อันยองน้องๆ ชาว Dek-D ค่ะ ใครดูซีรีส์เกาหลีแนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “Hometown Cha-Cha-Cha” บ้างคะ (พระเอกคือหัวหน้าฮงดูชิกแห่งกงจิน นางเอกคือยุนฮเยจิน ทันตแพทย์ผู้รักความสมบูรณ์แบบ) และฉากหลักของเรื่องนี้คือ “เมืองโพฮัง” (Pohang 포항) ที่เป็นเมืองชายทะเลในจังหวัดคย็องซังเหนือ ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งวิวสวยบรรยากาศอบอุ่นหัวใจสุดๆ!
และวันนี้จะพาไปคุยกับ “พี่มี่” เจ้าของแอคทวิต mimisisinKorea_ คนไทยที่ได้ทุน 100% ไปเรียน Handong Global University (한동대학교) ในเมืองโพฮัง และฝึกสอนในโรงเรียน Handong International School // เล่าตั้งแต่การขอทุน การเรียน สังคม รวมถึงพาไปดูประเทศที่ให้ค่ากับอาชีพครู ทั้งเงินเดือนดีและมีหน้ามีตาในสังคม โดยค่าตอบแทนจะอยู่ราวๆ 70,000-80,000 บาทไทย!
สปอยล์ก่อนเริ่มเรื่อง!
- มหาวิทยาลัยนี้สามารถเลือกได้ 2 เมเจอร์ คือ Education with Psychology และ English major
- ถ้าเลือกลง Teacher Education Program (TEP) ตอนจบจะได้วุฒิครูนานาชาติของอเมริกา สามารถสอนในโรงเรียนคริสเตียนหรือโรงเรียนนานาชาติได้ทั่วโลก
- หลักสูตรภาษาอังกฤษล้วน สังคมนานาชาติและคริสเตียน = เรียนจบได้โดยไม่ต้องอันยองสักคำ
- เลือกฝึกสอนที่โรงเรียนนานาชาติ Handong International School มีอะไรให้ลุ้นทุกวัน เด็กน่ารักและมีวุฒิภาวะสูงมาก
. . . . . .
เมื่อการติ่งพาฉันก้าวมาที่นี่
แล้วซื้อหนังสือมาหนึ่งเล่ม
“ย้อนไปไกลหน่อยสักปี 2000 ต้นๆ เราชอบวง Super Junior มากจนอยากรู้ว่าคนในวงเค้าคุยอะไรกัน เลยมีวันนึงเดินเข้าร้าน se-ed ไปซื้อหนังสือภาษาเกาหลี (เหลือเล่มเดียวในร้านด้วย) เริ่มเรียนเองตั้งแต่ตอนนั้น แต่เสียดายที่ยุคนั้นยังไม่มี ม.ในไทยที่เปิดสอนเอกนี้ เลยแอบชอบในใจไปก่อน และทนอยู่ท่ามกลางเสียงจากคนรอบข้างว่าเราติ่ง ไร้สาระ บ้าเกาหลี ฯลฯ น้อยใจแต่คิดว่าต้องมีสักทางที่เราจะพิสูจน์ตัวเองได้”
“แล้วไฟที่มอดๆ ก็กลับมาตอน ม.4 เพราะประเทศไทยเข้าสู่ช่วงเกาหลีฟีเวอร์ ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปค่ะ 5555 ตอนแรกเราเข้าเอกภาษาอังกฤษที่ ม.แม่ฟ้าหลวง เพราะอยากทำให้พื้นฐานภาษาแข็งแรง และลงวิชาเลือกเป็นภาษาเกาหลีหลายตัว แต่เราตั้งเป้าว่าอยากได้ 3 ภาษาก่อนจบ ป.ตรี ก็เลยเริ่มมองหาทุน”
สรุปคือเราสมัครไปเรื่อยๆ ทั้งหมด 5 ทุน ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ไม่ท้อ อยากบอกน้องๆ ทุกคนว่าถึงเป็นทุนเล็กก็อยากให้ลองยื่นก่อนน ถ้าอยากถูกหวยต้องซื้อหวย ถ้าอยากได้ทุนต้องสมัครค่ะ!
สมัครทุนอะไรบ้าง?
- ปี 2016 เราสมัครทุนของ Korean Education Center ได้ไปเรียนภาษาและวัฒนธรรมระยะสั้น 10 วันที่ มหาวิทยาลัยปูซาน (Pusan National Univeristy) ระยะเวลา 10 วัน ฟรีทุกอย่างยกเว้นค่าตั๋วเครื่องบินกับค่าชอปปิงส่วนตัว // เป็นประสบการณ์ไปเกาหลีครั้งแรกในชีวิตของเรา แล้วติดใจจนอยากกลับมาเรียนอีกครั้ง!
