Yanzi 燕子 พิสูจน์แล้วว่าหากนิยายสนุก ไม่ว่าใครเขียนก็มีคนอ่าน

 

Yanzi 燕子  พิสูจน์แล้วว่า...
หากนิยายสนุก ไม่ว่าใครเขียนก็มีคนอ่าน

 

นักเขียนที่ไม่มีฐานแฟนคลับจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้จริงหรือ? อาจเป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับใครหลายคน รวมถึง “วี” หรือ “วีรันดา” นักเขียนชาวเด็กดีที่ถึงแม้จะมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และมีนักอ่านแฟนพันธุ์แท้อยู่ไม่น้อย แต่เธอก็เป็นคนหนึ่งเช่นกันที่อยู่ๆ ก็เกิดข้อสงสัยบางอย่างในฝีมือการเขียนของตัวเองขึ้นมา สงสัยว่าความจริงแล้ว ตัวเองยังเขียนได้ดีอยู่ไหม นักอ่านซื้อนิยายไป จะซื้อเพียงแค่เพราะเคยชินที่จะต้องอ่านงานของเราหรือเปล่า ตั้งคำถามในใจว่าถ้าเราเปลี่ยนนามปากกาและไม่บอกใครเลยว่าเราเป็นคนเขียนจะเป็นอย่างไร ยังจะมีนักอ่านกดเข้ามาอ่านนิยายของเราไหม? 

และนักเขียนนามปากกา “Yanzi 燕子” ก็ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อคาดข้อสงสัยนี้ และเธอก็ได้ใช้ผลงาน ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก พิสูจน์ให้เราทุกคนได้รู้ว่า หากเป็นนิยายที่สนุก ไม่ว่าใครเขียนก็จะมีคนอ่าน!

 

สวัสดีค่ะ ชื่อ เยี่ยนจื่อ (Yanzi 燕子) ค่ะ ผู้เขียนนิยายเรื่อง ‘ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก’ สำหรับผลงานที่ผ่านมา ถ้ากับนามปากกา Yanzi 燕子 นี้ นิยายเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกค่ะ แต่ถ้านับรวมนามปากกาเดิม คือ วีรันดา (Veerandah) ก็เขียนนิยายมา 19 เรื่อง รวมทั้งหมด 22 เล่มค่ะ  

จุดเริ่มต้นการเข้าสู่วงการนักเขียน?

โห ถ้าให้เล่าตั้งแต่เริ่มก็รู้เลยว่าแก่แล้ว (หัวเราะ) เริ่มเขียนนิยายตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ค่ะ ประมาณต้นปี 2548 ที่เขียนเพราะน้องสาวฝาแฝด ‘กัลฐิดา’ ชวนเขียนนิยาย กัลเริ่มเขียนประมาณปลายๆ ปี 2547 แต่วีเริ่มช้ากว่า และผลงานเรื่องแรกก็คือ ‘ปีกรัก’ เป็นนิยายเรื่องสั้นเกี่ยวกับความรักของทันตแพทย์ เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา เรากำลังอินกับคณะที่สอบเข้าไปเรียนได้  

เขียนเสร็จก็เอามาโพสลงเด็กดีนี่แหละ ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ตีพิมพ์ แต่เรื่องนี้ก็โชคดีได้ตีพิมพ์กับสถาพรบุคส์ค่ะ ร่วมกับเรื่องสั้นของกัล โดยเปลี่ยนชื่อเป็นเรื่องเป็น ‘สมมติฐานความรัก’ และนิยายเรื่องนี้ก็เป็นนิยายเรื่องแรกและยังเป็นเรื่องเดียวของวีที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ด้วย 

เพราะวีเป็นคนเขียนนิยายช้ามาก บวกกับการเรียนในคณะทันตแพทย์ที่หนักหน่วง ก็เลยหยุดเขียนนิยายไปตั้งแต่ตอนขึ้นปี 3 ซึ่งตอนนั้นก็มีโพสนิยายไว้ในเด็กดีอีก 2 เรื่องคือ ‘ความรักของแสนรัก’ กับ ‘เจ้าชายตุ๊กตากับกาลครั้งหนึ่ง...ความรัก’ ก่อนจะหายไปตัวไปจากโลกของงานเขียน  

จนถึงปี 2554 เรียนจบเป็นทันตแพทย์ใช้ทุนที่จังหวัดหนองคาย เพราะเรามีชีวิตที่มีแต่เรียนกับสอบมาตลอดหลายปี พอไม่ต้องอ่านหนังสือเพื่อสอบมันก็เลยไม่มีอะไรทำ แถมมาอยู่ไกลบ้านมากๆ เรียกว่าติดประเทศลาวเลยทีเดียว พอไม่มีอะไรทำ ก็นอนดูซีรีส์เกาหลีอยู่ 3 เดือน จนกัลมาบอกว่า  

