เขียนเรื่องไหนก็ปังได้! ด้วยเคล็ดลับ "ขจัดความกดดัน" จาก Yanzi (燕子)

เขียนเรื่องไหนก็ปังได้! 
ด้วยเคล็ดลับ "ขจัดความกดดัน" 
จาก Yanzi (燕子) 

เขียนเรื่องแรกปัง พอต้องมาเขียนเรื่องใหม่ ก็กลัวว่าผลตอบรับจะไม่ดีเท่าเรื่องแรก!?

มีใครกำลังประสบปัญหาชวนปวดหัวแบบนี้ไหมคะ โรคกลัวความคาดหวัง กลัวว่านิยายของตัวเองจะไม่ดีเท่าเรื่องก่อนหน้าที่เราเขียน

พี่หญิงเชื่อว่านักเขียนมือใหม่ต้องเคยเจอกับปัญหานี้แน่ๆ โดนเฉพาะกับคนที่เขียนเรื่องแรกแล้วปัง นิยายได้รับความสนใจจากนักอ่านอย่างรวดเร็ว หลังเขียนจบ แล้วกำลังจะเปิดเรื่องใหม่ เชื่อว่าในใจหลายๆ คนก็ต้องมีหวั่นๆ แอบกังวลถึงผลตอบรับในอนาคตกันบ้างล่ะ

ซึ่งอาการนี้  Yanzi (燕子) หรือ วีรันดา นักเขียนที่เราเชิญมาแชร์ประสบการณ์กับทุกคนในวันนี้ก็เคยประสบพบเจอมาเหมือนกันค่ะ แม้เธอจะเขียนนิยายมาแล้วกว่า 20 เรื่อง แต่ทุกครั้งที่เปิดเรื่องใหม่ เธอก็ยังมีแอบกดดันอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่ต้องการจมอยู่กับความสำเร็จในอดีต จนไม่กล้ามุ่งไปข้างหน้า เธอจึงมองว่า นิยายเรื่องก่อนมันเป็นอดีตไปแล้ว เหมือน ‘แฟนเก่า’ ที่เราต้องลืมเขาให้ได้ แม้จะเคยมีความสุขด้วยกันมามากแค่ไหน แต่วันนี้พวกเราก็จบกันแล้ว เราจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อตามหา ‘แฟนใหม่’ แล้วกลับมาเชิดหน้าใส่แฟนเก่าว่า เห็นไหม? ถึงฉันจะไม่มีเธอเป็นแฟน แต่ฉันก็มีแฟนที่ดีอีกคนได้นะ เขาอาจจะไม่รวยเท่าเธอ แต่เขาก็รักฉันมากเหมือนกัน!!!

 

สวัสดีค่ะ ‘วี’ ค่ะเจ้าของนามปากกา เยี่ยนจื่อ Yanzi (燕子) ค่ะ สถานการณ์ในชีวิตตอนนี้ ก็คือยังนั่งปั่นนิยายอยู่ทุกวันเหมือนเดิมค่ะ แต่เป็นนิยายเรื่องใหม่นะคะ เพราะเรื่อง ‘ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก’ เพิ่งจะจบไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ข้าเป็นเมียคนปลูกผักผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง ถือว่าได้รับผลตอบรับดีมากค่ะ กับนิยายเรื่องยาวจำนวน 18 เล่มจบ ที่ใช้เวลาโพสต์ไปทั้งหมด 20 เดือนกับอีก 3 วัน (แบบไม่รวมเวลาที่โพสต์ตอนพิเศษ) พี่ต้องขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆ ที่ยอมเดินทางไกลกับพี่ มีบางคนอยู่มาตั้งแต่วันแรกที่โพสต์จนถึงวันสุดท้าย ขอบคุณมากจริงๆ ที่เชื่อใจพี่ แล้วก็ดีใจกับตัวเองด้วยค่ะ ที่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนักอ่านได้ เพราะตลอด 20 เดือน มีวันที่พี่ไม่ได้โพสต์นิยายแค่ 2 วันเท่านั้น ทำให้ถ้าต้องให้คะแนนตัวเอง พี่ก็คิดว่านิยายเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมากทีเดียว

ส่วนกลับมาครั้งนี้ มีอะไรมาฝากทุกคน ก็ต้องเป็นนิยายเรื่องใหม่อยู่แล้วค่ะ ชื่อว่า ‘ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก’ ค่ะ

ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก
นิยายแนวปลูกผักที่เล่าถึงโลกอนาคต

แม้จะเป็นนิยายแนวปลูกผักเหมือนกัน แต่ว่าทั้ง 2 เรื่องนี้ดำเนินเรื่องต่างกันค่ะ เพราะ ‘ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก’ เป็นการดำเนินเรื่องในโลกยุคโบราณ ย้อนกลับไปน่าจะเป็น 500 - 600 ปีเลย ในขณะที่ ‘ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก’ เป็นการดำเนินเรื่องในโลกยุคอนาคตในอีก 2022 ปีข้างหน้า

ความน่าสนใจและจุดเด่นมันก็เริ่มจากยุคสมัยของในเรื่องนี่แหละค่ะ เพราะถ้าเป็นยุคโบราณมันมีข้อจำกัดมากกว่า ตัวละครจะขยับตัวทำอะไรแต่ละทีก็ต้องเริ่มกันตั้งแต่ศูนย์ ซึ่งมันก็เป็นเสน่ห์ของนิยายที่เป็นยุคโบราณ แต่พอมาเป็นยุคอนาคต สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ความศิวิไลของสังคมที่ตัวละครอยู่ ความน่าตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยี และสังคมความเป็นอยู่แบบคนในโลกยุคอนาคต

แต่ตัวละครทั้งสองเรื่องยังต้องแก้ปัญหาเดียวกัน ก็คือ ปัญหาที่ผู้คนไม่มีอาหารอร่อยๆ ให้กิน และโจทย์ว่าจะสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้อย่างไร วีคิดว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นประเด็นที่ทำให้นักอ่านสนใจมากที่สุด เพราะทุกคนต้องอยากรู้ว่าตัวเอกของเรื่องจะใช้วิธีอะไร ในการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

สำหรับจุดเริ่มต้นของนิยายเรื่องนี้เริ่มต้นมาจากตัวพี่เอง ที่เป็นคนมือร้อนปลูกต้นไม้อะไรก็ไม่เคยรอด หรือถ้ามีใครเอาต้นไม้มาให้พี่ช่วยดูแล มันก็จะตายภายในเวลาไม่นาน จนพี่ได้รับสมญานามจากทุกคนในบ้านว่าเป็น ‘ฆาตกรต้นไม้’

แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ไม่เคยหยุดพยายามปลูกต้นไม้นะ และในเช้าวันหนึ่งก็เผลอคิดเข้าข้างตัวเองว่า หรือที่เราปลูกผักไม่เคยรอดเพราะมันเป็น ‘ผักธรรมดา’ ถ้ามันเป็น ‘ผักวิญญาณ’ มันอาจจะรอดก็ได้

เรียกได้ว่านี่เป็นการคิดพล็อตนิยายมาเพื่อซัปพอร์ตจิตใจของตัวเองเลยก็ว่าได้ และจากแนวคิดนี้ พี่ก็เลยได้มาเป็นนิยายเรื่อง ‘ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก’ ที่กำลังโพสต์ให้นักอ่านอ่านกันอยู่ตอนนี้ค่ะ

และอุปสรรคในการเขียนนิยายเรื่อง ‘ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก’ คือ สภาพร่างกายของพี่เอง เพราะอายุมากขึ้นแล้ว ร่างกายก็เลยเจ็บป่วยหลายอย่าง และด้วยอาชีพทั้งสองอาชีพที่พี่ทำ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนหรือทันตแพทย์ ลักษณะงานทำให้เกิดความบาดเจ็บทางร่างกายที่คอ บ่า ไหล่ ข้อมือและหลังอยู่แล้ว ทำให้ช่วงนี้พิมพ์นิยายได้ช้าลง ไม่ใช่เพราะคิดไม่ออก แต่บางทีร่างกายไม่พร้อม ตอนนี้ก็เลยพยายามดูแลตัวเองให้มากขึ้น อุปกรณ์อะไรที่เอามาช่วยเซฟร่างกายให้ไม่เจ็บป่วยได้ ก็รีบซื้อมาใช้ แล้วก็ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะกลัวว่าถ้าป่วยจะไม่ได้เขียนนิยายอีก