- ตอนเรียนปี 1 เทอม 2 เราสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีใต้ Global Korea Scholarship (GKS) ตั้งใจเตรียมเอกสารและเขียนเรียงความไป 8 เดือน สุดท้ายไม่ผ่านเข้ารอบ ตอนนั้นเสียใจมากกแต่ก็สู้ต่อเพราะคิดว่าเราเพิ่งจะล้มครั้งแรกเอง สุดท้ายก็ลุกขึ้นมายืนต่อแบบชาๆ งงๆ แล้วเดินหน้าสมัครทุนต่อไป
- ขอทุนศูนย์วิจัยด้านภาษาที่เกาหลี ไปเรียนภาษา 2 เดือน (พลาดอีกแล้ว เราไม่ได้ทุนนี้)
- ปี 2017 เราสมัครทุนแลกเปลี่ยนที่เป็นโควตาเด็กแม่ฟ้าหลวงอีกเหมือนกัน โดยจะได้แลกเปลี่ยน 2 เดือนที่ Duksung Women's University (ฟรีค่าเรียน+ค่าหอ แต่ออกค่าตั๋วเครื่องบินกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวเอง)
ครั้งนี้เราผ่านเข้ารอบสัมภาษณ์และได้รับเลือกแล้วค่ะ จังหวะนั้นวางแผนว่าจะเรียนต่อเกาหลีต้องได้ทุนเต็มจำนวนเท่านั้น ก็เลยบินไปก่อนกำหนดเพื่อสำรวจ ม.ฮันดง ปรึกษาอาจารย์เรื่องทุนและหลักสูตร (อาจารย์ให้คำแนะนำดีมาก)
"ขอใช้เวลาปีนึงซื้ออนาคตตรงนี้ได้มั้ย
อยากลองเสี่ยง ไม่ลองไม่รู้”
"เราคุยกับที่บ้านว่าจะขอดร็อปมหาลัยไทยไว้ก่อนปีนึงเพื่อเตรียมตัวสมัครทุนไปเรียน ป.ตรีที่ ม.ฮันดงคุณแม่เห็นว่าเราดูตั้งใจมากและเคยได้มา 2 ทุนแล้ว ก็เลยยอมไฟเขียวให้"
“การซิ่วในไทยอาจถูกมองในแง่ลบ แต่ที่เกาหลี ถือเป็นเรื่องปกติและเรื่องส่วนตัว คุณสามารถดร็อปไปเกณฑ์ทหาร ทำงานพิเศษ เรียนภาษา ไปพักผ่อน ไปต่างประเทศ ฯลฯ โดยที่พ่อแม่และสังคมไม่ว่า บางคนซิ่วเพื่อเปลี่ยนมหาลัยก็มี เช่น เรียนปี 1-2 ที่มหาลัย A แล้วซิ่วไปเป็นเด็ก transfer ปี 3-4 ที่มหาลัย B (เทียบหน่วยกิตตามเงื่อนไขที่กำหนด) หรือเพื่อนบางคนจบ ป.ตรีตอนอายุ 26-27"
“เช่นกัน เราเรียนแม่ฟ้าหลวงมา 2 ปี มีทางเลือกว่าจะไปเริ่มปี 1 หรือเรียนต่อปี 3 ที่เกาหลี แต่พอคุยกับเพื่อนที่ไปเริ่มปี 3 เป็นเด็ก transfer ที่เกาหลี เค้าบอกว่าก็ดีนะ แต่พูดตามตรง ไปเรียนเทอมเดียวอาจคุ้นชินระดับนักท่องเที่ยว เทอมต่อมาคล่องขึ้น แต่ถ้าจะให้คุ้นชินเหมือนคนในพื้นที่ขึ้นมาหน่อยคงต้อง 2 ปี+ เราเลยตัดสินใจไปเริ่มใหม่ปี 1 ที่ ม.ฮันดงตอนอายุ 21 ปี บอกเลยว่าไม่เสียดาย เป็นช่วง 4 ปีที่ได้เรียนรู้เยอะมากค่ะ”
. . . . . .
ช่วงรีวิวขอทุน 100%
Handong Cornerstone Scholarship
"เค้าจะมีช่องให้ติ๊กขอทุนในใบสมัครเรียนเลย (มีทุนลับอื่นของมหาลัยอีก) ตอนสมัครต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษ/ภาษาเกาหลี (เช่น TOEFL, IELTS, IB, TEPS, TOPIK) + เกรด 3.5 ขึ้นไป + เรียงความ Statement of Purpose (SoP) ถ้าผ่านรอบเอกสารก็จะมีรอบสัมภาษณ์ต่อ"
คำแนะนำการเขียน SoP
- รู้จักตัวเอง และเป็นตัวเอง (ต้องเขียนอย่างซื่อสัตย์ จริงใจ และชัดเจนที่สุด กรรมการจะดูออกว่าเราเขียนเองรึเปล่า)
- หาวิธีพรีเซนต์ให้น่าสนใจ เทคนิคของเราคือตอนเขียนเรียงความจะดูหนังและอ่านหนังสือเยอะมากกก เสพสิ่งดีๆ ให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลขึ้น
- เราไม่ต้องฉลาดที่สุด แต่ควรโชว์ความพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
แต่ละปีจะมีคนได้ทุน Handong Cornerstone Scholarship 15 คนจากทั่วโลกค่ะ ถ้าเข้าเรียนปี 1 จะเป็นทุน Freshmen ให้ 4 ปี (8 เทอม) แต่ถ้ามาแบบ transfer จะให้ 2 ปี (4 เทอม) ครอบคลุมค่าใช้จ่ายดังนี้
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Admission fee)
- ค่าเรียน (Tuition fee) สาขาไหนก็ได้
- ค่าหอ (Dormitory fee) อยู่หอในเท่านั้น เทอมละ 750,000 วอน
- ค่าอาหาร (Meals) ให้บัตรนักศึกษาพร้อม food point เทอมละ 600,000 วอน
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว (Daily expense) เดือนละ 200,000 วอน
- สวัสดิการอื่นๆ เช่น ถ้านักเรียนทุนไปแลกเปลี่ยนเมืองนอก มหาลัยจะสนับสนุนส่วนค่าเทอมให้
- ถ้านักเรียนทุน Cornerstone ได้เกรดสูงสุดในบรรดาเด็กทุนทั้งหมด สามารถเปลี่ยนไปเลือกรับทุน Samsung ที่ให้เงินก้อนเดือนละ 800,000 วอนได้
**นักเรียนทุน Corner ต้องรักษาเกรดเฉลี่ยรวมในเทอมให้ไม่ต่ำกว่า 3.00 แต่สมมติมีเทอมที่หลุดแล้วกลับมาทำเกรดถึงในเทอมต่อไป ก็จะกลับมาได้ทุนต่อ
ศึกษารายละเอียดทุนที่นี่. . . . . .