“เจ๊ หนูว่าถึงเวลาที่เจ๊จะกลับมาเขียนนิยายแล้วล่ะ” 

ก็เลยเป็นเหตุให้วีกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเขียนนิยายอย่างจริงจังอีกครั้ง และเพราะเราไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ทำให้วีมีเป้าหมายใหม่ ที่ไม่ใช่การเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก แต่เราจะเขียนเพื่อเลี้ยงชีพ เป้าหมายของวีในตอนนั้นก็คือ อยากเป็นนักเขียนอาชีพ ค่ะ และจนถึงวันนี้ก็ยังเป็นเป้าหมายนี้อยู่ 

Yanzi 燕子 ไม่ใช่นามปากกาแรก?

นามปากก่อนหน้าก็คือ วีรันดา (Veerandah) ค่ะ ส่วน ‘เยี่ยนจื่อ’ (Yanzi 燕子) ออกเสียงแบบจีนกลาง แปลว่า ‘นกนางแอ่น’ เป็นชื่อจีนของคุณแม่ของวีเองค่ะ เป็นชื่อที่อากง หรือคุณตาของวี เป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ก่อนที่คุณแม่จะมีชื่อไทยตามบัตรประชาชน 

พอถึงตอนที่วีคิดพล็อตนิยาย ‘ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก’ และเริ่มเขียนมาได้ระยะหนึ่ง ก็พบว่ามันเป็นคนละแนวกับนิยายที่ตัวเองเขียนอยู่ ก็เลยมีความคิดอยากทดลองขึ้นมาว่า ถ้าเราเปลี่ยนนามปากกาและไม่บอกใครเลยว่าเราเป็นคนเขียนจะเป็นอย่างไร ยังจะมีนักอ่านกดเข้ามาอ่านนิยายของเราไหม? 

วีเลยคิดหานามปากกาใหม่ และในฐานะลูกหลานคนจีนคนหนึ่ง วีก็เลยโทร. ไปขอชื่อจีนของคุณแม่ที่อากงตั้งให้มาใช้เป็นนามปากกา เพราะรู้สึกว่าชื่อที่ปู่ย่าตายายตั้งให้ เป็นชื่อที่ดีและมีความสิริมงคลกับชีวิตอยู่แล้ว 

ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก นิยายเรื่องแรกในนาม Yanzi 燕子 

แรงบันดาลใจมาจากการอ่านนิยายแนวผู้หญิงสองชาติ สองภพ ย้อนอดีต เนี่ยแหละค่ะ อ่านมากๆ เข้าแล้วมันก็เครียด เพราะนางเอกแต่ละคน สวย เก่ง ดี มีของวิเศษ แต่ชอบย้อนไปเกิดเป็นฮองเฮา เป็นเมียแม่ทัพ ลำบากแสนลำบาก นิยามชีวิตคือการต่อสู้แย่งชิง  

ตอนอ่านมันสนุกมากก็จริง แต่ในใจเราก็คิดว่า ถ้าเรามีโอกาสย้อนกลับไปบ้าง ไม่ต้องไปเป็นเมียแม่ทัพนะ ฮองเฮาอะไรก็ไม่อยากเป็น ขอเป็นเมียคนธรรมดา ปลูกผักปลูกหญ้า ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในป่า มีความสุขกับธรรมชาติดีกว่า เพราะชีวิตในชาติปัจจุบันมันยุ่งวุ่นวายมากพออยู่แล้ว จะย้อนเวลาข้ามมิติเพื่อไปใช้ชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายเพิ่มอีกทำไม อุตส่าห์มีชีวิตใหม่แถมมีของวิเศษช่วยเหลือแล้วด้วย 

พอกัลได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “เยี่ยม! งั้นเจ๊เขียนเลยสิ หนูตั้งชื่อเรื่องให้ ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก! โอเคนะ รีบเขียนเร็วๆ ล่ะ จะรออ่าน” 

นี่แหละค่ะแรงบันดาลใจและจุดเริ่มต้นของการเริ่มเขียนนิยายเรื่องนี้ของวีค่ะ 

การเขียนนิยายต้องอยู่บทพื้นฐานของความเข้าใจ

การเขียนนิยายทุกเรื่องสำหรับวีมันต้องมีพื้นฐานความรู้ในโลกที่เราต้องการเขียนอยู่พอสมควร เพราะถ้าเราไม่เข้าใจมัน เราก็จะทำให้คนอ่านเข้าใจได้ยาก แม้ว่าวีจะเป็นลูกหลานคนจีนแต่ก็ไม่ได้เข้าใจวัฒนธรรมจีนลึกซึ้งมาก เพราะก็เป็นรุ่นที่สามแล้ว แต่สิ่งที่วีรู้และเข้าใจคือ บ้านของวีมีวัฒนธรรมผสมผสานของสองชนชาติอยู่ มันเลยทำให้วีรู้สึกว่าโลกใหม่ที่วีอยากให้ตัวละครไปโลดแล่น ควรมีวัฒนธรรมแบบผสมผสาน  

