อยู่อย่างไรในวันที่ถูกทรยศหักหลัง...
“ฝน” อายุ 20 ปีเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 ฝนมาปรึกษาพี่หมอแมวน้ำด้วยอาการนอนไม่หลับมากขึ้นใน 1 เดือนหลังจากเลิกกับแฟน เพราะจับได้ว่าแฟนมีคนคุยหลายคน แม้ฝนจะเป็นฝ่ายขอเลิก แต่ฝนกลับไม่สบายใจเอง คิดถึงเรื่องแฟนทั้งช่วงเวลาที่มีความสุข และซีนที่ไปดูมือถือแล้วเห็นว่าแฟนคุยกับคนอื่น ความรู้สึกที่เกิดมีทั้งความโกรธ เสียใจ เศร้า “หนูรู้สึกถูกทรยศซ้ำๆ” อดีตแฟนที่เลิกไป เป็นแฟนคนที่ 3 ของฝน คนก่อนหน้าอีก 2 คน ฝนขอเลิกเพราะเหตุผลเรื่องนอกใจเหมือนกัน แต่ละครั้งที่เกิดเรื่องฝนทำตัวเข้มแข็งใช้ชีวิตต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่คิดจะกลับไปคืนดี แต่กับแฟนคนนี้แตกต่างกัน “เค้าคล้ายพ่อที่ทิ้งแม่ไป” เรื่องที่เกิดไปขุดคุ้ยเรื่องในอดีตที่ฝนพยายามกดเอาไว้ไม่ให้อยู่ในความนึกคิด ทั้งเรื่องปัญหาครอบครัว ปัญหาเพื่อนสนิทมากิ๊กกับแฟนเก่าจนเป็นเหตุให้ฝนยุติความสัมพันธ์ทั้งกับเพื่อนและแฟน “หนูไม่ดีตรงไหน ทำไมไว้ใจใครไม่ได้เลย” ฝนโทษตัวเองว่าเป็นเพราะตัวเองแย่ นิสัยไม่ดี คนรอบข้างถึงทำลายความเชื่อใจที่ฝนมีให้ซ้ำแล้วซ้ำอีก “ต่อไปหนูจะเชื่อใครได้อีก”
สิ่งที่เกิดกับฝน คือ การถูกทรยศหักหลัง (Betrayal) หมายถึงการที่เรามีความสัมพันธ์กับคนหนึ่ง เราไว้ใจและมีความคาดหวัง เชื่อว่าเขาจะเป็นที่พึ่ง ช่วยเหลือเราได้ ไม่ทำให้เราต้องเจ็บปวด แต่เรากลับต้องรู้สึกแย่ เพราะเขาไม่สามารถทำตามที่เราคาดหวังไว้ สิ่งที่เขาทำลายความเชื่อมั่นที่เรามอบให้ (Trust) เรื่องที่เกิดเป็นแผลทางใจ (Trauma) ที่บางครั้งอาจเป็นแค่แผลตื้นใช้เวลาไม่นานก็หาย หากโชคร้ายอาจกลายเป็นแผลเป็นหรือปมในใจที่มีผลต่อการใช้ชีวิต และนำไปสู่การเจ็บป่วยทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า (depression), PTSD (Post traumatic stress disorder-หลอนเร้าหลบ) ในเวลาต่อมา
ว่าด้วยเรื่องการถูกทรยศหักหลัง (Betrayal)
การที่เราเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใคร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม เช่น การเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คนรัก เพื่อน เจ้านาย ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้และยอมรับ คือ ทุกความสัมพันธ์มีความคาดหวังเสมอ แม้เราจะหลอกตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไร ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายทำสิ่งที่เราไม่คาดคิด มันเป็นการถูกทรยศหักหลัง (Betrayal) ซึ่งระดับความรุนแรงของความรู้สึกแย่ ๆ กับแต่ละเรื่องมีความต่างกัน
