
สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับใครที่อยากเรียน แลกเปลี่ยน หรือดูงานในต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัดเรื่องงบ อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองหมดโอกาสค่ะ วันนี้เราจะพาไปอ่านเรื่องราวของนักแสวงทุนฟรีท่านหนึ่ง นั่นก็คือ “พี่เจนนี่” เด็กคณะวิทย์จุฬาฯ ที่เคยไปโครงการ IAESTE ตอนเรียนปี 3 ฝึกงานสายวิศวกรรมศาสตร์ที่ประเทศโอมานเวลา 2 เดือน
หลังจากเปิดโลกในดินแดนอาหรับที่สวยและรวยสุดๆ เธอก็กลับมาปั่น Final Project ที่ไทยต่อ จากนั้นก็ได้ทุน YSEALI Academic Fellowship ไปแลกเปลี่ยนที่ “ฮาวาย” (Hawaiʻi) เกาะสวรรค์ในสหรัฐอเมริกานั่นเองค่ะ งานนี้สาวเจนเลยตัดสินใจดร็อปเรียนมหา’ลัยที่ไทยไว้เพื่อบินไปแลกเปลี่ยนเป็นระยยะเวลารวม 5 สัปดาห์ // แต่จะคุ้มมั้ย? คุ้มแค่ไหน? ตามไปเที่ยวด้วยกันเลยยย
ทักทายผู้อ่านกันก่อนค่ะ~
สวัสดีค่า ชื่อ “เจนนี่” นะคะ เป็นคนจังหวัดอุทัยธานี ตอนนี้กำลังเรียน ป.ตรี ปีสุดท้าย คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเคมีวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ
กว่าจะได้ทุนนี้ เจนนี่ไม่ได้มาเล่นๆ!
จุดเริ่มต้นคือเจนชอบพูดภาษาอังกฤษมาก และอยากหาโอกาสไปต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัดคือต้องไปด้วยทุนเต็มจำนวน (ฟรี 100%) เท่านั้น ก็เลยพยายามค้นข้อมูลจน News Feed บนโซเชียลของเจนเต็มไปด้วยโครงการกับทุนค่ะ 5555
แล้วทุนนึงที่ดูไว้ตั้งแต่ ม.ปลาย ก็คือ YSEALI Academic Fellowship โครงการนี้จะแยกออกมาเป็น 3 สาขา (รับสาขาละ 5 คน)
- Environmental Issues **เจนได้ไปสาขานี้
- Civic Engagement
- Social Entrepreneurship and Economics Development
เจนค้นเจอบล็อกรีวิวของศิษย์เก่า YSEALI เขาแนะนำให้เลือกหัวข้อที่เราสนใจและพอมีพื้นหรือประสบการณ์มาในระดับนึง เจนก็เล็งไว้ Environmental Issues บอกตัวเองว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะสมัครหัวข้อนี้แน่นอน จากนั้นก็เตรียมตัวเต็มที่ ใช้เวลา 2 ปีกับการปั้นสกิลให้ดูเป็นโบนัสกับเรามากที่สุด
- ปี 1 เรียนเข้มข้นมาก แถมปี 2 เจอช่วงโควิด ในพอร์ตเจนยังไม่ค่อยมีผลงานด้านวิทย์ พอประเมินสถานการณ์ตัวเองแล้วคิดว่าคงไม่ได้ ก็เลยพับแผนสมัครไปก่อนค่ะ
- ปี 3 ได้ทุน IAESTE ไปฝึกงานสายวิศวะ (วัสดุนาโน) ที่ประเทศโอมาน เคยให้สัมภาษณ์พาร์ตนี้กับ Dek-D ใครสนใจอ่านได้ที่ https://www.dek-d.com/studyabroad/61440
- ปี 4 หลังกลับจากโครงการ IAESTE ก็เข้าสู่ช่วงเวลาทำวิจัยจริงจัง ที่นี่ทำเป็นคู่ อาจารย์มีหัวข้อให้อยู่แล้ว นิสิตที่สนใจต้องเขียน Proposal เหตุผลที่อยากทำ (เหมือนออดิชันให้ได้รับเลือก)
ตอนนั้นเจนสนใจ Bio-Solar Cell ตอนเห็นคือรู้สึกว้าวมากๆ คิดไม่ถึงมาก่อน เพราะเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่าแบตเตอรี่อีก แล้วถ้าเกิดสำเร็จ เราจะต่อยอดกับการขอทุน YSEALI ในหัวข้อ Environmental Issues ได้แน่นอน *ในที่สุดโปรเจ็กต์ Biosolar Cell ที่เจนทำตอนปี 4 ได้รางวัลที่ 2 จากการแข่งขัน Hitachi Trophy มีคลิปบทสัมภาษณ์เจนและทีมวิจัย (แล็บ NIAB Lab) ด้วยนะคะ // เหมือนกับทุกอย่างถูกวางแผนสำหรับเตรียมสมัครทุน YSEALI เล้ยยย
และแล้วเวลาที่เจนรอคอยก็มาถึง พอทำโปรเจ็กต์ยาวไปจนถึงช่วงใกล้หมดปี โครงการ YSEAL Academic Fellowship ก็เปิดรับสมัครรอบ Fall Semester!!
