สวัสดีค่ะ น้องๆ ชาว Dek-D จากบทความที่แล้วพี่แป้งได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับ 4 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ออกสอบบ่อยไป ในวันนี้คอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ ก็จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งกฎหมายสำคัญที่อยู่ภายใต้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เหมือนกัน ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใกล้ตัวของเรามากๆ นั่นก็คือ กฎหมายครอบครัว และมรดก นั่นเอง
นอกจากทฤษฎีความรู้พื้นฐานเรื่องกฎหมายแล้ว บทความนี้ยังมีกรณีตัวอย่างเรื่องการแบ่งมรดกมาให้น้องๆ ได้ทำความเข้าใจ พร้อมกับแนวข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นำมาให้ทุกคนได้ลองทำด้านล่างด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันได้เลย!
กฎหมายครอบครัว
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ครอบครัวเป็นสถาบันขั้นพื้นฐานและเป็นสถาบันหลักของสังคม ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวจึงเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในครอบครัวหรือเครือญาติ ดังนั้น หลักกฎหมายที่ใช้โดยทั่วไปจึงไม่สามารถนำมาใช้กับกฎหมายครอบครัวได้
กฎหมายครอบครัวจึงเป็นกฎหมายที่อ้างอิงหลักศีลธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีมากที่สุด เช่น เงื่อนไขเกี่ยวกับการหมั้น การสมรส การปฏิบัติต่อกันระหว่างคู่สมรส การปกครองบุตร ทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส รวมถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมรดกอีกด้วยค่ะ
กฎหมายสมรสเท่าเทียม
วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เมื่อ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 หรือที่เรียกกันว่า "กฎหมายสมรสเท่าเทียม" จะมีผลบังคับใช้เป็นทางการ ทำให้ "คู่รักทุกเพศ" สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นครั้งแรก
การเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับความเท่าเทียม
- เปิดโอกาสให้บุคคลทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้
- ปรับอายุขั้นต่ำสำหรับการหมั้นและการสมรส จากเดิม 17 ปี เป็น 18 ปีบริบูรณ์
- เปลี่ยนคำว่า "สามี-ภริยา" เป็น "คู่สมรส" เพื่อให้ครอบคลุมทุกเพศ
- คู่สมรสทุกคู่จะมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันตามกฎหมาย เช่น สิทธิในการรับมรดก สิทธิในการให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาล และสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
ส่วนข้อห้ามในการสมรส เช่น การสมรสกับบุคคลที่ยังมีคู่สมรสอยู่, การสมรสกับญาติสนิท และ การสมรสกับบุคคลวิกลจริต รวมถึงหลักการแบ่งสินสมรส โดยแบ่งทรัพย์สินออกเป็นสินส่วนตัวและสินสมรส "ยังคงหลักการเดิม "
สิทธิต่าง ๆ ที่มีผลบังคับใช้ทันทีที่มีการจดทะเบียนสมรสตามที่กฎหมายกำหนด สามารถสรุปสิทธิและหน้าที่สำคัญที่ "คู่สมรส" จะได้รับ ดังนี้
การหมั้น
เป็นการทำสัญญาระหว่างบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายว่าต่อไปจะสมรสกัน โดยผู้หมั้นจะมอบของหมั้นให้แก่ผู้รับหมั้น เพื่อเป็นหลักฐานและหลักประกันว่าในอนาคตจะสมรสกัน ตามกฎหมายแล้วสัญญาหมั้นจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบของหมั้นเท่านั้น โดยกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขการหมั้น ไว้ดังนี้
- การหมั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลทั้ง 2 ฝ่าย มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว
- ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายยังอายุยังไม่ครบ 20 ปี ต้องขออนุญาต และได้รับการยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (พ่อ แม่ ผู้ปกครอง หรือผู้รับบุตรบุญธรรม) ก่อน ไม่อย่างนั้นจะมีผลเป็นโมฆียะ
- ไม่สามารถหมั้นกับ บุคคลที่เป็นบุพการี, คนวิกลจริต, คนไร้ความสามารถ หรือคนที่มีคู่สมรสอยู่แล้วได้
- คนที่เป็นพี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน หรือร่วมแค่แม่ หรือพ่อเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถหมั้นกันได้
- เมื่อสมรสแล้วของหมั้นจะตกเป็นของผู้รับหมั้น แต่ถ้าไม่มีการสมรสเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความผิดของผู้รับหมั้น ฝ่ายผู้รับหมั้นต้องคืนของหมั้นให้ฝ่ายผู้หมั้น หรือถ้าผู้หมั้นเป็นคนผิดสัญญาก็ไม่สามารถเรียกร้องของหมั้นคืนจากผู้รับหมั้นได้เช่นกัน
- การผิดสัญญาหมั้น ฝ่ายที่เสียหายสามารถเรียกค่าทดแทนได้ แต่จะให้ศาลบังคับให้มีการสมรสไม่ได้
- การหมั้นจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต หรือมีการยินยอมถอนหมั้น
- ของหมั้นจะมีผลตามกฎหมายได้นั้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องมีเจตนาไปจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย หากอยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียน สิ่งของที่มอบให้กันจะถือว่าไม่ใช่ของหมั้น
โมฆะ vs โมฆียะ คืออะไร?