Slice of life นิยายที่ความรักพระนางไม่ใช่จุดขาย 
แต่จะค่อยๆ เล่าเรื่องราวชีวิต

จริงๆ ในความรู้สึกของพี่มันก็ไม่ได้ช้า เพราะเรื่องราวของนิยายทั้งสองเรื่อง เน้นเล่าเรื่องผ่านตัวละครนางเอก และพอมาบวกกับแนวนิยายที่เป็นแนว Slice of life ที่จะค่อยๆ เล่าเรื่องราวชีวิตของนางเอกว่าเธอจะแก้ปัญหาครอบครัวหรือปัญหาเรื่องปากท้องอย่างไร มันก็เลยทำให้กว่าที่เธอจะเจอพระเอกจึงต้องใช้เวลานิดหนึ่ง เพราะถ้ามองจากความเป็นจริง คนเราขนาดเรื่องปากท้องยังมีปัญหา แล้วจะมีใครคิดถึงเรื่องความรักจริงไหมคะ

ตรงนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างจากการเขียนนิยายแนวรักหวานแหววและแนวโรมานซ์อย่างสิ้นเชิง เพราะนิยายสองแนวนี้มีเป้าหมายที่จะเล่าเรื่องกระบวนการของความรักว่านางเอกพระเอกเจอกันอย่างไร รักกันได้อย่างไร ก้าวข้ามอุปสรรคด้วยกันอย่างไร และลงเอยกันอย่างไร มันเลยไม่แปลกที่นิยายสองแนวนี้จะเขียนให้พระเอกเจอกับนางเอกเร็ว เพราะถ้าพวกเขาไม่เจอกันแล้วจะเริ่มเล่าเรื่องความรักได้อย่างไร

แต่นิยายแนว Slice of life ที่บวกความสู้ชีวิตของตัวละครเข้าไป การเล่าเรื่องความรักเป็นเหมือนหนึ่งในเชกลิสต์ที่ตัวละครต้องผ่าน ที่แม้ไม่ใช่ประเด็นหลักของการเล่าเรื่อง แต่ก็ขาดไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้สำคัญที่สุดเหมือนกัน ทำให้ตัวละครพระเอก ที่จะเป็นตัวละครที่เข้ามามีบทบาทในการเล่าประเด็นนี้ จึงปรากฏตัวช้ากว่านิยายรักอย่างเดียว 

ส่วนตัวพี่คิดว่าการที่พระเอกของเรื่องปรากฏตัวช้านี้ มันได้กลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างของนิยายแนวนี้เสียมากกว่า เพราะมันทำให้นักอ่านลุ้นว่าเมื่อไรพระนางจะได้เจอกัน แล้วพอพวกเขาได้เจอกันจริงๆ มันก็จะฟินกันสุดๆ ไปเลย ไม่ใช่แค่นักอ่านฟินนะ นักเขียนตอนที่เขียนฉากพวกนี้ก็ฟินเหมือนกัน เพราะก็ลุ้นไม่ต่างกัน (หัวเราะ)

สัตว์ขนฟู! ตัวละครผู้ช่วยที่ทำให้นักอ่านอมยิ้ม!

เพราะพี่ชอบสัตว์ขนฟูมั้งคะ เวลาเห็นแล้วมันอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปหา และพอต้องเขียนนิยายก็เลยอยากให้มีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ น่ารักๆ ขนฟูๆ อยู่ในเรื่องด้วย เพราะพอเขียนถึงแล้วมันอารมณ์ดี และเพราะเรื่อง ‘ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก’ ใช้แมวไปแล้ว พอมาเป็น ‘ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก’ ก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นสัตว์ชนิดอื่น และที่เลือกเป็นกระต่าย ก็เพราะตอนที่ทำพล็อตอยู่ เปิดเจอรูปปกนิทานเด็กฝรั่งที่มีตัวละครหลักเป็นกระต่ายซึ่งช่วยมนุษย์ดูแลสวนผัก ชื่อว่า Peter rabbit ก็เลยได้ไอเดียว่าผู้ช่วยนางเอกในเรื่องผักวิญญาณฯ คงจะต้องเป็นกระต่ายแล้วละ!

