สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับใครที่อยากฝึกงานในประเทศที่วัฒนธรรมสุดจะเก๋และมีอิทธิพลครองใจน้องๆ คนไทยหลายคน วันนี้จะมาเปิดเรื่องราวของเด็กทุนโครงการ METI Japan Internship กันค่ะ ! สำหรับ METI นี้คือชื่อโปรแกรมฝึกงานที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลญี่ปุ่น สนับสนุนค่าเดินทาง ค่าที่พัก 100% และได้ค่าตอบแทนด้วย ซึ่งฝั่งผู้จ้างจะมีองค์กรขนาดย่อมหรือขนาดกลางจากหลากหลายธุรกิจหรือภาคส่วนที่เข้าร่วม แต่ละปีจะแตกต่างกันค่ะ (อ่านรายละเอียดโครงการปี 2024 ที่นี่)
และวันก่อนเราบังเอิญเจอโพสต์รีวิวที่น่าสนใจมากกก ของ "น้องนิฟตี้" @nolikebananazz สาวผู้ชื่นชอบอนิเมะที่ได้ทุน METI ปี 2023 ไปฝึกงานโรงแรมในเมืองเซนได ถ้าถามว่าประทับใจแค่ไหน บอกเลยว่าติ๊กทุกข้อทั้งเนื้องาน บริษัท เพื่อนร่วมงาน โฮสต์ (พี่เลี้ยง) ท่องเที่ยว และตามรอยสถานที่ในฉากอนิเมะในดวงใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ไปฟรีและมีได้ค่าตอบแทนด้วย
ในนี้จะรีวิวที่มาที่ไป จากจุดเริ่มต้นการเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ประสบการณ์แลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น 2 ครั้ง ซึ่งปูทางสู่การมาสมัครโครงการนี้ สายญี่ปุ่นหรือคนกำลังมองหาโลเคชันฝึกงานเจ๋งๆ ห้ามพลาดค่ะ !


ชื่อนิฟตี้ ชอบวาดรูป ชอบอนิเมะ
เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นเองตั้งแต่อายุ 14
สวัสดีค่า ชื่อ "นิฟตี้" (แต่เดบิวต์ตัวเองว่าชื่อกล้วย ตามชื่อแอคใน TikTok กับ X) หนูชอบวาดรูป ชอบดูอนิเมะ และเริ่มฝึกภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองตั้งแต่ 14 เพราะเป็นแฟนอนิเมะค่ะ // อันดับหนึ่งในดวงใจคือ Haikyu!! ไฮคิว คู่ตบฟ้าประทาน ถ้าใครอยากเริ่มฝึกภาษากับเรื่องที่สนุกและภาษาไม่ยาก อาจลองเริ่มจากเรื่องนี้ได้นะคะ
พอขึ้น ม.ปลาย หนูเรียนเอกญี่ปุ่นที่โรงเรียนสาธิตศรีนครินวิโรฒประสานมิตร และมีโครงการให้เราไปแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนคู่สัญญาได้ ตอน ม.5 หนูเลยสมัครและได้ไปเรียนที่ Oisca Hamamatsu Kokusai Senior High School

แลกเปลี่ยน 1st โรงเรียนไฮสคูลในญี่ปุ่น
กฎระเบียบเนี้ยบ จนคุณแม่เหมือนได้ลูกคนใหม่
ช่วงก่อนไปนิฟตี้มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นแค่นิดดด นิดเดียวจริงๆ พอไปแลกเปลี่ยน ภาษาก้าวกระโดดจาก N5 -> N3 เลย เพราะปกติโรงเรียนเค้ารับเด็กต่างชาติอยู่แล้ว เลยมีวิธีสอนภาษาให้เด็กต่างชาติสนุกและเข้าใจได้เร็ว ยิ่งตอนคุยกับเพื่อนๆ เราก็จะได้เรื่องสำเนียงจากการฟังจากเจ้าของภาษาโดยตรง
- ตอนมัธยมเเข้มข้นกว่าตอนทำงาน (ส่วนมหาลัยมีกฎเดียวที่ต้องเคร่งคือแยกขยะ)
- โซนที่นิฟตี้เคยไปอยู่พูดอ้อมหมด 5555 ตอน ม.5 อยู่แถวชิซูโอกะ โซนๆ คันไต อ้อมกันตั้งแต่วัยนั้นเลยค่าา
- วัฒนธรรมหอในต้อง Respect รุ่นพี่ เกร็งกว่าตอนทำงานอีกนะเอาจริง แต่ต้องดูวัฒนธรรมองค์กรด้วยค่ะ ถ้าจบที่นี่แล้วเรียนมหาลัยหรือทำงานต่อ ต้องทำให้ได้
การไปญี่ปุ่นยังไงก็ต้องได้วินัยกลับมา ยิ่งการไปที่อยู่ "หอใน" ที่ปลูกฝังเรื่องกฎระเบียบอย่างเข้มข้น โรงเรียนมัธยมสอนตั้งแต่ลำดับการกิน การตักอาหารเข้าปาก สอนแยกขยะ และการอยู่ในสังคม เช่น ระบบอาวุโส รุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่ (ยุคใหม่เพลาๆ ลงแล้ว) หรือกิจวัตรประจำวันทั่วไปอย่างการตื่น 6 โมงเช้าทุกวัน การดูแลหอให้สะอาดอยู่เสมอ ตอนนั้นหนูติดกลับมาทำที่ไทยจนคุณแม่บอกว่าเหมือนได้ลูกคนใหม่เลยค่ะ !