ตอนสมัครเจนใช้เวลาเขียน Essay (ไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4) กับวิดีโอ รวมๆ 2 สัปดาห์ พยายามผูกเรื่องที่เราทำวิจัยหัวข้อ Bio-Solar Cell และประสบการณ์เป็น MC สายสิ่งแวดล้อมให้กับทางสหภาพยุโรป (United Nation) แสดงจุดยืนว่าเราสนใจเรื่อง Sustainability Energy และไม่ลืมที่จะเชื่อมโยงความสนใจเกี่ยวกับประเทศอเมริกา
แล้ว 2 สัปดาห์ต่อมา เจนกำลังทำงาน M.C. อยู่ๆ ก็มีเมลนึงเด้ง “YSEALI Congratulations” เราผ่านการคัดเลือก! แล้วจะได้ไปแลกเปลี่ยนที่ East-West Center ที่อยากไปมากกกมาตั้งแต่แรก (โครงการนี้ กรรมการจะพิจารณารัฐปลายทางให้จากที่เราเขียนสมัครไป)
ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่ได้ไปแค่ Hawaiʻi ที่เดียว ช่วงใกล้ถึงวันบินประมาณ 3 สัปดาห์ เจนได้เอกสารทางการจากทาง Hawai’i ที่ระบุว่าเราจะได้ไปเรียนในโลเคชันไหนบ้าง
1. East-West Center ซึ่งเป็นศูนย์ของ University of Hawaiʻi at Mānoa (UH) เรียน 3 ธีม (ธีมละ 1 สัปดาห์) และมีกิจกรรมที่เขาเชิญ Dean ของ East-West Center มาประชาสัมพันธ์ทุน ป.โท ของที่นี่ด้วยค่ะ
2. University of California, Berkeley หรือ UC Berkeley เป็น ม.รัฐบาลอันดับ 1 ของอเมริกา ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เราจะได้ไปเรียนธีมสุดท้ายที่นี่เป็นเวลา 1 สัปดาห์
ตอนรู้คือเซอร์ไพรซ์มากกกกเพราะเคยได้ยินชื่อ UC Berkeley ตั้งแต่เด็ก ระยะทางจาก Hawai’i -> California คือไกลกว่าจากไทย -> ญี่ปุ่นอีก โครงการเขาจัดเต็มให้ขนาดนี้ ตอนแรกสงสัยว่าเป็นแบบออนไลน์หรือเปล่า~ แต่ในนั้นระบุว่าเราจะได้เรียนในสถานที่จริง มีที่พักให้ มีครัวด้วย ฯลฯ ชัดเจนเลยว่าไม่ใช่ออนไลน์แล้ว เราจะได้ไปจริงๆ
3. ทุกคนจะได้บินไปเข้าร่วมพิธีจบการศึกษาที่ Washington D.C. เมืองหลวงของอเมริกา เรียน 1 วัน เที่ยวสถานที่สำคัญๆ เพียบ และรับเกียรติบัตรจากโครงการค่ะ
Note: ใครสนใจทุน YSEALI Academic Fellowship สำหรับรอบ Spring 2024 ปิดรับสมัครไปแล้วเมื่อ 24 กันยายน 2566 แต่ลองเข้าไปอ่านให้พอเห็นแนวทางการสมัครรอบหน้าได้นะคะ :D https://www.dek-d.com/studyabroad/63048/
. . . . . . . .