- โมฆะกรรม คือ นิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับหรือผูกพันตามกฎหมาย มี 4 สาเหตุที่ทำให้นิติกรรมโมฆะ
- โมฆียกรรม คือ นิติกรรมที่สมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมายตั้งแต่ทำนิติกรรมจนกว่าจะถูกบอกล้าง ซึ่งหากถูกบอกล้างก็จะทำให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ
การสมรส
เป็นการทำสัญญาที่ตกลงเป็นคู่สมรสกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย การสมรสจะต้องเกิดจากความสมัครใจจากทั้งสองฝ่าย และการสมรสจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อต้องทำการจดทะเบียน โดยกฎหมายกำหนดเงื่อนไขของการสมรสไว้ ดังนี้
- การสมรสจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีมีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้
- ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายยังอายุยังไม่ครบ 20 ปี ต้องขออนุญาต และได้รับการยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (พ่อ แม่ ผู้ปกครอง หรือผู้รับบุตรบุญธรรม) ก่อน ไม่อย่างนั้นจะมีผลเป็นโมฆียะ
- ไม่สามารถสมรสกับ บุคคลที่เป็นบุพการี, คนวิกลจริต, คนไร้ความสามารถ, พี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน, พี่น้องร่วมแค่แม่ หรือพ่อเพียงอย่างเดียว หรือคนที่มีคู่สมรสอยู่แล้วได้
- ผู้รับบุตรบุญธรรม และบุตรบุญธรรม ไม่สามารถสมรสกันได้ แต่ถ้าต้องการสมรสต้องจดทะเบียนยกเลิกการเป็นบุตรบุญธรรมก่อน
- กรณีผู้หญิงที่สามีเสียชีวิต หรือเพิ่งหย่า ต้องรอ 310 วัน* ถึงจะทำการสมรสใหม่ได้ เว้นแต่ (1) คลอดลูกไปแล้วในระหว่างนั้น (2) สมรสกับคู่สมรสคนเดิม (3) มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือ (4) มีคำสั่งของศาลให้สมรสได้
- การสมรสจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อ (1) ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต (2) จดทะเบียนหย่า ต้องมีการทำหนังสือและจดทะเบียน ถึงจะถือว่าการหย่านั้นสมบูรณ์ และ (3) ฟ้องหย่า เช่น จงใจทิ้งเกิน 1 ปี, ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีชู้, ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ฯลฯ
Note : ทั้งนี้เด็กที่อายุน้อยกว่า 18 ปี จะไม่สามารถจดทะเบียนได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาต เว้นแต่มีเหตุอันสมควรก็ขอให้ศาลสั่งให้สามารถสมรสกันได้ เช่น นายเอและนางสาวบี ทั้งคู่อายุ 15 ปี คบหาดูใจกัน วันหนึ่งเกิดได้เสียกันและนางสาวบีตั้งท้อง พ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ต้องไปร้องขออนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448
*** อย่างไรก็ตาม ศาลอาจจะไม่ได้อนุญาตให้จดทะเบียนได้ทุกเคส ต้องมีการพิจารณาเป็นรายเคสไปว่า สามารถแต่งงาน และเลี้ยงดูบุตรไปกันรอดหรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมก็จะไม่มีการสมรสเกิดขึ้นนั่นเอง ***
ทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
สินส่วนตัว vs สินสมรส
สำหรับการสมรสนอกเหนือจากเรื่องการจดทะเบียนแล้ว ยังมีเรื่องทรัพย์สินที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส มี 2 ลักษณะ คือ
