
สวัสดีค่ะชาว Dek-D หลังจากได้ชวน “พี่เบสท์” มาแชร์ประสบการณ์เรียน ป.ตรี สาขา Applied Chemistry ใน『 Todai 』หรือ University of Tokyo มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น ก็ทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักกับ “พี่แจ๊บ-ปัณฑ์ชนิต ชูวาณิชย์” ที่ได้ทุนมงและติด ม.นี้เหมือนกัน แต่เป็นสาขา Mechano-Informatics ผสมผสานระหว่าง วิศวะเครื่องกล + ซอฟต์แวร์ ถึงจะท้าทายตั้งแต่ขอทุนจนถึงเรียนจบและหางาน แต่เธอก็ยังคงคอนเซ็ปต์เด็กกิจกรรมและรักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจได้ดีมากกก เมเนจเวลาดีแบบสม(ทุน)มง!
เด็ก Todai เรียนแบบใด? เจออะไรระหว่างทางบ้าง? อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ม.ปลาย? ในนี้รีวิวให้ฟังแบบกระชับๆ แล้วเตรียม walk-in มาพูดคุยกับรุ่นพี่นักเรียนทุนในงานแฟร์ฟรี Dek-D’s Study Abroad Fair 7-8 ตุลาคม 2566 กันนะคะ~
รายละเอียดทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (Monbukagakusho) ประจำปี 2566
. . . . . . . .
ย้อนไป 1 เดือน
ก่อนทุนมงจะลงเธอ
สวัสดีค่า ชื่อ “แจ๊บ-ปัณฑ์ชนิต ชูวาณิชย์” นะคะ ตอน ม.ต้น เรียนที่ รร.แสงทองวิทยา-ธิดานุเคราะห์ แล้วมาต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนกำเนิดวิทย์ค่ะ
จุดเริ่มต้นคือแจ๊บอยากเรียนต่อต่างประเทศในประเทศที่มีสภาพแวดล้อมดี มีระเบียบ และขนมอร่อย (อันนี้จริงๆ คือเหตุผลหลักค่ะ555) ก็เลยลองดูข้อมูลของทุนรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งเป็นทุนเต็มจำนวน บวกกับที่เราสนใจเรื่องเทคโนโลยีและวัฒนธรรมของประเทศนี้ด้วยค่ะ
เราจะต้องเลือกสมัครทุนให้ตรงกับกลุ่มสาขาที่อยากเรียน ซึ่งตอนนั้นแจ๊บเลือก Natural Science A มีคัดเลือก 3 รอบคือ รอบเอกสาร -> รอบข้อเขียน สอบวัดตามวิชาที่เลือกไว้ -> รอบสัมภาษณ์
"แจ๊บมีเวลาเตรียมตัวก่อนสอบข้อเขียนอีกแค่เดือนเดียว เลยปริ้นท์ข้อสอบเก่าจากในเน็ตทุกฉบับออกมานั่งฝึกทำทั้งวัน"
ถ้าเป็นข้อสอบทุนมงวิชาเคมีกับฟิสิกส์จะมีแนวทางชัดเจน แจ๊บเลยอาศัยการฝึกทำซ้ำๆ (ทำจนรอบหลังๆ เริ่มได้เต็ม) และมีเข้าไปขอปรึกษาครูฟิสิกส์กับครูเคมีหลังเลิกเรียน ซึ่งครูเค้าช่วยสอนแบบเต็มที่มากๆ และยังช่วยเรื่องแนวทางข้อสอบด้วย เช่น ข้อสอบทุนมงจะเน้น Organic Chem. แจ๊บก็ลองเอาสิ่งที่เจอในข้อสอบไปถามครู เช่น สาร A, B, C เป็นกลุ่มที่คนรู้จักกันอยู่แล้ว หรือมีความเฉพาะเจาะจงสูง พอรู้ว่าเป็นแบบหลัง ครูก็แนะนำให้ไปดูสารเซ็ตนี้ๆ ที่ใกล้เคียงกัน เพราะมีโอกาสเจอในข้อสอบ
วิชาเลขแจ๊บพอทำได้เพราะเคยเป็นเด็กค่ายโอลิมปิกเลขมาก่อนเลยได้ฝึกทำโจทย์มาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่วิชาที่ไม่ถนัดคือภาษาอังกฤษค่ะ ยากมากกก ทริคคือ (สำหรับคนเวลาน้อย) แจ๊บเอาเวลาเตรียมตัวที่เหลือไปเน้นฝึกทำวิชาอื่น เพื่อให้คะแนนเด่นขึ้นมาทดแทนวิชาที่ไม่ถนัด
พอผ่านรอบข้อเขียน ทีนี้ก็เป็นรอบสัมภาษณ์ กรรมการดูสนใจที่แจ๊บเคยไปแข่งวิ่งกับแกะสลักผลไม้ค่ะ 555 รอบนี้แจ๊บเลยคิดว่าเขาไม่ได้กังวลแล้วว่าวิชาการเราจะรอดหรือไม่รอด แต่สนใจกิจกรรมอย่างอื่นนอกเหนือจากการเรียนมากกว่า รวมถึงเขาจะอยากรู้ว่าเราอยากไปญี่ปุ่นมากแค่ไหน และจะปรับตัวกับญี่ปุ่นได้มั้ย
ดังนั้นสำหรับน้องๆ ที่สนใจสมัครทุน แจ๊บเลยอยากแนะนำให้ฝึกทำข้อสอบเก่าเยอะๆ และแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมด้วย ส่วนตอนสัมภาษณ์ให้เตรียมตัวดีๆ แสดงให้กรรมการเห็นความตั้งใจของเรา
. . . . . . . .
เตรียมภาษาก่อนบินมา 3-4 เดือน
เจอของจริงสอนจบใน 3 วัน
“ตอนนั้นแจ๊บไม่ได้ยื่นคะแนนภาษา แต่พอได้ทุนก็เตรียมอ่านเล่ม มินนะ โนะ นิฮงโกะ ไป 3-4 เดือน แล้วพอไปเรียนปรับภาษาที่ Osaka แจ๊บตกใจมาก เพราะสิ่งที่เราตั้งหน้าตั้งตาอ่านมาเป็นเดือนๆ เขาสอนจบในเวลาไม่กี่วัน”
ปีแรก (=ปี 0) สู้ชีวิตยิ่งกว่า 1 เดือนที่อ่านเพื่อสอบทุนมงหลายเท่า จะได้เรียนภาษาญี่ปุ่น 5 วิชาคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน และไวยากรณ์ เราจะต้องท่องศัพท์วันละ 20 คำ แล้วทบเป็น 40, 60, 80,... เรื่อยๆ ช่วงหลังอาจมีเพิ่มวันละ 10 บ้าง (เป็นคำศัพท์ที่จะได้เจอในการเรียนครั้งต่อไป) สุดท้ายแล้วใน 1 ปี จะได้เรียนจบที่ N2
Trick! ถ้าจะจำศัพท์เป็นพันๆ คำแบบนั้นไหวมันยากมาก แต่ตอนนั้นแจ๊บสอบคันจิได้ 100 คะแนนเต็ม โดยใช้เทคนิค Spaced repetition = การย้ำซ้ำๆ ทบทวนสม่ำเสมอด้วยระยะเวลาที่ห่างขึ้น ตัวอย่างเช่น จำวันแรก แล้วท่องซ้ำในวันที่ 2, 5, 12,... สับหว่างกับคำที่ input เข้ามาใหม่ **วิธีนี้สำหรับเราคือเวิร์กสุด! ถ้าใครจะลองขอแนะนำแอป Anki ปีนั้นแจ๊บเล่นทุกวัน แล้วยังใช้กับวิชาอื่นๆ อย่างฟิสิกส์กับเคมีได้ด้วยนะคะ
วิชาเคมีและฟิสิกส์ เนื้อหามีตั้งแต่เนื้อหา ม.ปลายจนไปถึงค่าย สอวน. (ค่ายโอลิมปิกวิชาการ) และจะต้องจำชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด แจ๊บอาศัยเปิด text ภาษาอังกฤษเพื่ออ่านเนื้อหาที่เราไม่เข้าใจใน text ภาษาญี่ปุ่น + เน้นทำข้อสอบเก่า (เพราะเราต้องใช้คะแนนสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย) + ใช้แอป Anki มาช่วยในการจำศัพท์ + ปรึกษารุ่นพี่ด้วย
ส่วนวิชาเลข โดยรวมเทียบเท่ากับเนื้อหา สอวน. พวกค่ายโอลิมปิกวิชาการ