ซึ่งการสร้างตัวละครผู้ช่วยแบบนี้ มีความสำคัญตรงที่เขาจะเป็นตัวละครที่เข้ามาเตือนนักอ่านว่า นางเอกไม่ได้อยู่คนเดียว นางเอกจะมีใครบางคนที่พร้อมซัปพอร์ตเธอเสมอ พี่ตั้งใจสร้างตัวละครผู้ช่วยนางเอกให้มาเป็นตัวแทนของนักอ่าน ที่จะคอยช่วยเหลือ ปกป้อง และดูแลนางเอกเสมอ ส่วนเรื่องการใส่ความน่ารักลงไปในตัวละครนี้ มันก็สร้างสีสันให้กับเรื่องได้ดี เพราะแค่เขาโผล่ขึ้นมา คนอ่านก็ยิ้มแล้ว ในนิยายหนึ่งเรื่องควรมีตัวละครอย่างน้อยหนึ่งตัวที่ไม่ใช่ตัวเอก แต่เป็นตัวละครที่นักอ่านหลงรัก เพราะมันจะทำให้นักอ่านรู้สึกอุ่นใจเวลาที่เขาปรากฎตัวขึ้น และรับรู้ว่าเรื่องราวดีๆ กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทำนองนั้นค่ะ แต่เทคนิคนี้คงใช้ไม่ได้กับนิยายที่เป็นแนวหม่นเศร้านะคะ เพราะมันอาจจะไปขัดกับธีมของเรื่องได้

แม้จะเขียนนิยายปัง พอเปิดเรื่องใหม่ก็กดดันเหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนมากี่ปี การเริ่มต้นเขียนนิยายเรื่องใหม่กดดันเสมอค่ะ มันกังวลตั้งแต่พล็อตที่เราวางไว้ ว่ามันน่าสนใจพอไหม? เราจะเขียนออกมาได้ดีหรือเปล่า? และแน่นอนนักอ่านจะชอบอ่านนิยายเรื่องนี้ของเราไหม?

แต่เพราะนี่ไม่ใช่นิยายเรื่องที่ 2 ของพี่ แต่มันเป็นเรื่องที่ 20 แล้ว เรื่องการเขียนนิยายออกมาแล้ว ได้รับผลตอบรับที่ไม่ดีเท่านิยายเรื่องก่อนหน้า เป็นสิ่งที่พี่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแบบมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย ซึ่งประสบการณ์ก็สอนให้พี่รู้ว่า ถึงมันจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดี แต่เราก็ยังต้องเขียนต่อไปตามแผนงานที่เราวางไว้อยู่ดี

อาจมีการปรับแก้แผนงานบ้าง แต่พี่ไม่มีวันล้มเลิกแผนการแน่นอน จะเรียกว่าดันทุรังก็ได้ แต่พี่เชื่อว่าเราจะต้องทำตามแผนให้ครบจบทุกขั้นตอน เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้จากมันว่า เราได้อะไรจากมันบ้าง การล้มเลิกแผนก่อนเวลา สิ่งที่น้องได้รับจะมีแต่ความเสียใจ แต่ถ้าน้องยอมอดทนทำตามแผน แม้จะเจ็บปวดแต่น้องจะได้ประสบการณ์ที่ใครก็สอนน้องไม่ได้

และมันจะไม่ใช่การทำงานที่เสียเวลาเปล่าหรอก เพราะพอเขียนจบ เราก็จะได้เรียนรู้จากมันว่า เพราะอะไรนิยายเรื่องนี้ถึงได้รับการตอบรับที่ไม่ดี แล้วเราจะแก้ไขมันอย่างไร 

แน่นอนว่าถ้าได้รับการตอบรับที่ไม่ดี มันก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว แต่เราจะเสียใจแล้วหยุดอยู่แค่นี้เหรอ พี่เชื่อเสมอว่าถึงนิยายจะได้รับการตอบรับที่ไม่ดี แต่มันจะต้องยังมีคนที่ยังอยากอ่านมันอยู่แน่นอน ก็อย่างที่พี่เคยให้สัมภาษณ์ไป ว่าถ้ายังมีคนอ่านอยู่แม้เพียงคนเดียว พี่ก็จะยังเขียนมันต่อ

(อ่านบทสัมภาษณ์ก่อนหน้าได้ ที่นี่

ส่วนคนที่ไม่ชอบนิยายเรื่องนั้นๆ ของพี่ พี่อยากบอกเขาว่า เอาไว้พวกเราค่อยเจอกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ พี่จะพยายามผลิตนิยายเรื่องใหม่ที่เขาน่าจะชอบออกมาให้ได้ แน่นอนว่ามันต้องอยู่บนบรรทัดฐานว่าเป็นนิยายที่พี่เองก็ชอบที่จะเขียนด้วยเหมือนกันนะ