.jpg)

แลกเปลี่ยน 2nd ที่ Oita Univ.
รอบนี้เจอสังคมเพื่อนนานาชาติ
หนูเรียนต่อ ป.ตรี เอกวิทยุและโทรทัศน์ ของคณะวารสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ช่วงนั้นเทรนด์ทำช่อง YouTube กำลังบูม แล้วเนื้อหาหลักสูตรนี้ถือว่าใกล้เคียงมาก แล้วที่นี่ก็มีโครงการแลกเปลี่ยนที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยคู่สัญญาในญี่ปุ่นอีกแล้วค่ะ คราวนี้นิฟตี้ก็สมัครแล้วได้ไปเรียนในคณะการสอน (Education) ของ Oita University ช่วงนั้นประมาณปี 3 แล้ว ซึ่งจริงๆ เทียบเกรดได้ แต่ล่าช้าเพราะเจอช่วงโควิด ทำให้จบช้ากว่าเพื่อน 1 ปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกเสียดายเลย เพราะเป็นโอกาสเปิดโลกแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ
คราวนี้ต่างจากมัธยมเพราะเจอเพื่อนนานาชาติเยอะแยะเลยค่ะ หนูอยู่ในกลุ่มเพื่อนเด็กเรียน สนิทกันเร็วสุดๆ เพราะตกลงกันตั้งแต่แรกว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน ! แถมเพื่อนคนญี่ปุ่นในมหา'ลัยเค้าก็พยายามคุยภาษาอังกฤษด้วย เรียกว่าก้าวข้ามความกลัวที่จะใช้ภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นไปเลย
วิชาที่เรียนช่วงนี้จะเน้น หลักภาษา การฟัง พูด อ่าน เขียน และสนทนาภาษาญี่ปุ่น หนูรู้สึกเลยว่าสกิลอ่านและเขียนดีขึ้นชัดเจนเพราะก่อนหน้านี้เรียนในเอกญี่ปุ่นมาเยอะแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ และวิชาอื่นๆ คือ [Japanese Pop Culture] ก็สนุกจนรู้สึกว่า /นี่แหละ เราได้มาสัมผัสประเทศญี่ปุ่นจริงๆ แล้วนะ/
และวิชานึงที่ชื่อ [City Project: Oita & Beppu 歩いてたのし大分と別府] ก็น่าสนใจมาก เค้าจะคละเพื่อนต่างชาติกับเพื่อนญี่ปุ่น ลงพื้นที่สำรวจเมืองแล้วดูว่าตรงไหนที่สามารถพัฒนาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวได้



