้คนมาใช้เวลาด้วยกันเยอะ เช่น มีสวนสาธารณะแทบทุกสถานีรถไฟใต้ดิน จะไปนั่งชิลหรือเล่นกีฬากับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมาก่อนก็ได้ ซึ่งส่วนตัวเราค่อนข้างอินกับมิวเซียมค่ะ ในโรมมีมิวเซียมเยอะมากกกกแบบมากจริงๆ เราชอบ Vatican Museum ที่แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองของศาสนาคริสต์และความรวยของโป๊บสมัยก่อน (เค้าจะซื้องานศิลปะงานปั้นต่างๆ เยอะมาก) เราคิดว่าเป็น Once in lifetime ที่อยากให้ลองไปดูมากๆ 

นอกจากมิวเซียมแต่ละยุคสมัยในประวัติศาสตร์ กรุงโรมยังมีมิวเซียมธีมต่างๆ เช่น มิวเซียมบอลลูน มิวเซียมอาชญากรรม หรือมิวเซียมพาสต้า ฯลฯ ขอแนะนำ TikTok @livevirtualguide  เขาจะนำเสนอ Hidden place ที่น่าสนใจมากค่ะ หรือจะลองติดตามบนแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้

อีกข้อดีคือยุโรปเป็นทวีปเล็ก  ทำให้เราสามารถนั่งรถบัส รถไฟ หรือบินไปเที่ยวที่อื่นได้อีกเยอะมากกกก และเที่ยวได้แม้้ในช่วงที่มีเงินไม่มาก (อย่างล่าสุดเราได้โปรตั๋วไป-กลับประเทศโปรตุเกสมา 800 บาทค่ะ เวอร์มาก 555) 

การเดินทางข้ามประเทศเรียนต่ออิตาลีในวัย 19 ถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตเหมือนกัน แต่ได้มาเจอความรู้สึก enjoy อิสระ เรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่ และการที่พักอยู่หอยังทำให้เราได้เมกเฟรนด์กับเพื่อนคนอิตาลี เด็กต่างชาติ กับเด็กแลกเปลี่ยนจากหลายประเทศจากทุกมุมโลกด้วย

แชร์จากประสบการณ์ส่วนตัว
มีอะไรบ้างที่ควรเตรียมรับมือ?

  1. ภาษา ถ้าไม่ได้ไปอยู่เมืองใหญ่ๆ อาจจะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกับเราเลย เป็นประสบการณ์ตรงจากสมัยแลกเปลี่ยนของเราค่ะ แต่อีกมุมคือสภาพแวดล้อมก็บังคับให้เราฝึกภาษาอิตาเลียน ทั้งนี้ เขาค่อนข้าง appreciate มากๆ เวลาคนต่างชาติพูดอิตาเลียน

    แต่เรื่องนึงที่ต้องปรับตัวเยอะคือ คนอิตาเลียนพูดเสียงดังมากๆ และติดใช้ภาษามือ เราเองก็ติดเรื่องภาษามือมาเหมือนกัน แค่ทำท่าเค้าก็เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไร แต่จำได้ว่าตอนกลับจากแลกเปลี่ยน 1 ปีที่อิตาลีแล้วกลับไทย เราเสียงดังมากจนคุณพ่อกับเพื่อนตกใจว่า จะพูดเสียงดังทำไม~ อยู่กันแค่นี้ จนเราต้องพยายามเปลี่ยนค่ะ 
     
  2. ระบบราชการ พวกใบอนุญาตพำนักในประเทศ หรือ The permit of stay (permesso di soggiorno per studio)  รอนานสุดไรสุด เรามาที่นี่เดือนสิงหาคม ได้เอกสารนี้ตอนมีนาคม 5555
Photo by Michele Bitetto on Unsplash
Photo by Michele Bitetto on Unsplash

ปิดท้ายด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ
ฉบับคนมาเรียนแบบไม่ขอทุน

เราลองลิสต์ค่าใช้จ่ายประมาณนี้ค่ะ

  • ค่าเทอมประมาณ 2,500 ยูโร (~91,200 บาท)
  • ค่าที่พักต่อเดือน 500-1,000 ยูโร (~18,000-36,500) ถ้าแชร์กันก็ถูกลงไปอีก
  • ค่าอาหาร ของใช้ต่างๆ ประมาณ 700-1,200 ยูโร (~25,550-43,800 บาท)
  • อื่นๆ เช่น ค่าประกัน ค่าวีซ่า ค่าหนังสือ ค่าเดินทาง ฯลฯ มากน้อยขึ้นอยู่กับบุคคล

แชร์วิธีเซฟค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

  • ถ้าใครจะทำอาหารที่บ้าน แนะนำให้ไปซื้อวัตถุดิบจากร้าน local เช่น ซื้อเนื้อสัตว์ที่ Maccelleria มีทุกอย่างในราคาถูกและคุณภาพดีกว่า
  • คนที่นี่นิยมใช้แอป Too good to go สามารถซื้อแบบสุ่มเมนูจากร้านอาหาร ช่วยลด food waste ในร้าอนาหารได้  สมมติเป็นพิซซ่าแบบตัดสำหรับมื้อนึง แค่ 3.99 ยูโร (~145 บาท)


สำหรับใครที่สนใจและอยากขอคำแนะนำการเรียนต่อประเทศอิตาลี  ทัก DM มาทาง IG ของพลอยได้เลยนะคะ เรายินดีให้คำแนะนำค่ะ ^^
 

ข้อมูลหลักสูตร ป.ตรี

รวมช่องทางหลักของคณะนี้

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด