สวัสดีค่ะชาว Dek-D ใครอยากแต่งแต้มสีสันให้ชีวิตช่วงวัยเรียนน่าตื่นเต้นกว่าที่เคย และได้ประสบการณ์สุดท้าทายในแบบที่จินตนาการไม่ถึง วันนี้เราจะพาทุกคนไปท่องโลก(การทำงาน)ในดินแดนที่สวยเหมือนเวทมนตร์ ผ่านประสบการณ์ของ “พี่กรุ๋งกริ๋ง” ที่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าจะตรงสเปคของดิสนีย์นับตั้งแต่สกิลภาษาจนถึงบุคลิก แต่วันหนึ่งได้ก้าวออกจาก comfort zone ไปทำงานที่ “Walt Disney World” ในอเมริกาถึง 3 ครั้ง 2 โปรแกรม
- ครั้งที่ 1-2 Disney International College Program (ICP) ที่นิสิต-นักศึกษาชั้นปี 2, ปี 3, ปี 4 สามารถสมัครได้
- ครั้งที่ 3 Disney's Cultural Representative Program (CRP) สมัครได้หลังเรียนจบ ป.ตรี โดยต้องเคยผ่านโปรแกรม ICP มาก่อนและมีประวัติการทำงานดี
ในนี้จะรีวิวตั้งแต่การเตรียมตัว, การสมัคร, บรรยากาศการทำงานของทั้ง 2 โปรแกรม, สวัสดิการ, ความเป็นอยู่ พร้อมแทรกเกร็ดความรู้และคำแนะนำที่น่าสนใจด้วย พร้อมแล้วลุยกันเลยค่ะ!
Note:
- ดิสนีย์เรียกลูกค้าว่า “Guest” และเรียกคนที่ทำงานในดิสนีย์ว่า “Cast Member” ประมาณว่าพวกเค้าคือพนักงานที่ต้องทำโชว์(หน้าที่)ของตัวเองให้ออกมาดีที่สุด
- Role (โรล) ในทีนี้หมายถึงบทบาท/ตำแหน่ง/หน้าที่ของ Cast Member
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ความฝันวัยเด็กของคุณคืออะไร?
.
.
.
ความฝันของพี่คืออยากไปต่างประเทศโดยเฉพาะ "อเมริกา" แต่รู้สึกไกลตัวเพราะพี่เองก็มาทางวิทย์-คณิต แล้วไม่ค่อยได้ภาษาอังกฤษด้วย จำได้เลยว่าตอน ม.ปลายที่โรงเรียนให้สอบ CU-TEP พี่สอบได้เทียบเท่า IELTS 3.5 เองค่ะ
จนมารู้จัก Disney International Programs จากรุ่นพี่ที่เคยไปโครงการนี้ ตอนนั้นพี่คือเด็กจิตวิทยาจุฬาฯ ปี 2 อายุ 19 ภาษายังไม่ค่อยได้เหมือนเดิม และบุคลิกยังไปทาง Introvert ที่ไม่น่าจะตรงสเปคของดิสนีย์ แต่ก็บอกตัวเองว่าต้องลอง เราจะเอาจริง เพราะเป็นโอกาสให้ได้ไปอเมริกา ใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 2-3 เดือน โดยการฝึกภาษาอังกฤษทุกวันหลังเลิกเรียน วันละ 5-6 ชั่วโมง เน้นการพูดและการฟัง
สำหรับโปรแกรม Disney International College Program (ICP) ผู้สมัครแต่ละประเทศจะมีรายชื่อบทบาท (roles) ที่สมัครได้แตกต่างกัน เช่น Lifeguard, Merchandise, Quick Service Food & Beverage, Attraction, Custodial และอื่นๆ (อาจมีการเปลี่ยนแปลง) ส่วนสถานที่ทำงานคือ Walt Disney World Resort ในรัฐ Florida สหรัฐอเมริกา
ช่วงเปิดรับสมัครจะประมาณเดือนกันยายน – ตุลาคม ต้องคอยติดตามหน้าเพจ London House และศึกษาข้อมูลโครงการอย่างละเอียดได้ที่หน้าเว็บ http://londonhouse-cm.com/disney-program.html วิธีสมัครจะอยู่ส่วนท้ายเลย~
โปรแกรม ICP จะมีสัมภาษณ์รอบแรกกับทาง London House เพื่อดูทัศนคติและการสื่อสาร จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่จาก Disney บินตรงจากอเมริกามาสัมภาษณ์รอบสองค่ะ คำถามก็จะเจาะลึกและชัดเจนขึ้น ถามเกี่ยวกับ role ที่อยากทำและประสบการณ์ โดยจะวัดไหวพริบและทักษะการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น ตอนพี่สมัคร Merchandise ก็มีเล่าว่าเคยเปิดร้านขายของ และเคยร่วมงานอีเวนต์แนวนี้มาก่อน ถ้าใครมีประสบการณ์อื่นๆ ก็เล่าเชื่อมโยงได้เหมือนกัน
จริงๆ ครั้งแรกไม่ผ่านสัมภาษณ์เพราะไม่เข้าใจคำถาม แต่โชคดีปีนั้นมีเปิดรอบพิเศษ พี่ก็เลยฝึกภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นจนตอบกรรมการได้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติขึ้น ในที่สุดพี่ก็ได้ไปทำงานที่ดิสนีย์แล้วค่ะ~
. . . . . .