เอาล่ะ ! ต่อมาจะเป็นพาร์ตเด็กทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
โครงการ METI Japan Internship
มารู้จักโครงการนี้กันก่อน
- METI Japan Internship Program เป็นโครงการฝึกงานโดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของรัฐบาลญี่ปุ่น เปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติและผู้มีความสามารถในสาขาวิชาต่างๆ ได้ฝึกงานกับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศ โดยทางโครงการจะจับคู่บริษัทให้กับผู้สมัครฝึกงานตามความเหมาะสม ซึ่งเรามีโอกาสติดมากกว่า 1 งาน
- ฝึกงานประมาณ 6 สัปดาห์ (รูปแบบออนไลน์ หรือ ไปฝึกที่ประเทศญี่ปุ่น)
- นิฟตี้ไปฝึกงานปี 2023 ที่ญี่ปุ่นกับบริษัท PASONA *แต่ละปีมีบริษัทที่เข้าร่วมต่างกันนะคะ
- นอกจากฝึกงาน ยังมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และเยี่ยมชมสถานที่สำคัญๆ ด้วยค่ะ - ต้องมีวุฒิ ป.ตรี ขึ้นไป ทักษะภาษาอังกฤษระดับดี หรือ JLPT ขั้นต่ำ N3
- เมื่อตรวจสอบแล้วว่าเราผ่านเกณฑ์ ก็เริ่มเตรียมเอกสาร กรอกใบสมัครออนไลน์ และเตรียมสัมภาษณ์ (ของหนูเจอสัมภาษณ์ 2 รอบ)
- หลังจบต้องบินกลับประเทศทันที ไม่สามารถอยู่หรือเที่ยวต่อที่ญี่ปุ่นได้ค่ะ
มูลค่าทุน & สิทธิประโยชน์
|
คะแนนภาษาญี่ปุ่นหนูยื่น N3 (ระดับจริงคือ N2 แต่หาใบรับรองไม่ทัน) ไม่ได้เตรียมตัวเยอะแต่จะจุกจิกหน่อย นอกจากยื่นเอกสารแล้วจะมีให้กรอกข้อมูลบนเว็บไซต์ ซึ่งรายละเอียดเยอะมากมากกก ต้องกรอกตามจริงและห้ามขี้เกียจเด็ดขาด! เพราะเค้าต้องการแมตช์งานที่ตอบโจทย์เรามากที่สุดนะคะ จำไว้ว่าทุกอย่างที่พูดหรือรีเควสต์ตอนสมัครจะส่งผลต่อเราหากได้รับเลือก ต้องตอบตามจริงว่าอยากไปที่ไหน ทำงานแนวไหนได้บ้าง เป็นต้น
งานมีหลายสาย เช่น วิศวกรรม ไอที งานออกแบบ งานศิลปะ งานดูแลผู้สูงอายุ ฯลฯ ถ้าเป็นในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวและโอซาก้ามักจะเป็นสายไอทีค่ะ ส่วนต่างจังหวัดจะมีงานฝั่งบริการเยอะ *ใครที่สมัครแต่ไม่ได้ตอบรับ ไม่ได้แปลว่าไม่เก่ง แค่อาจไม่แมตช์เฉยๆ อย่าเพิ่งนอยด์หรือเสียความมั่นใจนะคะ
สมัยที่เรียนเคยอยู่ญี่ปุ่นตอนใต้และตอนกลางมาแล้ว คราวนี้อยากขึ้นเหนือบ้าง มีรีเควสต์ไปอยากได้เมืองปลอดภัย เดินทางง่าย ไม่ไกลจากที่ทำงาน และหากเป็นไปได้หนูอยากได้เมือง เมืองเซ็นได (Sendai – 仙台) เมืองหลวงของจังหวัดมิยากิ (Miyagi:宮城) เพราะเป็นโอตาคุ แล้วในอนิเมะมีฉากที่ถ่ายทำในเซ็นไดเยอะแยะเลย ปรากฏว่าพอได้รับเลือก เค้าจัดให้เราไปฝึกเมืองนี้จริงๆ > < มีโอกาสได้ไปตามรอยหลายที่หลายเรื่องเลย ถือว่าคอมพลีทมากก
ในที่สุด นิฟตี้ก็ได้มาเยือนญี่ปุ่นอีกครั้ง !
เริ่มมาถึงทาง PASONA ไปส่งเราถึงสุวรรณภูมิ และพักที่โตเกียว โดย period การฝึกงานแบ่งคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ
- วันที่ 1-2 เทรนข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำงานกับคนญี่ปุ่น เช่น การรับสายโทรศัพท์ การพูด การทักทาย ระดับการโค้งตัว เป็นต้น
- วันที่ 3 เจอ Host Company ทำกิจกรรมร่วมกัน ก่อนจะแยกไปฝึกงาน
- ผ่านไป 1 เดือน จะมีช่วงอัปเดตงานที่ต้องเขียนรายงานส่งทุกวัน วันนี้ทำงานอะไรบ้าง
- ตอนฝึกจบ ต้องทำ Presentation นำเสนอเกี่ยวกับการฝึกงานครั้งนี้ค่ะ



