แชร์ทริกพิชิตทุนฟรี ‘Global UGRAD’ | รีวิวชีวิตเด็กแลกเปลี่ยนฉบับวัยรุ่นเมกันที่ 'Texas'

สวัสดีครับชาว Dek-D สำหรับน้องๆ วัยมหา'ลัยคนไหนที่อยากไปเปิดประสบการณ์แลกเปลี่ยนฟรีๆ ที่สหรัฐอเมริกา และกำลังเตรียมตัวสมัครทุน Global UGRAD ในช่วงปลายปีนี้อยู่ วันนี้เรามีรีวิวประสบการณ์ของนักเรียนทุนที่ได้แลกเปลี่ยนที่รัฐ Texas มาฝากกันครับ ถ้าอยากได้ทุนนี้ต้องเริ่มจากไหนตรงไหน และมีเคล็ดลับอะไรบ้าง ตามมาอ่านเก็บข้อมูลกันเล้ยยย!   

สวัสดีค่ะทุกคน เราชื่อ สมรดา เกษแก้ว ชื่อเล่นชื่อ ‘ไหม’ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (จริงๆ ควรขึ้นปี 4 แต่ไปแลกเปลี่ยนมา เลยต้องมาเนียนเป็นเด็กปี 3 อีกรอบ) ช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2565 ได้ไปแลกเปลี่ยนกับโครงการ Global UGRAD 2022-2023 ที่ University of Houston-Victoria เมือง Victoria รัฐ Texas ประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ 

จริงๆ ปี 2563 เคยสมัครทุนนี้มาแล้วรอบนึง แต่ตอนนั้นเตรียมตัวรอบสัมภาษณ์ไม่ดี เลยตกตั้งแต่รอบสัมภาษณ์ของมหา’ลัย เลยไม่ได้ไปสัมภาษณ์กับสถานทูตอเมริกาต่อ แต่พอมาปลายปี 2564 ก็มุ่งมั่นว่าจะทำให้เต็มที่ แล้วก็ได้ทุนมาจริงๆ อย่างตอนไปถึงอเมริกาก็ยังรู้สึกงงๆ กับตัวเองว่า ‘เราอยู่อเมริกาจริงๆ เหรอ? เป็นประเทศที่เราอยากมามากที่สุดเลยนะ’ เหมือนฝันเลยตอนนั้น ทำให้ช่วงที่ได้ใช้เวลาที่นู่นเรามีความสุขมาก เพราะได้ทำตามความฝันแล้วค่ะ 

Global UGRAD คืออะไร?

“เล่าก่อนว่าทุนนี้มีชื่อโครงการคือ Global Undergraduate Exchange Program เรียกสั้นๆ  Global UGRAD เป็นทุนเต็มจำนวนที่เน้นด้านความเป็นผู้นำและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม สนับสนุนโดย กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (Department of State) แล้วมี World Learning และฝ่ายข่าวสารและวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เป็นผู้บริหารทุนการศึกษา ขั้นตอนการสมัคร และเอกสารที่ต้องเตรียม ไปหาดูในลิงก์ได้เลยค่ะ โดยคร่าวๆ จะมี 

  1. Transcript เทอมล่าสุด
  2. Recommendation Letter จากอาจารย์ 2 ท่าน
  3. Essay 2 หัวข้อ โจทย์จะอยู่ในระบบ online
  4. ผลสอบระดับภาษา TOEFL/ IELTS (ถ้าไม่มีไม่ต้องใช้เอกสารตัวนี้นะคะ ตอนสมัครไหมก็ไม่ได้ใช้เหมือนกัน)
     

ทุนนี้เป็นทุนเต็ม (Fully funded) ไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าเทอม ค่าสอบภาษา มีค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ เสียแค่ค่าตรวจสุขภาพกับค่าวัคซีนไปประมาณ 4-5000 บาท ถือว่าเป็นทุนที่ค่าใช้จ่ายน้อย แล้วก็เอกสารน้อยม๊ากกกกก ใครที่เพิ่งมาเป็นสายชิงทุน อยากลองสมัครทุนดูบ้าง ห้ามพลาดทุนนี้นะๆ

รายละเอียดทุน

เตรียมตัวสมัครยังไงบ้าง?

โหหห…เล่าไม่หมดเลย 555555 เพราะรายละเอียดเยอะมาก แต่คร่าวๆ ก็คือ ต้องศึกษาจุดประสงค์ของทุนก่อนว่าเขาจะให้ทุนไปทำไม อย่างทุน Global UGRAD จะเน้นด้านความเป็นผู้นำและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เราก็มาดูว่าระหว่างที่เราเรียนเราได้ทำกิจกรรมอะไรที่เน้นประสบการณ์ด้านนี้บ้าง แต่ถ้าใครไม่มีก็สามารถเริ่มทำกิจกรรมได้เลย ทำไปทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ เรียนรู้จากกิจกรรมที่เราทำ เอาที่เราอยากทำจริงๆ นะ แล้วเราจะตกตะกอนความคิดได้เยอะ อย่างของไหมส่ง portfolio กิจกรรมที่ทำตอนปี 2 ค่ะ เป็นกิจกรรมช่วยงานเพื่อนที่สโมสรนักศึกษา ทำโครงการผ้าอนามัยฟรีในมหา’ลัย สนุกมาก ได้เจอคนเก่งๆ เยอะเลย แล้วก็เราได้แสดงศักยภาพของตัวเราเวลาทำงานกลุ่มด้วย 

  ส่วนเอกสารที่สำคัญมากๆ ก็คือ Essay (เรียงความ) ทั้ง 2 หัวข้อ และก็จดหมายแนะนำจากอาจารย์ค่ะ โดยการเขียน Essay เราขอสรุปแบบสั้นๆ ก็คือ