Aloha!
ได้เวลาเดินทางสู่อเมริกาแล้วค่า
Part I : เรียนที่ฮาวาย พักฮีลใจที่ชายหาด
ร้อนเมื่อไหร่ก็โดดลงน้ำตู้ม!
จุดหมายแรกคือ University of Hawaiʻi at Mānoa ที่รัฐฮาวายค่ะ สัปดาห์นึงเรียน 6 วัน (จันทร์-เสาร์) แต่ละสัปดาห์ก็จะมีธีมให้ ซึ่งตอนอยู่ฮาวายจะเป็นเรื่อง Agriculture & Fishery, Energy & Climate Action และ Environment Policy
เริ่มจากการเรียนที่แคมปัส ทุกสัปดาห์เราต้องเลือกหนังสือกลับไปอ่านคนละ 2 เล่ม แล้วมาดิสคัสกันในคลาส เช่นเรื่องเกี่ยวกับ Biotechnology (เทคโนโลยีชีวภาพ), Environment Policy (นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม), Water conservation (การจัดการทางทะเล)
ตลอดเวลา 5 สัปดาห์ที่ UH เจนได้อ่านทั้งหมด 7 เล่มแบบหนาๆ หนักๆ บางเล่มต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเยอะ อ่านจบก็ต้องทำสรุปออกมาด้วย เพราะเขาจะมีกำหนดให้ทุกวันอังคารและพฤหัสบดีเป็น Book Discussion Day แล้ว 1 วันก่อนหน้าเราจะต้องส่งสรุปเข้ากรุ๊ปก่อนนะคะ
เรียนแค่ในคลาสหรอ?
Nope!
ที่เจนเล่าไปคือเรียนในแคมปัสประมาณ 3 ใน 4 ของทั้งหมด แต่ที่เหลือคือการไปออกฟิลด์หรือดูสถานที่จริงเลยค่ะ
- ธีม Agriculture & Fishery ออกฟิลด์ที่ทะเล เขาพาไปบ่อเลี้ยงปลาที่ใหญ่ที่สุดใน Hawaiʻi สวยและอากาศบริสุทธิ์ สูดได้เต็มปอด วิวสวยโคตรๆ <3
- ธีม Energy & Climate Action มีสัปดาห์ที่จัดกิจกรรม “Leadership Story” คัดเลือกนักเรียน 3 จาก 21 คนจากโครงการ YSEALI ซึ่งปีนั้นเจนได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน Speaker แชร์ประสบการณ์ตัวเองเกี่ยวกับพลังงานค่ะ
- ธีม Environment Policy เรียนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ละวีคจะมีกิจกรรม Book Discussion ให้หนังสือเรามาเป็นปึกทั้งหมด 7 เล่ม เราต้องอ่านจริงๆ นะไม่งั้นโป๊ะ คนดูออก 5555 เหนื่อยแต่ก็ได้ฝึกไปในตัวค่ะ (อาจารย์บอกว่าถ้าคุณได้มาเรียน ป.โทที่อเมริกา คุณก็จะต้องอ่านแบบนี้แหละ)
ยกตัวอย่างเช่นเล่มเกี่ยวกับการเมืองอเมริกาค่ะ โครงการ YSEALI อยากให้เราศึกษาประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมของ U.S. ด้วย เพราะกว่าจะมีพลังงานดีๆ น้ำสะอาด และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ จุดเริ่มต้นคือการต่อสู้ของบรรพบุรุษ เรากำลังเรียนรู้อดีตเพื่อพัฒนาอนาคต วิชานี้ทำให้รู้ด้วยว่าอเมริกามีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงมีนักเคลื่อนไหวเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Activist) ที่พร้อมต่อสู้แบบจริงจังถ้าเห็นสิ่งที่รัฐบาลทำไม่สมเหตุสมผลในแง่สิ่งแวดล้อม