สำหรับชาวเด็กดีที่เรื่องแรกได้รับผลตอบรับดี พอจะเริ่มเขียนเรื่องที่สอง ก็กลายเป็นความกดดัน แล้วก็เครียด กลัวไม่ดีเท่าเรื่องแรก ก็ให้คิดเสียว่านิยายเรื่องที่แล้วของน้อง มันเป็นอดีตไปแล้ว เหมือน ‘แฟนเก่า’ ที่เราต้องลืมเขาให้ได้ แม้จะเคยมีความสุขด้วยกันมามากแค่ไหน แต่วันนี้พวกเราก็จบกันแล้ว เราจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อตามหา ‘แฟนใหม่’ แล้วกลับมาเชิดหน้าใส่แฟนเก่าว่า เห็นไหม? ถึงฉันจะไม่มีเธอเป็นแฟน แต่ฉันก็มีแฟนที่ดีอีกคนได้นะ เขาอาจจะไม่รวยเท่าเธอ แต่เขาก็รักฉันมาก...แนะนำประมาณนี้พอเห็นภาพไหมคะ? (หัวเราะ)

จริงๆ คำแนะนำเรื่องการรับความกดดันที่กลัวว่านิยายเรื่องที่สองจะไม่ได้รับผลการตอบรับดีเท่าเรื่องแรก มันมีแค่อย่างเดียวก็คือ การทำใจยอมรับว่าทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้ว ค่ะ การที่นิยายเรื่องหนึ่งจะได้รับความรักอย่างมากมาย มันไม่ใช่แค่เรื่องของการเขียนดีเพียงอย่างเดียว อาจมีเรื่องจังหวะเวลาเข้ามาเกี่ยวด้วย ทำให้เมื่อมันเป็นคนละจังหวะเวลากัน แม้จะเป็นนิยายแนวเดียวกัน ก็ไม่สามารถที่จะได้รับผลตอบรับเหมือนกันได้

ดังนั้นน้องควรยึดมั่นกับปัจจุบัน แล้วเก็บความสำเร็จของนิยายเรื่องก่อนหน้าไว้เป็นความทรงจำดีๆ หลังจากนั้นก็ตั้งใจมองไปข้างหน้าเพื่อสร้างความทรงจำใหม่ๆ 

และเพราะแบบนี้ทุกครั้งที่พี่เขียนนิยายเรื่องหนึ่งจบ ก็จะเริ่มเขียนเรื่องใหม่ทันที เพื่อจะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความรุ่งเรืองในอดีตจนถอนตัวออกมาไม่ได้ มันไม่ผิดที่น้องจะเทคโมเมนต์ความสำเร็จที่ผ่านมา มันควรค่าเพราะมันคือหยาดเหงื่อแรงงานของน้อง

แต่อย่าเสียเวลานานเกินไป เพราะมันจะกลายเป็นความยึดติด ที่จะทำให้น้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวกว่าการที่นิยายเรื่องใหม่ได้รับผลตอบรับไม่ดี นั่นก็คือ การที่น้องจะไม่ได้เป็นนักเขียนอีกต่อไป เพราะกลัวการเริ่มต้นใหม่ไปแล้ว

มนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตที่มีตาอยู่ด้านหน้า ดังนั้นจงมองและเดินไปข้างหน้าเสมอค่ะ แล้วน้องจะได้รู้ว่า มันมีสิ่งที่ดีกว่านี้ รอน้องอยู่จริงๆ

อยากเขียนนิยายให้ปัง ต้องอ่านให้มาก 
จับจุดให้ได้ว่าหากเขียนพล็อตแนวนี้นักอ่านชอบอะไร?

การเขียนพล็อตที่อยู่ในกระแส ข้อดีคือเรารู้ว่ามีนักอ่านรออ่านนิยายของเราอยู่แน่นอน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนอ่าน ถ้านักเขียนคนไหนอยากได้รีแอคชันจากนักอ่านเยอะๆ ไม่อยากต้องมานั่งบ่นว่าทำไมไม่มีคนโพสต์คอมเมนต์ให้เลย ควรหันมาเขียนแนวกระแสค่ะ เพราะน้องจะได้รีแอคชันที่น้องต้องการ น้องจะใจฟูจากทั้งยอดคนอ่าน ยอดคอมเมนต์ และแน่นอนถ้าน้องเปิดขายนิยายด้วย ยอดรายได้ก็น่าชื่นใจไม่แพ้กัน