“ความคาดหวัง - สิ่งที่เกิดขึ้นจริง = ความผิดหวัง” ช่วงแรกหลังเกิดเรื่องเราอาจไม่รู้สึกอะไร แต่เวลาที่ผ่านไปและการที่ได้คิดทบทวน มันทำให้เกิดเมฆดำในใจ เป็นก้อนความรู้สึกลบที่ผสมปนเป เช่น โกรธ เสียใจ น้อยใจ บางคนไม่กล้าที่จะคิดว่าตัวเองถูกทรยศ เพราะกลัวจะทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะคนในความสัมพันธ์นั้นอาจเป็นแค่คนเดียวในโลกนี้ที่เรายังเชื่อใจอยู่ หากเราเราตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนที่ทำร้ายเรา เราจะไม่เหลือใคร เป็นสาเหตุที่อธิบายได้ว่า ทำไมบางคนยังทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่บั่นทอน (toxic relationship) คบกันแล้วชีวิตบัดซบแต่ยังทนต่อ เพราะการที่เหลือใครสักคนมันยังดีกว่าการไม่มีใครให้ยึดเกาะเลย T—T
3 ประเภทของการถูกทรยศหักหลังระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Personal Relationships)
1. ความสัมพันธ์ของคู่รัก (Romantic Partner Betrayal)
ความสัมพันธ์แบบคู่รักมีหลายหลายแบบ เช่น open relationship, friend with benefits ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย มันทำให้ความรักแบบรักเดียวใจเดียว (monogamy) ค่อย ๆ ลดลง เพราะเรามีโอกาสเจอคนที่หลากหลายมีตัวเลือกมากขึ้น ดังนั้น การนอกใจ (cheating) มีโอกาสเกิดได้บ่อย สิ่งที่สำคัญในการตัดสินใจที่จะรักใครคนหนึ่ง เราต้องรู้ความต้องการของตัวเองก่อนและรู้รูปแบบความสัมพันธ์ คุยทำความเข้าใจให้ตรงกันทั้งสองฝ่าย เพราะถ้าเราหรือเขาเลือกที่จะไม่มีคำสัญญา (commitment) ว่าจะรักกันแค่สองคน เราต้องทำใจว่าสักวันหนึ่งไม่เราก็เขาต้องไปมีอีก (หลาย) คน เรายอมรับได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละเกมของความรักมีกฎไม่เหมือนกัน ปัญหาที่เจอบ่อย คือ รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์จะไม่มีแค่เราสองคน ตอนแรกรักมากอยากได้มากบอกทำใจรับได้ แต่เมื่อเกิดมือที่สาม (หรือเราเองต่างหากที่เป็นมือที่ยื่นเข้ามาในความสัมพันธ์ของคู่อื่น) พอรู้ความจริงกลับรับไม่ได้ รู้สึกถูกทรยศเจ็บปวดปางตาย
มีคนศึกษาความเจ็บปวด (emotional pain) ที่เกิดจากถูกคู่รักทรยศ (romantic betrayal) ไม่ว่าจะเป็นการนอกใจ การถูกทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจ (abuse) หรือทำกับเราไม่มีตัวตน ไม่ให้ความสำคัญ (ghosted) นับเป็นหนึ่งในบาดแผลทางใจ (trauma) ผลจากงานวิจัยพบว่าคนที่ถูกทรยศร้อยละ 30-60 มีอาการของโรค PTSD (Post Traumatic Stress Disorder), โรคซึมเศร้า (Depression) และวิตกกังวล (Anxiety) ตามมา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อความภูมิใจในตัวเอง (self esteem) ที่ทำให้คิดว่าตัวเองไร้ค่า ไม่สมควรที่จะได้รับความรัก ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในอนาคตที่ทำให้ยากจะเชื่อใจใครได้อีก (distrust) แม้ความรักเฮงซวยจะจบลง แต่ยังตามหลอกหลอนให้เรายากที่จะมีความรักที่ดีต่อใจได้
2 .ความสัมพันธ์ของเพื่อน (Friendship Betrayal)
เพื่อนเป็นคนสำคัญในชีวิตที่จำเป็นต่อพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจตั้งแต่เด็กจนโต วัยเด็กการมีเพื่อนเป็นความทรงจำที่ดี เล่นบ้างช่วยบ้างแกล้งบ้าง ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย คนบางส่วนยังสนิทกับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน พอยิ่งโตเรารู้จักคนมากขึ้นแต่กลับไม่สนิทใจเหมือนวัยเด็ก เพราะความสัมพันธ์มันไม่ใสเหมือนเดิม แต่มีเรื่องผลประโยชน์และเรื่องอื่นเข้ามา เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกทรยศ สิ่งที่เรามักจะคาดหวังจากเพื่อนแท้ คือ ต่อให้เรามีวันที่แย่แค่ไหน เพื่อนจะไม่ทิ้งและอยู่เคียงข้างเรา มีความจริงใจให้กัน อยากให้เรามีความสุข แต่ถ้าเพื่อนที่เราให้ใจไปมากเริ่มเปลี่ยน เรารู้สึกผิดหวังอกหัก หลายครั้งที่เราให้โอกาสเพื่อนมาเคลียร์และแก้ตัว แต่เพื่อนยังทำผิดซ้ำ ๆ เราถูกเพื่อนทรยศหักหลัง…
3. ความสัมพันธ์ในครอบครัว (Family Betrayal)
ความรักความอบอุ่นที่ได้รับจากคนในครอบครัวหรือผู้เลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก เป็นพื้นฐานสำคัญของการมีความผูกพันทางใจที่ดี หรือ secure attachment (อ่านที่นี่คลิก) ซึ่งจะติดตัวเราไปจนวันตาย แต่หากเราถูกเลี้ยงดูแบบทิ้งขว้าง ไม่ใส่ใจ หรือมีการทารุณกรรม (child abuse) เกิดขึ้นทั้งทางกายและจิตใจ ทำให้เราขาดความมั่นคงทางอารมณ์และความเชื่อมั่นที่มีต่อคนอื่น (mistrust/insecure attachment) ไม่รู้ว่าวันนี้เราจะได้รับความรักหรือการลงโทษ จากการที่ถูกคนในครอบครัวทรยศ มันทำให้ใจเรามีแต่ความหวาดกลัว เสียใจ โกรธ โทษตัวเอง คิดว่าตัวเองมันไร้ค่า มุมมองที่เรามีต่อโลกนี้ คือ โลกสีดำ มีแต่คนไม่ดี ไว้ใจไม่ได้ เรามีสิทธิที่จะชิงทำร้ายคนอื่น ก่อนที่เราจะถูกกระทำ การทำร้ายจิตใจคนอื่นเป็นเรื่องปกติที่ทำได้เพราะตัวเราเองยังโดนแบบนี้มา คนอื่นต้องโดนได้เหมือนกัน
วิธีการรับมือเมื่อถูกคนที่เราไว้ใจทรยศหักหลัง
1. บอกอารมณ์ของตัวเองให้ได้
“การถูกทรยศ” ทำให้เกิดความรู้สึกลบผสมปนเป เช่น โกรธ (anger), เศร้าเสียใจ (sadness), หวาดกลัว (fear), ขยะแขยง (disgust), โดดเดี่ยว (loneliness), สับสน (confusion) ช่วงแรกเราอาจตัวชา (numbness) ช็อคกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเราเริ่มตระหนักได้ถึงการทรยศครั้งนี้ อารมณ์แย่ ๆ จะถ่าโถมเข้ามา เราต้องมีสติ พยายามทำความเข้าใจกับอารมณ์ เราไม่จำเป็นต้องเก็บกดอารมณ์ลบเอาไว้ ระบายออกได้ เช่น ปรึกษาคนที่ไว้ใจ แต่พยายามอย่าเลือกใช้วิธีที่เป็นผลเสียกับตัวเอง เช่น การใช้สารเสพติด
2. อดทนอย่าไปตอบโต้คืนด้วยความรุนแรง
การที่เราถูกทรยศ มันคือการถูกทำร้ายรูปแบบหนึ่ง เรามักจะเคียดแค้นและอยากเอาคืนให้สาสม การทรยศเหมือนการที่มีคนเอามีดมาเฉือนเนื้อเรา พอแผลเริ่มตกสะเก็ดเราจะคันและอยากแกะเกา ซึ่งการแกะเกาเหมือนการล้างแค้น ยิ่งเราไปแกะเกาแผลจะกลับมาเป็นซ้ำๆ และอาจเป็นมากขึ้น แม้ว่าตอนที่เราทำจะรู้สึกดีแต่หลังจากนั้นเราจะกลับมาเจ็บอีกต่อไปเรื่อยๆ
3. ใช้เวลาเยียวยาจิตใจ
เมื่อเราถูกคนอื่นทรยศ วิธีที่จะช่วยในระยะสั้น คือ พยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอหรือไปรับรู้เรื่องของเขาสักระยะหนึ่งก่อนเท่าที่ทำได้ เพื่อให้เราไปสงบใจได้ง่ายขึ้น จะได้คิดออกว่าจะหาทางจัดการแก้ปัญหาอย่างไร หากไปเจอตอนที่ยังมีอารมณ์มากมีแต่จะเกิดผลเสีย เพราะจะมีการตอบโต้กันด้วยความรุนแรง ทำให้เรื่องราวยิ่งบานปลาย
4. วิเคราะห์สาเหตุของการทรยศ
การที่คนเราไปทำร้ายอีกคนหนึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ไม่ให้ความใส่ใจ, จงใจกลั่นแกล้ง ให้เราคิดดูว่าสาเหตุที่ทำให้เขาทรยศเราเกิดจากอะไร เราอยากที่จะให้อภัยเขาหรือไม่มั้ย ซึ่งเรามีสิทธิที่จะเลือกได้
5. ทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่ทรยศเรา
หากคนที่ทรยศเป็นคนที่เรารักและไว้ใจมากเท่าไร ยิ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดทางใจมากเท่านั้น เราต้องมาทบทวนว่าต่อแต่นี้ไปเราจะให้ค่ากับความสัมพันธ์ของคนที่ทรยศเราได้แค่ไหน กรณีคนที่ทรยศทำเรื่องแย่ๆ กับเราซ้ำๆ เราควรยุติความสัมพันธ์จะดีกว่า เพราะเขาเป็นคนแบบนั้น เราไม่สามารถไปเปลี่ยนใครได้ หากไม่อยากเจ็บแบบเดิม ต้องเดินเอาตัวออกมา
6. คุยกันตรงๆ กับคนที่ทรยศเรา
พูดเหมือนง่ายแต่ทำยาก เพราะความทรงจำที่เรามีกับเขามีทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ จนเกิดความรู้สึกปน ๆ ต้านกันไปมามั่วไปหมด ใจหนึ่งยังรัก อีกใจหนึ่งเกลียด วิธีการ คือ เมื่อเราต้องเตรียมตัวพร้อม ให้ไปบอกเขาว่าเรารู้สึกแย่มากแค่ไหนกับสิ่งที่ทำกับเรา และสิ่งที่ทำมันได้ทำลายความเชื่อใจจนไม่เหลือ ไม่ว่าปฏิกิริยาของเขาจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเราได้บอกความคิดความรู้สึกของเราไป จะได้ไม่มีอะไรติดค้าง
หากยังไม่พร้อมที่จะพูดเผชิญหน้าตรงๆ ให้ใช้วิธีอื่น เช่น พิมพ์ข้อความหาแล้วบล็อคไลน์ไป (ถ้าไม่อยากรับรู้คำตอบ), เขียนจดหมายที่จะส่ง/ไม่ส่งก็ได้