อ่านเพลินๆ #รีวิวฮาวาย
นึกภาพตามแล้วใจละลายอยากลงทะเล <3
- สหรัฐอเมริกากว้างใหญ่เกือบ 10 ล้าน ตร.กม. ซึ่งรัฐฮาวายคือเกาะสงบๆ ประมาณ 2.8 ตร.กม. ตั้งอยู่กลางมหาสมุทร ค่าครองชีพแพงสุดในอเมริกา (ดัชนีค่าครองชีพ 184 อ้างอิงจาก https://wisevoter.com/state-rankings/cost-of-living-by-state/)
- เป้าหมายบางคนไม่ใช่การเรียนมหาวิทยาลัย Top Ranking แต่เป็นการได้มาใช้ชีวิตในเมือง Top Destination อย่างฮาวาย เพราะในสายตาคนอเมริกัน ที่นี่ก็คือเมืองสวรรค์เหมือนกับที่นักท่องเที่ยวเห็น เลยเป็นเหตุผลที่เจนได้ยินเพื่อนในคลาสหลายคนมาจาก ม.ระดับโลก หรือติดที่ดังๆ แต่ตัดสินใจเลือกเรียนที่ University of Hawaiʻi at Mānoa
- “โฮโนลูลู” (Honolulu) คือเมืองหลวงของรัฐ และมีประชากรหนาแน่นที่สุดของรัฐฮาวาย เจนไปอยู่เมืองนั้นค่ะ ระเบียบบ้านเมืองดีมาก อากาศสะอาด ไม่มีฝุ่น PM 2.5 น้ำประปาสามารถดื่มได้ (หลายคนมักจะคิดว่าที่นี่ต้องมีพืชพรรณผลไม้อุดมสมบูรณ์ แต่จริงๆ ฮาวายต้องพึ่งการนำเข้าเป็นหลักเพราะปกคลุมด้วยน้ำเค็ม)
- เจนเกิดและโตที่ จ.อุทัยธานี โซนภาคเหนือ เคยเจอภูเขาๆๆๆ เกิดมาไม่เคยไปทะเลกับพ่อแม่เลย ชีวิตก็เลยโหยหาทะเลมาตลอด และไม่ชอบอากาศหนาว แล้วพอมาที่ฮาวายทุกอย่างลงตัวไปหมด เราสามารถใส่บิกินี่เดินชายหาดชิลๆ ได้โดยไม่มีใครเม้าท์ เพราะใครๆ ก็ใส่บิกินี่ถือเซิร์ฟกันแบบฉ่ำ! แถมฮาวายยังเป็นต้นกำเนิดของกีฬาเซิร์ฟ (Surf) ด้วยนะคะ
พอวันไหนไปหาดเจนก็ใส่บิกินี่ออกจากบ้าน สวมเสื้อกับกางเกงตัวนอกทับ พกครีมกันแดด แว่นกันแดด เดินไปเรื่อยๆ บนหาดทราย อุณหภูมิเกือบ 40 องศา ถ้าเจอร่มไม้ก็ปูเสื่อ หรือถ้าร้อนก็โดดลงทะเลตอนไหนก็ได้! แถมช่วงเรียนที่ฮาวายก็ถือว่ายืดหยุ่นมากๆ ในตารางจะมีวันนึงได้ไปออกฟิลด์ที่ Waimanalo Beach พอไปถึงเจนกับเพื่อนเล่นน้ำรอกัน 3 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่เริ่มกิจกรรมที่อาจารย์บอก สุดท้ายเขาก็ทดให้ไปเรียนวันอื่นแทนค่ะ
- แต่นอกจากชายหาดแล้ว ภูเขาก็สวยมากกเหมือนเทพนิยาย ได้ทำกิจกรรมอลังการๆ หลายอย่าง เช่น นั่งเรือยอร์ช (Sailing) ที่ฮาวาย ดีดอูคุเลเล่ กินน้ำมะพร้าว ฯลฯ และแน่นอนคือโครงการเปย์จัดเต็มสุดๆ เสียดายเรื่องเดียวคืออดไป Hiking กับเพื่อนเพราะตื่นสาย เขาตื่นกันตั้งแต่ 5-6AM เลยค่ะ TT