แจ๊บเลยรู้สึกว่าภาษาญี่ปุ่นคือปัจจัยใหญ่มากสำหรับการทำคะแนนในแต่ละวิชาเพราะต่อให้เป็นวิชาฟิสิกส์ เคมี หรือเลข เราก็ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นในการเรียนและตอบคำถาม แจ๊บเลยลองพยายามหาวิธีที่เรียนแล้วสนุกและเหมาะกับตัวเองให้เจอ เพราะบางคนถนัดจำเป็นภาพ, เขียนเยอะๆ, พูดออกเสียง, ฟังพอดแคสต์ ฯลฯ พยายามปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เข้าถึงภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น หาวิธีที่จะช่วยให้เวลาอ่านน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน
อย่างเพื่อนบางคนเรียนเสร็จ 4 โมงเย็น สามารถอ่านต่อได้ยาวๆ จนถึง 2 ทุ่ม ในขณะที่แจ๊บเอง input เนื้อหาต่อเนื่องเกิน 5 ชั่วโมงไม่ไหว ก็เลยไปออกกำลังกายตอนเย็นเพื่อ refresh ร่างกาย ก่อนมาเริ่มตั้งใจอ่านอีกครั้ง บางทีก็เปิดภาษาญี่ปุ่นฟังไปด้วยตอนวิ่งในช่วงใกล้สอบค่ะ
หรือจากที่เมื่อก่อนฝึกภาษาอังกฤษกับซีรีส์ตะวันตก พอมาญี่ปุ่น ก็หันมาซีรีส์ญี่ปุ่นกับอนิเมะ ถ้าใครเริ่มฝึก แนะนำง่ายๆ เช่น โดเรม่อนหรือการ์ตูนเด็กเพราะคำศัพท์จะง่ายและเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนจนเกินไปค่ะ
ปล. สังคมเด็กทุนมงอบอุ่นมากกก รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้องตลอดและทำต่อกันมาเป็นทอดๆ พาไปเลี้ยง พาเที่ยว แนะนำเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต ฯลฯ แจ๊บผ่านช่วงที่เหนื่อยสุดๆ มาได้ ส่วนนึงเพราะกำลังใจจากเพื่อนและรุ่นพี่ด้วยค่ะ <3
สถานีต่อไป สอบเข้ามหา’ลัยให้ติด
“พอถึงจุดที่ลงตัว เราก็จะเจอชาเลนจ์ใหม่เรื่อยๆ เช่น พอเริ่มได้ภาษาญี่ปุน ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะมี 2 ครั้ง คือเดือน 8 และเดือน 12 เนื้อหาคือสิ่งที่เรียนตอนปี 0 และได้ออกมาเป็นคะแนน โดยที่เราจะได้เลือกสาขา+มหาวิทยาลัยประมาณ 15 ที่ สถานทูตจะพิจารณาและเลือกอันดับที่เหมาะสุดให้
ตอนแรกเราไม่ได้เลือก “Todai” (=The University of Tokyo) เพราะกลัวเครียดเกินไป ได้ยินว่าเรียนหนักมากก แต่อาจารย์ที่ปรึกษา แนะนำให้ลอง ส่วนเรื่องหลักสูตร แจ๊บไม่แน่ใจว่าตอนนั้นอยากเรียนอะไรที่สุด แต่เลือก Mechano-Informatics เพราะจะได้เรียนทั้ง วิศวะเครื่องกล + คอม ควบคู่กัน ทำให้ได้เรียนรู้ในหลายๆด้านและน่าจะช่วยขยายโอกาสในการทำงานได้มากขึ้น
จากตอนแรกกลัวเครียด ก็มาคิดว่าถึงเราจะเรียนมหาวิทยาลัยที่ยากรองลงมาหรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ เราก็ต้องเผชิญจุดที่รู้สึกตัวเองเหนื่อยที่สุดอยู่ดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน งั้นสู้กับ ม.โตเกียวเลยแล้วกัน
สุดท้ายแจ๊บก็ติดที่นี่ค่ะ เย้⁓
รีวิวรอบสัมภาษณ์เข้า UTokyo สั้นๆ คือเหมือนตอนทุนมงเลย กรรมการดูสนใจประวัติที่เราลงแข่งวิ่งมาราธอน หรือกิจกรรมอื่นๆ เขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องวิชาการแล้ว แต่อยากประเมินว่าเราน่าจะอยู่ที่นี่ไหวไหมมากกว่า
. . . . . . . .