- สินส่วนตัว - ทรัพย์สินที่ได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส เช่น เงินฝาก บ้าน ที่ดิน เครื่องประดับ ของหมั้น ฯลฯ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีสิทธิ์จัดการเพียงฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเกี่ยว
- สินสมรส - ทรัพย์สินที่ได้มาหลังจดทะเบียนสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส ค่าเช่า หรือดอกเบี้ยที่ได้รับจากสินส่วนตัว รวมทั้งสินส่วนตัวและมรดกที่ระบุว่าเป็นสินสมรสตั้งแต่ตอนจดทะเบียนสมรส หนี้ร่วมระหว่างสมรส ซึ่งทรัพย์สินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ต้องบริหารจัดการร่วมกัน
Note : ของใช้สอย และเครื่องประดับส่วนตัว รวมถึงของใช้สำหรับประกอบอาชีพถือเป็นสินส่วนตัว แม้ว่าจะซื้อหลังจดทะเบียนสมรสก็ตาม และเมื่อใดที่การสมรสสิ้นสุดลง สินสมรสจะต้องถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ เมื่อสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปก่อหนี้ใด ๆ ขึ้น กฎหมายไม่ได้บอกว่าหนี้ที่ก่อขึ้นทั้งหมดนั้นจะต้องเป็นหนี้สินที่คู่สมรสต้องร่วมกันรับผิดชอบ มีเพียงหนี้ 4 ประเภทเท่านั้น ที่กฎหมายกำหนดให้คู่สมรสต้องรับผิดชอบร่วมกัน คือ
- หนี้เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ ซึ่งหนี้ที่ใช้ในการดูแลครอบครัวไม่ได้หมายถึงแค่ตัวสามีหรือภริยาเท่านั้น แต่รวมไปถึงบุคคลอื่นในครอบครัวด้วย เช่น บุตรเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปกู้เงินมาเพื่อใช้รักษาบุตร อีกฝ่ายหนึ่งต้องร่วมรับผิดชอบในหนี้จำนวนนั้นด้วย
- หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปกู้เงินมาซ่อมแซมบ้านที่เป็น ‘สินสมรส’ แบบนี้คู่สมรสต้องร่วมผิดชอบด้วย
- หนี้ที่เกิดขึ้นจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปกู้เงินมาสร้างตึกแถวเพื่อปล่อยเช่าในที่ดินของคู่สมรส แบบนี้ถือว่าเงินกู้เป็นหนี้ร่วมที่คู่สมรสต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
- หนี้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันว่าจะรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งการให้สัตยาบันนั้นจะทำด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินที่อีกฝ่ายไปกู้เงินมาใช้ส่วนตัว แบบนี้คู่สมรสต้องร่วมรับผิดในหนี้ด้วย
อำนาจการปกครองบุตร
หลังจากแต่งงานกันแล้ว แน่นอนว่าบางคู่ก็ต้องอยากมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจกันใช่มั้ยคะ ซึ่งก็ต้องมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกครองบุตรด้วยเช่นกัน สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับบุตร ทางกฎหมายระบุไว้ว่า บุตรไม่สามารถฟ้องร้องบุพการี ทั้งทางแพ่งและอาญาได้ ต้องให้พนักงานอัยการสั่งฟ้อง ซึ่งจะเรียกคดีนี้ว่า ‘คดีอุทลุม’ นั่นเองค่ะ โดยบุตรในทางกฎหมาย แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1.บุตรชอบด้วยกฎหมาย
คือ เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ส่วนเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของแม่ฝ่ายเดียว หากต้องการให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของพ่อด้วยนั้น ต้องทำ 3 สิ่ง ดังนี้
- พ่อแม่ต้องจดทะเบียนสมรสกัน
- พ่อต้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร และ
- ยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำพิพากษา
โดยบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะมีฐานะและมีสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ค่าเลี้ยงดู ค่าเล่าเรียน และสิทธิการรับมรดกในฐานะทายาท เป็นต้น
2.บุตรนอกกฎหมาย
คือ เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้จะมีการจัดงานแต่งเป็นที่รู้กันไปทั่ว หรืออยู่กินกันมานานหลายสิบปีก็ตาม ทางกฎหมายจะถือว่าเด็กที่เกิดมานั้น เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของแม่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น สิทธิที่บุตรนอกกฎหมายมีเหมือนกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย คือ มีสิทธิรับมรดกของแม่เท่านั้น ไม่สามารถรับมรดกของพ่อได้ เว้นแต่พ่อจะจดทะเบียนรับรองบุตรก่อน
3.บุตรบุญธรรม
คือ การจดทะเบียนรับลูกผู้อื่นมาเลี้ยงดูเป็นลูกของตนเอง โดยดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบุตรบุญธรรมที่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง จะมีฐานะและสิทธิเหมือนกับบุตรชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง โดยการรับบุตรบุญธรรมตามกฎหมายมีเงื่อนไข ดังนี้
- ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุมากกว่า 25 ปี และต้องแก่กว่าบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี
- หากผู้รับบุตรบุญธรรมมีคู่สมรส ต้องขออนุญาตและได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
- หากเด็กมีพ่อแม่อยู่แล้วต้องขออนุญาตพ่อแม่ของเด็กที่จะรับด้วย หรือหากเด็กไม่มีพ่อแม่ก็ขออนุญาตกับสถานรับเลี้ยงเด็กแทน
- กรณีที่รับบุตรบุญธรรมเด็กที่มี อายุ 15 ปี ขึ้นไป ต้องขออนุญาต และได้รับความยินยอมจากเด็กด้วย
- หลังจากที่รับบุญธรรมเด็กไปแล้ว ทางกฎหมายจะถือว่า พ่อแม่คนเดิมจะหมดสิทธิในการปกครองเด็กคนนี้ และสิทธิจะถูกโอนไปยังผู้รับบุตรบุญธรรมทันที
- กรณีที่พ่อแม่คนเดิมของเด็กเสียชีวิต เด็กก็ยังมีสิทธิได้รับมรดกจากพ่อแม่คนเดิม ในทางกลับกันหากผู้รับบุตรบุญธรรมเสียชีวิต เด็กก็มีสิทธิได้รับมรดกเช่นกัน
- กรณีที่เด็กเสียชีวิต ผู้รับบุตรบุญธรรมจะไม่มีสิทธิรับมรดกจากบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมได้ มรดกจะถูกตกทอดไปยังญาติของเด็กแทน เว้นแต่เด็กเขียนพินัยกรรมว่าจะมอบมรดกให้ผู้รับบุตรบุญธรรมจึงจะสามารถรับมรดกนั้นได้
- การรับบุตรบุญธรรม หรือการเลิกบุตรบุญธรรม จะต้องทำหนังสือและจดทะเบียน จึงจะถือว่ามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
กฎหมายมรดก
มรดก หรือกองมรดก ได้แก่ ทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่าง ๆ ของเจ้าของมรดก เมื่อถึงแก่ความตายมรดกเหล่านี้ก็จะตกทอดมาไปยังทายาททันที ยกเว้นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ จะไม่ตกทอดเป็นมรดก ทั้งนี้ ทางกฎหมายกำหนดไว้ว่า หากหนี้สินที่ส่งต่อมาให้ทายาท เกินกว่าทรัพย์สินที่ผู้ตายส่งมา ทายาทไม่ต้องชดใช้หนี้สินในส่วนที่เกินมรดกที่ได้รับ
เช่น พ่อแม่มีเงินอยู่ 10 ล้าน แต่มีหนี้ 12 ล้าน เมื่อทายาทรับมรดกมากลายเป็นว่ายังเหลือหนี้อยู่ 2 ล้าน แต่ทายาทไม่จำเป็นต้องชดใช้แทนในส่วนที่เกินมานั่นเอง
ทายาท