เปิดชีวิตเรียนสุดลงตัวที่ ม.ฮันดง
(Education + Psychology + English)
เล่าเรื่องเมืองก่อนนะคะ เราคิดว่าโพฮังเป็นเมืองที่ดีสำหรับการมาเรียน ช่วยให้โฟกัส และยังประหยัดมากๆ (ตอนเรียนเราแทบไม่ได้ไปไหนเลย เตียงกับห้องสมุดสองที่ 55555) จุดเด่นคือสวย สงบ ทะเลสวย ค่าครองชีพถูก คนไม่เยอะ แล้วคนก็ใจดีด้วย โดยรวมจะมีความ slow-life ถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ อาจจะมีเหงาบ้างสำหรับคนที่ชอบสังคมเมือง แต่สามารถนั่งรถไปเมือง Daegu (30 นาที) หรือเมือง Busan (1.30 ชั่วโมง)
ส่วน Handong Global University (HGU) คือมหาลัยที่ตั้งอยู่ในเมืองโพฮัง เราเจอจากเว็บ https://www.studyinkorea.go.kr ความน่าสนใจคือเป็น ม.นานาชาติที่ดังมากในหมู่คริสเตียน แล้วเรานับถือคริสต์ มีดังหลายคณะเช่น IT และวิศวะฯ มีทุนให้ต่างชาติ และยังเปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษ จบได้โดยไม่ต้องอันยองสักคำ
ด้วยความที่เป็นมหาวิทยาลัยคริสเตียน ตอนรับน้องปี 1 ทุกคนต้องสัญญากับพระเจ้าว่าจะซื่อสัตย์และทำตามกฎ และเค้ายังให้ความเชื่อใจกับนักศึกษา เราเชื่อว่าคุณไม่โกงนะ และเป็นการฝึกความซื่อสัตย์ของเด็กไปในตัวด้วย อย่างเช่นมหาลัยจะมีบัตรให้ทุกคนสแกนด้วยตัวเอง เวลาซื้ออะไรก็คิดเงินและยิงบาร์โค้ดเองทั้งหมด โดยที่ไม่มีพนักงานมาคอยเช็กว่าเราจ่ายหรือยัง แม้กระทั่งห้องสอบก็มีแต่ TA มาช่วยอำนวยความสะดวก แจกข้อสอบ เก็บข้อสอบ แค่นั้นเลย ไม่มีคนคุม
1. ปีแรกยังไม่ต้องเลือกเอก
ช่วงปี 1 จะยังไม่ต้องเลือก major เค้าเปิดโอกาสให้เราลองค้นหาตัวเองได้เต็มที่ บอกเลยช่วงนั้นเราเปลี่ยนเอกทุกวัน จาก Law > IR > Business > Education (เปลี่ยนจนอาจารย์ถามว่าวันนี้อยากเป็นอะไรดีจ๊ะ 55555) ซึ่งเราก็ดูว่าตัวเองโปรในคลาสไหน ตรงนั้นน่าจะเป็นที่ของเรา สุดท้ายเลยเคาะที่ Education
**เราสามารถเรียนเอกเดี่ยว (60 หน่วยกิต) หรือดับเบิลเมเจอร์ (33+33 หน่วยกิต) ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เค้านิยม double majors เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
2. ยูนีคขั้นสุดกับระบบ Global Convergence Studies (100% Eng)
"นอกจากเอกที่มีอยู่แล้ว เรายังเลือกออกแบบหลักสูตรเองได้เหมือนผสมค็อกเทลเลยค่ะ~ ฮันดงจะมีจัดคลาสไว้รองรับกว่า 200 คลาสจาก 16 สาขาทั้งมนุษยศาสตร์ สังคมวิทยา บริหารธุรกิจ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และวิศวกรรมศาสตร์ (เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด) โดยเงื่อนไขการจบคือต้องเรียนให้ครบเอกละ 33 หน่วยกิต"
"วิธีการคือให้เข้าไปที่หน้า GCS สร้างแผนการเรียน เขียนเรียงความสิ่งที่อยากเรียน และเลือกจัดวิชาที่เปิดสอนในฮันดง แล้วดูเข้ากันในบรรดาเอกที่จับมาผสม // อาจารย์ที่ปรึกษาจะให้รายชื่อวิชาเรียน กับคำอธิบายรายวิชามาให้เราจัดให้ครบตามหน่วยกิตที่กำหนด แล้วอาจารย์จะคอยตรวจและปรับว่าวิชาเรียน 2 สายนี้เหมาะกันมั้ย"
"เรามองว่าการสอนกับจิตวิทยาต้องอยู่ด้วยกัน เพื่อให้เป็นครูที่เข้าใจเด็ก เลยได้เป็น Education with Psychology + English Major ซึ่งพอมาฝึกสอนแล้วพบว่ามันเวิร์กมากกก เดี๋ยวจะมาเล่าต่อในพาร์ตการฝึกสอนนะคะ"
3. อยากเป็นครู? เลือกลงโปรแกรม TEP ได้นะ!
"สำหรับเด็กมหาลัยที่อยากเป็นครู สามารถลงโปรแกรม TEP Teacher Education Program เพื่อเตรียมตัวและฝึกสอน ตอนจบจะได้วุฒิ “ACSI” (Association of Christian Schools International) เป็นวุฒิครูของอเมริกาที่ใช้สอนโรงเรียนคริสเตียนหรือโรงเรียนนานาชาติได้ทั่วโลก เช่น เกาหลี สเปน อเมริกา แคนาดา สิงคโปร์ ไทย ฯลฯ **ปกติต้องบินไปทำถึงฟลอริดา USA แต่เราสมัครได้ที่เกาหลีและฟรี เพราะ ม.ฮันดงมีความร่วมมือกับองค์กรเจ้าของวุฒินี้"
เงื่อนไข
- ต้องลงเรียนวิชาที่มีสอนในโรงเรียน (เช่น สังคม ภาษาอังกฤษ ชีววิทยา ฯลฯ) ปกติการจะเรียนจบได้ต้องลงเรียนครบเมเจอร์ละ 33 หน่วยกิต เช่น เราสมัคร TEP ไปตอนปี 2 แลกเลือกเป็น English Major ก็เลยลงวิชา English Major เพิ่มเป็น 36 หน่วยกิต
- ต้องฝึกสอนให้ครบ 200 ชั่วโมงใน 1 เทอม ฝึกที่โรงเรียนนานาชาติและคริสเตียนที่ประเทศไหนก็ได้ อย่างเช่นไทยจะมี Bangkok Christian International School กับ Chiang Rai International Christian School
Overview ภาพรวมทั้งสามเอก
(*ประสบการณ์ส่วนตัว)
"ด้วยความที่เราเรียนภาษาอังกฤษในแบบฉบับของอเมริกา ทำให้รู้ว่าการศึกษาที่นี่ดีและเปิดกว้างมาก ทุกเอกเหมือนกันหมด อาจารย์จะเป็นคนถามและกระตุ้นให้เราตอบโดยไม่มีถูกผิด เหมือนเรียนรู้ไปกับเรา แล้วยังช่วยพัฒนาไอเดียให้ไปต่อได้"
| เอก (Major) | ตัวอย่างวิชาเรียน | การวัดผล |
| Education *เน้นความเข้าใจ | - จิตวิทยาการศึกษา - ปรัชญาการศึกษา - การวัดผล - แผนการเรียน - สัมมนา (เกี่ยวกับโรงเรียนแต่ละประเทศ) | มีตั้งตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์และกลุ่ม เพราะเป็นสาขาที่เน้นช่วยกันเรียน การแข่งขันไม่สูง และยังเป็นสาขาที่หล่อหลอมและปลูกฝังค่านิยมดีๆ ให้เด็กพร้อมไปเป็นครูที่ดี |
| Psychology *เน้นท่องจำ | - หลักจิตวิทยา - จิตวิทยาพัฒนาการ - จิตวิทยาเพื่อการเรียนรู้ - การแนะแนวอาชีพ | คะแนนอิงกลุ่ม อาจารย์ค่อนข้างเข้มงวด เราต้องเอาตัวรอด วิ่งขึ้นไปให้ได้เกรดดีๆ เน้นความจำเยอะ |
| English Major *เน้นความเข้าใจ มีท่องจำนิดหน่อย | - วรรณกรรม - ภาษาศาสตร์ - การสอน - TESOL | คะแนนอิงเกณฑ์ (เช่น A+=95, A=90, F=60) เราได้ A+ มา 17 ตัว |
แต่ละเอกได้เรียนประมาณไหน?