พาไปรู้จักโรงแรมและย่านอาคิอุกันก่อน
หนูได้มาทำงาน Content Marketing ให้โรงแรม Oshu Akiu Onsen Rantei เป็นออนเซนกึ่งแกลมปิ้ง (Glamping)* ตั้งอยู่ที่ย่านอาคิอุ* (Akiu: 秋保町) จังหวัดมิยางิ (Miyagi:宮城) ส่วนใหญ่แขกที่เข้าพักเป็นคนญี่ปุ่น เน้นแนวครอบครัวและคนรักสัตว์ค่ะ ในเมืองนี้จะเป็นที่เที่ยวแนวธรรมชาติ ถ้าเทียบกับบ้านเราน่าจะเป็นฟีลเขาใหญ่ มีบ้านคนเล็กๆ คาเฟ่ ตลาดใกล้โรงแรม หมู่บ้านวัฒนธรรมต่างๆ และก็เป็นย่านที่มีโรงแรมแนวออนเซนเยอะ



*คำว่า "อาคิอุ" แปลว่า ใบไม้ร่วงสวยๆ เพราะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่สวยมากกก แต่ยกเว้นปีที่หนูไป ไม่มีค่ะ TT แต่ถึงยังไงก็บรรยากาศดีจนตั้งกล้องถ่ายซีนใบไม้ร่วงทุกวันเลยค่ะ
*แกลมปิ้ง (Glamping) มาจากคำว่า Glamorous + Camping หมายถึงการตั้งแคมป์สไตล์หรูหรา ทำให้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติพร้อมรับความสะดวกสบายดุจเข้าพักในโรงแรมหรือรีสอร์ท จัดเตรียมทุกอย่างไว้ ได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ โดย Oshu Akiu Onsen Rantai ก็คือหนึ่งในโรงแรมที่มีโซนแกลมปิ้งให้แขกเลือกเข้าพักได้เช่นกัน


และงานของเราก็คือออ การทำ Vlog (คลิปสั้น) เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวให้กับโรงแรมและย่านอาคิอุนั่นเองค่ะ หลักๆ จะโพสต์ลงแพลตฟอร์ม TikTok ควบคู่กับ Instagram (คนญี่ปุ่นเสพสื่อจาก IG เป็นหลัก) โดยมี "โฮสต์" ซึ่งเป็นพี่ในบริษัทที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล มาถึงก็ได้ทำความรู้จักพี่ๆ ในทีม Marketing อีก 4 คน พวกเค้าน่ารักและใจดีมากกก พาไปเที่ยวไปดูงานตลอด


(ขวา) เบื้องหลังการถ่ายทำวิดีโอโปรโมทห้องพักโรงแรม
จริงๆ เค้าให้หนูทำคลิปภาษาไทยเพราะอยากเชิญชวนคนไทยมาเที่ยว แต่เราใส่ซับภาษาญี่ปุ่นเพิ่มไปด้วย พยายามสังเกตวิธีการเสพสื่อ เพลง แบบอักษร และวิธีพูดแบบ Japanese Style เอามาปรับใช้ผสมผสานกับเทคนิคของตัวเอง
(คลิปด้านล่างนี้เราเป็นคนตัดเองค่ะ แต่พี่ๆ ในทีมเอาไปใส่เพลงให้เลยไปกันคนละฟีลสุดๆ 5555)


ถ้าถามว่าชอบที่ไหนสุด เลือกไม่ถูกจริงๆ เพราะสนุกและประทับใจทุกที่ ตัวอย่างเช่น Kids Farm Kawasaki ฟาร์มที่เหมาะสำหรับพาเด็กๆ มาชมความสวยงามของธรรมชาติและทำกิจกรรมเกี่ยวกับเกษตร หรือ วัดโจเกียวจิ (Jogi Nyorai Saihoji) เป็นวัดพุทธที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน คนที่มาเที่ยวมักจะแวะชิมเมนูเด็ดอย่าง "เต้าหู้ทอดสามเหลี่ยม" ร้านจะอยู่แถวหน้าทางเข้าวัด (อร่อยมากจนอยากให้ทุกคนได้ลองค่ะ)



และความน่ารักคือชุมชนอาคิอุจะร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้คนมาเที่ยวย่านเค้าเยอะๆ เหมือนเป็นธุรกิจครอบครัว เช่น เมื่อก่อนย่านนี้เดินทางยากสำหรับคนที่แบกเป้เที่ยว แต่เดี๋ยวนี้โรงแรมของเราเตรียมรถรับส่งจากสถานีรถไฟเลยค่ะ พอนักท่องเที่ยวเยอะขึ้น ธุรกิจย่านนี้ก็คึกคักขึ้นตามไปด้วย หรือบางครั้งก็มาในรูปแบบโปรโมชัน เช่น แขกที่เข้าพักในโรงแรม จะได้รับส่วนลดค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชื่อดังของเซนได Sendai Umino-Mori Aquarium


