สวัสดีค่ะ เวลาน้องๆ จะเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากคุณสมบัติของตัวเองว่าสามารถสมัครคณะนั้นได้มั้ย ควรต้องดู "เกณฑ์คัดเลือก" ด้วยว่าคัดเลือกจากคะแนนอะไร แต่น้องๆ สงสัยกันมั้ยว่า แล้วค่าน้ำหนักในตารางเกณฑ์คัดเลือก คืออะไร สำคัญยังไงกับการคัดเลือก และเราสามารถวางแผนการสอบได้จากส่วนนี้จริงหรอ?
"สัดส่วนค่าน้ำหนัก" สำคัญยังไง เป็นทริคช่วยให้สอบติดจริงเหรอ?
ค่าน้ำหนัก จะอยู่ในหัวข้อ "เกณฑ์คัดเลือก" บางมหาวิทยาลัยใส่มารูปแบบตาราง แต่บางทีก็ใส่เป็นข้อความให้น้องๆ ได้อ่านเป็นรายคณะไป ถ้าน้องๆ สังเกตก็จะเห็นว่า คณะต่างๆ มีจำนวนเปอร์เซ็นต์ในแต่ละวิชาแตกต่างกัน
ค่าน้ำหนัก เป็นตัวที่บอกว่า จะเข้าคณะนั้น วิชาไหนสำคัญมาก สำคัญน้อย ตัวเลขที่มากกว่า หมายความว่าสำคัญกว่านั่นเองค่ะ และเมื่อแปลงเป็นคะแนน วิชาที่มีค่าน้ำหนักมาก ก็จะมีคะแนนเต็มสูงกว่าวิชาอื่นๆ เช่น
สมมติน้องทำคะแนนวิชาภาษาไทย A-Level ได้ 65 คะแนน
เมื่อไปสมัคร 4 คณะ ที่มีค่าน้ำหนักวิชาภาษาไทยแตกต่างกัน พอแปลงเป็นคะแนนก็จะได้คะแนนแตกต่างกันด้วย ดังนี้
- คณะที่ 1 ค่าน้ำหนักวิชาภาษาไทย 50% น้องจะได้คะแนน 30 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน)
- คณะที่ 2 ค่าน้ำหนักวิชาภาษาไทย 40% น้องจะได้คะแนน 24 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน)
- คณะที่ 3 ค่าน้ำหนักวิชาภาษาไทย 30% น้องจะได้คะแนน 18 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน)
- คณะที่ 4 ค่าน้ำหนักวิชาภาษาไทย 20% น้องจะได้คะแนน 12 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน)
เห็นไหมว่า ยิ่งค่าน้ำหนักสูง จะยิ่งแปลงเป็นคะแนนได้สูง
ดังนั้นการศึกษาเกณฑ์คัดเลือก ดูระเบียบการให้เป็น ช่วยน้องๆ วางแผนคะแนนได้จริง พี่มิ้นท์แนะนำวิธีคร่าวๆ ดังนี้
1. เปรียบเทียบคณะเดียวกัน หลายๆ มหาวิทยาลัย (กรณีไม่ได้ซีเรียสเรื่องมหาวิทยาลัย)
2. เลือกมหาวิทยาลัยที่ใช้วิชาที่ถนัด
คณะเดียวกัน ต่างมหาวิทยาลัย ก็ใช้เกณฑ์ต่างกันได้ค่ะ เราจึงควรเลือกมหาวิทยาลัยที่ใช้วิชาที่เราถนัดที่สุด ยกตัวอย่างเช่น จะเข้าสาขาบริหารธุรกิจ
- มหาวิทยาลัย A ใช้ TGAT 50% + A-Level คณิตศาสตร์ 1 50%
- มหาวิทยาลัย B ใช้ TGAT 50% + A-Level คณิตศาสตร์ 2 10% + อังกฤษ 20% + ภาษาไทย 20%
สมมติว่าน้องถนัดวิชาคณิตศาสตร์ที่สุด แต่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษกับภาษาไทยเลย ถ้าเจอเกณฑ์ 2 มหาวิทยาลัยนี้ แน่นอนว่าควรจะสมัครมหาวิทยาลัย A (กรณีไม่ซีเรียสเรื่องสถาบัน) เพราะการเลือกเกณฑ์ในวิชาที่เราถนัดและมีค่าน้ำหนักสูง จะยิ่งทำให้เราได้คะแนนสูง ได้เปรียบกว่าคนอื่นนั่นเอง
ตรงกันข้าม ถ้าไม่ถนัดคณิตศาสตร์เลย ก็ควรเลือกมหาวิทยาลัย B เพราะให้วิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทยเข้ามาช่วยดึงคะแนนขึ้น
3. วางแผนสำรองและลองคำนวณคะแนนว่าต้องทำแต่ละวิชาให้ได้เท่าไหร่
เมื่อน้องๆ เลือกเกณฑ์ที่ถูกต้องตรงกับความสามารถของเราได้แล้ว จากนี้ก็มาคำนวณคะแนนเพื่อหาว่าจะต้องทำแต่ละวิชาให้ได้เท่าไหร่ จึงจะได้คะแนนตามที่ต้องการ
สำหรับวิธีการคิดคะแนน TCAS พี่ๆ เด็กดีเคยสอนวิธีการคิดคะแนนไปแล้ว ตามอ่านได้เลยที่ https://www.dek-d.com/tcas/61676/
ใครที่ดูระเบียบการแล้วดูแต่คุณสมบัติหรือกำหนดการ คงต้องเปลี่ยนตัวเองมาดูสัดส่วนค่าน้ำหนักของแต่ละวิชาอย่างจริงจังแล้วนะคะ เพราะส่วนนี้ไม่ใช่แค่บอกว่า คณะนั้นต้องการใช้คะแนนวิชาไหน แต่ยังช่วยให้น้องๆ เลือกคณะ/สาขาที่เรามีโอกาสสอบติดได้มากขึ้น จากความถนัดของตัวเอง เราอาจจะเลือกวิชาที่ถนัดและมีค่าน้ำหนักสูง และเลี่ยงวิชาที่ไม่ถนัดได้ ก็หวังว่าเทคนิควันนี้ น้องๆ นะลองนำไปใช้กันดูนะ :)
อีกหนึ่งช่องทางตามข่าว TCAS อัปเดตข่าวไว เช็กได้ทุกวัน
พร้อมโปรแกรมตัวช่วย ม.ปลาย อีกเพียบ
โหลดเลย! App "เด็กดี TCAS" ทั้ง iOS และ Android
0 ความคิดเห็น