Ps. ถ้ามีโอกาสเจนอยากไปเที่ยวเต็มที่อีกสักครั้ง เพราะตอนไปกับโครงการเราจะต้องโฟกัสเรื่องการเรียนมาเป็นอันดับแรก ใช้เวลาอ่านหนังสือเยอะ แต่เพื่อนที่อ่านไว เข้าใจได้เร็ว และบริหารเวลาเก่งๆ อ่านจบปุ๊บมีเวลาเที่ยวต่อได้
- เกร็ดประวัติศาสตร์เบาๆ สมมติอยู่ฮาวายแล้วลองหลับตา เราจะได้ยินเสียงเหมือนอยู่อเมริกา แต่พอลืมตามาจะเซอร์ไพรซ์ เพราะมีคนหน้าญี่ปุ่นเยอะไปหมด
เหตุผลที่ฮาวายเหมือนญี่ปุ่นสาขา 2 เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮาวายอยู่กึ่งกลางระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกา คนญี่ปุ่นเขาอพยพมาทางเรือ กว่าจะถึงอเมริกาก็ต้องพักตั้งรกรากที่ฮาวายก่อนค่ะ เลยเป็นที่มาของวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นเวอร์ชันดัดแปลง ตอนขึ้นรถบัส ทั้งคันเป็นคนญี่ปุ่น แบบลูกครึ่ง Japan x Hawaii คุณป้าหน้าญี่ปุ่นแต่สำเนียงแบบคนอเมริกัน
Part II : เรียนที่ UC Berkeley
ปั่นจักรยานที่ซานฟราน
จิบช็อกโกแลตร้อนๆ เที่ยวแลนมาร์กชื่อดัง!
มาที่นี่จะได้เรียนธีมสุดท้ายคือ Waste Management ที่ UC Berkeley ค่ะ เบิร์กลีย์คือเมืองมหาวิทยาลัยภายในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) และอยู่แถบ West Coast ฝั่งตะวันตกของอเมริกา
ตอนนั้นเขาพาไปดูโรงงานผลิตไฟฟ้าทั้งที่รัฐฮาวายและแคลิฟอร์เนียด้วย เจนอินมากกกกเพราะตอนเรียนวิศวะในไทย ก็เคยมีโอกาสไปดูโรงงานในไทยมาเหมือนกัน ทำให้นึกภาพและสามารถเทียบจุดเหมือนต่างได้ เห็นความคล้ายของวิธีจัดการขยะก่อนส่งโรงงานค่ะ
นอกจากนี้ UC Berkeley ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ใส่ใจเรื่องการจัดการขยะมากๆ ปกติเขาจะสุ่มสำรวจความคิดเห็นเด็ก ป.ตรี ว่าคิดยังไงกับ Waste Management ในแคมปัส จัดการดีหรือไม่ มีข้อเสนอแนะอะไรบ้าง // ขยะจะมีทั้งหมด 3 ประเภท UC Bekeley มีติดชื่อและรูปตัวอย่างขยะที่ต้องลงแต่ละถังไว้ (ปกติเราจะไม่แน่ใจว่าต้องทิ้งลงถังไหน) แล้วด้วยความที่เด็กเอเชียเยอะ ก็เลยมีรูปแก้วชาไข่มุกในนั้นค่ะ น่ารักกก
รีวิวชีวิตแบบรวมๆ แถบนี้จะอากาศหนาวจนต้องใส่แจ็กเก็ต ฝนตกถี่ แต่ตกแบบ 3 นาทีหยุด คนจะพลุกพล่านกว่า มี Landmark ของเมืองซานฟรานซิสโก (San Francisco) ก็คือสะพาน Golden Gate Bridge เจนมีโอกาสขึ้นไปปั่นจักรยานชมวิวและจิบช็อกโกแลตร้อนๆ ที่นั่นด้วยค่ะ
Part III : ปิดท้ายด้วยวอชิงตันดีซี
เรียน 1 วัน นอกนั้นเที่ยวและรับเกียรติบัตร
พาไปเรียน 1 วัน แล้วเที่ยวแลนมาร์กสำคัญ เช่น Lincoln Memorial, Washington State Capitol, White House รวมๆ ได้ไป 4 วัน วันสุดท้ายรับเกียรติบัตรจากโครงการค่ะ!