เพื่อเป็นการเปิดกว้างทางความคิดและยังทำให้เราสามารถใส่รายละเอียดบางอย่างที่เราต้องการใส่ลงไปได้ง่าย รวมไปถึงสร้างความสมเหตุสมผลให้กับเรื่อง ได้มากกว่าการใช้วัฒนธรรมเดียวล้วนๆ ที่สุดท้ายเราอาจจะเผลอเล่าแบบตามใจตัวเอง จนทำให้นักอ่านเกิดความสับสนและสงสัยว่า มันทำได้จริงหรือในโครงเรื่องแบบนี้ เพื่อป้องกันปัญหานั้นวีก็ทำให้นักอ่านเข้าใจไปเลยตั้งแต่แรกว่า มันสามารถทำได้ในพล็อตนี้ 

การที่นิยายเรื่องนี้พูดถึงประเด็นการแต่งงานและเพศหญิงเยอะมาก ก็เพราะมันมาจากชื่อเรื่องค่ะ ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก วีต้องการจะสื่อสารว่า การเป็นเมียคนปลูกผักในดินแดนแห่งนี้ต้องผ่านอะไรบ้าง จริงๆ มันเกิดจากตอนที่วีหาข้อมูลวิถีชีวิตของผู้หญิงในยุคโบราณหลายๆ ชนชาติ แล้วพบว่าไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยหรือยากจน มักไม่ได้มีชีวิตที่ง่ายดายนัก ทางเลือกของพวกเธอมีจำกัด จริงๆ ผู้หญิงในยุคปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน เพราะวีอยากจะสื่อสารกับกับนักอ่านว่า ‘เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก’ เลยทำให้เรื่องราวในนิยายเรื่องนี้ มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น 

เปลี่ยนนามปากกาครั้งแรกกับเซอร์ไพรส์ที่เกินคาด!

ผลตอบรับถือว่าเกินความคาดหมายอย่างมาก เพราะวีได้ตั้งโจทย์ให้กับตัวเองหลายข้อมากสำหรับกับการเขียนนิยายเรื่องนี้  

โจทย์ข้อแรก วีต้องเปลี่ยนนามปากกา เพราะอยากจะทดสอบความเชื่อของตัวเองที่ว่า หากเป็นนิยายที่สนุก ไม่ว่าใครเขียนก็จะมีคนอ่าน  การเป็นนักเขียนมานานๆ บางครั้งก็เกิดคำถามว่า เรายังเขียนได้ดีอยู่ไหม นักอ่านซื้อนิยายของเราเพียงแค่เพราะเคยชินที่จะต้องอ่านงานของเราหรือเปล่า  

มันรู้สึกดีนะคะ ที่มีนักอ่านมาบอกว่า “แค่เห็นชื่อพี่ หนูก็ซื้อแล้ว” ทั้งรู้สึกดีใจและขอบคุณ แต่ว่าเมื่อเป้าหมายของเราคือการเป็น ‘นักเขียนอาชีพ’ มืออาชีพจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เราจึงต้องการบททดสอบที่ไม่มีความลำเอียง ซึ่งตอนที่เริ่มบททดสอบนี้กับตัวเอง วีพบว่าวีกลัวมาก แต่เราก็ต้องเอาความกลัวนั้นเป็นแรงผลักดัน แล้วผลลัพธ์ก็คือ ความเชื่อของวีที่มีมาตลอด มันยังคงถูกต้อง  

“หากเป็นนิยายที่สนุก ไม่ว่าใครเขียนก็จะมีคนอ่านเสมอ” 

โจทย์ข้อที่สอง คือ วีเป็นคนเขียนนิยายช้ามาก มันน่าหงุดหงิดที่เรามีเรื่องราวที่อยากเล่ามากมาย แต่เรากลับมีสมาธิที่เขียนมันได้น้อยเหลือเกิน วีมักมีข้ออ้างให้กับตัวเองว่า เพราะต้องทำงานประจำ ทำให้ไม่มีสมาธิเขียนนิยาย แต่พอวีลดเวลาทำงานประจำลง วีก็ยังพบว่าตัวเองยังคงเขียนนิยายได้ด้วยความเร็วเท่าเดิม ทั้งๆ ที่มีเวลามากขึ้น ทั้งๆ ที่มีทักษะการเขียนที่ดีขึ้น และทั้งๆ ที่มีพล็อตเรื่องที่ดีขึ้น  