เริ่มชีวิตทำงานที่ดิสนีย์
บรรยากาศมัน(ส์)ดีแบบนี้!
พี่มีโอกาสได้มาทำงานในสถานที่สวยๆ รายล้อมด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม ซึ่งจุดร่วมคือบุคลิกที่ friendly และ active เดินเจอใครทักทายได้หมด ที่สำคัญทางดิสนีย์ยังมีบทลงโทษชัดเจนเพื่อไม่ให้มีการเหยียดเชื้อชาติและรสนิยมทางเพศเกิดขึ้นด้วย
ปี 2011-2012 พี่สมัคร ICP แล้วไปทำงานในส่วน Merchandise ที่ “Downtown Disney West Side” (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Disney Springs) เริ่มมาวันแรกพี่ก็ได้เข้าอบรมความปลอดภัยและการให้บริการ จากนั้นจะได้ฝึกพร้อมปฏิบัติจริง หรือที่เรียกว่า On-the-job training
บางคนได้ประจำร้านใหญ่ร้านเดียว แต่อย่างพี่ได้เวียนทำหลายร้านคือ
- D Street (ปัจจุบันเป็น Star Wars Galactic Outpost)
- DisneyQuest (ปัจจุบันไม่มีแล้ว)
- Disney's Candy Cauldron
สำหรับ Disney's Candy Cauldron เป็นร้านขายแอปเปิลที่ทำหน้าตาเป็นคาแรกเตอร์ต่างๆ ซึ่งหน้าที่ของเราคือการขายและหั่น โดยต้องถามเกสต์ก่อนทุกครั้งว่าต้องการให้ ห่อ/ไม่ห่อ และ หั่น/ไม่หั่น แล้วถ้าหั่นอยากให้แบ่งเป็นกี่เสี้ยว (4 เสี้ยว, 6 เสี้ยว หรือ 8 เสี้ยว) ตลอดเวลาทำงานเราต้องสวมถุงมือและมีกระดาษไขรองมีดสำหรับหั่นด้วย
(Shop located in West Side at Disney Springs)
Note:
- เวลาการทำงาน: ขั้นต่ำ 30 ชั่วโมง/สัปดาห์, ปกติประมาณ 40-45 ชั่วโมง/สัปดาห์
- ที่พัก: ในหมู่บ้านดิสนีย์ (มีค่าใช้จ่าย)
- อัตราค่าจ้าง: ปัจจุบัน $14 ต่อชั่วโมง ตามตำแหน่งงาน ซึ่งกฎหมายของอเมริกา ถ้าทำงานเกิน 40 ชม./สัปดาห์ จะได้ค่าแรงมากกว่าเดิม 1.5 เท่า
- เราสามารถทำงานเพิ่ม (take shift) ได้ด้วย อย่างเช่นตอนทำฝ่าย Merchandise ที่ร้าน Disney's Candy Cauldron พี่ต้องเข้าอบรมความรู้เรื่องอาหาร ทำให้สามารถ take shift ไปทำงานฝ่าย Food & Beverage ได้ค่ะ
ว่าด้วยป้ายชื่อของ Cast Member
และจุดเริ่มต้นจนฝึก “ภาษาสเปน”
ปกติวัฒนธรรมชาวอเมริกันจะเรียกนามสกุล (Last Name) แต่ป้ายชื่อที่ดิสนีย์จะมีบอกชื่อจริง (First Name) จังหวัด ประเทศ และภาษาที่สื่อสารได้ *เราต้องไปสอบภาษานั้นๆ เพื่อให้ pin มาติดป้ายชื่อเพิ่ม
จากในภาพจะเห็นว่าตอนมาครั้งที่ 2 พี่สอบภาษาสเปนได้แล้วค่ะ :D
เมื่อก่อนเคยรู้สึกว่าภาษาสเปนฟังยากมากและคงไม่มีโอกาสได้ใช้ พอมาที่นี่ถึงรู้ว่า จริงๆ มีคนที่พูดภาษาสเปนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และมักจะเป็นภาษาที่เกสต์กับเพื่อนสามารถพูดได้นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ
ที่นี่เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้พี่ฝึกภาษาสเปนจริงจัง โดยมีเพื่อนๆที่ทำงานช่วยกันสอนจนพูดได้หลายประโยค และมีโอกาสฟังสำเนียงสเปนของคนทั่วโลกมายกเว้น Equatorial Guinea (ส่วนตัวคิดว่าสำเนียงชิลีฟังยากสุด รองลงมาคือแถบแคริบเบียน) พอกลับไทยมาก็ลงเรียนวิชาภาษาสเปนของคณะอักษรจุฬาฯ แล้วได้ A วิชานี้มาด้วย~
พี่คิดว่าความยากของภาษาสเปน คือ “ไวยากรณ์” ที่ยากและซับซ้อนกว่าภาษาอังกฤษ ภาษาสเปนจะมีมีเพศ เอกพจน์ และพหูพจน์ แต่ละประเทศยังมีคำสแลงเป็นของตัวเอง อีกทั้งไวยากรณ์ของภาษาสเปนจากสเปนและสเปนที่ใช้ในอเมริกากลางกับอเมริกาใต้ยังแตกต่างกันด้วยค่ะ
. . . . . .
และดิสนีย์อีกครั้ง~
กับโปรแกรม CRP ปี 2014-2015
ครั้งนี้การแข่งขันค่อนข้างสูงเพราะรับคนไทยแค่ 3 คน ไปเป็นตัวแทนเสนอวัฒนธรรมประเทศตัวเอง ตอนสมัครจะต้องอัดเสียงส่งและโชว์ความสามารถที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยต่อหน้าคณะกรรมการ สุดท้ายพี่ก็ได้ไปโปรแกรม Disney Cultural Representative Program (CRP) ทั้งหมด 13 เดือน (ทางดิสนีย์ขยายเวลาทำงานให้ 1 เดือนเพราะได้เป็น Disney Trainer ด้วย) เท่ากับพี่ได้เห็นดิสนีย์ในทุกฤดู ฉลองทุกเทศกาลของดิสนีย์เลย
ใน Walt Disney World มีหลายพาร์ค หนึ่งในนั้นคือ EPCOT ซึ่งจะจัดเป็นธีมประเทศ ประกอบด้วยอาคาร เครื่องเล่น ร้านอาหาร ร้านขายของประจำประเทศนั้นๆ แต่ประเทศไทยจะอยู่ภายใน Disney’s Animal Kingdom – Asia บางสถานีเล่าเรื่องราว ตำนานต่างๆ แล้วแต่ว่าจะโชว์วัฒนธรรมในแง่มุมไห
ตัวอย่างกิจกรรมที่ทำ
- เข้าร่วมเซสชันพิเศษ “Celebrate World’s Culture” ที่พูดคุยเรื่องวัฒนธรรม (เข้าร่วมฟรีแต่ต้องสมัครล่วงหน้า)
- เป็นอาสาสมัครในงาน Volunteers: Give Kids The World จัดขึ้นที่ Give Kids The World Village เป็นรีสอร์ทที่ช่วยสานฝันเด็กป่วยหนัก
- เป็นอาสาสมัครในศูนย์เลี้ยงเด็ก แนะนำวัฒนธรรมไทยผ่าน “อาหาร” ซึ่งทางดิสนีย์จัดเตรียมให้ รวมถึงได้ทำกิจกรรมร่วมกับน้องๆ เช่น พี่ได้สอนการละเล่นของไทยอย่างรีรีข้าวสาร
- โอกาสฉลองวันสงกรานต์ไทย พี่ได้โชว์รำไทยและพูดคุยเกี่ยวกับประเทศ
และก็เป็นปีที่เที่ยวเยอะอีกเช่นเคยค่ะ 5555 นอกจากสถานที่ต่างๆ กับสวนสนุกในดิสนีย์เอง ก็ยังมีโอกาสไป NASA, สวน Harry P Leu Gardens ใน Orlando, ไปดูหิมะคนเดียวที่ New York, เที่ยวชายหาดและชม Vizcaya Museum & Gardens ที่ Miami และอีกเยอะมากๆ
. . . . . .
สรุปสวัสดิการสุดปัง
จาก Walt Disney
- ดิสนีย์จัดเตรียมยูนิฟอร์มให้
- มีรถรับส่งจากที่ทำงาน ที่พัก และร้านขายของ
- เข้าสวนสนุกของ Walt Disney World ได้ฟรี จากปกติค่าตั๋วอยู่ที่ $109-$159
- ในช่วงเวลาปกติจะได้ส่วนลด 20% เมื่อซื้อของจากร้านค้าและร้านอาหารใน Walt Disney World แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือใน 1 ปีจะมี 2 วันที่ลด 40% และยังมีร้านค้าพิเศษสำหรับ Cast Member ที่ซื้อของได้ในราคาที่ลดแล้วถึง 75%
บรรยากาศตอนไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในดิสนีย์
- ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ พนักงานสามารถลงเรียน Professional Development Courses ของ Walt Disney เป็นคอร์สสั้นๆ คลาสเดียว เช่น Resume Writing (การเขียนเรซูเม่), Interview (การสัมภาษณ์), Personality Development (พัฒนาบุคลิกภาพ) ฯลฯ ถ้าเป็นนักเรียนอเมริกันจะสามารถเก็บหน่วยกิตได้เลย และส่วนใหญ่เปิดให้เรียนช่วงกันยายน – ธันวาคมของปีค่ะ
รีวิวคอร์สที่เคยลงเรียน
- Marketing You เรียนวิธีโฆษณาตัวเองสำหรับหางาน ซึ่งวิชานี้พี่ประทับใจอาจารย์มากกกก เค้าเป็นผู้หญิงอเมริกันที่เท่ เนี้ยบ เก่ง และตลกครบในคนเดียว สอนตั้งแต่การทำ Presentation และ Resume มีให้ทำแบบทดสอบบุคลิกภาพแบบ DiSC และ StrengthsFinder 2.0 ปิดท้ายด้วย Final Day ที่ทุกคนจะได้นำเสนอตัวเองโดยสวมบทบาทอาชีพที่อยากเป็น
- Seminar: Human Resources เรียนรู้ระบบบริหารจัดการมนุษย์ในองค์กรของดิสนีย์ วิชานี้จะแนวนั่งฟังเลกเชอร์แล้ว discuss กับเพื่อนร่วมชั้น
. . . . . .
ช่วงแรกอาจจะท้าทายเพราะด้วยสภาพแวดล้อมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ และไม่ใช่ประเทศที่อยู่ใกล้ไทย แต่สุดท้ายแล้วดิสนีย์ช่วยเปิดประสบการณ์และให้บทเรียนกับพี่เยอะมากๆ จนอยากถือโอกาสนี้ฝากถึงน้องๆ Dek-D ว่าอย่ารีบปิดกั้นตัวเองตั้งแต่แรกว่าจะทำไม่ได้ หรือไม่ชอบสิ่งนั้น (ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียนภาษา ฯลฯ) ลองอดทนและใช้เวลาปรับตัวสักระยะ เราอาจค่อยๆ ซึมซับและประทับใจจนอยากกลับมาโครงการนี้อีกเหมือนพี่ก็ได้นะคะ :D
0 ความคิดเห็น