นอกเหนือจากทรัพย์สิน และหนี้สิน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมรดกแล้ว สิ่งที่น้องๆ จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับกฎหมายมรดกก็คือ ทายาท นั่นเองค่ะ เพราะทายาทเป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับมรดกเหล่านั้นโดยตรง แต่ก็จะมีเงื่อนไข และลำดับการรับมรดกที่ต่างกันออกไป โดยทายาทแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ทายาทโดยธรรม คือ ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมาย ได้แก่ คู่สมรส ที่จดทะเบียนสมรสเท่านั้น และญาติ 6 ลำดับ ประกอบไปด้วย
- ลำดับที่ 1 ผู้สืบสันดาน หมายถึง บุตร (บุตรชอบด้วยกฎหมาย บุตรนอกกฎหมาย และบุตรบุญธรรม) หลาน และเหลน
- ลำดับที่ 2 บิดามารดา
- ลำดับที่ 3 พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
- ลำดับที่ 4 พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดา
- ลำดับที่ 5 ปู่ ย่า ตา ยาย
- ลำดับที่ 6 ลุง ป้า น้า อา
แม้ว่าทายาทโดยธรรมจะมีถึง 6 ลำดับด้วยกัน แต่ไม่ใช่ว่าทุกลำดับจะมีสิทธิได้รับมรดกพร้อมกัน การรับมรดกจะใช้หลัก “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” คือ การรับมรดกจะเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง ญาติที่อยู่ในลำดับก่อน (ลำดับ 1-2) จะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนเสมอ ตามหลักแล้ว คู่สมรส บุตร และบิดามารดา จะได้รับมรดกของผู้ตายเท่าเทียมกันเสมอ* ส่วนญาติที่อยู่ลำดับถัดมาจะมีสิทธิได้รับมรดกต่อเมื่อไม่มีญาติลำดับก่อนหน้าทีละขั้น เช่น
กรณีที่ 1 : ญาติลำดับที่ 3 จะได้รับมรดกเมื่อผู้ตายไม่มีญาติลำดับที่ 1 และ 2
กรณีที่ 2 : ญาติลำดับที่ 4 จะได้รับมรดกเมื่อผู้ตายไม่มีญาติลำดับที่ 1 2 และ 3
กรณีที่ 3 : หากผู้ตายไม่มีญาติลำดับที่ 1 แต่ยังมีญาติลำดับที่ 2 อยู่ มรดกก็จะตกเป็นของญาติลำดับที่ 2 ทั้งหมด ลำดับที่เหลือจะไม่ได้อะไรเลย
กรณีที่ 4 : หากผู้ตายไม่มีคู่สมรส และญาติทั้ง 6 ลำดับ มรดกจะตกเป็นของแผ่นดินทั้งหมด
Trick จำ การรับมรดก : 1 2 มีชีวิต 3-6 อดหมด / 1 2 ไม่มีชีวิต 3-6 ได้ทีละขั้น
- ทายาทโดยพินัยกรรม คือ ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกตามที่พินัยกรรมระบุไว้ แล้วแต่ผู้ตายจะตั้งใจยกมรดกให้ใครบ้าง ซึ่งทายาทโดยพินัยกรรมเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติก็ได้ และหากผู้ตายยกมรดกให้กับทายาทตามพินัยกรรมทั้งหมด ทายาทโดยธรรมก็จะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย
การคำนวณมรดก
ก่อนจะแบ่งมรดกอย่างเป็นการ สิ่งที่ต้องทำมี 3 ขั้นตอน ดังนี้
1.เช็ก - เช็กดูว่าผู้ตายมีพินัยกรรมหรือไม่ ถ้ามีให้ยึดการรับมรดกตามทายาทโดยพินัยกรรม ในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรมก็จะยึดตามทายาทโดยธรรม
2.คำนวณกองมรดก - ให้ดูว่าผู้ตายทิ้งทรัพย์สินไว้จำนวนเท่าไหร่ โดยมีวิธีการคิดกองมรดก คือ [สินส่วนตัว + (สินสมรส/2) = กองมรดก] เหตุผลที่ต้องนำสินสมรสมาหาร 2 เพราะว่ามันคือทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา ดังนั้น เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งจะต้องคืนให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก่อน ส่วนอีกครึ่งจะถูกนำมารวมในกองมรดก