ทำให้วีเริ่มรู้ตัวว่า สำหรับวีมันไม่เกี่ยวว่าจะมีงานประจำทำหรือไม่ แต่การที่วีเขียนนิยายได้ช้า มันเกิดจากการที่ วียังใส่ความตั้งใจลงไปในการเขียนนิยายไม่มากพอ วีวางแผนไม่ดีพอ วีขี้เกียจ และชอบหาข้ออ้างที่เขียนนิยายไม่ได้ให้กับตัวเอง 

การเริ่มเขียนนิยาย ข้าเกิดเป็นเมียปลูกผัก ทำให้วีได้ทบทวนความผิดพลาดของตัวเอง และเริ่มท้าทายตัวเองด้วยคำถามที่ว่า ‘เราอยากจะเป็นนักเขียนที่เก่งขึ้นกว่าตอนนี้หรือยัง?’  

วียังไม่กล้าสรุปผลลัพธ์ของโจทย์ข้อนี้ แต่นับตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์จนถึงวันนี้เป็นเวลาครบ 1 ปี พอดี วีพบว่า ตัวเองเมื่อตั้งใจทำอะไร ก็ทำได้ดีเหมือนกัน  เพราะนับตั้งแต่วันที่เริ่มโพสนิยายตอนแรกในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 วียังไม่เคยผิดสัญญากับนักอ่านที่จะอัพนิยายให้อ่านทุกวันเลย และยังสามารถออกรวมเล่มอีบุ๊คส์ได้ทุกสิ้นเดือนตามที่ตั้งเป้าไว้อีกด้วย ซึ่งวีหวังว่าจะทำสถิตินี้ต่อไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะจบเรื่อง (ตบมือให้กำลังใจตัวเอง 10 ที^^) 

อย่างที่บอกว่าเป้าหมายในการเป็นนักเขียนของวีคือการเป็นนักเขียนอาชีพ วีพูดได้เต็มปากว่าทุกวันนี้แทบไม่เคยแนะนำตัวเองว่าเป็นทันตแพทย์เลย เพราะเงินที่ใช้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวมาจากการเขียนนิยายถึง 95%  จนแม้กระทั่งผู้ช่วยที่คลินิกที่วีทำงานอยู่ยังชอบแซวว่า ‘หมอทำฟันเป็นแค่งานอดิเรกอะ’ อยู่บ่อยๆ เพราะแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ที่ใช้อ่านฟิมล์เอกซ์เรย์ของคลินิกทันตกรรม ก็เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ที่วีใช้พิมพ์นิยายในวันที่วีไปทำหน้าที่เป็นหมอฟันค่ะ (หัวเราะ)  

เมื่อ 10 ปีกว่าที่แล้ว ที่วีเริ่มต้นเขียนนิยาย วีนำนิยายมาโพสในเว็บเด็กดี เพราะในตอนนั้นการจะเป็นนักเขียนต้องโชว์ผลงานให้คนเห็น แล้วก็จะมีบก.มาขอต้นฉบับเราไปตีพิมพ์ ในตอนนั้นแม้ว่าวีจะไม่ได้มีความตั้งใจอยากจะเป็นนักเขียนอาชีพ แต่ก็ต้องพูดว่า เว็บเด็กดีคือเวทีเดบิวต์สำหรับการเป็นนักเขียนของวี  

อีก 5 ปีต่อมา วีเปลี่ยนเป้าหมายว่าอยากเป็นนักเขียนอาชีพ โลกเองก็มีการเปลี่ยนไปเช่นกัน นักเขียนไม่จำเป็นต้องรอสำนักพิมพ์ เพราะเราสามารถทำหนังสือทำมือขายเองได้ รวมไปถึงการมาถึงของยุคอีบุ๊คส์ ที่ลดการขั้นตอนในโรงพิมพ์ไปอีก  

ข่าวดีก็คือวีมีเว็บเด็กดี ที่เป็นผู้ช่วยโชว์ผลงานของเราและช่วยประชาสัมพันธ์เวลาที่เราเปิดขายหนังสือ เพราะแบบนี้เอง ทำให้ความฝันการเป็นนักเขียนเพื่อเลี้ยงชีพของวีเป็นจริงขึ้นมา ขอบอกว่านี่ไม่ได้เป็นการอวยเว็บเด็กดีแต่อย่างใด วีพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างใจจริงค่ะ 

ปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า นิสัยการอ่านของนักอ่านได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง นอกจากนักอ่านจะต้องการนิยายที่สนุกแล้ว นักอ่านยังต้องการนิยายที่ออกได้เร็วทันความต้องการอ่านของพวกเขาอีกด้วย รวมไปถึงปัญหาการเผยแพร่นิยายอย่างผิดลิขสิทธิ์ มันทำให้นักเขียนหลายคนท้อแท้ไปมาก  