แต่ข้อดีของนิยายแนวกระแส ก็เป็นข้อเสียเหมือนกัน มันก็เข้าทำนอง ‘มากคนก็มากความ’ จะมีคอมเมนต์เข้ามาหลากหลาย จากนักอ่านหลายประเภท น้องจึงต้องใช้สติในการอ่านและรับมือกับมันให้ดี และต้องระมัดระวังอย่าให้มันมามีผลต่อการเขียนนิยายของน้อง จับพล็อตของตัวเองไว้ให้มั่น แล้วเดินหน้าต่อไป

สิ่งสำคัญที่จะเขียนนิยายทุกแนวให้ได้ดี ก็คือจะต้องอ่านนิยายแนวนั้นให้มาก มันไม่ใช่เป็นการอ่านเพื่อก็อปปี้ แต่เป็นการอ่านเพื่อจับจุด ว่าพล็อตอะไรในนิยายแนวนี้ที่นักอ่านชอบ เราต้องมีมันไว้ เพราะมันคือเสน่ห์ที่ทำให้นักอ่าน จะอ่านไม่ยอมหยุด

จากนั้นก็ค้นหาว่าพล็อตอะไรที่นิยายแนวนี้ยังไม่เคยมีคนหยิบมาเล่ามาก่อน หรือถ้าเคยมีแล้ว แต่เราอยากนำเสนอแง่มุมมองที่ต่างออกไป เพื่อเอาไปเพิ่มเติมเป็นพล็อตนิยายของเรา มันก็จะทำให้นิยายของเราแตกต่างจากของคนอื่น

  • ยกตัวอย่างง่ายๆ นิยายรักพล็อตซินเดอเรลล่า หรือความรักของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์กับหญิงสาวชาวบ้าน มันคือพล็อตนิยายแนวกระแสที่เก่าแก่มากกว่านิยายแนวปลูกผักเสียอีก ที่ไม่ว่าจะเอามาเขียนกี่ครั้ง คนก็อ่าน และเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นอีกกี่ร้อยปีข้างหน้า ก็ยังจะมีคนหยิบพล็อตนี้มาเล่าใหม่อยู่ดี

เพราะมันคือเสน่ห์ของเรื่องราวความรักที่มีอุปสรรคที่เห็นภาพชัดที่สุด คนอ่านก็อินง่าย แม้จะบ่นไม่หยุดว่าพล็อตซ้ำซาก แต่ก็ยังอ่านอยู่ดี เพราะอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วพระเอกกับนางเอกจะทลายกำแพงของชนชั้นได้อย่างไร

ซึ่งวิธีการทลายกำแพงนี้เองที่เป็นช่องว่างให้นักเขียนใหม่ๆ เติมลงไปเพื่อทำให้มันกลายเป็นนิยาย original ของตัวเองขึ้นมา

เมื่อมีทั้งพล็อตที่นักอ่านอยากอ่านอยู่ และมีพล็อตที่แปลกใหม่ใส่เพิ่มเข้าไป พอมารวมกับทักษะการเล่าเรื่องของนักเขียนที่ได้มาตรฐาน มันมีความเป็นไปได้ที่น้อยมากเลยนะคะ ที่นิยายแนวกระแสเรื่องนั้นๆ จะไม่ได้รับการตอบรับที่ดี

หากน้องนักเขียนคนไหนอยากทดลองทฤษฎีนี้ของพี่ ก็เชิญได้นะคะ ส่วนตัวพี่ได้ทดลองทำมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง และมันก็ได้ผลที่น่าพอใจตลอด

เคล็ดลับประสบความสำเร็จในการเขียน ‘จงเขียนต่อไปอย่าหยุด’

สิ่งเดียวที่จะทำให้น้องประสบความสำเร็จในการเขียน ก็คือ ‘จงเขียนต่อไปอย่าหยุด’ ถ้าเราทำงานอะไรซ้ำๆ แบบที่ไม่ได้ทำแบบขอไปที ไม่ว่าอย่างไรสักวันเราก็จะเก่งขึ้น ค่อยๆ เก็บสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ และอย่าลืมตั้งเป้าไว้ด้วยว่า ความสำเร็จของน้องมันคืออะไร แนะนำว่าควรตั้งไว้หลายๆ ระดับ จากง่ายไปสู่ยาก จากนั้นก็วิ่งไล่เก็บธงแห่งความสำเร็จไปเรื่อยๆ มันจะเป็นการเดินทางไปสู่ความสำเร็จที่ทั้งสนุกและมีความสุขมากค่ะ