Education (เอกการสอน)
"เอกนี้จะมี discussion, lecture, group assignment ตลอด มีลิสต์ textbook มาให้เราไปตามหาหนังสือมาอ่านก่อนเรียน บางคาบต้องอ่านมากกว่า 1 เล่ม หรือเล่มใหญ่เล่มเดียว เราสามารถซื้อมือหนึ่งจากร้าน ซื้อมือสองจากรุ่นพี่ หรือยืมจากห้องสมุดก็ได้"
"ท้าทายสุดน่าจะเป็นเรื่อง 'การสร้างหลักสูตร' เริ่มจากเด็กวัยนี้ต้องรู้อะไร และเราจะทำอะไรได้บ้าง (คำนึงถึงคอนเทนต์ ระยะเวลาเรียน แรงจูงใจ ฯลฯ) สมมติเวลาได้โจทย์เป็นเด็ก ม.1 เราจะคอยสะกิดเพื่อนตลอดว่า 'เฮ้ยๆๆ intro. แค่ 15 นาทีพอมั้ย' 'ระวังเรื่องที่สอนไม่แมตช์กับอายุ' 'ถ้าสอนปากเปล่าอย่างเดียวเด็กหลับแน่' ธรรมชาติของเด็กแต่ละคนถนัดวิธีเรียนไม่เหมือนกัน เราเลยเน้นใส่ Learning Styles หลากหลายไว้ก่อน เช่น มีภาพ วิดีโอ ดนตรี หรือกิจกรรมอะไรให้ได้ขยับ"
English (เอกภาษาอังกฤษ)
"เอกนี้ครูมาตรฐานสูงมากกก แต่เรียนไปเรียนมาเราคิดถึงอาจารย์คนนี้ที่สุดเลยค่ะ เริ่มแรกเค้าจะถามนักเรียนก่อนว่า “มีใครที่เราสามารถให้ feedback หรือติได้บ้าง?” ตอนนั้นเรายกมือแบบสั่นๆ เพราะคิดว่าถ้าเค้าไม่ติ เราจะไม่รู้ข้อเสียของตัวเองเลย สรุปคือเค้าติจนกระทั่งวันปิดคอร์ส 55555"
- วิชาที่หินสุดในเอกคือ Syntax (วากยสัมพันธ์) ต้องจำเยอะมากก สไตล์จะต่างกับ Literature (วรรณกรรม)
- วิชา Literature จะกำหนดว่าทุก 3 เดือนต้องอ่านนิยายเล่มไหนหน้าไหนบ้าง โดยที่อาจารย์จะมีลิสต์คำถามและสร้างบรรยากาศให้ทุกคนมาแชร์ความคิดเห็นกัน เพราะถึงทุกคนจะอ่านเล่มเดียวกัน แต่การวิเคราะห์ตีความจะออกมาหลากหลายมาก เช่น ตัวละครนี้ร้าย เธอว่าเค้าร้ายเพราะอะไร ฯลฯ วิชานี้ช่วยให้เราได้ฝึกยอมรับความแตกต่างและมองหลายมุม ทุกอย่างคือการเรียนรู้
- การสอนภาษาอังกฤษ หรือ TESOL (Teaching English to Speakers of Other Languages) มีแบ่งกลุ่มเตรียมฝึกสอนเหมือน role play รันทุกอย่างในคลาส และมีเพื่อนกับอาจารย์รับบทเป็นนักเรียน แต่ละคาบเพื่อนจะต้องเขียน feedback จุดเด่นกับสิ่งที่ควรพัฒนา แล้วอาจารย์จะประเมินทีเดียวตอนให้เกรด
งานนี้เค้าจะกำหนดอายุมาให้ แต่ไม่ได้บังคับเนื้อหาที่สอน อย่างเพื่อนบางกลุ่มได้สอน kindergarten หรืออนุบาล อาจารย์ร้องไห้ปรบมือไปด้วยก็มี 5555 // ตอนนั้นกลุ่มเราได้วัยผู้ใหญ่ เนื้อหาต้องใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เราเลยเลือกวิธีสอนเลือกวิธีสอนโดยเชื่อมโยงกับการวัดบุคลิกภาพ ที่เรียกว่า MBTI (Myers-Briggs Type Indicator)
สำคัญคือเราต้องวางแผนเนื้อหาให้เหมาะกับอายุเด็ก และสอนสิ่งที่เค้าสนใจ ไม่ใช่สอนแต่สิ่งที่เค้าจะต้องเรียน เพราะสำหรับคนเกาหลีรวมถึงคนไทยจะคิดว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ไฟต์บังคับ เราต้องเปลี่ยนความคิดเค้าให้ได้ว่า ภาษาอังกฤษไม่ใช่แค่วิชาที่จบแค่ในห้อง แต่เป็น “การใช้ชีวิต” ที่เด็กจะได้ใช้ต่อนอกห้องเรียน เพราะเราเป็นมนุษย์ และมีภาษาเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สื่อสารกับผู้อื่นได้มากขึ้น
- อีกวิชาที่หนักเหมือนกันคือ English Speech แต่เป็นงานกลุ่มที่ประทับใจมากกก ต้องทำละครเวที (Musical) แบบนับหนึ่งทั้งหมด ตั้งแต่ตัดเมโลดี้ ทำฉาก สร้างพล็อต เขียนเนื้อร้อง จังหวะ ฯลฯ ตอนนั้นเราทำเรื่อง Cinderella ในฮันดง เพื่อนในกลุ่มมีทั้งคนญี่ปุ่น คนเกาหลี คนฮังกาเรียน และเราที่เป็นคนไทย ซ้อมละครด้วยกันทุกวัน หน้าที่หลักเราตอนนั้นคือทำพล็อตเพราะพอสร้างเรื่องได้
เอก Education with Psychology
(การสอนกับจิตวิทยา)
- การสอนของ ม.ฮันดงจะเป็นแนวอเมริกัน ครูมีเตรียมเนื้อหามาสอน แต่หลักๆ จะมี Discussion, Lecture และ Group Assignment ตลอด เค้าจะมีลิสต์ textbook ที่ต้องอ่านก่อนเรียนมาให้ บางคาบต้องอ่านมากกว่า 1 เล่ม หรือเล่มใหญ่ 1 เล่ม (อาจจะซื้อมือหนึ่ง ยืมจากห้องสมุด หรือซื้อมือสองจากรุ่นพี่ก็ได้)
- วิชาที่ทั้งสนุกและยากสุดคือ Introduction to Psychology เพราะเรียนกว้างมาก! เราจะเจาะแค่การศึกษาไม่ได้ แต่ต้องเรียนรู้ชื่อโรค อาการทางประสาท ชื่อยา ผลข้างเคียง ระบบสมองและความจำ (เช่น สมองส่วนไหนทำงานเกี่ยวข้องกับความรัก, ความเจ็บ, ความเศร้า, How-to ลืม, How-to จำ การเสื่อมสภาพของสมองและสติปัญญา, การเรียนภาษา และอื่นๆ)
ตัวอย่างวิชาบังคับอื่นๆ ที่ต้องเรียน
- Korean History (ประวัติศาสตร์เกาหลี) อาจารย์พาไปเที่ยวเมืองคยองจู ปีนเขาเที่ยวกันเล้ยยย
- Biology (ชีววิทยา)
- วิชาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
- วิชาด้าน ICT เช่น ภาษา HTML, Java, การสร้างแอปใน Android ฯลฯ // วิชานี้ก็ C ไปเลยสิคะ
**วิชาคอมทั้งหลายคือทุกคนจะรักกันมากกกและรู้ว่าใครเป็นเพื่อนแท้ (การบ้านที่เป็นงานเดี่ยว ก็ทำเหมือนเป็นงานกลุ่ม จากที่ไม่เคยคุยกันก็ได้คุย) ซึ่งวิชาพวกนี้จะมีคนเทพคอมพ์ฯ เขาคนนั้นจะเหมือนเป็นศาสดาของห้อง กินข้าวเสร็จอาจถึงขั้นต้องเลี้ยงข้าวศาสดาด้วยค่ะ 5555
. . . . . .
อยู่สังคมเกาหลีต้องมีเหนื่อย หอบ
อ่านหนังสือแค่ก่อนสอบก็ไม่ได้!
ว่าด้วยการบ้านและการสอบ
"คนเกาหลีซีเรียสและการแข่งขันสูง มีเรื่องให้เครียดตั้งแต่การขอวีซ่า การเรียน เพื่อน การใช้ชีวิต การหางาน (ชั้นจะหางานได้มั้ย) ถ้าสบายตัวทุกวันอาจสู้เค้าไม่ได้ แต่การทำสิ่งที่ง่าย ไม่ลำบาก ไม่ท้าทาย ไม่ต้องใช้ความพยายาม ก็คงไม่ทำให้เราดึงศักยภาพได้ขนาดนี้ จากตอนแรกที่อ่อนภาษา แต่การเรียนที่นี่ทำให้เราอ่านไวขึ้น ทนขึ้น คลังศัพท์และทักษะภาษาพุ่งปรี๊ด แล้วยังทำให้รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร หรือแม้แต่ตัวไหนที่ได้ D+ ยังจำได้ดีว่ากว่าจะรอดมาได้ต้องขุดความพยายามขนาดไหน"
"ตอนเรียนเราต้องบริหารเวลาทำเปเปอร์ แบบฝึกหัด อ่านหนังสือก่อนเรียน ส่วนงานกลุ่มจะเหมือนซื้อหวย (หวยอีกแล้ว!) เพื่อนที่นี่ช่วยกันทำงานแบบขยันขันแข็ง ทุกคนจะมารุมแชร์ไอเดีย ใส่ความคิด ระดมสมองเต็มที่ และอาจจะอึดอัดกว่างานเดี่ยวตรงที่ตัดสินใจเองไม่ได้ มีเถียงกันบ้างเพราะไอเดียไม่ตรงกัน หรืออาจซับซ้อนขึ้นเพราะหาข้อสรุปไม่ได้ ทุกคนเลยต้องแยกย้ายไปทำของตัวเองแล้วมาโหวตกันเพื่อเลือกไอเดียที่เจ๋งที่สุดไปทำงานกลุ่มอีกที"
"ที่เกาหลีเราจะอ่านก่อนสอบอย่างน้อย 1 เดือน และถ้าให้ดีควรอ่านทบทวนทุกวันหลังเรียนเสร็จ บางคนถึงกับนอนห้องสมุด มีอุปกรณ์การใช้ชีวิต หมอน แปรงสีฟัน ยาสีฟันหมด ฯลฯ ตื่นไปเรียนชุดเดิมก็มี ส่วนเราก็ทำลิสต์ไว้เลยว่าแต่ละวิชาต้องอ่านอะไรบ้าง การนอน 2-3 ชั่วโมงคือเรื่องปกติ ถ้า 4 ชั่วโมงคือมีบุญ มากสุดที่เคยมีน่าจะ 5-6 ชั่วโมง แต่ละคนจะอ่านกันซีเรียสสุดๆ"
"ตอนอยู่ไทยเรารู้สึกดีกับการได้อยู่ว่างๆ ลอยๆ แต่พอมาอยู่เกาหลีคือชีวิตเปลี่ยน ถ้าว่างจะกระวนกระวาย พอ busy แล้วจะรู้สึก still alive เหมือนกับคนเกาหลีที่เค้าเซ็ตตารางเวลาไว้รายชั่วโมง ถ้าอยากกินข้าวกับคนเกาหลีจะต้องนัดล่วงหน้า เพราะเวลาของเขามีค่ามากๆ ทุกวันนี้เราก็วางแผนชีวิตโดยการทำตารางเป็นรายชั่วโมง พอจะมีวันว่างเพราะฝึกสอนสัปดาห์ละ 2 วัน"
"ช่วงปิดเทอมคนเกาหลีมักจะไปเที่ยวหรือสังสรรค์ เพราะเป็นสิ่งที่วางแผนไว้แล้ว เค้าปาร์ตี้บ่อยเพราะปกติชีวิตมีงานรัดตัวไปหมด ออกจากกรอบไม่ค่อยได้ ต้องหาเวลาพักหายใจแล้วใช้เวลาช่วงนั้นผ่อนคลายให้เต็มที่บ้าง"
ไฮไลต์ของ ม.ฮันดง คือสังคมดีมาก
"นักเรียนจะได้อยู่หอในที่แบ่งเป็นบ้านๆ เหมือน Harry Potter และในบ้านจะแบ่งย่อยอีกเป็น 12-13 ทีม (ไม่ได้อยู่ทีมเดิมตลอด เปลี่ยนทุก 2 ปี) ทุกพุธเราจะได้มาทำกิจกรรมด้วยกัน เช่น ปิกนิก ทำอาหาร กินข้าว หรือมิชชันเหมือนใน Running Man เวลามีกีฬาสี หอนานาชาติที่เราอยู่จะชนะกีฬาบ่อยมากเพราะมีนักศึกษาจากแถบลาตินอเมริกา เช่น สเปน บราซิล ฯลฯ นอกจากนี้ปีแรกเค้าจะจัด Freshmen Helper ที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงเด็ก 1 คน คอยช่วยให้ปรับตัวในมหาลัยง่ายขึ้น"
"ตลอดเวลาที่เรียนเราไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวหรือแปลกแยกเลย ถ้าเป็นเพื่อนต่างชาติกันเองมองตาก็รู้ใจเป็นเรื่องปกติ แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กเกาหลีที่ ม.ฮันดง ก็ open-minded ยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็กนานาชาติ โตที่ต่างประเทศ หรือเป็นลูกครึ่ง บางคนโตที่เอเมริกา อินโดนีเซีย ฮอลแลนด์ ไนจีเรีย ไทย จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ฯลฯ แล้วที่นี่จะมีเด็กแลกเปลี่ยนมาตลอด เป็นเทอมเดียวบ้าง ปีเดียวบ้าง"
"จากที่เล่าว่าการเรียนกับการบ้านหนัก แต่เวลามีใครสักคนมาบ่นด้วยกัน อ่านหนังสือข้ามคืนด้วยกัน ทำให้การแข่งขันเบาลงไปมาก ตอนมาแรกๆ พื้นเราไม่แน่น ต้องปรับตัวเยอะและยากมาก ปี 2 ร้องไห้ทุกวันแบบไม่ไหวแล้ว เคยกระทั่งสอบไฟนอลแล้วส่งกระดาษเปล่า ปรากฏว่ามีเพื่อนคนเกาหลีเชื้อสายอาร์เจนตินาคนนึงเดินเข้ามาตบบ่าแล้วบอกว่า 'เธอ เราก็ส่งกระดาษเปล่า' (เฮ้ย! ในประเทศเกาหลีที่ขึ้นชื่อว่าการแข่งขันสูงมากกก มีคนติด F เป็นเพื่อนเราด้วยแหละ) แล้วไม่ใช่แค่เรื่องเรียน แต่ตอนอกหักเพื่อนก็ซื้อข้าวให้ทุกวัน คอยถามไถ่อาการ ฯลฯ เป็นคนละชาติกับเราแต่ cheer up ตลอดเลย"
อาจารย์ที่ฮันดง ทำให้เราอยากเป็นครูที่ดี
“เธอๆ วันนี้เราอบไก่ ไปกินมั้ย สี่โมงเจอกัน”
“เราต้องมีนัดกินข้าวกันบ้างนะ”
"ปกติอาจารย์จะชวนนักเรียนมารวมตัวกินข้าวกันทุกสัปดาห์ ไปคุยไปเที่ยวกันได้หมด มีแม้กระทั่งแคมเปญให้เต้นด้วยกัน กันเองทั้งอาจารย์ต่างชาติและอาจารย์เกาหลี เวลาวิ่งตอนเช้าที่มหาลัย เจอนักเรียนทีก็จะ 'Hi~~'"
"ที่ประทับใจสุดคือช่วงใกล้จบ เราต้องทำโปรเจ็กต์ใหญ่มากก (นักเรียน 20 คนในห้อง ต้องทำรีพอร์ตเดี่ยวคนละ 30 หน้า) วันนั้นเดินไปหาอาจารย์ต่างชาติที่สอน หลังจากเล่าปัญหาที่เจอให้ฟัง เค้าบอกว่า มี่ๆ งานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ ส่งอาทิตย์หน้ามั้ย ไปนอนหรือกินของอร่อยๆ ทำจิตใจให้สงบก่อน ถ้ามีแฟนก็ไปเที่ยวกัน งานน่ะอาจารย์รอได้ อาจารย์ก็อ่านของเธอไม่ทัน"
"เราพักจนดีขึ้นแล้วรีบทำงานให้เสร็จ พอเอาไปส่ง คำแรกที่อาจารย์ถามไม่ใช่เรื่องงาน แต่ถามว่า เราโอเคขึ้นรึยัง เราเขียนชื่อลงไปในคำอธิษฐานทุกวันเลยนะ อาจารย์คนนี้เป็นส่วนหนึ่งในที่ทำให้เรายิ่งอยากเป็นครูที่ดี เข้าใจเด็ก และได้อยู่ในช่วงเวลาที่เด็กร้องไห้ ตอนอ่านหนังสือหนัก หรือตอนมีความสุข เราอยากอยู่ตรงนั้นเพื่อพวกเค้า เหมือนที่อาจารย์อยู่ข้างเรา"
อาชีพครูในเกาหลีเป็นยังไง?
- ในบริบทประเทศเกาหลี ครูเป็นอาชีพที่เงินเดือนดี มีหน้ามีตาในสังคม คนจะเรียกว่า “ซอนแซงนิม” (선생님) ซึ่งเป็นคำภาษาเกาหลีที่ใช้เรียกบุคคลที่เคารพ
- ไม่ว่าจะเป็นครูอนุบาลหรือครูประถม ค่าตอบแทนอาชีพจะอยู่ราวๆ 70,000-80,000 บาทไทย ยิ่งครูภาษาอังกฤษจะยิ่งเงินเดือนสูง
- อาชีพครูไม่มีเลื่อนขั้น แต่ขึ้นเงินเดือนจากประสบการณ์ ถ้าทำงานหลายปีอาจไต่ถึงแสนได้
- เลิกงานเร็วและมีช่วงปิดเทอม ไม่มีงานเอกสาร หน้าที่คือสอน ประเมิน หรือนอกเหนือจากนี้ก็คือเข้าคาบโฮมรูมหรือพบปะกับนักเรียนหลังเลิกเรียน
. . . . . .
ฝึกสอนที่โรงเรียนนานาชาติเกาหลี
Handong International School
“หลักสูตรที่เราเรียนจะมีให้ฝึกสอน 3-4 เดือน โดย 2 เดือนแรกเราอยู่กับ ม.ต้น-ม.ปลาย และ 1 เดือนสุดท้ายเราไปฝั่งประถม ทั้งนี้ทุน Cornerstone จะครอบคลุม 8 เทอม แต่การฝึกสอนจะอยู่ตั้งแต่เทอมที่ 9 เราเลยต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนเอง (ประมาณ 27,000 บาทไทย)”
“เราสามารถเลือกโรงเรียนฝึกสอนได้ แต่จะต้องเลือกสอนตามเอกที่เรามีวุฒิ ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดพอดีเราก็เลยกลับไทยไม่ได้ หันไปหันมาก็เจอว่า ม.ฮันดง มีโรงเรียนสาธิตของตัวเองที่ชื่อ 한동글로벌학교 - Handong International School”
สรุปชีวิตช่วงฝึกสอน ได้ทำอะไรบ้าง?