การมาถึงของยุคที่เปิดขายนิยายรายตอนได้ เหมือนมาช่วยบรรเทาปัญหานี้ เพราะพอนักเขียนเขียนเสร็จ ก็สามารถส่งตรงถึงนักอ่านได้เลย การร่นระยะเวลานี้ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาเก่าแก่ให้นักเขียนได้มาก และสามารถทำให้เราอยู่รอดได้นานขึ้น 

นี่จึงเป็น โจทย์ข้อที่สาม ของวี นั่นก็คือการเรียนรู้ที่จะเป็นนักเขียนอาชีพในยุคนิยายออนไลน์ วีรู้ว่าตัวเองแก่ขึ้น แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะหยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ วีเชื่อมาตลอดว่า นักอ่านไม่เคยหายไปไหน และคนไทยไม่ได้อ่านหนังสือแค่วันละหกบรรทัด นักอ่านแค่อยากอ่านสิ่งที่เขาอยากอ่านด้วยวิธีที่เขาสะดวก  

ในเมื่อนักอ่านสะดวกจะอ่านจากอีบุ๊คส์ วีก็ทำอีบุ๊คส์ หากนักอ่านอยากอ่านแบบออนไลน์รายตอน วีก็จะศึกษาระบบนี้ เพื่อผลิตนิยายรายตอนให้นักอ่านของวี 

การเป็นนักเขียนอาชีพ โดยเฉพาะนักเขียนทำมือ เมื่อเราเขียนนิยายจบ หน้าที่นักเขียนของเราได้จบลงแล้ว แต่หน้าที่แม่ค้าขายนิยายกำลังเริ่มต้นขึ้น ซึ่งหน้าที่ของแม่ค้า ก็คือ ต้องศึกษาช่องทางการขายสินค้าของเราให้ดี ซึ่งหลังจากศึกษาวิธีการขายนิยายรายตอนออนไลน์และทดลองใช้ระบบนี้มา 5 เดือน วีพบว่า นี่คือหนทางรอดของนักเขียนทำมือยุคใหม่ หลังจากนี้ คงมีนักเขียนที่เขียนนิยายเพื่อเลี้ยงชีพเกิดขึ้นอีกมากมายอย่างแน่นอน ดังนั้น ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่นะคะ 

การเล่าเรื่องที่น่าเบื่อให้ไม่น่าเบื่อ อุปสรรคที่ต้องเอาชนะ

สิ่งที่ยากที่สุดในการเขียนนิยายเรื่องนี้ก็คือ การเล่าเรื่องที่น่าเบื่อให้ไม่น่าเบื่อ เพราะทุกคนคงไม่เถียงว่า แม้เราจะชอบความสโลว์ไลฟ์ แต่การที่อ่านนิยายที่บอกเล่าเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของตัวละครไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องน่าเบื่อค่ะ  

ไม่ใช่แค่คนอ่านที่เบื่อ คนเขียนเองบางทีก็เบื่อ มันเลยต้องอาศัยกลวิธีการเล่าที่สอดแทรกภารกิจธรรมดาๆ ที่ทำให้ดูน่าสนใจขึ้น  

และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมนิยายแนวสโลวไลฟ์จึงมักจะต้องเป็นนิยายย้อนยุค เพราะสิ่งธรรมดาสามัญในโลกปัจจุบัน มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ของคนยุคโบราณนั่นเอง เมื่อเอามารวมกับของวิเศษ สัตว์วิเศษ ทุกอย่างก็จะดูน่าสนใจขึ้น คนเขียนก็สนุก คนอ่านก็สนุก แต่การจะทำให้ได้ทั้งหมดที่พูดมานี้ ก็เป็นเรื่องที่ยากมากเช่นกัน วีเองก็ยังทำได้ไม่ดี แต่ก็กำลังพยายามพัฒนาอยู่ค่ะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ 

อยากเขียนนิยายให้น่าติดตาม ก็ต้องเขียนนิยายที่เรารู้สึกอยากติดตาม

ถ้าเราอยากเขียนนิยายให้น่าติดตาม ก็ต้องเขียนนิยายที่เรารู้สึกอยากติดตามค่ะ ตอบเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่วีใช้หลักการนี้ตลอด จริงๆ ถ้าไม่นับนิยายเรื่องนี้ที่วีมาจับพล็อตนิยายแนวกระแส อย่างแนว ย้อนยุค ข้ามมิติ ปลูกผัก หลักการวางพล็อตนิยายของวี ก็คือ เขียนเรื่องที่วีอยากเขียน  