(ขวา) ถ่ายรูปจบการศึกษากับ YSEALI Staffs
. . . . . . . .
และทั้งหมดนี้ YSEALI เปย์หมด
ระวังแค่ชอปปิงเกินงบ
YSEALI Academic Fellowship เป็นโครงการที่สนับสนุนค่าที่พักและที่เที่ยวให้แบบเล่นใหญ่ ตั้งแต่
- ค่าทำวีซ่า
- ค่าตั๋วเครื่องบินจากประเทศไทย -> ฮาวาย และจากฮาวาย -> แคลิฟอร์เนีย -> วอชิงตัน ดี.ซี.
- ค่าที่พัก (ฟรี)
- ค่าอาหาร (ฟรีวันละ 1 มื้อ)
- บัตรรถบัส (มีจำกัดวงเงิน)
- ค่าเครื่องแต่งกายประจำชาติ ที่เราต้องใช้ในวัน Cultural Night ให้ประมาณคนละ $100 ให้ซื้อชุดจากไทยไปได้เลยค่ะ
ตอนแรกเราเตรียมเงินไปก้อนนึงเพราะคิดว่าอาจต้องสำรองจ่ายก่อน แต่ YSEALI ไม่ค่ะ (เลิศไปอีก) วันแรกที่ไปถึง ลงจากเครื่อง เขามอบเงินให้ผู้เข้าร่วมโครงการคนละซอง งวดแรกที่ฮาวาย $1440 (≈51,000฿) และอีกงวดคือแคลิฟอร์เนีย $500 (≈21,000฿) รวมๆ $2,000 (≈72,000฿) นอกจากนี้ยังให้บัตร Cafeteria เรามาด้วย แทบไม่ได้ใช้เงินส่วนตัวเลย ที่ต้องระวังก็แค่ค่าชอปปิง เพราะอย่างที่บอกว่าฮาวายเป็นรัฐที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในอเมริกาค่ะ
สรุปความคุ้มในทริปนี้
3 ธีมแรกเรียนที่ Hawaii
1 ธีมสุดท้ายเรียนที่ UC Berkeley
ร่วมพิธีจบการศึกษาที่ Washington D.C. ปิดจบสัปดาห์สุดท้ายแบบปัง!
. . . . . . . .
Jenny on Journey
พาทุกคนเรียนภาษาอังกฤษ
ผ่านประสบการณ์เที่ยวของเจนนี่เอง
Note: ส่วนหนึ่งของคลิปและโพสต์ที่เรานำมาใช้ประกอบบทสัมภาษณ์นี้ มาจาก FB Fanpage และ YouTube ของเจนนี่นั่นเองค่าา วันนี้เลยขอถือโอกาสนี้ชวนไปติดตามคอนเทนต์ดีๆ กันนะคะ
เริ่มจากเพจ Jenny on Journey แรงบันดาลใจคืออยากเปิดเพจให้ทุกคนได้เรียนภาษาอังกฤษผ่านประสบการณ์ท่องเที่ยวของเจนไปด้วยกัน ถ้าเจอโอกาสดีๆ ในต่างประเทศ ก็จะมาประชาสัมพันธ์ในเพจนี้ด้วย (เป้าหมายสูงสุดของเจนคืออยากเปิดเอเจนซีที่ให้คำปรึกษาเรื่องเรียนต่อต่างประเทศ) ส่วนใครที่อยากหาคอร์สฝึกภาษาอังกฤษแบบ Private เน้น Interview, Presentation และ Discussion ลองดูรายละเอียดในเพจได้นะคะ :D
นอกจากนี้เจนยังมีทำ YouTube: Jenny on Journey ช่วงนี้กลับมาทยอยลงแล้วหลังจากนิ่งไปช่วงก่อนหน้านี้ที่เจอวิจัยหนักๆ // ยังไงลองแวะชมคลิปกันก่อนได้นะคะ เจนจะพยายามออกจากเรื่องวิชาการบ้างค่ะะ 5555
0 ความคิดเห็น