- 6:00-7:00AM เราเป็นครูประจำชั้น ต้องเช็กชื่อนักเรียน
- 8:30AM เช็กชื่อ (ครูต้องถึงก่อนเวลา) ที่นี่ไม่มีเข้าแถวหน้าเสาธง ร้องเพลงชาติ สวดมนต์ หรือตากแดดใดๆ สิ่งที่นักเรียนต้องทำคือรีบมาเข้าห้องให้ตรงเวลา
- หลังจากนั้นคือช่วงสังเกตการณ์ (Observation) ตามห้องที่สอน เลือกได้ว่าจะเข้าห้องไหน (เราเคยไปวันนึง 7 ห้อง เหนื่อยมากกก แต่จริงๆ เข้าแค่สัก 3-4 คาบต่อวันก็ได้ เช่น เข้าคาบ 1-4 แล้วพักกินข้าวคาบ 5 พอคาบ 8 ก็กลับมาออฟฟิศ)
- มีสรุปและบันทึกรายวันกับรายสัปดาห์
"ส่วนใหญ่เราจะเข้าไปสังเกตการณ์คลาสสอนภาษาอังกฤษ ดูวิธีที่ครูใช้คุม สอน และจัดการห้อง สังเกตว่าเด็กมีปฏิกิริยายังไง (เด็กหยิกกัน หลับ ตีกัน อะไรก็โน้ตไว้) และดูว่าคลาสนั้นเราจะทำอะไรได้บ้าง อาจมีช่วยเดินดูตอนทำงานกลุ่ม ตอบข้อสงสัยเด็ก คุมสอบ แจกกระดาษคำตอบ และตอนหลังจะต้องสอนเอง 10 ชั่วโมงด้วย"
"วันนึงเราก็จะอยู่กับเด็กในห้องเรียนนี่แหละ คาบละ 50 นาที ห้องนึงมีเด็กไม่เกิน 20 คน วิชาที่ไปดูแต่ละวันก็จะต่างกัน เจอธรรมชาติของเด็กที่ต่างกันในแต่ละช่วงวัย เช่น ถ้าเด็กโต ม.4-6 จะตั้งใจเรียน พอลงไป ม.3 ขี่คอกัน วิ่ง เสียงดัง บางคาบครูที่สอนเอาไม่อยู่ เราก็ต้องช่วยประกบ พอ ม.1-2 จะดูการ์ตูน เป็นวัยกำลังกินกำลังเล่น เพิ่งผ่านจากช่วงประถมมา"
"กฎคือเวลาเด็กคุยกับครูต่างชาติในคลาส ต้องพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น ถ้าใครพูดภาษาเกาหลีต่อหน้าอาจารย์ก็จะจดชื่อไว้ เวลาสอนก็เป็นภาษาอังกฤษ มีทั้งเด็กเกาหลีแท้ๆ กับเด็กเกาหลีที่โตในต่างประเทศ และเด็กต่างชาติ คละกัน เราต้องพยายามหาวิธีสื่อสารกับแต่ละกลุ่มให้ได้"
. . . . . .
เจอนักเรียนแบบไหน?
ถ้าให้นิยาม 3 คำก็คือ Gentle / Kind / Sleepy
"เด็กที่นี่มีความเป็นผู้ใหญ่สูง พวกเค้าจะสุภาพ อ่อนโยน ใส่ใจ และสุภาพกับเรามากๆ (ชอบกอดด้วย) ช่วงแรกเราจะมีติดป้ายชื่อครูฝึกสอน เค้าก็จะมองแล้วก็ อ๋อออ ซอนแซงนิมเป็นฮักแซงนะ ทุกคนก็จะทักทาย อันยองตลอด"
"แต่เด็กจะง่วงนอนนะ คาบเช้ายังปกติ แต่หลังกินข้าวจะเริ่มง่วงแล้ว นั่นเพราะเค้าเรียนหนักจนนอนน้อยมากกกกตั้งแต่ ม.1 เลย ยิ่งช่วงสอบคืออ่านหนังสือกันดึกๆ ดื่นๆ คิดดูว่าเด็ก ม.ต้นกระดก energy drink ส่วน ม.ปลายคือชงกาแฟกันแล้ว เลิกเรียน 5 โมงแล้วเค้าจะไปเรียนพิเศษต่อ "
"ดังนั้นเราจะถามเด็กตลอดว่าเมื่อคืนนอนกี่โมง เพื่อให้รู้ว่าจะรับมือยังไงดี เช่น
- คาบบ่ายต้องมีแจกขนมกันบ้าง 5555 เด็กๆ จะต้องการคุกกี้ ลูกอม
- ชวนคุย พยายามดึงเนื้อหาที่สอนมาเชื่อมโยงกับชีวิตจริงให้เค้ารู้สึกใกล้ตัว เช่น วิชา debate ความภูมิใจในประเทศตัวเอง ชอบไอดอลคนไหน อาจารย์บางคาบเค้าจะเปิด BLACKPINK ช่วงนี้เป็นช่วงสอบ แต่ละคนจะอ่านหนังสือกันดึกๆ ดื่นๆ
- เปิดหนังเปิดการ์ตูนให้ดู (แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งคาบ) เราอาจจะบอกตั้งแต่ต้นคาบว่าโอเคเราจะมีทำ quiz แล้วสอน grammar นิดนึงน้า แต่เราจะดูการ์ตูนกันท้ายคาบ โอเคมั้ยย เด็กก็จะ “ดีมากเลยค่าอาจารย์ มาตั้งใจเรียนแล้วดูการ์ตูนกันเถอะ!”
“สิ่งที่ยากที่สุดคือเด็กไม่เหมือนกันสักวัน”
"เราไม่สามารถคาดเดาบริบทได้เลยว่าแต่ละวันจะเจออะไร ขนาดเป็นห้องเดิมยังไม่เหมือนกัน ไม่รู้วันนี้เด็กจะตั้งใจเรียนมั้ย แล้วเด็กก็อารมณ์เปลี่ยนทุกชั่วโมงอีก การรับมือกับเด็ก ม.ต้นจะง่าย แต่ ม.ปลายคือไม่มีอะไรหยุดยั้งเค้าได้เท่าไหร่ ต้องใช้การชวนคุยบ้างค่ะ แล้วถ้าเด็กตีกันบางทีจะต้องรับบทผู้พิพากษา ต้องเป็นกลาง ยุติธรรมที่สุด ใช้วิธีหักคะแนน"
"แต่ความสนุกก็คือการคาดเดาไม่ได้นี่แหละ เราสนิทกับเด็กห้องตัวเองและห้องอื่นด้วย เค้าน่ารักจนเราอยากเจอเด็กๆ ทุกวัน"
. . . . . .