เพราะถ้าเราอยากเขียน เราจะรู้ว่าจะทำให้มันน่าติดตามอย่างไร และเพราะตอนนี้วีอยากเขียนแนวปลูกผัก ทั้งที่ไม่ใช่แนวที่ถนัดเลย แต่เพราะวีอยากเขียนพล็อตนี้ วีจึงพยายามฝึกทักษะเพิ่มเติมเพื่อจะเขียนมันให้ได้ ซึ่งมันเลยรู้สึกสนุกมากขึ้นไปอีก กัลพูดเสมอว่า  

“ถ้านักเขียน ตอนเขียนยังสนุกมาก นักอ่านต้องสนุกแน่นอน” 

วีคิดว่ามันเป็นข้อสันนิษฐานที่ถูก ถ้าใครไม่เชื่อก็ทดลองดูค่ะ แต่วีทดลองแล้ว พบว่ามันจริง 

ถ้าอยากเก่งขึ้น ก็ต้องกล้าที่จะท้าทายตัวเอง

เลือกใช้นามปากกาใหม่มาเขียนนิยายแบบนี้ ส่วนตัวมีความกังวลและกลัว เพราะเปลี่ยนนามปากกาใหม่ แต่อย่างที่บอก ถ้าเราอยากเก่งขึ้น เราก็ต้องกล้าที่จะก้าวออกไปท้าทายตัวเอง แต่ลึกๆ แล้วเราก็แอบมั่นใจว่ามันต้องได้รับการตอบรับที่ดี เพราะเป็นพล็อตที่คนกำลังสนใจ และ First reader อย่างกัลฐิดาบอกว่าสนุก มันก็เลยช่วยให้เราฮึกเหิมขึ้นมานิดนึง (หัวเราะ) 

แล้วผลที่ได้มันก็ว้าวมากจริงๆ ค่ะ ทั้งชีวิตของการเป็นนักเขียนในเว็บเด็กดีมาสิบกว่าปี ไม่เคยขึ้น Top20 ของเว็บเลยสักครั้ง มาได้ขึ้นเพราะเรื่องนี้นี่เอง (หัวเราะ) แถมเป็นการขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจมาก คือใช้เวลา 25 วันหลังจากโพสตอนที่ 1 ไป 

เป็นอีกครั้งที่คำพูดของกัลตอกย้ำวีว่า หากเป็นนิยายที่สนุก ไม่ว่าใครเขียนก็จะมีคนอ่านเสมอ และวีขอเพิ่มคำพูดของกัลต่อท้ายอีกหนึ่งประโยคหนึ่งว่า และถ้านิยายที่เราเขียนเป็นแนวที่มีคนชอบเยอะ เราก็จะ Mass 

วีมั่นใจว่านิยายของตัวเองทุกเรื่องสนุก แต่มันไม่ใช่นิยายดังหรือขายดี เพราะมีแค่นักอ่านกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ชอบมัน แต่แค่นั้นวีก็เลี้ยงชีพด้วยนิยายมาได้นะคะ พอในวันที่นิยายวีมันมีคนอ่านมากขึ้น วีก็เลยไม่ได้ยึดติดกับอันดับมากนัก รู้สึกดีใจน่ะใช่ แต่ก็จบแค่นั้น แล้วก็กลับไปทำงานต่อ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวีก็คือ วียังสามารถทำอาชีพเขียนเรื่องสนุกๆ ให้คนอ่านอ่านต่อไปได้อีก 

แม้จะเปลี่ยนนามปากกาแต่ก็มีนักอ่านจับได้!

ถามว่ามีนักอ่านจับได้บ้างไหมว่าเคยใช้นามปากอื่นเขียนนิยายมาก่อน มีค่ะ ตอนแรกๆ ก็มีคนสงสัยว่าต้องไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่แน่ๆ แล้วมันมาโป๊ะก็เพราะตัวละครแมวที่เราใส่เข้าไปในเรื่องนี่แหละ นักอ่านหลายคนของวีที่ติดตามกันมานานๆ เขามาเห็นรูปแมวที่เราใส่เป็น Ref แล้วก็ทักว่า “นักเขียนต้องเป็นพี่วีหรือพี่กัลแน่ๆ เพราะจำแมวได้” แล้วพอวีเปิดตัวว่าเป็นวีรันดาเอง เขาก็มาโพสว่า  

“หนูรู้อยู่แล้วแหละ เพราะหนูจำแมวพี่วีได้” (หัวเราะ)   

ท้อที่เขียนนิยายแล้วไม่มีคนอ่าน คิดว่าการเป็นนักเขียนใหม่ ไม่มีฐานแฟนคลับนั้นประสบความสำเร็จยาก....คือปัญหาของนักเขียนใหม่ที่มีมาอย่างยาวนาน!