เล่าสู่กันฟัง
ชีวิตใน Todai เป็นแบบใด?
ก่อนอื่นนักเรียน Todai จะได้เรียนรวมกันก่อนในช่วงปี 1-2 เจอวิชาจิตวิทยา, ภาษาสเปน, วิทย์ฯ กีฬา, เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ พร้อมกับเรียนวิชาคณะให้ครบในเวลาปีครึ่ง ดังนั้นจะอัดแน่นมากกกก
ช่วงปีแรกเรียนจันทร์-ศุกร์ เลิกเรียนประมาณ 18:00+ ทุกวัน แทบร้องไห้(πーπ)ฟังเพื่อนพูดไม่รู้เรื่องเลยค่า ฟังไม่ออกด้วยซ้ำว่าครูสั่งงาน แล้วภาษาที่เรียนจริงก็ต่างจากตอนปรับภาษาด้วย แต่โชคดีแจ๊บได้เจอสังคมที่น่ารักมาก มีเพื่อนคนญี่ปุ่นที่เข้าใจต่างชาติ และก็เป็นสังคมที่เราก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่
ในช่วงปี 2 เทอม 1 จะมีการเลือกภาคที่จะเข้าจากคะแนนที่ผ่านมา พอเข้าภาคแล้ว สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการเรียนที่เฉพาะทางมากขึ้นและการทำแล็บ โดยสาขา Mechano-Informatics เป็นหลักสูตร 2 ปีครึ่ง รวมกับที่เรียนก่อนเข้าภาคเป็น 4 ปี โดยมีการเรียน 2 ฝั่งควบคู่กันคือ
- ฝั่งวิศวะเครื่องกล ได้เรียนการดีไซน์ ออกฟิลด์ที่โรงงานกลึงเหล็ก เรียนการใช้โปรแกรม CAD (Computer Aided Design) ในการออกแบบเครื่องจักร ทดลองใช้จริง และได้ออกมาเป็นของเลยค่ะ
- ฝั่งซอฟต์แวร์ เรียนหลายโปรแกรม เช่น R, Python, C++, ROS (Robot Operating System) ไปจนถึงเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์, Machine Learning, Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR) ฯลฯ
สาขาที่แจ๊บเรียนสามารถไปประยุกต์ได้กว้างมาก เช่น อาจไปทาง AI, VR, Robotics หรือไปทางเครื่องกลเลยก็ได้ (ตัวอย่างบริษัทดังที่เด็กจบสาขานี้เข้าทำงาน เช่น Toyota, Sony, Fujifilm ฯลฯ) หรือตอนปี 4 แจ๊บชอบวิชาชีวะ ก็เลยเลือกทำเกี่ยวกับ หุ่นยนต์เพาะเนื้อเยื่อ (Biohybrid robots) ที่ผสมผสานชีวะ+เครื่องกล
. . . . . . . .
อีกโบนัสสำคัญคือ “ชมรม”
ผ่านมาได้ถือว่าแกร่งจริง!