 1. ซื่อสัตย์ เป็นตัวของตัวเอง

คนที่ได้ทุนไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่เก่งทุกด้าน แต่คือคนที่พร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ พร้อมเรียนรู้ การเป็นตัวของตัวเอง คือ รับรู้ในข้อดีข้อเสียของตัวเอง แล้วเอามาเทียบกันดูว่าข้อดีของเราจะช่วยเราในแง่ไหนของชีวิตบ้าง ส่วนข้อเสียคือการเรียนรู้ว่าเราจะพัฒนาและแก้ไขตรงจุดนั้นยังไง

2. รู้เป้าหมายหรือจุดประสงค์ของตัวเองว่าสมัครไปทำไม

ตัวเราพื้นฐานแล้วเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูด แต่ชอบลงมือทำ อย่างปีที่ผ่านมาก็ไปช่วยงานเพื่อนที่สโม ทำงานที่ชมรม ทำเยอะมาก ทำทั้งเทอมเลย จนได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะเวลาที่เห็นเพื่อน เห็นรุ่นพี่รุ่นน้องทำงานด้วยกัน เรารู้สึกถึง team work แล้วก็ความเป็นผู้นำ เป็นคนที่พึ่งพาได้ ทำให้เราอยากเป็นแบบนั้นบ้าง ทุกคนลองถามตัวเองเยอะๆ ว่าเราอยากได้หรืออยากทำอะไรในชีวิต

 3. เขียนให้รอบคอบ

ถ้าแนะนำเลยก็คือ ไปปรึกษาอาจารย์ ให้เขาช่วยอ่านให้ อาจารย์เขาจะมีมุมมองที่เราไม่มี จะได้ช่วยปรับให้ดีขึ้น ไม่ต้องอายๆ เพราะเราต้องขอจดหมายแนะนำ (Recommendation Letter) จากอาจารย์อยู่ดี

Tips: การขอจดหมายแนะนำ (Recommendation Letter) 

ให้ขอจากอาจารย์คนที่เราทำงานด้วยบ่อยที่สุด หรือ รู้จักเราพอสมควร วิธีขอก็คือ เตรียมฟอร์มไปให้อาจารย์ดู (print จาก online portal) ว่าเนื้อหาต้องเขียนประมาณไหน ต้องเซ็นอะไรบ้าง อาจจะลิสต์กิจกรรมที่เราเคยทำไว้ให้อาจารย์ดูก็ได้ อาจารย์จะได้เขียนให้ถูก (อย่าลืมให้อาจารย์เซ็นทั้งตัวฟอร์มที่ระบบให้มา + ฟอร์มที่เป็นเนื้อหาที่อาจารย์เขียนด้วย เซ็นทั้งสองใบให้เหมือนกันเลย) แล้วขอเม้าท์เลย คือคนที่ตื่นเต้นกว่าไหม ไม่ใช่ใครเลย ก็คืออาจารย์นี่แหละ อาจารย์จะถามตลอดว่าสมัครทุนเป็นไงบ้าง สอบสัมภาษณ์หรือยัง ประกาศผลเมื่อไหร่ พอไปบอกว่าผ่านเข้ารอบลึก อาจารย์กรี๊ด!! (ในแช็ต) 5555555 คือลุ้นกว่าคนสมัครไปแล้วหนึ่ง อยากบอกอาจารย์ทั้งสองท่านว่า หนูได้เป็นวัยรุ่นเมกาแล้วนะคะ

#รีวิวรอบสัมภาษณ์

บอกก่อนว่าเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกแต่ละปีจะค่อนข้างแตกต่างกันนะคะ แนะนำว่าให้อ่านอย่างรายละเอียด (จากเว็บของสถานทูตอเมริการะบุไว้ครบเลย) เพราะปีของไหมสัมภาษณ์สามรอบ (อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าเพิ่งถอดใจนะ แล้วแต่มหาวิทยาลัยด้วย) ด้วยความที่ผ่านสัมภาษณ์ถึงสามรอบ เราเลยรู้แนวคำถามของแต่ละรอบ ซี่งไม่เหมือนกันเลย 

  • รอบแรก คือรอบที่สัมภาษณ์กับอาจารย์ของคณะ คำถามจะเน้นไปที่กิจกรรมที่เราเคยทำ ว่าได้อะไรจากกิจกรรมบ้าง ถามถึงการแก้ปัญหาถ้าหากเราได้ไปเรียนที่นู่น (ที่เคยโดนถามคือ ถ้าโดนเหยียดเชื้อชาติจะทำยังไง)
  • รอบสอง คือรอบคัดตัวแทนมหา'ลัย จะถามเกี่ยวกับสถานการณ์โลก ช่วงนั้นโควิดเข้าพอดี ก็ถามว่าโควิดทำให้โลกและคนเปลี่ยนไปยังไง แนะนำว่าให้อ่านข่าวเยอะๆ
  • รอบสุดท้าย คือสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สถานทูตฯ รอบนี้คิดว่าง่ายที่สุดแล้ว ไม่เครียดเท่าสองรอบที่แล้ว 555555 คำถามจะเกี่ยวกับตัวเรา ว่าทำไมถึงสมัครทุนนี้ อยากเรียนหรืออยากทำอะไรที่อเมริกา กลับมาไทยวางแผนจะทำอะไรต่อ