3.หารกองมรดก - หลังจากที่ได้กองมรดกเรียบร้อยก็ทำการหารมรดกตามจำนวนเท่าๆ กัน โดยแบ่งตามญาติ 6 ลำดับ
กรณีตัวอย่าง เรื่องการแบ่งมรดก
การทำโจทย์เรื่องการแบ่งมรดก น้องๆ ต้องสังเกตให้ดีว่าในโจทย์ให้ข้อมูลอะไรมาบ้าง บางโจทย์อาจจะให้กองมรดกที่สามารถนำมาหารตามจำนวนคนได้เลย แต่ถ้าไม่มีกองมรดกก็ต้องดูว่า โจทย์กำหนดสินส่วนตัว และสินสมรส มาเท่าไหร่ หลังจากนั้นให้นำมาคิดตามสูตรการคำนวณมรดก แล้วค่อยนำมาหารจำนวนคนที่จะได้รับ ซึ่งวันนี้พี่แป้งมีกรณีตัวอย่างมาให้น้องๆ ได้ทำความเข้าใจไปทั้งหมด 3 กรณี มาดูไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
ตัวอย่างที่ 1
โจทย์ : นาย ก และนาง ข เป็นสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย โดยพ่อแม่ของทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ และทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน ก่อนแต่งงาน นาย ก มีเงิน 10,000 บาท นาง ข มีเงิน 20,000 บาท หลังจดทะเบียนทั้งคู่มีสินสมรสร่วมกัน 20,000 บาท จากโจทย์หาก นาง ข เสียชีวิต ใครจะได้รับมรดกบ้าง และแต่ละคนจะได้รับมรดกเท่าไหร่
วิธีคำนวณ : ให้น้องๆ นำสินสมรส 20,000 บาท มาหาร 2 จะได้ 10,000 บาท โดยที่ 10,000 บาทแรก จะถูกคืนให้กับ นาย ก ไปก่อน หลังจากนั้นอีก 10,000 บาทที่เหลือจะถูกนำมาคิดรวมกับสินส่วนตัวของ นาง ข ตามสูตร
สินส่วนตัว + (สินสมรส/2) = กองมรดก
20,000 + (20,000/2) = 30,000
จากโจทย์จะเห็นว่า ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ดังนั้น มรดกจะถูกแบ่งให้ทายาทโดยธรรม นั่นคือ คู่สมรส และญาติ 6 ลำดับ ซึ่งถ้าเรียงตามลำดับจากโจทย์ ลำดับแรกที่จะได้มรดกคือ ลูกทั้ง 3 คน ลำดับที่ 2 ก็คือ พ่อแม่ของผู้ตาย นั่นหมายความว่า จะมีผู้ได้รับมรดกจำนวน 6 คน ได้แก่ นาย ก, ลูก 3 คน และพ่อแม่ของ นาง ข หลังจากรู้จำนวนคนแล้วก็ให้นำ กองมรดก/จำนวนคน ก็จะได้รับมรดกคนละ 30,000/6 = 5,000 บาท
ตัวอย่างที่ 2
โจทย์ : นาย ก และนาง ข เป็นสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย โดยพ่อแม่ของทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ และทั้งคู่มีลูกชายด้วยกัน 2 คน คือ นาย ค และนาย ง โดย นาย ค และ นาย ง ก็ได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และยังมีลูกอีก คนละ 1 คน ด้วยกัน วันหนึ่ง นาย ค เสียชีวิต โดยที่เขาทิ้งเงินไว้ทั้งหมด 4,000,000 บาท จากโจทย์ใครจะได้รับมรดกบ้าง และแต่ละคนจะได้รับมรดกเท่าไหร่
วิธีคำนวณ : จำนวนเงิน 4,000,000 บาท ในข้อนี้ถูกจัดว่าเป็นกองมรดก จากโจทย์จะเห็นว่า ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ดังนั้น มรดกจะถูกแบ่งให้ทายาทโดยธรรม นั่นคือ คู่สมรส และญาติ 6 ลำดับ ซึ่งถ้าเรียงตามลำดับจากโจทย์ ลำดับแรกที่จะได้มรดกคือ ลูก ลำดับที่ 2 ก็คือ พ่อแม่ นั่นหมายความว่า จะมีผู้ได้รับมรดกจำนวน 4 คน ได้แก่ คู่สมรส นาย ค, ลูก และพ่อแม่ (นาย ก และนาง ข) ส่วน นาย ง ที่เป็นน้องชายจะไม่ได้มรดกเพราะถือเป็นญาติลำดับที่ 3 นั่นเองค่ะ หลังจากรู้จำนวนคนแล้วก็ให้นำ กองมรดก/จำนวนคน ก็จะได้รับมรดกคนละ 4,000,000/4 = 1,000,000 บาท
ตัวอย่างที่ 3