นอกห้องเรียนมีอะไรให้เรียนรู้เยอะมากๆ ในแบบที่คาดไม่ถึง และทำให้ได้ฝึกบริหารเวลาไปในตัวค่ะ อย่างเช่น "ชมรม"
เล่าก่อนว่ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นจะมี Clubs กับ Circles แยกกัน (อ่านเกี่ยวกับชมรมที่นี่) ส่วนใหญ่ชมรมจะเป็นกีฬา เช่น อเมริกันฟุตบอล กรีฑา บาสเกตบอล เต้น ยิมนาสติก ว่ายน้ำ รูบิค ฯลฯ ถ้าเป็น Club ต้องซ้อมหนักซ้อมเยอะ ห้ามมาสาย เข้าสัปดาห์ละประมาณ 4 วัน ตั้งแต่ 17:00-21:00 อาจต้องเข้าวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย เลยเป็นเหตุผลที่คนญี่ปุ่นแท้ๆ ให้ความสำคัญกับชมรมมากๆ ถ้าใครจบมาแล้วมีประสบการณ์เคยอยู่ชมรม โดยเฉพาะชมรมอเมริกันฟุตบอล บริษัทแทบจะแย่งตัวกันเลยค่ะ เพราะผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าอึดจริง และมีทักษะบริหารจัดการเวลาที่ดี
ตอนนั้นแจ๊บเข้า Club ยิมนาสติก ฝึกตั้งแต่หกสูง ม้วนหน้า ตีลังกา ฯลฯ ทั้งสนุกและได้เพื่อนใหม่เยอะ คนในชมรมก็สนิทเหมือนเป็นครอบครัว แต่ด้วยความที่ปีแรกเรียนหนัก ต้องปรับตัวกับภาษาและวัฒนธรรม แล้วมีบาดเจ็บจากการเล่น ก็เลยอยู่ Club แค่ปีเดียว แล้วย้ายมาอยู่ Circle ปีนผาจำลอง (Bouldering) เข้าประมาณสัปดาห์ละครั้งค่ะ
. . . . . . . .
#รีวิวญี่ปุ่น
ชีวิตดีๆ ที่ลงตัวเป็นแบบไหน?
อากาศดีและปลอดภัย
บรรยากาศที่ญี่ปุ่นเอื้อให้คนอยากมีงานอดิเรกหรือลองทำอะไรใหม่ๆ อย่างแจ๊บจะชอบออกกำลังกายมากกก = สวรรค์เล้ย⁓ คนที่นี่ก็จะชอบวิ่งหรือออกกำลังกายในสวนสาธารณะ บางทีคนไม่รู้จักกันแต่ผ่านมาช่วยเทรนก็มี
และเรายังสนุกกับการหาสิ่งที่ look forward to ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นคุยกับคนขายของตามร้านต่างๆแถวบ้าน (จนสนิท) ลองปีนผาจำลอง เที่ยวที่ใหม่ๆ ทุกฤดู ลองร้านขนมน่ากินๆ นัดเพื่อนกินข้าวหลังเลิกเรียน ฯลฯ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เราสามารถหากิจกรรมใหม่ๆ แก้เหงาได้ตลอดเวลาทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขถึงแม้จะไม่ได้มีเพื่อนเยอะมากมายเท่าที่ไทยก็ตาม
Fun Fact
คำว่า “โอมากาเสะ” (Omakase) ที่ไทยจะนึกถึงอาหารมื้อหรูๆ แต่ไม่มีที่ญี่ปุ่นนะะะ คำนี้แปลว่า “แล้วแต่เชฟ” ใช้กับสถานการณ์อื่นๆ อย่างร้านตัดผมหรือที่คาเฟ่ก็ได้เหมือนกัน
เป็นระบบและตรงต่อเวลา
เราสามารถวางแผนได้เลยว่าใน 1 วันจะทำอะไรบ้าง ไม่ต้องลุ้นว่าจะเจอกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ (เช่น รถติด รอรถนาน ฯลฯ) สมมติตารางรถไฟออก 8:47 เราก็ fix ได้ว่าถ้าเกิดออกจากบ้าน 8:35 จะไปทันรถออก แต่ถ้าเกิดออกสัก 8:37 คือแจ๊บต้องวิ่งแล้ว
อัปเดตชีวิตปัจจุบัน
แจ๊บเรียนสายวิทย์มาทั้งชีวิตเลย แต่รู้สึกวิจัยก็ไม่ใช่ทางที่ชอบขนาดนั้น หลังจากเรียนจบเมื่อเดือน มี.ค. 66 ก็เริ่มงานแรกเป็น Business Consultant บริษัทที่ญี่ปุ่นจะรับคนที่จบจากทุกสายค่ะ ความยากสำหรับเราก็คือต้องเข้าไปเรียนรู้ Business Framework เพิ่ม แต่การเรียนวิศวะก็ทำให้เรามีพื้นฐาน Logical Thinking ที่ดีพร้อมต่อยอดได้อยู่แล้ว และมองว่างานสาย Business เป็นโอกาสให้ได้สัมผัสกับหลากหลายอุตสาหกรรมด้วยค่ะ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - -
You’re Invited
อยากเจอพี่ทุนมง เดินตรงมาทางนี้!
Dek-D’s Study Abroad Fair
ใครกำลังวางแผนสมัครทุนรัฐบาลญี่ปุ่น หรืออยากเก็บข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยหรือประเทศ เคลียร์คิวรอเลย เพราะ Dek-D’s Study Abroad Fair รอบ 7-8 ตุลาคม 2566 จะมีรุ่นพี่ทุนมง 2 คน 2 วัน ให้เกียรติมาประจำบูธของเราด้วยค่ะะ <3
และไฮไลต์สุดพิเศษทั้งหมดในงานนี้!
- เอเจนซีชั้นนำที่พร้อมช่วยเหลือเรื่องเรียนต่อตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น ทั้งเรื่องเอกสาร สมัครเรียนให้ จัดแจงวีซ่า จองที่พัก และความพร้อมด้านต่างๆ ให้บินไปเรียนแบบ Perfect Planning!
- โปรแกรมบริการ และฐานกิจกรรมมากมาย เพื่อช่วยวางแผนการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ
- โต๊ะปรึกษา 1:1 กับรุ่นพี่นักเรียนไทยที่ได้ทุนสุดฮิต 16 คน ทั้งทุนรัฐบาลเกาหลี, ทุน EGPP (ม.สตรีอีฮวา), ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น, ทุนรัฐบาลจีน, ทุนรัฐบาลไต้หวัน, ทุนรัฐบาลอินเดีย, ทุนรัฐบาลไทย, ทุน Chevening, ทุน DAAD, ทุน ERASMUS, ทุน Franco-Thai ฯลฯ เล็งทุนไหนไว้ หรืออยากค้นหาประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ห้ามพลาด!
- งานนี้จัดพร้อมงาน Dek-D’s TCAS Fair เท่ากับว่ามาครั้งเดียวจะได้ค้นหาตัวเองและหลักสูตรที่ตอบโจทย์ ซึ่งอาจจะเป็นในไทยหรือต่างประเทศก็ได้ // สะกิดชวนเพื่อนหรือผู้ปกครองด่วนๆ เลยค่าา :D
ชวนอ่านต่อ!
รีวิว 17 ข้อจากรุ่นพี่ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ตั้งแต่เตรียมขอทุน ปรับภาษา(ปี0) จนจบวิศวะที่ Osaka University!
https://www.dek-d.com/studyabroad/61026
[ภาค1] กว่าจะได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น: ‘เบสท์’ รีวิวการเตรียมตัว กับชีวิตช่วงปรับภาษา 5 เดือนแรก!
https://www.dek-d.com/studyabroad/53976
[ภาค 2] พี่เบสท์ นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น เรียน Applied Chemistry ที่ UTokyo
https://www.dek-d.com/studyabroad/62938


4 ความคิดเห็น
สุดยอดดดด
ละเอียดมากๆ เลยครับพี่
เยี่ยมไปเลยครับ ได้มุมมองดีๆเยอะแยะเลย
เก่งรอบด้านจริงๆครับ