 Tips: หลักการตอบคำถามของทุกรอบคือ ชัดเจน รู้เป้าหมายของตัวเองว่าตัวเราต้องการอะไร ไม่ต้องเครียดค่ะ ตอบเท่าที่ตอบได้ คำถามไหนยาก หรือไม่เข้าใจให้ถามกรรมการ ใช้เวลาคิดก่อนแล้วค่อยๆตอบ ไม่ต้องตื่นเต้น คำถามที่เป็นแนวจำลองสถานการณ์แบบคำถามข้างบนที่ถามว่า ‘ถ้าโดนเหยียดเชื้อชาติจะทำยังไง?’ พยายามอย่าตอบว่า ไม่สนใจ ไม่เป็นไรปล่อยไปก็ได้ คำตอบแบบนี้ไม่ค่อยชัดเจนค่ะ พยายามตอบให้กรรมการเขาเห็น ‘วิธี’ การแก้ปัญหาของเรา อย่างไหมก็ตอบประมาณว่า ถ้าเป็นกรณีของการล้อเลียน ทำให้วัฒนธรรมหรือตัวเราดูแย่ เราก็จะพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่า วัฒนธรรมเราไม่ได้เป็นแบบนี้นะ แต่ถ้าในกรณีที่มันร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ก็จะแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเรา อะไรประมาณนี้ค่ะ

 ขึ้นเครื่องครั้งแรกในชีวิตก็ไปอเมริกาเลย 

เราเพิ่งเคยขึ้นครั้งแรกก็ตอนไปอเมริกาครั้งนี้นี่แหละค่ะ ก็ตื่นเต้นนะ บินคนเดียวด้วย กลัวตกเครื่อง กลัวหลงทาง (กลัว ตม.ไม่ให้เข้าประเทศ 555555) ไหมได้มาแลกเปลี่ยนที่เมือง Victoria รัฐเท็กซัสนะคะ บินช่วงกลางสิงหาคม 2565 บอกก่อนว่า Global UGRAD เราจะเลือกรัฐและมหา’ลัยที่อยากเรียนไม่ได้ เพราะ World Learning หรือองค์กรที่เขาดำเนินงานในอเมริกาจะเป็นคนเลือกให้ โดยดูจากลิสต์วิชาที่เราอยากลงเรียนค่ะ

ไหมได้มาเรียนที่ University of Houston-Victoria ที่ห่างจาก Houston ประมาณ 2-3 ชั่วโมง มหาวิทยาลัยนี้จะเด่นเรื่องภาษา การเขียน วรรณกรรม แล้วก็สาย STEM เช่น Biology, Computer Science, Gaming and Simulation และก็ Nursing ช่วงที่รู้ว่าตัวเองได้ทุนแล้ว ก็พูดติดตลกกับตัวเองว่า ไปรัฐไหนก็ได้ที่หนาวๆ อยากเห็นหิมะ ไม่อยากได้รัฐร้อนๆ เป็นไงล่ะ ได้เรียนที่เท็กซัสไปเลยจ้า เย็นจนเหงื่อออก หิมะก็ไม่ได้เล่น 55555555 แต่เท็กซัสเป็นรัฐที่มีเอกลักษณ์มากๆ ไม่คิดว่าจะได้เห็นคนใส่ชุดคาวบอย ก็ได้เห็นจริงๆ 

 First Impression กับอเมริกา

ถ้าเอาแบบตลกๆ คือที่ McDonald’s ตอนนั้นกำลังนั่งรถกลับจากสนามบินที่ Houston มาที่ Victoria ตอนนั้นมาถึงแล้วแหละ แต่คนขับที่เขามารับเรา เขาจอดให้แวะหาอะไรกิน เพราะตอนนั้นที่ไปถึงก็มืดมากๆ จะสามทุ่มแล้ว ร้านอาหารก็ทยอยปิดหมด เหลือแต่ fast food เลยไปแมคกัน บอกตรงๆ เลยว่า ฟังไม่ออก คนรับออเดอร์พูดเร็วมากกกกก เขารีบด้วยแหละ เราบอกว่าเอาเมนูนี้นะ เขาถามกลับว่า Would you like ina mel? เราก็ถามว่า ฮะ อะไรนะ? เขาก็พูดช้าลง ว่า Would you like it in a meal? เราก็ yes yes คือตอนอยู่ไทย กินแมคแค่ครั้งเดียวในชีวิตจริงๆ ไม่รู้ว่าแต่ละเมนูเป็นยังไง ก็เออๆ ออๆ ไป ได้เบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์กับโค้กมา // มื้อแรกก็ทรหดละ 555555  

แต่ถ้า first impression จริงๆ คือ คุณป้าที่โรงอาหารกับคุณลุงขับ shuttle bus ของมหา’ลัย คือ nice ที่สุดแล้วอ่ะ วันแรกที่ไปเรียนนู่นคือรู้สึกดีมาก โดยเฉพาะตอนไปโรงอาหารที่มหา’ลัยครั้งแรก (จะขอเรียกว่า dining hall นะคะ) เราก็เดินไปบอกป้าว่า I’m new here, I don’t know where to pay for the meal. (หนูเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ไม่รู้ว่าจ่ายเงินตรงไหนค่ะ) ป้าก็เลยเดินไปส่งที่ประตูทางเข้า dining hall แล้วบอกว่าคราวต่อๆ ไปให้มาสแกนบัตรนักศึกษาตรงนี้ก่อนนะ แล้วก็เช็กยอดเงินตรงหน้าจอตรงนี้ แล้ววันนี้เรามีเมนูเยอะเลย ตรงนี้เป็นสลัดบาร์ เลือกกินตามใจชอบได้เลย ตรงมุมซ้ายตรงนู้นเป็นบาร์พิซซ่า แล้วทุกๆ วันอังคารกับพฤหัสบดีจะมีให้สั่งพาสต้าด้วย ใส่ชีสได้ด้วยนะ คือป้าก็อธิบายไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายป้าก็บอกว่า If you need any help, come to me or any staff here. We’re happy to help, my name is Liz. (ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ มาหาฮันหรือสตาฟที่นี่ พวกเรายินดีช่วยเหลือ ป้าชื่อลิซ ) เราก็พูดว่า Thank you so much, nice to meet you (ขอบคุณมากเลยค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ). คุณป้าคือ made my day มากๆ   

พอกินข้าวเสร็จ จะไป campus ก็นั่ง shuttle bus ของมหา’ลัยไป ก้าวแรกบนรถก็ได้ยินว่า Good morning, how are you? เราก็ตอบ Great! มันดูเป็นคำถามง่ายๆ ทั่วไปนะ แต่เราไม่ชินอ่ะ เพราะตอนอยู่ไทยไม่มีใครมาทักแบบนี้ คำถามง่ายๆ แต่ดูใส่ใจมาก พอจะลงรถ ลุงคนขับก็ตอบว่า Have a great day. (ขอให้มีวันที่ดี) เป็น routine แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเราคุ้นเคยมากขึ้น พอไปที่ไหนเวลาคนพูดกับเราว่า Have a great day. เราก็จะบอก Thank you, you too. เป็นอัตโนมัติเลย เป็นดีเทลเล็กๆ ที่น่ารักมาก 

Life in Campus #ฉบับเด็กแลกเปลี่ยน

ตามกฎของโครงการคือ ลงเรียนได้ไม่ต่ำกว่า 12 หน่วยกิต แต่ไม่เกิน 15 หน่วยกิต (พูดง่ายๆ ก็คือลงเรียน 4 วิชาแต่ไม่เกิน 5 วิชาค่ะ) ไหมลง 1. World Literature (วรรณกรรมโลก), 2. Human Nutrition (โภชนาการมนุษย์) คือชีววิทยาที่เกี่ยวกับอาหารและร่างกายมนุษย์ การเผาผลาญ การดูแลสุขภาพ, 3. First Year Seminar นี่คล้ายๆ วิชาแนะแนว แต่เป็นเวอร์ชั่นมหา’ลัย เช่น แนะแนวการวางแผนการเรียน การค้นหาตัวเอง แนะนำอาชีพ การเตรียมตัวสมัครงาน แล้วก็มี 4. U.S. Government (การเมืองสหรัฐอเมริกา) ที่เป็นตัวบังคับของโครงการว่าต้องลงวิชาที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา 1 ตัว แขนงไหนก็ได้ History, Culture, Politics หรือ Art แต่เราชอบการเมืองอเมริกาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยลง Government ไป คือจะบอกว่าเป็นวิชาที่ยากที่สุดในบรรดา 4 วิชาที่ลงเรียนละ 5555555 อ่านเยอะมากๆๆๆๆ ตอนแรกคิดว่า 2 บท ใช้เวลาอ่านหนึ่งอาทิตย์ก็น่าจะพอนะ แต่จริงๆ คือไม่เลย ศัพท์การเมืองเยอะมาก อ่านครั้งเดียวไม่เข้าใจ การบ้านวิชาอื่นก็ต้องทำ หนังสือก็ต้องอ่าน เที่ยวก็ต้องเที่ยว ก็เลยปลงละ เอาที่ไหวละกัน แต่เกรดก็ออกมาดีอยู่นะ พอใจเลยแหละ 

ถ้าใครชอบวิชาที่ต้อง discuss หรือแสดงความคิดเห็นเยอะๆ แนะนำพวกประวัติศาสตร์ กับ การเมืองเลยค่ะ วิชานี้เคยมีคาบนึงอาจารย์ถามว่า ‘คนรวยควรเสียภาษีเยอะกว่าคนจนมั้ย?’ เพื่อนคนนึงก็ตอบมาว่าไม่ควร เพราะมันไม่แฟร์ แต่ก็มีคนแย้งขึ้นมาว่า ควร เพราะจะได้เอาเงินส่วนนั้นมากระจายให้คนที่ไม่มี หรือมีน้อยกว่า แล้วก็มีคนแย้งอีกว่า ‘เป็นคนรวยไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ดี’ ก็มีคนแย้งอีกแล้วถามกลับว่า ‘พวกเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่เขารวย เขารวยด้วยตัวเขาเอง หรือกำลังเอาเปรียบคนอื่นอยู่ เช่น แรงงานที่มีรายได้ต่ำ เพื่อเป็นการลดต้นทุน’ ฟังดูเหมือนเครียด แต่บรรยากาศในห้องคือไม่เลยค่ะ ชิลมากๆ สนุกด้วย ฟังเพื่อนเขาแย้งกันด้วยเหตุผล มันก็จุดประการไอเดียในตัวเราเหมือนกัน  

ส่วนวิชาที่ชอบที่สุด คือ World Literature ค่ะ เอาตรงๆ คือที่ไทยเราเรียนเอกอิ้ง แต่ไม่ชอบสายวรรณคดี รู้สึกว่าเข้าใจยาก ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาสมัยเก่า แต่พอมาเรียนวิชานี้ที่อเมริกาคือเปิดโลกเลย เรียนวรรณกรรมก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าจะเรียนแค่วิเคราะห์อย่างเดียว ต้องเขียนได้ด้วย ทั้งเขียนชิ้นงานออกมาจริงๆ รวมถึงการเขียนออกมาเป็น reflection สะท้อนความคิด หรือเป็นในเชิงตั้งคำถามก็ได้ ว่าทำไมตัวละครนี้ ถึงทำแบบนี้ๆ แล้วถ้าไม่ทำแบบนี้เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อ แต่ที่ภูมิใจมากที่สุดเลยคือ งานที่ต้องเขียนกลอน อาจารย์บอกว่า เขาอ่านกลอนที่เราเขียนให้ภรรยาเขาฟังด้วย เขาบอกว่าชอบมาก แล้วจำได้ขึ้นใจเลยว่าเราเขียนอะไรบ้าง วันนั้นคือแฮปปี้ไปทั้งวัน เพราะการบ้านอันนั้นเราก็ชอบเหมือนกัน แล้วใช้เวลาทำพอสมควร แค่นี้ก็พอใจละ ตั้งแต่นั้นเลยชอบเขียนกลอน แล้วถ้าวันไหนมีการบ้านที่ต้องเขียนกลอนอีก จะสบายใจมาก เพราะคิดว่าทำได้แน่ 55555555 

Study hard, Play harder!

จะบอกว่าตอนอยู่นู่นทำกิจกรรมเยอะกว่าเรียนอีก 5555555 เรียนเลิกช้าสุดคือบ่ายสองครึ่ง ที่เหลือก็ว่างค่ะ ที่มหา’ลัยที่เรียนอยู่จะมีกิจกรรมทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่มี แต่กิจกรรมที่ไปเข้าร่วมบ่อยสุดน่าจะเป็นของ Resident Life ง่ายๆ ก็คือกิจกรรมหอนี่แหละ แต่ไม่มีเก็บคะแนนหอนะ แค่เป็นกิจกรรมที่จัดในหอพักเฉยๆ โดยกิจกรรมแรกที่เข้าคือ Jaguar Journey ก็คือ welcome week ของนักศึกษาปี 1 แต่เราเป็นเด็กแลกเปลี่ยน เขาก็ให้ไปเข้าร่วมด้วยจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ (กิจกรรมนี้จัดสามวันค่ะ) วันแรกๆ ก็จะเป็นการแนะนำมหาลัย ว่าอาคาร หน่วยงานต่างๆ อยู่ตรงไหน เวลามีปัญหาเรื่องการเรียน หรือสุขภาพต้องไปติดต่อใคร วันต่อๆ มาก็เล่นเกมกันเป็นกลุ่มเพื่อสะสมคะแนนไปเรื่อยๆ จนวันสุดท้ายก็มีการแสดง แสดงอะไรก็ได้ กลุ่มไหมเต้น Chicken Dance เต้นท่าไก่ ตลกดี 55555 

สิ่งที่ประทับใจที่สุดใน welcome week คือการที่มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับ sexual harassment (การคุกคามทางเพศ) ว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะต้องแจ้งใคร ทำยังไง เพราะที่อเมริกามีกฎหมายที่เรียกว่า Title IX ที่กำหนดว่าสถานศึกษาที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง จะต้องมีหน่วยงานหรือศูนย์ให้คำปรึกษาและรับแจ้งเหตุเกี่ยวกับการประพฤติผิดทางเพศ เช่น การคุกคาม การเลือกปฏิบัติจากสีผิว ชนชาติ ศาสนา และอื่นๆ รวมถึงมีศูนย์ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตด้วย

ส่วน 4 เดือนระหว่างที่อยู่ที่นู่นก็จะมีธีมกิจกรรมต่างกัน ไม่ซ้ำกันสักวันเลย มี board game night ก็นั่งเล่นเกมเศรษฐีกับเพื่อน มีเล่นบิงโกออนไลน์ (ได้ของรางวัลมาด้วย) บางทีก็ไปนอกสถานที่บ้างค่ะ ไปโยนโบว์ลิง ไหมโยนได้แย่มาก แต่ก็ดีขึ้นนะ 555555 ไหมกับเพื่อนก็ทำ presentation นำเสนอเกี่ยวกับประเทศตัวเอง เล่าที่มาที่ไป ประสบการณ์ชีวิตก่อนมาเรียนที่อเมริกา ไหมก็เล่าถึงชีวิตตัวเองสไตล์สาวเชียงใหม่ เปิดเพลงไทยล้านนาให้เพื่อนฟัง เล่าว่าชีวิตแบบคนเมืองเหนือมันต่างจากวัฒนธรรมไทยของภาคกลางยังไง เสียดายนิดนึงที่ไม่ได้ทำอาหารไทย เพราะมหา’ลัยค่อนข้างเคร่งเรื่องความปลอดภัย ถึงจะเป็นงานเล็กๆ แต่ก็ดีใจที่ได้ทำ  

แล้วก็มีกิจกรรมจิตอาสาที่โครงการกำหนดว่าต้องทำอย่างน้อย 20 ชั่วโมงระหว่างที่เรียนอยู่ที่นู่น ก็มีไปอาสาที่สวนสัตว์ ชื่อกิจกรรมว่า Brew at the zoo เป็นงานแนวสังสรรค์ค่ะ มีการเอาคราฟต์เบียร์มาให้คนในงานชิม หลากหลายดี แต่เราไม่ดื่มนะ แค่ไปช่วยเขารินเบียร์ เก็บขยะ จัดโต๊ะเฉยๆ สนุกดี บรรยากาศแบบเท็กซัสเลยอ่ะ มีวงดนตรีสดมาเล่นด้วย ชอบมากๆ หลังจากนั้นก็ไปช่วยงานที่ Victoria Symphony ทำหน้าที่เป็น usher หรือคนที่พาผู้ชมไปหาที่นั่ง คอยบอกทางว่าต้องนั่งตรงไหน คืองานไม่หนักเลย แถมได้ดูวง orchestra ด้วย แล้วสถานที่ก็สวยมากๆ เพื่อนที่ชวนมาด้วยกันก็ยังขอบคุณที่พามา ชอบตรงที่เห็นหลายๆ ครอบครัวพาลูก พาหลานมากันเยอะมากๆ ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ เลยค่ะ 

ส่วนจิตอาสาสุดท้ายที่ทำก่อนกลับไทยคือ คัดแยกอาหารที่ food bank ค่ะ ก็คือคัดแยกอาหารที่ได้รับบริจาคมา ว่าเป็นอาหารประเภทไหน มีรอยแตกหักมั้ย แล้วก็เอาไปเก็บเพื่อแจกจ่ายให้กับคนในเมืองต่อไป ที่นี่ให้ความสำคัญกับอาหารการกินมากๆ ที่มหา’ลัยของไหมเองก็มีหน่วยยงานที่ชื่อว่า JP’s Market ตั้งอยู่ในบริเวณหอพัก ให้นักศึกษาทุกคน ไปเอาอาหาร ขนม ได้ฟรี เพราะเขามองว่าทุกคนจะต้องเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ จะได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ แล้วก็พวกเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียนก็มีให้ไปรับได้ฟรีเหมือนกันนะ แค่จำกัด 1 คน ไม่เกิน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ 

นอกเหนือจากกิจกรรมในมหาลัยก็ได้ไปเที่ยวค่ะ เป็นครั้งแรกเลยที่ไปเที่ยวคนเดียวแล้วดันไปนิวยอร์กอีก ใจจริงก็กังวลนะว่าจะรอดมั้ย เพราะต้องเดินทางหลายต่อมากๆ นั่งรถบัสสองชั่วโมงไปสนามบินที่ Houston แล้วบินต่อไปนิวยอร์ก จากนั้นก็นั่งรถบัสจากสนามบินนิวยอร์กไปที่พักตอนเที่ยงคืนคนเดียว มานั่งนึกดูก็ถามตัวเองว่ารอดมาได้ไง 5555555 แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นค่ะ ยกเว้นแค่ว่าวันต่อมาโดนรถไฟใต้ดินแกง อยู่ๆ ก็ปิดซ้อมรางเฉย หลงไปสองชั่วโมงเลยกว่าจะถึงบ้าน เหนื่อยมาก แต่รวมๆ คือแฮปปี้มาก (สมัครทุนมาเรียนที่อเมริกาเพื่อมาเที่ยวนิวยอร์ก พอใจละ 555555) จริงๆ นอกจากนิวยอร์กก็ได้ไปเที่ยวที่อื่นด้วยนะ ไหมได้ไปศูนย์ NASA ที่ Houston, County fair ในเมืองใกล้ๆ และได้ไป Washington D.C. ด้วย แต่รวมๆ ชอบนิวยอร์กที่สุด

 บินไปเมกาทั้งที ต้องมี Culture shock!

การศึกษาเลยค่ะ ค่าเทอมที่นู่น ค่าหนังสือเฉลี่ยเล่มละ $80+ แพงมากกกกก ถ้าเทอมไหนเรียนหลายๆ ตัว ก็คูณค่าหนังสือไปเลย ยังดีที่ทุนเขาออกค่าหนังสือให้ แต่เพื่อนที่เรารู้จักร้อยละ 90 คือทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยทั้งนั้นเลย เราเห็นเพื่อนเขาเหนื่อยมากๆ เลิกเรียนตอนบ่าย ตอนเย็นก็ต้องไปทำงาน เลิกงานดึกๆ ตอนเช้าตื่นไปเรียน มันไม่ใช่แค่ได้ประสบการณ์แหละ เรามองว่าเขาทำเพราะมันจำเป็นด้วย เพราะก่อนเปิดเทอมหน้าก็ต้องจ่ายค่าเทอมแล้ว ไหนจะค่าหออีก พ่อแม่หรือครอบครัวจ่ายอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ไหวค่ะ แต่ก็มีนะ คนที่ทำเพราะอยากเก็บเงินไปเที่ยว ไปต่างประเทศ ก็แล้วแต่เหตุผลส่วนตัว แต่การศึกษาที่นี่แพงจริงๆ

อีกเรื่องที่ทำให้งง ไม่ถึงกับช็อกแค่งงๆ 555555 คือคนที่นี่ชมเก่งมากกกก แล้วก็ชอบทักทาย จนบางทีก็คิดว่าเขาจะมาทำอะไรเราเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรค่ะ อัทธยาศัยดีเฉยๆ เคยมีวันนึงเข้าห้องน้ำไปล้างมือ มีนักศึกษาผู้หญิงคนนึง เดินตรงมาหาเลย แล้วบอกว่า ‘วันนี้เธอแต่งตัวน่ารักจัง ฉันยังพูดกับเพื่อนอยู่เลยว่าเวลาเห็นเธอเดินมาเรียน เธอจะแต่งตัวน่ารักตลอด’ เราก็ตอบกลับไปว่า ‘Thank you so much.’ เขาก็บอกว่า ‘You’re welcome.’ แล้วก็เดินไปเลย งงมาก ใจฟูนะ แต่งงมากกว่า วันนั้นแค่ใส่กางเกงยีนส์กับเชิ้ตขาวเอง 55555555 แต่รวมๆ culture shock ที่ปรับตัวไม่ได้เราไม่ค่อยมี เท็กซัสความหลากหลายทางเชื้อชาติเยอะมากๆ ไหมก็ไม่ homesick ด้วย เพราะมีกิจกรรมให้ทำตลอด ไม่เหงาเลยค่ะ 

ขอหนึ่งคำบรรยายให้ประสบการณ์ครั้งนี้

“First time” ทุกอย่างเป็นครั้งแรกหมดเลยค่ะ ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกก็บินข้ามโลกเลย แต่สนุกมาก ครั้งแรกที่ได้มาเรียนมหาลัยที่อเมริกาก็ต่างจากที่ไทยพอสมควร ทั้งสภาพแวดล้อม ผู้คน การเรียน การใช้ชีวิต แล้วก็พิเศษสุดๆ คือเป็นครั้งแรกที่ได้เจอเพื่อน UGRAD จากกว่าร้อยประเทศทั่วโลกภายใน 5 วัน ใน workshop ของโครงการที่ Washington D.C. ได้เจอเพื่อนคนไทยด้วยกัน แล้วก็เพื่อนประเทศอื่นๆ ที่ nice มากๆ ทุกคนเข้าใจกันดีว่าการมาเรียนที่อเมริกามันเป็นยังไง เหมือนเป็น comfort zone ให้กัน ถือว่าเป็น workshop ที่อบอุ่นแล้วก็สนุกมากๆ เป็นการเปิดโลกที่คุ้มมาก

 Dream it, Go for it!

สำหรับใครที่อยากสมัครทุน Global UGRAD จะบอกว่าอย่าลังเลเลยค่ะ โอกาสมาถึงแล้ววว และก็อยากบอกว่าถ้าใครกลัว กลัวไม่สมหวัง กลัวไม่ติด กลัวทำไม่ได้ อย่าเพิ่งกลัวเลย ขอให้ลองก่อน ตัวไหมเองกว่าจะมีวันนี้ได้ก็พยายามแล้วก็ผิดหวังมาเยอะเหมือนกัน ตอนเด็กๆ ช่วง ม.ต้น-ม.ปลาย ก็ไปสอบโครงการแลกเปลี่ยนมา แต่ค่าใช้จ่ายมันเยอะเกินไป ก็เลยบอกตัวเองว่า มันต้องมีสักวันนึงที่เราได้ไปเรียนที่อเมริกาบ้าง แล้วก็ตั้งใจพยายามต่อไปจนสอบติดได้ทุนนี้มา คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเสียเงินอะไรเลย ตัวเราก็ได้ทำตามความฝัน ไหมยังเชื่ออยู่เสมอนะ ว่ามันจะมีสักโอกาสนึงที่เป็นโอกาสของเราแน่นอน ขอแค่ให้ลองทำก่อน ค่อยๆ เรียนรู้ไปค่ะ ใครที่อยากอ่านประสบการณ์ตอนเตรียมเอกสาร สอบสัมภาษณ์ เตรียมตัวก่อนบินแบบละเอี๊ยดดดดด ละเอียด ก็ไป follow IG: mhai_neko ได้ค่ะ ไปอ่านเถอะ เขียนไว้เยอะมาก 55555555 ส่งข้อความมาก็ได้ พร้อมตอบเสมอเลยค่ะ

 

สำหรับน้องๆ คนไหนที่มีเรื่องราวประสบการณ์ไปเรียนต่อหรือเคยแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ และอยากแชร์ให้เพื่อนๆ ชาว Dek-D ได้อ่านกัน สามารถส่งมาที่อีเมล studyabroad@dek-d.com ได้เลยนะครับ :)

พี่วุฒิ
พี่วุฒิ - Columnist มนุษย์ 4 มิติผู้หลงใหลในเพลงเกาหลี ชาเนสที และหมูกระทะ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

3 ความคิดเห็น

โชคชัย 10 ก.พ. 66 20:04 น. 1

ผมเป็นพ่อของไหมเองครับ เพิ่งเห็นบทความที่ลูกสาวเขียนเล่าถึงประสพการณ์การเรียนที่อเมริกา ผมอยากบอกลูก ๆ หลาน ๆ รุ่นน้องของไหมทุกคนที่สนใจการศึกษาในโครงการนี้ และโครงการอื่น ๆ ถ้าวันหนึ่งเราทำสำเร็จ ได้ไปเรียนตามความฝัน ความภูมิใจไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตัวเราเท่านั้น หากแต่ครอบครัวก็จะภูมิใจไปกับเราด้วย ไหมมาจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน มีครั้งหนึ่งที่คนเป็นพ่ออย่างผมรู้สึกผิดมากก็คือ หลังจากทราบว่าไหมสอบติดโครงการ English program ในชั้น ม.1 ก็ตำหนิไหมไปว่า ทำไมเลือกโครงการนี้เราจะจ่ายค่าเทอมไหวหรือ อันที่จริงก็พอจ่ายได้ แต่ความที่ตัวผมเองไม่เคยสัมผัสการเรียนแบบนี้มาก่อน จึงไม่เข้าใจและคิดมากไปเอง จนได้เข้าไปปฐมนิเทศก่อนวันมอบตัวนักเรียน จึงเข้าใจและเห็นความสำคัญปล่อยให้ไหมเรียนอย่างเต็มที่ จากเด็กที่พูดไทยมาตั้งแต่เกิดถึงชั้น ป.6 ต้องมาเรียนเป็นภาษาอังกฤษเกือบทุกวิชากับอาจารย์ชาวต่างประเทศ คิดดูว่าเทอมแรกของ ม.1 จะสาหัสแค่ไหน แต่ด้วยความที่ไหมเป็นเด็กเอาถ่านจึงวางแผนการเรียน การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงมัธยมต้นถึงมัธยมปลายด้วยตนเอง สิ่งเหล่านั้นได้กลายมาเป็น Portfolio เพื่อพาไหมเข้าสูรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมีโอกาสไปโครงการแลกเปลี่ยนดังกล่าว ดังนั้นหลาน ๆ คนไหนที่ทางบ้านสนับสนุน และตัวเองก็มีความฝันก็ขอจงอย่าท้อถอย ผู้ปกครองก็ควรสนับสนุนอย่างเต็มที่จนสุดกำลังเพื่อให้บุตรหลานของท่านมีอนาคตที่ดีทางการศึกษาครับ

0
กำลังโหลด
โชคชัย เกษแก้ว 10 ก.พ. 66 20:05 น. 2

ผมเป็นพ่อของไหมเองครับ เพิ่งเห็นบทความที่ลูกสาวเขียนเล่าถึงประสพการณ์การเรียนที่อเมริกา ผมอยากบอกลูก ๆ หลาน ๆ รุ่นน้องของไหมทุกคนที่สนใจการศึกษาในโครงการนี้ และโครงการอื่น ๆ ถ้าวันหนึ่งเราทำสำเร็จ ได้ไปเรียนตามความฝัน ความภูมิใจไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตัวเราเท่านั้น หากแต่ครอบครัวก็จะภูมิใจไปกับเราด้วย ไหมมาจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน มีครั้งหนึ่งที่คนเป็นพ่ออย่างผมรู้สึกผิดมากก็คือ หลังจากทราบว่าไหมสอบติดโครงการ English program ในชั้น ม.1 ก็ตำหนิไหมไปว่า ทำไมเลือกโครงการนี้เราจะจ่ายค่าเทอมไหวหรือ อันที่จริงก็พอจ่ายได้ แต่ความที่ตัวผมเองไม่เคยสัมผัสการเรียนแบบนี้มาก่อน จึงไม่เข้าใจและคิดมากไปเอง จนได้เข้าไปปฐมนิเทศก่อนวันมอบตัวนักเรียน จึงเข้าใจและเห็นความสำคัญปล่อยให้ไหมเรียนอย่างเต็มที่ จากเด็กที่พูดไทยมาตั้งแต่เกิดถึงชั้น ป.6 ต้องมาเรียนเป็นภาษาอังกฤษเกือบทุกวิชากับอาจารย์ชาวต่างประเทศ คิดดูว่าเทอมแรกของ ม.1 จะสาหัสแค่ไหน แต่ด้วยความที่ไหมเป็นเด็กเอาถ่านจึงวางแผนการเรียน การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงมัธยมต้นถึงมัธยมปลายด้วยตนเอง สิ่งเหล่านั้นได้กลายมาเป็น Portfolio เพื่อพาไหมเข้าสูรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมีโอกาสไปโครงการแลกเปลี่ยนดังกล่าว ดังนั้นหลาน ๆ คนไหนที่ทางบ้านสนับสนุน และตัวเองก็มีความฝันก็ขอจงอย่าท้อถอย ผู้ปกครองก็ควรสนับสนุนอย่างเต็มที่จนสุดกำลังเพื่อให้บุตรหลานของท่านมีอนาคตที่ดีทางการศึกษาครับ

0
กำลังโหลด
Aaa 18 ก.พ. 66 20:29 น. 3

มีคำถามคะ ตอนที่ไปแลกเปลี่ยน เราต้องลงทะเบียนเรียนในมหาลัยที่เราเรียนอยู่ไหมคะ ระหว่างที่ไปแลกเปลี่ยนเราต้องทำหรือเตรียมเอกสารอะไรไหมคะให้กับมหาลัยในไทยที่เรียนอยู่

3
mhai_neko Member 24 ก.พ. 66 22:16 น. 3-1

อันนี้คิดว่าขึ้นอยู่กับแผนการเรียนส่วนตัวของแต่ละคนค่ะ เช่น เรียนกี่ปี/ เก็บได้กี่หน่วยกิตแล้ว/ จบแผน 4 ปี หรือเร็วกว่านั้น และเหตุผลอื่นๆ แล้วแต่มหาวิทยาลัยที่ไทยด้วยค่ะว่ามีระเบียบการลงทะเบียนเรียนยังไง ส่วนตัวไหม ไม่ได้ลงทะเบียนที่มหาลัยไทยเพราะ

1. เรื่องของ timezone จะลำบากตอนอาจารย์เช็คเวลาเข้าเรียน ควิซ สอบกลางภาค/ ปลายภาค เอกที่ไหมเรียน เรียนแบบออนไซต์หมดเลย ถ้าขาดเกิน 6 ครั้งก็ไม่มีสิทธิ์สอบแล้ว 

2. การเรียนที่นู่นอีกที่เราต้องโฟกัสเหมือนกัน World Learning กำหนดว่า UGRAD ทุกคนต้องรักษาผลการเรียนไม่ให้ต่ำกว่า 2.50

3. ไม่อยากเสียค่าเทอมเต็มจำนวน เพราะยังไงตัวเราอยู่ที่นู่นก็เรียนไม่สะดวกอยู่ดี

ก็เลยตัดสินใจไม่ลงเรียน 

**แต่เราทำเรื่องพักการเรียนไว้นะคะ เพื่อรักษาสถานะนักศึกษา** ตรงนี้ให้ติดต่อสำนักทะเบียน หรืออาจารย์ที่ปรึกษาดูว่า มีแพลนจะเรียนต่อต่างประเทศช่วงนี้ๆ ควรต้องเริ่มวางแผนการเรียนที่ไทยยังไง ต้องติดต่อใครเพ่ิ่มเติมบ้าง


ระหว่างที่ไปเรียนอเมริกา ไหมไม่ได้ทำเอกสารอะไรเป็นพิเศษนะคะ ทำแค่ก่อนไปคือ เรื่องพักการเรียนนี่แหละ จบโครงการ กลับไทยมาก็แค่รอลงทะเบียนเรียนของเทอมถัดไปค่ะ 


เสริมเรื่องการเทียบหน่วยกิต/ เทียบประสบการณ์ อันนี้ให้ติดต่อคณะ หรือภาควิชาที่เรียนอยู่นะคะ ทางโครงการไม่ได้ห้ามค่ะ แต่ต้องดูว่าเอก หรือสาขาที่เรียนมีวิชาไหนที่เรายังไม่ได้เรียน แล้วพอไปเรียนที่นู่นสามารถเอามาเทียบได้บ้าง แต่ส่วนนี้ต้องดำเนินการกับทางมหาวิทยาลัยที่ไทยเองนะคะ ถ้าจะเทียบ ก็อย่าลืมขอ transcipt จากฝั่งอเมริกามาด้วยค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด