ทุนน่ารักแต่ลึกลับ! เปิดสตอรี่ฉบับพี่สาวคณะ Bio ที่ไทย → ไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส → ทำวิจัยในแล็บ MIT → ติดทุนวิจัยที่เดนมาร์ก

สวัสดีค่ะชาว Dek-D เราเชื่อว่าทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้ ล้วนแต่มีความฝันหรือความสนใจเรื่องใดแบบจริงจัง  ลองจินตนาการว่าถ้าเกิดเราเดินเจอมุมลับที่คนไม่ค่อยรู้ แต่ทำให้ให้เดินลัดเลาะเข้าใกล้สิ่งนั้นมากขึ้น หรือมีหลายเรื่องบังเอิญในชีวิตพาเรามาเผชิญกับโอกาสทองแบบจริงๆ จังๆ ในเวลานั้นเราน่าจะตั้งรับได้ทันหรือไม่?

วันนี้เรามีเรื่องราวการเรียนและค้นหาตัวเองของ "พี่ฝ้าย" นักเรียนเก่า รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ เรียนจบ ป.ตรี Biology และโท Biomedical Engineering ที่จุฬาฯ และปัจจุบันกำลังลุยงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยในเดนมาร์ก  บนเส้นทางการเรียนที่แสนยาวนานนี้  แทบทุกช่วงชีวิตสอดไส้ด้วยประสบการณ์คุณภาพพาร์ตย่อยอีกเพียบ  ไม่ว่าจะเป็น

  • ป.ตรี จบจากภาคชีววิทยา คณะวิทย์จุฬาฯ ระหว่างเรียนได้ไปแลกเปลี่ยนสาขา  Bioinformatics ที่ประเทศฝรั่งเศส
  • ป.โท จบจากสาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ หรือ วิศวกรรมชีวเวช (Biomedical Engineering) *มีช่วงที่ดร็อปไปทำวิจัยที่แล็บ MIT อเมริกาเพราะได้ทุนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาฯ
  • ปัจจุบันเป็นนักเรียนทุนกึ่งวิจัย ENHPATHY ทำวิจัย ป.เอกปีสุดท้ายที่ University of Copenhagen มหาวิทยาลัยในเดนมาร์ก กำลังพยายาม wrap up เพื่อปิดจบ Thesis ทำแล้วเขียนวิจัยเพื่อตีพิมพ์

หลังจากพูดคุยแล้วก็เข้าใจเลยว่า ความโชคดีเป็นแค่อนุภาคเล็กๆ  เท่านั้น เพราะเธอได้ความพยายามค้นหาบานประตูใหม่ๆ และเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ เตรียมยังไงบ้าง?  เจอโอกาสที่ไหน? ไปฟังเรื่องราวของพี่ฝ้ายกันเลยค่ะ!

ทำแล็บที่ MIT
ทำแล็บที่ MIT

. . . . . . . 

Part I
ค่อยๆ เจอตัวเองทีละนิด
ในรั้วโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

ต้องเล่าย้อนไปถึงตอนเรียน ม.ต้น เลยค่ะ พี่ได้ไปเข้าค่ายที่ MWIT ทุกปิดเทอม ทำให้ได้ฝึกเรียนรู้จากการตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว เช่น ทำไมใบไม้ถึงเปลี่ยนสี เป็นต้น แล้วสมัยนั้นยังไม่มี Google พี่ต้องเข้าห้องสมุดไปหาคำตอบ ทำโครงงาน เห็นการประยุกต์ใช้ที่ชัดเจน ทำให้ค้นพบว่าวิทย์สนุกและเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากๆ

พอ ม.ปลาย พี่เรียนต่อที่ MWIT เรามั่นใจแล้วว่าตัวเองชอบการคิดค้น ทำวิจัย อยากริเริ่มทำอะไรสักอย่าง บวกกับหลักสูตรทำให้เราไปปลดล็อกบางสกิลเพิ่ม เช่น วิชาเขียนโปรแกรม ​(Coding) ทำให้เข้าใจตรรกะการทำงานของคอมพิวเตอร์  กับวิชาภาษาที่สามที่โรงเรียนกำหนดว่าเราต้องเลือกเรียนเป็นระยะเวลา 1 เทอม พี่ก็เลยลงวิชาภาษาฝรั่งเศสตามเพื่อน  และได้ข้อมูลจากอาจารย์ว่าค่าเรียนมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศสไม่ได้สูงเกินไป และเรายังมีโอกาสได้ทุนช่วยค่าเรียนบางส่วนหรือทุนเต็มจำนวนด้วย

ตอนนั้นพี่ลองยื่นสมัคร ป.ตรี สาขา Biotechnology ที่มหาวิทยาลัยของฝรั่งเศส และได้ตอบรับเข้าเรียนด้วย แต่ยังมีข้อจำกัดหลายเรื่อง ก็เลยเข้าเรียน ป.ตรี คณะวิทย์จุฬาฯ ในเวลาต่อมาค่ะ

ภาพพี่ฝ้ายกับครอบครัวตอนรับปริญญา ป.โท
ภาพพี่ฝ้ายกับครอบครัวตอนรับปริญญา ป.โท

. . . . . . . 

PART II
เรียน ป.ตรี คณะวิทย์ที่จุฬาฯ
คว้าทุนไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส 1 ปี

"ถึงพี่จะเรียนต่อ ป.ตรี ที่ไทย แต่ยังหาโอกาสไปต่างประเทศตลอด  พยายามหาข้อมูลว่าสาขาไหนที่สามารถประยุกต์ชีวะกับคอมพ์ได้ พอเสิร์ช Bio + Computer ก็มาเจอชื่อสาขา Bioinformatics  ตอนนั้นถือเป็นเรื่องใหม่ คนยังไม่ค่อยรู้จัก"

ตอนปี 3 อยากลงวิชานอกภาค นอกเหนือจากชีววิทยาบ้าง เลยมีโอกาสไปเรียนวิชาชื่อ Differential Equation (สมการเชิงอนุพันธ์) เรียนแบบฉายเดี่ยวเลยค่าา 555 และวิชานี้ก็ทำให้ได้รู้จักกับอาจารย์ภาคคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งจบจาก Bioinformatics จากเยอรมนีมาสดๆ ร้อนๆ กำลังทำโพรเจ็กต์ Bioinformatics เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้เรียนรู้การเขียนโปรแกรมเพิ่มเติม ค่อยๆ เก็บสะสมมาเรื่อยๆ

ตัดภาพมาที่ชีวิตแต่ละวันของพี่ ตั้งแจ้งเตือน Facebook Group ที่แชร์ข่าวทุนการศึกษาจากทั่วโลกแล้วเปิดดูทุกโพสต์ จำได้ว่าพี่มีเข้าหน้าโปรแกรมค้นหาทุนของ Dek-D มาตลอด 2-3 ปี 

จนกระทั่งวันนึง พี่มาเจอประกาศนึงที่สั้นมากกก ซึ่งก็คือโครงการทุน Erasmus Mundus scholarship “TECHNO Project” ที่ให้ไปแลกเปลี่ยนในยุโรปกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขามีลิงก์ให้กดอ่านรายละเอียด แต่ข้อมูลน้อยมากจริงๆ จับได้แค่คีย์เวิร์ดว่า Bachelor Degree / Full-Funded Scholarships  หนึ่งในโปรแกรมที่สามารถเลือกได้คือ Bioinformatics ของ University of Toulouse III  ประเทศฝรั่งเศส 

(ไม่คิดไม่ฝันเลยค่ะว่าจะมีทุกอย่างตรงใจเหมือนจับวาง!) แต่อย่างที่บอก พี่ไม่เจอรายละเอียดอะไรอีกนอกจากส่งเอกสารอะไรที่ไหนบ้าง ก็เลยเดินไปสำนักบริหารวิรัชกิจและเครือข่ายนานาชาติ ที่เขาดูแลเรื่องต่างประเทศของคณะ เขาก็ให้เราไปติดต่อคณะวิศวะฯ และก็รู้มาว่าเป็นความร่วมมือ (MOU) แต่ไม่ได้มีรายละเอียดที่ชัดเจน  จากนั้นเขาลองให้ข้อมูลติดต่อของคนที่น่าจะเคยเข้าร่วมโครงการฯ เป็นพี่ ป.เอก ที่อาจารย์เคยส่งไปทำวิจัยกับอาจารย์ของอาจารย์อีกที และเด็ก ป.ตรี อีกคนนึง แต่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเพราะเป็นคนละส่วนกับที่เราสมัคร TT 

ถึงจะมีข้อมูลแค่นั้น แต่พี่ตัดสินใจเริ่มเตรียมเอกสาร ทำ CV และ Cover Letter (กรณีสมัครทุนยุโรปจะต้องใช้รูปแบบ Europass)  พยายามคิดประโยคเปิดเรื่อง ไปสอบ IELTS แบบกระชั้นมากๆ  แล้วก็ Submit เอกสารให้ทันก่อนหมดเขต 

สรุปพี่ว่า Erasmus+ เป็นทุนที่น่ารักแต่ลึกลับ ข้อมูลเปลี่ยนเรื่อยๆ ต้องดูแบบปีต่อปีเลยว่าโปรแกรมแลกเปลี่ยนไหนจะเปิดรับสมัครบ้าง (เปิดตามวัตถุประสงค์ ณ ตอนนั้น) แต่ข้อดีคือเดี๋ยวนี้ข้อมูลเข้าถึงง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยค่ะ

ภาพแคมปัสมหา'ลัยที่ตูลูส (หอพัก)
ภาพแคมปัสมหา'ลัยที่ตูลูส (หอพัก)

รีวิวชีวิตนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ตูลูส
ปรับตัวยังไง เรียนอะไรบ้าง?

 Université Toulouse III จะมีหลักสูตร ป.ตรี Biology กับ ป.โท Bioinformatics   โดยทั่วไปการเรียน ป.ตรี ที่ประเทศฝรั่งเศสจะใช้เวลา 3 ปี นับตามนี้ ซึ่งตอนพี่ไปแลกเปลี่ยนคือกำลังจะขึ้นปี 4 ทำให้เขาตัดเราไปเรียนกับ ป.โท ปี 1 สาขา Bioinformatics 

ตอนนั้นพี่ไปพร้อมกับคะแนน IELTS 5.5 กับคะแนนภาษาฝรั่งเศส เคยสอบได้ A1 เป็นระดับพื้นฐานที่พอให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ส่วนในมหา'ลัยเขาจะพอพูดภาษาอังกฤษกับเราได้ แค่ยากเรื่องระบบกับเวลาติดต่อเจ้าหน้าที่ เราอาจจะต้องขอให้เขาช่วยพูดภาษาฝรั่งเศสช้าๆ  ส่วนเราก็ตอบกลับช้าๆ เป็นภาษาอังกฤษ

และด้วยความที่มาแลกเปลี่ยน เงื่อนไขคือต้องเรียนครบหน่วยกิต (ECTS)  ที่กำหนด แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะลงวิชาไหนบ้าง แล้วเข้าไปคุยกับเลขานุการของหลักสูตรค่ะ

ใน 3 วิชาที่พี่ลงสอนเป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด

  1. Introduction to Cell Biology, Molecular Biology, and Bioanalysis คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคำเฉพาะภาษาฝรั่งเศสค่อนข้างเยอะ! ยังดีที่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อนก็เลยพอจะอ่านเปเปอร์ที่อาจารย์กำหนดได้ (ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ) แต่จะ join ดิสคัสไม่ค่อยได้ค่ะ ส่วนตัวชอบตรงที่เรียน 3 ครั้ง/สัปดาห์ แบ่งสัดส่วนเป็นเลกเชอร์ 2 ครั้ง และอภิปราย 1 ครั้ง เราจะได้อัปเดตข่าวในวงการนี้ไปในตัว
  2. Programming for Bioinformatics พี่พอมีพื้นฐานภาษา C (เรียนที่มหา’ลัยตอนอยู่ไทย) และ R (เรียนเอง) พอมาแลกเปลี่ยนเจอภาษา Python เรียนระดับพื้นฐาน
  3. Biological Data Processing วิชาเรียนเป็นภาษาฝรั่งเศสค่ะ กึ่งๆ เรียนรู้เรื่องกับไม่รู้เรื่อง 5555 เนื้อหาเจาะเรื่องสถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล น่าจะใกล้เคียง Bio Stat ของฝั่งไทย แต่สอนเน้นการประยุกต์ใช้

ค่อนข้างท้าทายมาก พี่ตั้งใจจะไปเรียนเอาความรู้ด้านที่สนใจ ไปพร้อมกับพื้นฐานภาษาฝรั่งเศสแบบงูๆ ปลาๆ  ดังนั้นวิชาที่สอนเป็นภาษาฝรั่งเศสก็เข้าใจแค่ประมาณ 30%  ต้องอาศัยขอยืมเลกเชอร์เพื่อนที่เขาจดในคอมพ์ฯ แล้วตามไป Google Translate  แบบคำต่อคำ ค่อยๆ ทำความเข้าใจและทบทวนเนื้อหาจนผ่านมาได้ ส่วนการสอบเราอาศัยท่องจำเพื่อเอาตัวรอดค่ะ 

แล้วก็จะมีเรื่องยิบย่อยอีกนะคะ เช่น

  • คนฝรั่งเศสมีวิธีเขียนเลข 1 ที่เหมือนกันทั้งประเทศ แต่ไม่เหมือนชาติไหนเลยค่าา ตอนแรกพี่ยังไม่ชินก็จ้องแล้วจ้องอีกว่าเป็นเลขหรือตัวอักษรอะไรกันแน่ 5555
  • ในวิชาที่เรียนเป็นภาษาฝรั่งเศส จะมีวิธีการอ่านคำภาษาอังกฤษสไตล์ฝรั่งเศส เช่น ‘MAP Kinases’ ที่ย่อมาจากคำว่า Mitogen-Activated Protein Kinases และเขียนย่อว่า MAPKs จริงๆ MAPKs คือโปรตีนที่ common มากกก ต้องผ่านหูผ่านตากันบ่อยแน่นอน แต่คำนี้ในภาษาอังกฤษอ่านออกเสียงว่า /แม็พไคเนส/ ส่วนฝรั่งเศสอ่านออกเสียง /แมปกินาซ/  

    เชื่อไหมว่าพี่เรียน Cell Biology ไปพักใหญ่ถึงจะ เฮ้ยยยย แมปกีนาซมันคือคำนี้เหรอ!!! ตอนรู้คือรีบโทรบอกเพื่อนเลยค่ะ ปลดล็อกสุดๆ

สรุปว่าการเรียน ป.ตรี ของพี่ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี จบช้ากว่าเพื่อน แต่เป็นประสบการณ์ที่เลือกแล้วไม่ผิดหวัง หลังจากกลับไทยมาพี่ทำ Project เกี่ยวกับ Bioinformatics  ต่อเลยค่ะ

ชีวิตตลอด 6 เดือนนั้น ได้เที่ยวทุกเดือนเพราะเป็นการแลกเปลี่ยน ตารางเลยไม่ได้แน่น ตัวอย่างเมืองที่ไปแล้วชอบมากๆ คือ เมืองบูดาเปสต์ (Budapest, Hungary), เมืองบรูช (Bruges, Belgium) เป็นเมืองท่าเก่าของเบลเยียม มิวเซียมหลักของเมืองเป็นแบบ Interactive Museum, เมืองนีซ (Nice, France) หรือ เมืองชาโมนี (Chamonix, France) ที่ตั้งของเทือกเขาแอลป์ อยู่ตรงพรมแดนระหว่างฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้าขึ้นจากฝรั่งเศสจากสวยกว่า ซึ่งก็ขึ้นจากเมืองนี้เลย ให้ฟีลเหมือนขึ้นลิฟต์  ถ้าใครจะไปลองเสิร์ชดูข้อมูลได้ค่า

เดินเล่นริมคลอง Canal du Midi
เดินเล่นริมคลอง Canal du Midi

. . . . . . . 

Part III
เรียน ป.โท BioMed Engineering ที่จุฬาฯ
คว้าโอกาสไปทำแล็บที่ MIT อเมริกา

พี่เรียนต่อหลักสูตรวิศวกรรมชีวเวช (Biomedical Engineering) ซึ่งของจุฬาฯ เปิดสอนระดับ ป.โท และ ป.เอก ประยุกต์วิศวะทุกสาขาเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์เข้าด้วยกัน แต่ละคนก็จะเข้ามาด้วยความถนัดเฉพาะแต่ละทาง และทางหลักสูตรก็จะจัดที่ปรึกษาให้เราเป็นฝั่งวิศวะ 1 คน + สายการแพทย์ 1 คน

ขอบเขตวิจัย แบ่งออกเป็น 6 สาขาย่อย

  1. Tissue Engineering & Drug delivery system
  2. Biosensor & Medical Instrument
  3. Medical Imaging
  4. Rehabilitation Engineering
  5. Bioinformatics **พี่ทำวิจัยเรื่องนี้
  6. Biomechanics

ช่วง ป.โท พี่ทำวิจัยเกี่ยวกับโมเดลคอมพิวเตอร์ที่ทำนายว่าโปรตีนกับ RNA ตัวไหนจับกันบ้าง เป็นการประยุกต์กับ Informatics  แล้วพอดีมีทุนเข้ามาช่วงตอน ป.โท ปี 2 ทางด้าน Drug Delivery ซึ่งจริงๆไม่ได้เป็นสายที่ทำงานวิจัยอยู่ แต่คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ และได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ในหลักสูตร เลยลุยสมัครแล้วก็ได้รับเลือกให้ได้รับทุนเต็มจำนวนของคณะเพื่อเข้าไปทำวิจัยที่ Langer Lab  ภายใต้ Massachusetts Institute of Technology (MIT) 

ตอนนั้นพี่ตัดสินใจดร็อปธีสิส 1 ปี ไปเจอประสบการณ์ทำแล็บที่ทรัพยากรพร้อมมากกก และเจอสังคมที่เป็น Multicultural และ Multi-Skills แต่ละคนถนัดสายวิศวะเครื่องกล วิศวะไฟฟ้า เภสัช สายคอม​ หมอ ฯลฯ  ทำให้พี่ตกผลึกได้ว่า 1 คน ไม่จำเป็นต้องเก่งทุกด้าน ขอแค่สื่อสารกับทุกคนได้ และใช้ความถนัดที่ตัวเองมีเพื่อมาแก้ปัญหาร่วมกัน  

Langer Lab ก่อตั้งโดย Prof. Robert Langer ผู้ได้รับยกย่องเป็นบิดาแห่ง Drug Delivery System เนื่องจากสามารถประยุกต์ความรู้วิศวะเคมีและวัสดุศาสตร์ เพื่อออกแบบคุณสมบัติให้นำส่งยาไปยังจุดที่ต้องการได้ พาร์ตที่พี่เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำวิจัยคือ  Machine Learning, Pharmacoinformatics และ Biomaterials

Note: Drug Delivery System สรุปง่ายๆ คือเกี่ยวกับการออกแบบการทำงานของยาว่า ทำยังไงให้ยาที่ฉีดหรือกินเข้าร่างกาย เข้าไปทำงานในจุดที่ต้องการ ในระยะเวลา และขนาดยาที่เหมาะสม

อย่างที่่บางคนสงสัยว่า "ทำไมเวลาปวดหัวแล้วกินยา ยาถึงรู้ว่าต้องวิ่งไประงับอาการส่วนไหน" จริงๆ สารเคมีมันไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น มันแค่ไหลไปตามระบบเลือดทุกที่ของร่างกาย การที่หายปวดหัวได้เพราะตัวยาไปจับกับ “หน่วยรับความรู้สึก” (receptor) กับบริเวณที่ปวด ถ้าปวดบริเวณอื่นที่มีหน่วยรับความรู้สึกเดียวกันด้วยก็หายทั้งหมด
 

หรืออีกตัวอย่างนึงคือการพัฒนายาในรูปแบบ Origami เวลากลืน ยาจะไปบานออกไปในกระเพาะอาหาร เกาะที่กระเพาะและค่อยๆ release ใช้ความรู้ Materials เช่น วัสดุไหนละลายก่อน ก็จะปล่อยยาออกมาก่อน Layer นึง แล้ว Layer ชั้นถัดมาจะถูกปล่อยออกมาในปริมาณและบริเวณที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การกินยาจะทำให้ระดับยาให้เลือดสูงก่อน แล้วค่อยๆ ลดลงมา (ไม่สม่ำเสมอ) แต่ยารักษาบางโรคจะต้องการความสม่ำเสมอ

หัวข้อที่ Langer Lab วิจัยกันนานมากตั้งแต่ก่อนช่วงโควิด-19 ก็คือเรื่องการนำส่งสารพันธุกรรม  (RNA/DNA) ทีนี้ตัวตัวสารพันธุกรรมเหล่านี้ เมื่อถูกส่งเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไม่เสถียร ทำให้ต้องสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างเพื่อช่วยป้องกัน เช่น เอาโปรตีนบางตัวไปคลุมไว้ โดยที่สารพันธุกรรมเหล่านี้สามารถทำหน้าที่ที่ถูกออกแบบไว้ (เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ mRNA vaccines)

งานประชุมวิชาการ
งานประชุมวิชาการ
(ซ้าย) ไปเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ขวา) เข้าร่วม Boston Half Marathon
(ซ้าย) ไปเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ขวา) เข้าร่วม Boston Half Marathon

. . . . . . . 

Part IV
สมัครทุน ENHPATHY
เรียนและวิจัย ป.เอกที่เดนมาร์ก

รู้จักทุน ENHPATHY  คร่าวๆ ก่อน

ทุน ENHPATHY เป็นกึ่งทุนวิจัย ตอนเปิดรับสมัครเขาจะมีเครือข่ายอาจารย์ทั้งหมด 15 คน ที่มีหัวข้อวิจัยของตัวเองและเงินทุน แล้วต้องการเปิดรับสมัคร PhD โพรเจ็กต์ละ 1 คน (15 โพรเจ็กต์ 15 คน) โครงการจะคัดผู้สมัครจากทั่วโลกเหลือ 30 คน อาจารย์ก็จะดูว่าต้องการสัมภาษณ์ผู้สมัครคนไหนบ้าง หลังจากนั้นเราจะได้ offer จากอาจารย์ที่เราสัมภาษณ์ด้วย แล้วเราก็เลือกโพรเจ็กต์ที่เราสนใจที่สุด

ทีนี้ ประเทศในยุโรปนิยมใช้แพลตฟอร์ม Twitter (X)  เป็นแหล่งประชาสัมพันธ์งานวิจัย เปิดโพรเจ็กต์และหานักศึกษามาร่วมงานด้วย พี่เองเคย Follow ทวิตของอาจารย์คนนึงไว้ แล้วเขาแชร์ทุน  ENHPATHY พี่ก็เลยรู้จักและตัดสินใจลองสมัครไปค่ะ ปัจจุบันพี่กำลังทำวิจัย ป.เอก สาขา  Bioinformatics ที่ University of Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก ไปด้วย PhD Visa กึ่งลูกจ้างกึ่งนักเรียนของมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ เป็นเหมือน Co-Worker ไม่ได้เปิดรับสมัครรอบๆ แต่ละคนอยู่คนละ Process ทำให้ช่วง ป.เอก พี่ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนใหม่ๆ

โดยรวมการเรียน ป.เอก ก็แน่นอนเลย เครียด! จริงๆ ก็พอรู้สไตล์การทำงานที่ต้องเจออยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือทำงานกับใคร แล้ววิธีทำงานไปด้วยกันไหมมากกว่า  อย่างตอน ป.โท พี่กับอาจารย์จะคิดทุกอย่างไปทางเดียวกันจนดูราบรื่นเหมือนเป็นอุดมคติ ในขณะที่อาจารย์ที่ปรึกษา ป.เอก ของพี่เป็นคนสวีเดน เขาน่ารักและเก่งมากๆ เปิดกว้างถ้าเราเป้าหมายชัด เตรียมตัวดี และวางแผนไว้อย่างเป็นระบบ เพียงแต่สไตล์การทำงานกับวิธีคิดอาจแตกต่างกันบ้าง เช่น เราทำวิธี 1-2-3-4 ส่วนอาจารย์ทำแบบ 4-3-2-1  แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งเราและอาจารย์พยายามปรับเข้าหากันตลอด  และเขาก็พยายามเราซัปพอร์ตเราเต็มที่ค่ะ 

“ตอบคำถามให้ได้ว่าตัวเองจะเรียนเพราะอะไร”   

การเรียน ป.เอก ต้องมีเป้าหมายชัดเพื่อให้มีสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจ ถ้าวันไหนที่ดิ่งจะได้ตอบตัวเองได้ว่าเราสู้เพื่ออะไร ยิ่งรู้ตัวเองเร็วยิ่งดี  อย่างของพี่เอง เรียน ป.เอก เพราะอยากสอน และอยากทำวิจัยกับเพื่อนๆ ที่ทำวิจัยอยู่ในหลายๆ สาขาวิชาค่ะ

 

เว็บโครงการ ENHPATHY
นำเสนอผลงานตอน ป.เอก
นำเสนอผลงานตอน ป.เอก
งานเลี้ยงหลังประชุมวิชาการตอนป.เอก
งานเลี้ยงหลังประชุมวิชาการตอนป.เอก

#รีวิวเดนมาร์ก จากประสบการณ์ส่วนตัว**

  1. ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) ทางตอนเหนือสุดของยุโรป สังคมค่อนข้างปิด และเป็นรัฐสวัสดิการเต็มตัว ดังนั้นต้องใช้งบเยอะเพื่อซัปพอร์ตประชาชน อัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็เลยสูงถึง 20% และหากไม่มีลดหย่อนก็อาจเสียภาษีเงินได้ 50% บวกลบขึ้นอยู่กับประเภทย่อยๆ
     
  2. มีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมสูงมาก เขาค่อนข้างภูมิใจกับ Danish Style ความสแกนดิเนเวียนจะมีความเรียบง่ายมินิมัล Less is more เท่าที่เคยเห็นของแฮนด์เมด ราคาสูงมากๆ เพราะใช้วัสดุและระบบที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน 
     
  3. เรื่องภาษาเดนิช อาจจะต้องใช้ความกล้าพอสมควร เพราะคนที่นี่เคร่งครัดเรื่องสำเนียง/ไวยากรณ์/การออกเสียงมากๆ สมมติเราคุยกับคนเดนมาร์กแล้วเขารู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลก ก็จะสลับไปใช้ภาษาอังกฤษ
     
  4. เพื่อนเดนมาร์ก คุยได้แต่สนิทยากมาก เพราะเขาจะอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิมๆ catch up เรื่อยๆ ทีเพื่อนตั้งแต่สมัยอนุบาล ประถม ฯลฯ ที่สำคัญคือถ้าจะนัดคนเดนมาร์กต้องนัดล่วงหน้า (เป็นเดือนๆ) อยู่ดีๆ โผล่ไปบ้านเขา แล้วบอกว่ามาเจอกันหน่อยสิ แบบนี้ไม่ได้ค่ะ
     
  5. ส่วนใหญ่คนเดินทางด้วยจักรยาน แม้จะไกลถึง 20-30 km. ก็ตามค่ะ แล้วราคาจักรยานที่นี่แพงมากกกก แบบธรรมดาๆ ไม่มีลูกเล่นอะไร คันนึงประมาณ 4,000 Krone ตีเป็นเงินไทยประมาณ 20,000฿ ค่ะ ถ้าแบบหรูๆ คือ customize ชิ้นส่วน ร้านซ่อมจักรยานก็เป็นเหมือนอู่ซ่อมรถ
     
  6. ประเทศนี้ปลอดภัยทุกอย่าง ยกเว้น “จักรยาน” ต้องล็อกแล้วจอดเก็บไว้ในบ้าน บางคนที่มีคันแพงๆ พับวางไว้ที่โต๊ะทำงานเลยก็มี และบางคนมีหลายคันไว้ใช้ในหลายสถานการณ์ด้วย
ถ่ายรูปกับวิวแลนมาร์ก @ เดนมาร์ก
ถ่ายรูปกับวิวแลนมาร์ก @ เดนมาร์ก
ถ่ายรูปกับวิวแลนมาร์ก @ เดนมาร์ก
ถ่ายรูปกับวิวแลนมาร์ก @ เดนมาร์ก

. . . . . . . 

Part V
ทุกโอกาสไม่ใช่ได้มาง่ายๆ 
เบื้องหลังมีอะไรมากกว่านั้น

ที่ผ่านมาพี่ทำงานสายวิจัย มีโพรเจ็กต์ทั้งด้าน Bioinformatics, Biomaterial, Environmental, Management (หากระบวนการทางสถิติ) เราเข้าไป join กับเพื่อนๆ หรือรุ่นน้อง โดยไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง แต่เข้าไปเสริมสิ่งที่รู้ เพราะมันอาจเป็น Keypoint ให้เขาเจออะไรใหญ่ๆ ทำแบบนี้มาตลอด 4-5 ปี สนุกเพราะได้ช่วยงานคนนู้นคนนี้ให้ผ่านไปได้แบบราบรื่น

พี่เป็นเด็กต่างจังหวัดคนนึง การไปเรียนต่างประเทศไม่เคยเป็นเรื่องง่ายค่ะ ตอนเรียน MWIT พี่เคยเกือบได้ไปพรีเซนต์งานที่เกาหลีแต่ดันเจอไข้หวัดนก เคยติดมหาวิทยาลัยฝรั่งเศสในช่วงเวลาที่ยังไม่พร้อม และเคยติดทุน Franco-Thai แต่มหาวิทยาลัย ป.โท ที่สมัครไม่ตอบรับ 

แต่สิ่งที่พี่ทำมาตลอดคือการเตรียมตัวเองเท่าที่จะทำได้ เมื่อมีโอกาสที่เข้ามาในชีวิต (บางครั้งก็เข้ามาแบบกระทันหัน) เราจะได้เอื้อมมือไปคว้าโอกาสนั้นได้ทัน ทุกทุนที่ผ่านมาตั้งแต่ ป.ตรี ที่พี่ได้ เกิดจากการรู้ตัวเองว่าอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ภาษาคือพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญ​ให้เราได้ทำสิ่งที่รักมาถึงทุกวันนี้ค่ะ

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น