7. พยายามใช้ชีวิตต่อไป
ในช่วงแรกของการใช้ชีวิตจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป และเราพยายามที่จะเยียวยาตัวเอง เช่น ไม่ไปยุ่งกับคนที่ทรยศเรา พยายามเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆหาความสัมพันธ์ จิตใจเราจะค่อยๆดีขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะยังเจ็บปวดก็ไม่เป็นไร ให้ยอมรับอารมณ์ที่เป็นอยู่ ไม่ต้องกดดันตัวเอง สักวันแผลจะค่อย ๆ จางลงและเราจะอยู่กับแผลได้โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดมากอีกต่อไป
กรณีของฝนพี่หมอแมวน้ำวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าและมีแนวโน้มจะเป็น PTSD ให้การรักษาด้วยการกินยาและการทำจิตบำบัด ช่วยให้ฝนยอมรับและทำความเข้าใจกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ปรับวิธีการรับมือกับปัญหา เคสนี้มีปัญหาการถูกทรยศจากคนในครอบครัว (Family Betrayal) พ่อทะเลาะกับแม่เรื่องผู้หญิงตั้งแต่ฝนจำความได้ พ่อทิ้งแม่กับฝนไปตอนฝนอายุ 10 ปี หลังจากนั้นเหมือนพ่อตายไปแล้วเพราะไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ฝนพยายามลืมเรื่องพ่อและใช้ชีวิตต่อไป แม่ทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลาให้ โลกของฝนมีเพื่อนและแฟนที่ให้ยึดเกาะ เวลาฝนมีแฟนผู้ชายคนนั้นจะมีลักษณะคล้ายพ่อ คือ เจ้าชู้ ฝนเลือกโดยที่ไม่ได้รู้ตัวว่าจริง ๆ ฝนคิดถึงพ่อ ส่วนเพื่อนฝนจะรักและให้ทุกอย่าง เพราะฝนรู้ดีว่าความเจ็บปวดจากการขาดมันแย่แค่ไหน แต่ท้ายที่สุดฝนถูกทั้งเพื่อนและแฟนทรยศ (friend/romantic partner betrayal) เวลาที่จับได้ว่าแฟนนอกใจฝนจะรีบชิงเป็นฝ่ายเลิกก่อนเพราะไม่อยากถูกปฏิเสธ (rejection) และไม่อยากเป็นเหมือนแม่ที่เอาแต่อดทน สุดท้ายพ่อไม่เคยเปลี่ยนตัวเองได้เลย ฝนเลือกที่จะเก็บ ไม่ระบายออก จนหลังเลิกกับแฟนคนที่ 3 ความทรงจำเลวร้ายที่ปิดซ่อนไว้ค่อย ๆ ทะลักเข้ามาในจิตสำนึกเพราะแผลที่ปกปิดไว้มีหนองประทุ จนทำให้ฝนป่วยทางจิตใจขึ้นมา
ไม่มีใครที่อยากถูกคนที่ตัวเองรักทรยศหักหลัง แต่หลายปัจจัยเราคุมมันไม่ได้ สิ่งสำคัญ คือ การยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นและมีวิธีการจัดการที่เหมาะสม
พี่หมอแมวน้ำขอเป็นกำลังใจให้ฝนและอีกหลายคนที่กำลังเจ็บปวดอยู่ค่ะ…สักวันมันจะดีขึ้น
Referencehttps://www.verywellmind.com/how-to-deal-with-betrayal-in-a-relationshiphttps://www.healthline.com/health/mental-health/betrayal-traumahttps://www.marriage.com/advice/mental-health/how-to-get-over-betrayal-in-a-relationship/https://www.minimalismmadesimple.com/home/dealing-with-betrayal/
0 ความคิดเห็น