เรื่องเล่าช่วงโควิด
ซีซั่นนี้ครูมี่เกม
"มาตรการช่วงโควิดคือจะมีเช็กอุณหภูมิก่อนเข้าเรียน ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย และตรวจ ATK สัปดาห์ละครั้ง ซึ่งรวมถึงครูฝึกสอนด้วย ถ้าขึ้น 2 ขีดต้องแจ้งทันที // มีครั้งนึงเราเจอแจ็กพอต ติดโควิดแล้วต้องพักอยู่บ้าน ตอนแรกก็กลัวว่าทุกคนจะตำหนิ แต่เปล่าเลย! ครูพี่เลี้ยงก็คอย cheer up บอกเราว่าไม่ต้องกังวลนะ หายแล้วค่อยกลับมา โอเคหรือยัง ไม่ป่วยแล้ว หนึ่งขีดแล้วใช่มั้ย เอาเทสต์มั้ยเราให้ฟรี"
"หลังจากหายแล้ววันแรกที่ไปโรงเรียน ครูพี่เลี้ยงบอกเด็ก ว่า ครูฝึกสอนเราหายจากโควิดแล้วนะ เค้ากลับมาแล้ว she’s comeback เด็กทุกคนหันมาปรบมือ หายแล้ววว ยินดีด้วยค่ะ~ เด็ก ม.1-2 ทุกคนเข้าใจและไม่ judge ปรบมือต้อนรับด้วย! บอกแล้วว่าเด็กที่นี่เป็นผู้ใหญ่มาก TT"
. . . . . .
ชวนครูมี่แชร์แง่มุมการเรียนภาษา
กับเทคนิคที่ตัวเองใช้แล้วได้ผล
ตอนอยู่ไทยเราอยากได้ภาษาอังกฤษ ก็พยายามใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลา บางคนกลัวแกรมมาร์ กลัวผิด “ผิดไปเลยสิคะะะ ผิดเลย”
"ปกติการเรียนของเจ้าของภาษาคืออ่านหนังสือ > ฟัง > คุย > ถ้าผิดก็จะได้เรียนรู้ตอนนั้น ถ้าไม่มีอะไรผิดเราก็จะไม่รู้ว่าต้องแก้ตรงไหนบ้าง พอขึ้น ม.1 ถึงจะเริ่มเรียนแกรมมาร์ แต่นั่นแหละ ไม่ใช่สิ่งที่เค้าเน้นกัน เค้าจะเน้นอ่าน literature (วรรณกรรม) + คำศัพท์ + แทรกแกรมมาร์แค่ 10 นาที (ทั้งม.ต้น-ม.ปลาย)"
"การสอนแบบนี้ทำให้เด็กชอบการอ่านมากๆ เวลาอ่านหน้าห้องทีละคำ ถ้าออกเสียงผิดอาจารย์จะช่วยแก้ไขให้ หรือเด็กอาจถามอาจารย์ว่าคำนี้ออกเสียงยังไง โดยที่พวกเขาไม่ judge กันและกัน เพื่อนไม่มองแรง ไม่จับผิด ไม่เพ่งเล็งว่าทำไมเราอ่านไม่ออก ขนาดมีเพื่อนคนไหนที่เค้าช้ากว่าคนอื่น แล้วเราบอกให้เค้าไม่ต้องกลัวเรื่องเวลา เอากลับไปทำเป็นการบ้าน เด็กก็ไม่ได้เขม่นกันว่าครูไม่แฟร์ แต่เค้ารู้กันว่าเพื่อนช้ากว่า (อายุ 10+ ขวบเองนะ)"
"การเรียนภาษาเราต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนจะเก่งและเข้าใจได้เร็วเหมือนกันหมด ไม่มีใครโง่ทั้งนั้น เราเรียนจิตวิทยามา อาจารย์จะบอกตลอดว่าไม่มีเด็กที่โง่ แต่ใช้เวลาพัฒนาช้าเร็วต่างกัน เราต้องใช้เวลากับเค้า"
คำถามยอดฮิต ควรได้ภาษาระดับไหนมาก่อนถึงเรียนไหว?
พี่มี่: "แนะนำว่าควรได้ภาษาระดับที่สามารถคิดและพูดหรือเขียนออกมาเป็นภาษานั้นได้เลยโดยที่ไม่ผ่านกระบวนการแปลไทย เช่นถ้าจะไปเรียนหลักสูตรภาษาเกาหลี น้องๆ อาจจะต้องลองเช็คว่าเรายังต้องมีขั้นตอนการแปลภาษากลับไปกลับมาอยู่หรือเปล่า เพราะว่าการเรียนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ เราต้องคำนึงถึงภาษาที่ใช้เรียนและเนื้อหา ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องภาษาที่ใช้เรียนเราจะไปโฟกัสที่เนื้อหาได้ดีกว่า
และอย่าลืมว่าเด็กทุนต้องรักษาเกรดให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดทำให้เราต้องเรียนแข่งกับเจ้าของภาษา (คนเกาหลี) ที่เขาไม่มีปัญหาด้านภาษา ดังนั้นต้องขยันแบบคูณไปอีก เพื่อพัฒนาทั้งด้านภาษาและเนื้อหาเลย"
. . . . . .
“ถ้าเชื่อว่าตัวเองทำได้
เราก็จะทำได้ในสักวันหนึ่ง
อาจไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่เป็นหลายปีต่อจากนี้ก็ได้”
"คนมีความฝันเท่านั้นที่จะถูกหวย เหมือนกันเลย คนที่ส่งใบสมัครเท่านั้นถึงมีโอกาสได้ทุน ตอนเราขอทุนไม่มีวันไหนที่เราคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ เราล้มมาหลายครั้งมากแต่ไม่เคยท้อ ถ้าท้อตั้งแต่พลาดทุนแรกก็คงจบไปแล้ว บางคนอยากได้ทุนแต่ไม่เคยสมัคร หรือสมัครครั้งเดียว พลาดแล้วเลิกเลย ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถ้าเราล้มลงหรือทำผิด ก็ต้องเติบโต วันนี้ไม่พร้อมก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่พร้อมตลอดไป อยู่ที่ว่าเราจะพยายามจนถึงวันนั้นที่เราพร้อมหรือเปล่า"
"การเปรียบเทียบก็อีกเรื่อง เราอยากเน้นย้ำมากเพราะมันจะทำร้ายตัวเองได้ ตอนอยู่ไทยการเปรียบเทียบซึมเข้าสายเลือดเหมือนกับหลายๆ คน แต่พอมาอยู่เกาหลี เราลดการเปรียบเทียบลงเพราะรู้ว่าเรามีแค่คนเดียวในโลก มีความ unique ที่ไม่มีใครเหมือน แต่ละคนมีกิจกรรมในชีวิตต่างกัน (แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็เอามาเป็นแรงผลักดันแทนละกัน คนนั้นทำได้ ฉันก็ต้องทำได้สิ)"
0 ความคิดเห็น