โจทย์ : นาย ก และนาง ข เป็นสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย โดยพ่อแม่ของนาย ก ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน แต่นาย ก มีภรรยาน้อยอีกคน คือ นาง ค ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และทั้งคู่ยังมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน วันหนึ่ง นาย ก เสียชีวิต โดยที่เขาทิ้งเงินไว้ทั้งหมด 10,000,000 บาท จากโจทย์ใครจะได้รับมรดกบ้าง และแต่ละคนจะได้รับมรดกเท่าไหร่
วิธีคำนวณ : จำนวนเงิน 10,000,000 บาท ในข้อนี้ถูกจัดว่าเป็นกองมรดก จากโจทย์จะเห็นว่า ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ดังนั้น มรดกจะถูกแบ่งให้ทายาทโดยธรรม นั่นคือ คู่สมรส และญาติ 6 ลำดับ ซึ่งถ้าเรียงตามลำดับจากโจทย์ ลำดับแรกที่จะได้มรดกคือ ลูกชาย และลูกสาว เหตุผลที่ลูกสาวได้เพราะถือว่าเป็นบุตรนอกกฎหมาย ส่วนลำดับที่ 2 ก็คือ พ่อแม่ นั่นหมายความว่า จะมีผู้ได้รับมรดกจำนวน 5 คน ได้แก่ นาง ข, ลูกชาย (ตามกฎหมาย), ลูกสาว (นอกกฎหมาย) และพ่อแม่ ส่วนคนที่จะไม่ได้รับมรดกมีเพียง 1 คน ก็คือ นาง ค เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรสนั่นเองค่ะ หลังจากรู้จำนวนคนแล้วก็ให้นำ กองมรดก/จำนวนคน ก็จะได้รับมรดกคนละ 10,000,000/5 = 2,000,000 บาท
มาทดสอบความรู้กัน!
ในวันวันนี้เรามาลองทำข้อสอบเรื่องกฎหมายครอบครัว จากข้อสอบ A-level วิชาสังคมศึกษา จากโครงการ Dek-D Pre-Admission รอบ ธันวาคม 2564 และตัวอย่างแนวข้อสอบสังคม
1.พิจารณาข้อความเกี่ยวกับกฎหมายการหมั้นและการสมรสดังต่อไปนี้ ข้อความใดต่อไปนี้ไม่ถูกต้อง (ข้อสอบ A-level วิชาสังคมศึกษา จากโครงการ Dek-D Pre-Admission รอบ ธันวาคม 2564)
1) การหมั้นคือการที่ชายและหญิงทำสัญญาว่าจะสมรสกัน แต่ไม่สามารถถือเอาเหตุหมั้นมาเป็นเหตุบังคับให้สมรสได้
2) ผู้เยาว์ที่จะสมรสจะต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาเสียก่อน แต่หากไม่ได้เป็นผู้เยาว์แล้วนั้นก็สามารถสมรสกันเองได้
3) การสมรสจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อชายและหญิงได้จัดงานฉลองมงคลสมรสเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน
4) ในกรณีที่ฝ่ายชายเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ฝ่ายชายไม่สามารถเรียกร้องเอาของหมั้นคืนจากฝ่ายหญิงได้
5) ทรัพย์สินที่ได้มาโดยพินัยกรรมที่ระบุว่าเป็นสินสมรสจะถือว่าเป็นสินสมรสทันที
_______________________________________________
2. ทรัพย์สินในข้อใดหากได้มาในระหว่างสมรสถือได้ว่าเป็นสินสมรส (แนวข้อสอบสังคมศึกษา)
1) อุปกรณ์ทำงาน
2) ดอกเบี้ยเงินฝาก
3) เงินที่ได้รับจากมรดก
4) ของหมั้น
_______________________________________________
3. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทายาทโดยธรรมอันดับแรกคือใคร (แนวข้อสอบสังคมศึกษา)
1) บิดา มารดา
2) ผู้สืบสันดาน
3) ปู่ ย่า ตา ยาย
4) ลุง ป้า น้า อา
น้องๆ ชาว Dek-D คิดว่า คำตอบข้อไหนไม่ถูกต้องคะ ลองคอมเมนต์คุยกันด้านล่างได้เลยค่ะ !
สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ บทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ หรือถ้าน้องๆ มีเรื่องราวน่าสนใจเรื่องไหน ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!
ข้อมูลจากhttp://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW104(49)/LW104(49)-2-3.pdfhttps://ratchakitcha.soc.go.th/documents/36482.pdf
1 ความคิดเห็น
1.3 2.2 3.2