โรงแรมเรายังร่วมกับ “หมู่บ้านหัตถกรรมอาคิอุ” (Akiu Traditional Craft Village) ที่รวมช่างฝีมืองานศิลปะแขนงต่างๆ ไว้ให้ศึกษาและเยี่ยมชม หนึ่งในนั้นคือการเป่าแก้วเป็นรูปทรงต่างๆ มีเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมเวิร์กชอปได้ด้วย โรงแรมเราก็เลย collapse โดยการเอาผลงานเป่าแก้วไปใส่ในกุญแจห้อง เพื่อขายว่าถ้ามาย่านนี้ ลองไปที่นี่สิ~

ที่นี่ยังเป็นโรงแรมที่คงไว้ซึ่งความเป็นญี่ปุ่น ไปพร้อมกับผลักดันจุดขายเรื่องความทันสมัย ปรับตัวให้ทันเทรนด์การท่องเที่ยว เปิดกว้างรับชาวต่างชาติเข้าทำงาน เตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก และพยายาม keep in touch กับลูกค้าไว้ตลอด เพราะปกติเวลาคนญี่ปุ่นไปไหนแล้วชอบ เค้าจะ follow ช่องทางของโรงแรมไว้ค่ะ ที่นี่ก็เลยจะมี LIVE อาจจะถ่ายบรรยากาศในโรงแรม พาไปดูที่พักแบบแกลมปิ้ง นั่งคุยหรืออัปเดตสภาพอากาศ (อืม...ตอนนี้กำลังเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูหนาวแล้วนะ~) ประมาณนี้ค่ะ
นอกจากนี้คือลูกค้าก็น่ารักค่ะ เค้าจะทักทายคุยเล่นตลอด บางทีเดินทางมาเข้าพัก ก็มีของฝากจากจังหวัดที่เค้าอยู่ติดไม้ติดมาฝากพนักงานด้วย อบอุ่นสุดๆ ไปเลยใช่ไหมล่ะคะ ^ ^
ถ้าถามว่าโอตาคุคอมพลีทแค่ไหน ?
ช่วงเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นมันสั้นมาก วันเสาร์-อาทิตย์ โอตาคุสาย extrovert อย่างเราจะไม่อยู่ห้องให้รู้สึกเสียดายทีหลังแน่นอนค่ะ 5555 อย่างที่บอกค่ะว่าตอนสมัครเรารีเควสต์เซนไดเพราะเป็นสายอนิเมะ เราไปหลายที่มากๆ เช่น โรงยิม คาเมะอารีนาเซนได จากเรื่อง Haikyuu!!, แล้วก็มีเรื่องอื่นๆ เช่น Jojo bizzarre avventure / Jujutsu Kaisen ฯลฯ และสถานที่ลับอีกหลายที่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้หรือทำรีวิวไว้ (บางที่ไปถึงไม่เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติเลย)
หนูมีทำคลิปลงช่องไว้ด้วย ถ้าใครเป็นสายเดียวกัน มาแวะชมกันค่าา
ทิ้งท้ายด้วยข้อควรรู้ & วัฒนธรรมน่าสนใจ
เตรียมตัวยังไงเมื่อต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่น?
1. 仕事を見付けることも仕事です。
"การมองหางานทำ คือการทำงานอย่างหนึ่ง"
เรื่องนึงที่ PASONA แนะนำว่าถ้าทำงานกับคนญี่ปุ่นแล้วแสดงให้เค้าเห็นไฟในตัวเรา ความมุ่งมั่นจะทำให้เราดูมืออาชีพและได้คะแนนความเอ็นดู เช่น ถ้าเราทำที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว ควรจะเดินไปถามบอสหรือรุ่นพี่ว่ามีงานอื่นให้ทำอีกไหม เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นเราไม่เจอปัญหา Work-life Balance เพราะเราและพนักงานที่นี่ไม่เคยต้องทำงานล่วงเวลาเลย