ส่งท้ายถึงชาวเด็กดี

แผนตอนนี้ก็คือการเขียนนิยายเรื่อง ‘ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก’ ให้จบภายในปีหน้า เพราะวียังติดค้างนิยายแนวโรมานซ์ ในชุด ‘Waiting for the full moon’ กับนักอ่านอีก 3 เล่ม

เนื่องจากขอลัดคิวเอานิยายแนวปลูกผักมาเขียนก่อน

เพราะตอนนั้นรู้สึกอยากฝึกฝนทักษะบางอย่างที่จะมีแค่ในนิยายเรื่องยาวเท่านั้น ก็เลยทำให้ต้องหยุดพักการเขียนนิยายชุดนั้นไป โชคดีที่มันเป็นนิยายแบบเล่มเดียวจบ ตัวละครพระนางไม่ใช่คู่เดียวกัน ทำให้แม้จะยังเหลืออีก 3 เล่มนักอ่านก็บอกว่ารอได้ แต่ถ้าสภาพร่างกายเอื้ออำนวยคงสามารถคลอดออกมาให้นักอ่านที่รออยู่อ่านได้เร็วๆ นี้ค่ะ 

ดังนั้นตอนนี้ก็เลยขอฝากนิยายเรื่องปัจจุบันที่เขียนอยู่ เรื่อง ‘ผักวิญญาณพวกนี้ฉันเป็นคนปลูก’ ด้วยนะคะ 

หรือถ้าใครชอบอ่านนิยายแนวปลูกผัก แต่อยากได้ที่ลง ‘จบแล้ว’ ก็สามารถไปอ่านเรื่อง ‘ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก’ รอไปพลางๆ ก่อนได้ค่ะ มีทั้งแบบอ่านเป็นตอนๆ บนเวปเด็กดี แบบ eBook และแบบรูปเล่มค่ะ

ส่วนใครอยากสัมผัสนิยายแนวอื่นที่วีเคยเขียน ก็มีให้อ่านหลายสิบเรื่องอยู่นะคะ แต่อยู่ในนามปากกา veerandah (วีรันดา) สามารถดาวน์โหลด ออนไลน์ หรือหาซื้อแบบรูปเล่มมาอ่านกันได้

ขอบคุณนักอ่านอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนที่อบอุ่นเสมอมา และหวังว่าพวกเราจะได้พบกันในหน้ากระดาษของนิยายเล่มถัดไปของวีค่ะ

แม้จะเขียนนิยายประสบความสำเร็จมาแล้วหลายเล่ม มีนักอ่านคอยติดตามอยู่มากมาย แต่พี่วีเองก็เป็นนักเขียนคนนึงที่ต้องเผชิญหน้ากับความกดดันทุกครั้งที่เปิดเรื่องใหม่ ทั้งในประสบการณ์เขียนนิยายกว่า 20 เรื่อง ก็มีบางเรื่องเหมือนกันที่มีผลตอบรับไม่ดีเท่ากับเรื่องก่อนหน้า แต่พี่วีก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้และทิ้งนิยายเรื่องนั้นไป เพราะพี่วีถือคติที่ว่าถึงแม้นิยายเรื่องนั้นจะมีคนอ่านน้อย แต่ก็ยังมีคนอ่าน เธอจะไม่ยอมทิ้งนักอ่านเหล่านั้นไว้กลางทางแน่นอน ทั้งยังเก็บประสบการณ์นั้นมาเป็นบทเรียนที่จะพัฒนาผลงานต่อไปอีกด้วยค่ะ

ดังนั้นสำหรับนักเขียนเด็กดีคนไหนที่อยากประสบความสำเร็จในเส้นทางนักเขียน ก็อย่างที่พี่วีได้บอกไว้เลยค่ะ คือ ‘จงเขียนต่อไปอย่าหยุด’ ถ้าเราทำงานอะไรซ้ำๆ แบบที่ไม่ได้ทำแบบขอไปที ไม่ว่าอย่างไรสักวันเราก็จะเก่งขึ้นแน่นอน ว่าแล้วก็เปิดจจอขึ้นแล้วเริ่มเขียนนิยายกันเถอะ!

เริ่มต้นเขียนนิยาย

พี่หญิง

อ่านนิยายของ Yanzi (燕子) 

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น