 จริงๆ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่มีมาตลอดไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 15 ปีก่อนที่พี่เริ่มเขียนนิยาย หรือจะเป็นตอนนี้ มันเป็นคำถามที่ไม่เคยหายไปไหน คำแนะนำของพี่ก็คือ ‘น้องต้องอยู่กับมันและต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้’  

เพราะโดยเนื้อแท้แล้วสังคมการอ่านเป็นสังคมของคนที่เก็บความรู้สึกไว้ในใจ โดยพื้นฐานแล้วมันไม่ใช่สังคมของการวิพากษ์ ถ้าไม่ได้มีการจัดเวทีหรือพื้นที่ให้มีการพูดคุยจริงๆ ดังนั้นนักอ่านที่คอมเมนต์ให้เราต้องรู้สึกขอบคุณเขามากๆ ส่วนนักอ่านที่ไม่ได้คอมเมนต์เรา เขาก็ไม่ได้ผิด  

ในส่วนของน้องที่กำลังหมดกำลังใจและก้าวผ่านประเด็นนี้ไปไม่ได้ พี่ก็ขอให้กำลังใจน้อง ด้วยการยกตัวอย่างเป็นตัวเองก็แล้วกัน 

ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่นับนิยายเรื่องปัจจุบัน พี่เขียนนิยายมาแล้ว 18 เรื่อง ยอดเฟบนิยาย รวมกันทุกเรื่อง หรือยอดคอมเมนต์รวมกันทุกเรื่อง หรือแม้แต่เอา ยอดคนเข้าอ่านนิยายทุกเรื่อง มารวมกันก็ยังมีจำนวนน้อยกว่า ยอดของนิยายเรื่อง ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก แค่เรื่องเดียว  

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นรายได้รายปีที่พี่ได้จากงานเขียน ยังนับเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมดของพี่ในแต่ละปี นั่นหมายความว่าอะไร? 

มันหมายความว่า ถ้าน้องเขียนงานเขียนที่ดี งานนั้นก็มีความคุ้มค่าพอที่นักอ่านจะซื้อไง แล้วเมื่อเราเป็นนักเขียนอาชีพ นี่ไม่จุดประสงค์หลักของการเป็นนักเขียนหรือ? 

ถ้าพี่ยึดติดกับยอดเฟบ ยอดคอมเมนต์ ยอดคนเข้าอ่าน พี่ก็คงเลิกเขียนนิยายไปนานแล้ว 

สำหรับการเป็นนักเขียนอาชีพ การที่นักอ่านควักเงินซื้อนิยายของเรา มันถือเป็นการให้เกียรติสูงสุดของนักอ่านเลยนะ เพราะเงินเหล่านั้นเป็นเงินที่พวกเขาหามาได้อย่างยากลำบาก แล้วนิยายก็ไม่ใช่สินค้าที่อยู่ในปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อชีวิตของคน การที่เขาเจียดเงินมาซื้อนิยายของเรา มันไม่ใช่สิ่งที่เราควรภาคภูมิใจหรือ? 

ดังนั้นแทนที่จะมุ่งเป้าไปว่ามีคนเข้าอ่านนิยายเราเท่าไร ทำไมไม่คอมเมนต์ สู้เอาเวลานั้นไปตั้งใจเขียนนิยาย พัฒนางานเขียนตัวเอง เพื่อที่มันจะเป็นงานที่คุ้มค่ามากพอให้คนเอาเงินมาซื้อ ไม่ดีกว่าหรือ? 

ในส่วนของนักเขียนมือสมัครเล่นที่ไม่ได้เขียนนิยายเพื่อการค้า พี่เข้าใจว่าบางครั้งคนเราก็ต้องการกำลังใจ แต่เราไม่ควรจะกำหนดแหล่งกำเนิดความพึงพอใจเป็นคนอื่น พี่เชื่อว่าน้องทุกคนที่เป็นนักเขียน เริ่มจากการที่น้องเป็นนักอ่านมาก่อน ดังนั้น กำลังใจก็ควรมาจากการที่น้องอ่านนิยายของน้องแล้วมันสนุก 

การที่เราฝากความหวังไว้กับคนอื่น มันทำให้เราไม่สามารถหาความสุขได้ แต่การที่เราฝากความหวังไว้กับตัวเอง มันทำให้เราพัฒนาได้อย่างไม่มีวันหยุด เพราะในวงการงานเขียน ครูที่ดีที่สุดก็คือตัวน้องเอง 

ความสำเร็จเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมาย 

หากอยากประสบความสำเร็จในเส้นทางนักเขียน ควรเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ว่าเราอยากเป็นนักเขียนเพราะอะไรและจับมันไว้ให้แน่น เมื่อเป้าหมายของน้องชัดเจน เส้นทางข้างหน้าของน้องก็จะชัดเจน เมื่อเส้นทางชัดเจนและน้องมีความแน่วแน่ น้องจะไม่หลงทาง และไม่ว่าน้องจะวิ่งด้วยความเร็วของกระต่ายหรือคลานด้วยความเร็วของเต่า น้องก็จะถึงเส้นชัยอย่างแน่นอน  

สุดท้ายนี้....