และจริงๆ สโคปงานของหนูอยู่ทำงานแค่ในห้อง Marketing ก็ได้ ไม่ต้องออกไปบริการหรือต้อนรับข้างหน้า แต่ไหนๆ ก็มาทั้งที่เลยหาโอกาสไปลอง ได้ไปแจมๆ งานต้อนรับ มีฝึกพูด ฝึกโค้ง ฝึกรับสาย ฯลฯ บางงานที่เสนอตัวเองไปทำ เค้าก็ต้องประเมินมาแล้วว่าไหว ตอนไปทำงานต้อนรับก็เจอแขกที่น่ารักๆ ตอนนั้นก็มีชวนคุยบ้างค่ะ
Tips: แนะนำว่าให้เตรียมของฝากจากไทยไปด้วย จะช่วยเพิ่มคะแนนเอ็นดูได้นะคะ ตอนนั้นหนูเอาพวงกุญแจกับกางเกงช้างไปให้เพื่อนห้องข้างๆ กับพี่ที่ทำงานด้วยค่า > <
2. お疲れ様でした
"ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยที่ผ่านมา"
ภาษาญี่ปุ่นน่าจะยากเรื่องระดับภาษา เสน่ห์คือเป็นภาษาที่สะท้อนทัศนคติ ความนอบน้อม ความใส่ใจของเค้าค่ะ เช่น การใช้ประโยคว่า お疲れ様でした ประมาณว่าขอบคุณที่เหนื่อยด้วยกัน หนูมีโอกาสได้ใช้ครั้งแรกตอนทำงานบริษัทญี่ปุ่นเลยค่ะ
3. งานบริการที่ญี่ปุ่น ซีเรียสเรื่องกฎระเบียบและมารยาท
เค้าจะมีข้อกำหนดที่เคร่งครัดเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของพนักงาน เช่น ต้องรักษาความสะอาด ห้ามมีรอยสัก ห้ามห้อยพระ ผู้ชายห้ามเจาะหู และตามที่โรงแรมนั้นๆ กำหนด ที่สำคัญคือต้องรักษามารยาทอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะเป็นการเคารพวัฒนธรรมแล้ว ยังป้องกันไม่ให้เผลอไม่ให้เผลอไปแสดงพฤติกรรมไม่สุภาพต่อหน้าแขก ยิ่งถ้าแขกเป็นคนญี่ปุ่นที่มีอายุ เป็นไปได้ที่พวกเขาจะคาดหวังการให้บริการแบบไร้ที่ติ
ระหว่างฝึกงาน หนูยังมีโอกาสได้เทรนเด็กฝึกงานคนพม่ารุ่นๆ เดียวกัน สอนเรื่องการปรับตัว มีทำคู่มือ (Manual) ให้เค้าด้วยนะ ในนั้นจะเขียนเรื่องกฎและการแต่งตัวต่างๆ เลยถือโอกาสไปแจมงานครัวง่ายๆ เช่น เสิร์ฟอาหาร เข็นรถ ฯลฯ ลงพื้นที่จับงานจริงเพื่อให้แน่ใจว่าเขียนคำแนะนำในคู่มือได้ถูกต้อง ครั้งนั้นจึงได้รู้ว่าวัฒนธรรมการทำอาหารญี่ปุ่นก็มีรายละเอียดที่น่าสนใจ เช่น
- ถ้าเป็นของเหลว อย่างเช่น มิโซะ น้ำ ต้องไว้ขวา-ขวาบน
- ของหนักๆ ของคาวที่เป็นเมนหลัก เช่น เนื้อสัตว์ ไว้ตรงกลาง
- น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ กวางซ้ายล่างๆ ใกล้ข้อมือ
- คนญี่ปุ่นจะถือข้าวมือซ้าย ตะเกียบมือขวา ดังนั้นข้าวต้องอยู่ด้านซ้ายเสมอค่ะ ถ้าผิดขึ้นมาโดนดุนะ
ถ้ารู้วิธีการกินอาหารของคนญี่ปุ่น ก็จะทำให้เข้าใจที่มาที่มาไปของการเสิร์ฟอาหารค่ะ ^ ^

. . . . . .
เรื่องราวของนิฟตี้ก็ประมาณนี้ ถ้าใครสนใจรีวิวตอนไปเรียน ประสบการณ์ส่วนตัวตอนไปญี่ปุ่น เกร็ดความรู้ สถานที่เที่ยวฉบับโอตาคุ รวมถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นโดยเฉพาะอนิเมะ ขอถือโอกาสชวนติดตามช่องทางด้านล่างนี้นะคะ
ありがとうございます [ARIGATÔ GOZAIMASU] ขอบคุณค่ะ !
- Facebook: Niftyotanii
- TikTok : niftyotanii
- IG : niftyotanii_ig
- YouTube: niftyotanii
0 ความคิดเห็น