วีขอขอบคุณนักอ่านทุกๆ คน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักวีมาก่อน ขอบคุณที่เปิดใจเข้ามาอ่านและติดตามผลงานของวี จริงๆ ก็ขอฝากผลงานนิยายทุกเรื่อง หากใครสนใจนิยายแนวอื่นๆ ที่ไม่ใช่แนวปลูกผัก ก็ลองกดเข้าไปอ่านดูนะคะ แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ขอฝากผลงานเรื่องปัจจุบัน  ข้าเกิดเป็นเมียคนปลูกผัก เอาไว้ในด้วยค่ะ  

นิยายเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การพานักอ่านไปท่องเที่ยวในดินแดนแสนประหลาดเท่านั้น มันยังเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ของการเป็นนักเขียนของวีด้วย หวังว่าเราจะได้ท่องเที่ยวไปด้วยกันจนจบทริปค่ะ ไม่รู้จะจบบทสัมภาษณ์อย่างไรให้ดี เอาแบบที่วีเขียนจบ ‘จากใจนักเขียน’ ในนิยายทุกเล่มก็แล้วกันนะคะ 

รักคนอ่านเสมอ หวังว่าจะได้พบทุกคนในนิยายเล่มต่อไปค่ะ 

จากข้อสงสัยเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจสู่การสร้างตัวตนใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักขึ้นมาพิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง "วีรันดา" หรือ "เยี่ยนจื่อ” ใช้เวลาทั้งหมด 1 ปีเต็ม ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มลงนิยายจนถึงปัจจุบันยืนยันความเชื่อมั่นของตัวเองว่า หากเป็นนิยายที่สนุก ไม่ว่าใครเขียนก็จะมีคนอ่าน และผลปรากฏออกมาก็ช่วยตอกย้ำความเชื่อนี้ไม่ใช่สิ่งผิด เธอพานิยายของตัวเองขึ้นสู่ท็อปของเด็กดีได้สำเร็จ แม้ใช้ไอดีนักเขียนโนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก เริ่มต้นเขียนและอัปเดตนิยายโดยการปกปิดนามปากเดิมของตัวเองไว้  อาศัยเพียงทักษะการเขียนและวินัยในการอัปนิยายของตัวเองเท่านั้น 

ดั้งนั้นหากน้องๆ คนไหนอย่างที่เป็นมือใหม่และอย่างประสบความสำเร็จในการเขียนนิยายบ้าง ก็ลองเก็บเอาเคล็ดดีๆ วันนี้ไปปรับใช้กัน เริ่มจากการรู้จักวางเป้าหมายของตัวเองให้ชัดเจน อย่ายึดติดกับยอดเฟบ ยอดคอมเมนต์ ยอดคนเข้าอ่าน จนสร้างความกดดันให้ตัวเองมากเกินไป แล้วทำให้เกิดความรู้สึกท้อกับการเขียนนิยาย ถ้าน้องๆ ก้าวข้ามจุดนี้ไปได้สำเร็จ  เชื่อว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขในเส้นทางนักเขียนของตัวเองมากขึ้นอย่างแน่นอน!

ติดตามผลงานของ Yanzi 燕子 ได้ที่นี่

พี่หญิง

  

 

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
นักอ่าน 5 มิ.ย. 64 09:30 น. 5

สารภาพว่าตอนเริ่มอ่านเรื่องข้าเกิดใหม่ฯ รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันแปลกๆ มีไทยจีนฝรั่งปนๆกัน อ่านไปอ่านมากลายเป็นรอตอนใหม่ทุกเช้า ชอบค่าาาาา

0
กำลังโหลด

7 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
นักอ่าน 5 มิ.ย. 64 09:30 น. 5

สารภาพว่าตอนเริ่มอ่านเรื่องข้าเกิดใหม่ฯ รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันแปลกๆ มีไทยจีนฝรั่งปนๆกัน อ่านไปอ่านมากลายเป็นรอตอนใหม่ทุกเช้า ชอบค่าาาาา

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Kan 10 ก.ค. 64 18:51 น. 7

ติดตามตั้งแต่ตอนลงนิยาย ต้องมาส่องทุกวันว่ามีตอนใหม่หรือยัง ขนาดแจ้งเตือนแล้วนะคะ แต่แบบว่าอยากรู้ว่าตอนต่อไปเป็นไงต่อ สนุกจริงๆค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด