ฮานา, ทุล, เซท! เปิดฉากชีวิตหลังติดทุนเกาหลี เรียน ป.ตรี Film Arts ในรั้ว Dong-Ah สถาบันดังในประเทศสุดปังด้านสื่อบันเทิง

안녕하세요 ชาว Dek-D ค่ะ~ ในนี้ใครเป็นแฟน K-Entertainment ของเกาหลีบ้างคะ?​ เกาหลีใต้นับเป็นประเทศที่มีศักยภาพการผลิตและส่งออกอุตสาหกรรมบันเทิงจนสร้างชื่อเสียงในเวทีโลก ดึงดูดให้ชาวต่างชาติหันมาสนใจภาษา วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยว พร้อมกวาดรายได้เข้าประเทศได้อย่างมหาศาล

และวันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่วิว” นักศึกษาปี 1 สาขา Film Arts ในรั้ว Dong-Ah Institute of Media and Arts (DIMA) - 동아방송예대 อัปเดตช่วงเวลาที่สัมภาษณ์ เธอเป็นคนไทยหนึ่งเดียว (และคนแรก) ในรั้วสถาบันแห่งนี้! เรียนหลักสูตรที่สอนภาษาเกาหลี กับอาจารย์ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้กำกับหนัง บางคนทำงานในกองฮอลลีวูดมาแล้วด้วย // บอกเลยว่าเรียนเข้มข้นสมกับที่มีหนังและซีรีส์เป็น Soft Power ของประเทศจริงๆ 

ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มที่ฉากแรกกันเลยค่าา

ขึ้น ป.ตรี เรียนบริหารฯ จนใกล้จบ
ก่อนจะพบโอกาสใหญ่ที่เป็นจุดเปลี่ยน

สวัสดีค่าทุกคน เราชื่อวิวค่ะ กำลังเรียน ป.ตรี ปี 1 เทอม 2 สาขา Film Arts ที่ Dong-Ah Institute of Media and Arts - 동아방송예대 หรือเค้าจะเรียกกันว่า ‘DIMA’ เครือเดียวกับ Dong-A University เรียนเป็นภาษาเกาหลีล้วนค่ะ 

จุดเริ่มต้นคือเราชอบภาพยนตร์ตั้งแต่ ม.ปลาย แต่เลือกต่อ ป.ตรี คณะบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยในไทยค่ะ เรียนไปโดยที่ยังคาใจ คิดแบบ what if ตลอดว่าถ้าตอนนั้นเลือกเอกภาพยนตร์จะเป็นยังไงนะ? 

ทีนี้เราเองมีเรียนภาษาเกาหลีด้วยตัวเองมาตั้งแต่ปี 2016 ทั้งเรียนพิเศษ บินไปเรียนถึงเกาหลี ทำกิจกรรมในโรงเรียนที่มีโอกาสได้ใช้ ช่วงที่ดร็อปมหา’ลัยก็มีโอกาสไปทำงานในบริษัทเกาหลีด้วย ทำให้มีสกิลพอพูดได้ระดับนึง และเริ่มคิดว่าไหนๆ ก็ได้ภาษาเกาหลีอยู่แล้ว ถ้าไปต่อยอดเรียนภาพยนตร์ก็น่าจะดี! แถมช่วงโควิด-19 ไฟลุกอีกครั้งเพราะช่วงนั้นมีหนังเกาหลีดีๆ หลายเรื่องช่วยฮีลใจ  

 จริงๆ เราชอบหนังของทุกชาติ แต่ช่วงนั้นแค่อินกับซีรีส์เกาหลีเป็นพิเศษเฉยๆ ค่ะ 555 เราว่าจุดเด่นของเค้าคือเรื่องโปรดักชัน การเก็บดีเทลล์เนี้ยบละเอียด พล็อตเรื่องหลากหลายและแปลกใหม่ อาจมีเนื้อเรื่องหนักๆ หรือซีเรียสหน่อยแต่ก็สนุกได้ เค้าจะเซ็ตมาตรฐานไว้ว่าต้องทำคุณภาพออกมาให้ใกล้เคียงฮอลลีวูดที่สุด

และที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือแง่มุมประวัติศาสตร์ เพราะตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเกาหลีในปี 1953 เป็นต้นมา เค้าก็สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงจนเติบโตแบบก้าวกระโดด แสดงศักยภาพให้คนทั่วโลกอินกับหนังของเค้าได้แม้จะอยู่ต่างวัฒนธรรมกัน

พอแพสชันมาเราก็เริ่มเลยค่ะ เปิด Ranking ว่าที่ไหนเปิดสอนด้านนี้โดยเฉพาะบ้าง ยื่นไปหลายที่ หนึ่งในนั้นคือ DIMA ที่เปิดสอนและดังด้านนี้ แถมยังสามารถยื่นสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี (GKS-U) ที่เป็นทุนเต็มจำนวนได้ด้วย

สุดท้ายติด! เราตัดสินใจออกจากที่เดิมถึงแม้จะเหลืออีกเทอมเดียวจบ บอกตัวเองว่าหลังจากนี้จะถอยไม่ได้แล้วนะ (Disclaimer: ถ้าน้องๆ กำลังตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือไม่ไปต่อดี ต้องพิจารณาความพร้อมและสถานการณ์ของตนอย่างรอบด้าน)

สมัครทุนรัฐบาลเกาหลี (University Track)
หนักใจทุกพาร์ต กังวลตั้งแต่เรื่องอายุ

เคยอ่านรีวิวแต่ละคนที่สมัคร โปรไฟล์เค้าจะแน่นปึ้ก แต่เรารู้สึกของตัวเองธรรมดามาก GPA ม.ปลายไม่สูง แล้วไหนจะเรื่องอายุอีก เพราะจบ ม.ปลายไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน คะแนนภาษาอังกฤษก็สอบไม่ทัน เลยยื่นแค่คะแนนภาษาเกาหลี TOPIK ระดับ 3 และเรื่องใหญ่สุดที่กลัวก็คงเป็นเรียงความ ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ไหนๆ เป็นปีสุดท้ายที่สมัครได้ก่อนอายุเกินของทุนนี้ อ่ะงั้นเอาหน่อย!

คร่าวๆ เราเขียนไปประมาณนี้

Statement of Purpose (SoP)

จดหมายแนะนำตัว ความยาวประมาณ 1-1.5 หน้า A4 เราจะนำเสนอยังไงให้เค้ารู้เป้าหมายในการมาเรียนว่า ทำไมต้องคณะนี้ มหา’ลัยนี้ และตั้งใจว่าเรียนจบจะนำไปต่อยอดยังไงบ้าง ที่สำคัญมากคือเขียนให้เป็นตัวเองค่ะ
 

Tips: เล่าต่อยอดจากเนื้อหาว่าเราจะส่งเสริมไทยเกาหลียังไง เช่น เรามีไอเดียอยากนำความรู้จากวงการหนังเกาหลีไปพัฒนาวงการหนังของไทย เป็นต้น
 

Study Plan

เริ่มอธิบายแผนของเราอย่างชัดเจน ตั้งแต่ “ช่วงเรียนภาษา” อยากทำอะไร คาดหวังอะไรบ้าง แล้วในปี 2-3-4 แต่ละมีเราเป้าหมายระยะสั้นอย่างไร เช่น ปี 1 สนใจชมรมไหน เป็นต้น และปิดท้ายด้วยพาร์ตที่เล่าว่า ถ้าเรียนจบเราวางแผนจะทำอะไรที่ไหน ต่อยอดให้เกิดผลต่อตัวเราและสังคมอย่างไรบ้าง
 

Tips เข้าเว็บมหาลัยไปรีเสิร์ชเยอะๆ เพราะเค้าจะมีให้ข้อมูลเรื่องชมรมกับกิจกรรมอะไรบ้าง บางหลักสูตรมีตารางวิชาที่เปิดสอนด้วย ฯลฯ นอกจากทำให้กรรมการเห็นความตั้งใจของข้อมูลที่ยกมาอธิบายเชื่อมกับเป้าหมายของเราแล้ว จะเป็นโอกาสให้เรา explore หลักสูตรนั้นอย่างละเอียดค่ะ
 

เริ่มต้นชีวิตก้าวแรกที่เกาหลี

ปรับภาษา 1 ปีก่อนขึ้น ป.ตรี
เกือบล้มพับแต่กลับมาได้

เด็กทุนรัฐบาลเกาหลี ปีแรกจะได้ปรับภาษาก่อนค่ะ (เราได้ไปเรียนที่ Sun Moon University 선문대학교) มีวิชาฟัง-พูด-อ่าน-เขียน มีแตะเรื่องคำบอกประเภทของหนังบ้าง และมีบทความที่เกี่ยวกับหนังให้อ่านด้วย ส่วนตัวคิดว่าช่วงแรกๆ ง่าย แต่เริ่มยากขึ้นตอนเขียนเรียงความ ยิ่งพอเข้ามหา’ลัยปี 1 อันนี้ของจริงเลยนะ อาจารย์พูดเร็วเพราะเค้า assume ว่าทุกคนใช้ภาษาเกาหลีได้คล่องแล้ว

ตัดภาพมาที่เราเป็นต่างชาติ (คนเดียว! และเป็นคนไทยคนแรกใน DIMA ด้วย) สกิลการพูดพอไหว แต่อ่านกับเขียนยังไม่เก่ง ทำให้เวลาออกกองสามารถทำงานกับเพื่อนๆ ได้แบบไม่มีปัญหาเรื่องภาษามาเกี่ยว งานรันได้ตามแผน แต่ตอนอาจารย์สอนในห้อง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไม่เข้าใจตรงไหนค่ะ ㅜㅜ 

ช่วงนั้นต้องเอาความขยันเข้าสู้ ได้ชีตมานั่งแปลทุกครั้ง วาดรูปใส่สัญลักษณ์ให้ตัวเองเข้าใจ พอถึงตอนสอบ (Final Exam) โห รู้สึกยากตั้งแต่อ่านโจทย์ค่ะ เค้าออกเกี่ยวกับทฤษฎีและเป็นข้อเขียน อย่างน้อยๆ ก็ต้องตอบอย่างน้อย 3 ใน 4 ของหน้ากระดาษ

"แต่ก็พยายามดีงสติว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้นะตัวเรา"

ในเมื่อยากขนาดนั้น ช่วงท้อมีแน่นอน แต่สิ่งที่คิดตอนนั้นคือ เราสู้มาจนถึงจุดนี้แล้วนะ ถอยไม่ได้ เกรดแย่ไม่เป็นไร อย่าลืมเป้าหมายของตัวเอง รอบตัวเรายังมีเพื่อนๆ กับอาจารย์คอยผลักดัน Cheer up ให้เราอยากลุกมาทำสิ่งที่กลัวอยู่ แล้วค่อยสรุปว่าตัวเองทำได้/ไม่ได้กันแน่ 

และเหตุผลสำคัญคือเราแฮปปี้เพราะเนื้อหาสนุกมากๆ เพียงแค่ตอนนี้ยังยากเรื่องภาษา พอผ่านไปเทอมนึงก็เริ่มปรับตัวได้ เริ่มคุ้นเคยกับคำศัพท์ที่เห็นบ่อยๆ และเดาจากบริบทได้มากขึ้นแล้วค่ะ

 

อยากแชร์ว่าเหตุผลนึงที่ยากคือ คำศัพท์เฉพาะเยอะ คนนอกวงการอาจไม่เข้าใจว่าเรากำลังพ​ูดถึงอะไรอยู่นะ? (ทั้งแง่ความหมายและการออกเสียงในแต่ละภาษา) หรือไปทำงานกองประเทศอื่นก็ต้องปรับจูน หาคำเทียบเคียงให้เข้าใจตรงกัน เช่น

  • คำว่า ‘Scenario’ ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันอ่านว่า “ซิ-แนร์-ริ-โอว์” แต่ภาษาเกาหลี ออกเสียง “ชี-นา-ริ-โอ”
  • คำว่า ‘Mise-en-scène’ หรือ “มิจังเซน” เป็นคำยืมจากฝรั่งเศสที่ใช้กันในวงการถ่ายหนัง หมายถึงองค์ประกอบทั้งหมดในฉาก ถ้าคนทั่วไปได้ยินครั้งแรกก็จะ /หืม ยาสระผมเหรอ?/ เพราะที่เกาหลีมีวางขายยาสระผมชื่อ “미장센” (Mise-en-Scène) เขียนเหมือนกันเป๊ะ
  • หรือเวลาจะพูดถึง “เรื่องย่อ/พล็อตเรื่อง” กองที่เกาหลีมักใช้คำว่า ‘Log Line’ แต่กองที่ไทยจะงงเพราะปกติไม่ได้ใช้คำนี้เลย

ภาพรวมการเรียนสุดเข้มข้น

“ขอบคุณตัวเองที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ยอมแพ้ไปซะก่อน เพราะการเรียนที่นี่ได้ให้คำตอบว่า ทำไมวงการบันเทิงเกาหลีถึงพัฒนาไกลขนาดนี้”

รูปแบบการเรียนคือ อาจารย์จะสอนทฤษฎีไปเลยทั้งเทอม หลังจบแล้วทำ Final Project (ขึ้นอยู่กับวิชาด้วยนะ อย่างวิชา Camera เรียนทฤษฎี 1 สัปดาห์ สลับกับปฏิบัติ 1 สัปดาห์) ที่นี่พยายามเน้นการบูรณาการและประยุกต์ใช้จริงให้มากที่สุด เพราะเวลาไปทำงานจริงจะเห็นภาพว่าหน้างานเรายังขาดอะไร มีเรื่องไหนที่ต้อง concern แล้วสมมติครั้งนี้ผิดพลาด ไม่เป็นไรนะ แต่ทีนี้เราจะแก้ไขยังไงให้ไม่มีปัญหานี้เกิดขึ้นซ้ำในการออกกองครั้งหน้า

การที่เค้าเน้นปฏิบัติแบบเข้มข้นแบบนี้ แน่นอนค่ะว่า DIMA มีทรัพยากรให้พร้อมมาก ถ้าเมื่อไหร่ที่ต้องใช้กล้อง ไมค์ ไฟ ฯลฯ อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ Film Arts มีให้ครบเลย

ยกตัวอย่างวิชาเรียนที่ผ่านมาตอนปี 1

  • Introduction Film Directing
  • Ending : เรียนตัดต่อพื้นฐาน โปรแกรมก็จะเป็น Premium Pro ตอนแรกอย่างงง ตัดต่ออะไรยังไง อาจารย์ก็จะค่อยๆ สอนวิธีการใช้เทคนิคตัดต่อต่างๆ ซึ่งงานหินคือวิชานี้อาจารย์ให้ไปถ่ายหนังสั้นและเอามาตัดเองในแบบฉบับของแต่ละคน
  • Cinematography : เรียนการถ่ายรูป, วิดีโอ การจัดองค์ประกอบต่างๆ เรียนเรื่องมุมเรื่องแสงในการถ่ายหนัง มีการเอากล้อง รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในการถ่ายหนังที่เกี่ยวกับกล้อง เค้าก็มาให้ลองใช้ลองจับ และลองประกอบอุปกรณ์เองด้วย และงานของวิชานี้คือให้เราไปถ่ายทอดเรื่องราวโดยใช้มุมกล้องแต่ละแบบ
  • Lighting : จัดไฟพื้นฐาน เรียนรู้เรื่องแสงและเงา มีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ อาจารย์สอนจัดไฟจัดเงาที่สามารถเอาไปใช้ในภาคสนามจริง
  • Film Production : เรียนรู้การทำหนังทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างหนังที่ฉายว่าใช้งบเท่าไหร่ ทีมงานกี่คน การพัฒนาบท วางแผนสร้างหนัง 1 เรื่อง
     
  • Producing the OTT content : การสร้าง OTT (Over-the-top) เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของวงการหนังในปัจจุบัน วิเคราะห์ตลาดและรสนิยมของผู้ชม และเรียนเนื้อหาพวกหนังดังๆ ที่เข้าไปอยู่ใน Netflix iflex Wetv TVing เป็นต้น
     
  • Film Production Workshop : เรียนทั้งทฤษฎีตั้งแต่การเขียนบท, มุมกล้อง, การเลือกนักแสดง, งานอาร์ต, ประเภทของหนังต่างๆ ไปจนถึงการถ่ายหนังสั้นที่เขียนบทกันเองแสดงโดยนักแสดงที่เราเลือกเอง มีงานฉายหนังประจำเทอมด้วยนะคะ (จริงจังมาก555) งานของวิชานี้คือทำโปรเจ็กต์กลุ่มที่ทำหนังสั้นความยาวไม่เกิน 1 นาที ห้ามมีบทพูด แต่ให้ใช้ภาษากายหรือกิจกรรมอะไรก็ได้สื่อสารให้ผู้ชมเข้าใจ 
     
  • Acting : วิชานี้พิเศษตรงที่ co กับวิชาเขียนบท มีเด็กจากคณะการแสดงมาทำงานร่วมกับเรา หน้าที่ฝั่งเราคือบิ๊วว่าบทที่เขียนให้อารมณ์แบบไหน โดยที่เราก็จะได้เรียนแอคติ้งพื้นฐานด้วย
     
  • Cinema and Psychoanalysis : วิชาที่เรียนวิเคราะห์ประเภทของโรคจิตเวชที่อยู่ในหนัง อาการต่างๆของตัวละคนหรือเนื้อเรื่อง ใช้วิชาจิตวิทยามาช่วยวิเคราะห์บท วิเคราะห์ตัวละครวิเคราะห์ยันต้นเหตุสาเหตุและการแก้ไขต่างๆ (อันนี้เรียนแค่ทฤษฎีแต่ตื่นเต้นทุกวีคเพราะอาจารย์พาดูหนัง วิเคราะห์ตัวละครแบบเราดูอาจจะคิดแค่นี้ แต่จริงๆมันลึกกว่านี้ สนุกไม่ง่วงถ้าเทียบกับวิชาทฤษฎีอื่น)

วิชาหลักเทอมแรก 3-4 ตัว วิชาเลือกเรียนกับคณะอื่นๆ มีให้เลือกเยอะ เช่น ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ เซิร์ฟบอร์ด ตีกอล์ฟ จิตวิทยา ฯลฯ ส่วนใหญ่จะเน้นภาคปฏิบัติเหมือนกันค่ะ

3 2 1 Action!
ภารกิจออกกองสุดหรรษา
(แม้ในคลาสจะแสนสาหัส)

การออกกองเหนื่อยจริง!! เราอาจไม่ได้นอนติดต่อกันเกิน 24 ชั่วโมง บางทีอาจปิดกองตีสาม แต่มีเรียนเก้าโมงเช้าของอีกวัน (ยมสุดๆ แต่เชื่อไหม เพื่อนบางคนสามารถไปเรียนต่อได้) ไหนจะต้องบริหารเวลากับการเรียนและการสอบไปด้วย รวมถึงแต่ละงานต้องดีลกับคนหลายแบบ อาจทำให้รู้สึกกดดันหรือเสียสุขภาพจิต ต้องพยายามหาอะไรฮีลใจตลอด

ส่วนมากเราออกกองกันเองในสาขา Film Arts มีแค่บางครั้งที่ co กับสาขาอื่น สถานที่ถ่ายทำก็จะมีสตูดิโอ หรืออาจเป็นบ้านในป่าในเขา เปลี่ยนเรื่อยๆ แล้วแต่แนวเรื่อง ส่วนมากหนีไม่พ้นบ้านคนกับสถานที่ในธรรมชาติ เคยไปไกลสุดคือสตูดิโอถ่ายหนังแห่งหนึ่งในกรุงโซลค่ะ 

คนในกองทำงานกันยังไง?

  • เป๊ะมาก แบ่งงานชัดเจนและไม่มีแทรกแซงหน้าที่กันเลย
  • ตรงเวลา ถ้านัดตีห้า มาสายไม่มีใครรอ ล้อหมุนเลย ต้องรับผิดชอบตัวเอง
  • ทำงานเหมือนกองผู้ใหญ่ที่ทำงานกันจริงๆ (เล่นได้บ้างแต่ไม่เกินเบอร์)

ภาพใหญ่ๆ งานกองถ่ายแบ่งเป็นกี่ส่วน?

  • PD หรือ Producer
  • ผู้กำกับ
  • ผู้กำกับภาพ
  • ผู้กำกับเสียง
  • ผู้กำกับไฟ
  • ผู้กำกับอาร์ต

วิวยังไม่เคยทำภาพ, เสียง, ไฟ แต่เคยทำ PD, ผู้กำกับ และผู้กำกับอาร์ต ปรากฎว่าชอบทุกงานที่เคยลองทำมาค่ะ

  • เปิดโลกสุดคือ Producer (PD) พูดง่ายๆ คือเป็นเหมือนผู้จัดการทั้งกอง ต้องดูแลเรื่องจัดหาสถานที่ ประสานงานกับภายในและภายนอก ดูแลงบประมาณ คุมเวลา ฯลฯ เดินทางบ่อยจึงเหมาะกับคนมีรถ และต้องใช้ MS Excel เก่งๆ ด้วย
     
  • สำหรับ งานผู้กำกับ ต้องใช้เวลาวางแผนการคุมกองให้ออกมาดี ใน 1 ฉากต้องคิดว่าจะสื่อความหมายอะไร ต้องคิดตั้งแต่ตอนเขียนบทเลยว่าตัวเอก/ตัวละครหลักจะนึกคิดยังไงบ้าง ส่งผลอะไรต่อหนังทั้งเรื่อง นอกจากนี้ที่เกาหลีให้ความสำคัญกับ “ตัวประกอบ” แค่สมเหตุสมผลไม่พอ ต้องลงดีเทลล์มากกว่านั้น 
     
  • แล้วที่เพิ่งรู้ว่าชอบมากตอนได้มาทำ คือ Art Director (อาร์ตไดฯ) ด้วยความที่ภาพยนตร์นำเสนอภาพ ตำแหน่งนี้มีผลมากว่าหนังจะออกมาสมบูรณ์/ไม่สมบูรณ์ ซึ่งบทบาทนี้ไม่จำเป็นต้องวาดรูปเก่ง แค่สามารถทำ Blocking กับ Mockup ได้

    หลักๆ งานของ Art Director คือการออกแบบเสื้อผ้า ฉาก พร็อปส์ (ส่วนประกอบ) ฯลฯ ต้องวิเคราะห์สีโมโนโทนของตัวละคร เช่น ตัวละครเศร้าๆ เสื้อผ้าและการแต่งหน้าของตัวละครจะออกมาโทนไหน พร็อปส์ใช้โทนไหนได้บ้าง ฯลฯ อย่างเช่นเปิดมาด้วยห้องที่ดูเศร้าๆ โทนสีไม่สดใส แต่เจอพระเอกแล้วเกิดความรัก ตัวละครเปลี่ยนจากโทนมืดมนเป็นสว่างสดใสขึ้นมา (มีวิชาที่เรียน Color Key เช่น สีแดงแสดงถึงความโกรธ รัก โลภ ของตัวละคร สีฟ้าคือความหม่นเศร้า ฯลฯ ฉากนี้เหมาะกับใช้ฉากสีไหน)

อยากเล่างานท้าทายที่เคยเจอตอนเรียน มีครั้งนึงบทมีฉาก “ห้องเรียนหนังสือ” แต่ตอนนั้นหาบ้านสำหรับถ่ายทำไม่ได้ ก็เลยยืมห้องเรียนนี่แหละ เอาพร็อปส์มา adapt จัดให้ออกมาเหมือนเป็นห้องนึงในบ้านให้มากที่สุด 

// ความสำเร็จของอาร์ตไดฯ ไม่ใช่การเซ็ต แต่คือความสมจริง สมมติคนเห็นฉากที่ถ่ายทำในห้องเรียนแล้วถามว่า “ถ่ายที่บ้านใครอ่ะ” อันเนี้ยแหละสำเร็จละ แล้วเราจะแฮปปี้มากเวลาเห็นผลงานอาร์ตไดฯ ของเราในหนัง

นอกจากนี้ Make-up ก็จัดอยู่ในงาน Art Director ซึ่งเกาหลีเน้นสมจริงมากๆ สมมติมีฉากต่อยหน้าอาร์ตไดต้องใส่เลือด แล้วถ้าต่อยสัก 4-5 หมัด ไม่มีรอยช้ำไม่ได้ อาจารย์จะว่ามันโป๊ะ 

เราเรียนวิชานี้จนชอบ ออกไปหาที่เรียน Special Effect ที่เปิดสอนข้างนอกค่ะ ตัวอย่างเช่น การแต่งรอยแผล รอยช้ำ เลือด แต่งหน้าให้สูงอายุ ทำหนวด ฯลฯ เราว่าคนที่ทำด้านนี้ยังมีไม่เยอะ คิดว่าถ้าเรียนติดตัวไว้จะเป็นผลดี

การออกกองเราจะไปกันเองโดยมีอาจารย์ให้คำแนะนำ หลังจากลงพื้นที่ทำงานจริงก็แอบทำให้รู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรเฉียบขึ้น (อิ_อิ) หลังจากเราได้เห็นความพินาศของปัญหาที่เจอตอนออกกอง สิ่งที่ได้คือบทเรียนเพื่อปรับการทำงานให้เป็นระบบและรัดกุมขึ้นในครั้งต่อไปค่ะ แล้วพอเราทำเต็มที่ ผลงานออกมาดี เราจะรู้สึก worth it หายเหนื่อยเลย!

อาจารย์ส่วนมากเป็นผู้กำกับหนังเกาหลี
บางคนเคยร่วมงานกับ Hollywood

อาจารย์ส่วนมากจบนอก เป็นผู้กำกับหนังเกาหลี หรือ เคยร่วมงานกับฮอลลีวูด คาแรกเตอร์แต่ละคนจะต่างกัน เช่น อาจารย์ที่เป็นผู้กำกับก็ติดความโฮกฮากบ้าง ติเพื่อก่อ คนฟังได้ประโยชน์ อาจารย์ที่เคยทำงานกับฮอลลีวูด ก็อาจจะติดพูดภาษาเกาหลีผสมภาษาอังกฤษ เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานที่เจอ บางครั้งอาจารย์ที่จบฝรั่งเศสก็จะมีพูดภาษาฝรั่งเศสออกมา บางคนมาลุคแด๊ดดี้ ซอฟต์ๆ เนิบๆ แต่ตัดเกรดและออกข้อสอบโหดมากกก

โอกาสทำงานหลังจบ?

เราอยู่ที่ช่วงที่ยังลองไปเรื่อยๆ อาจารย์ที่ปรึกษาก็บอกว่าถ้าเราตั้งใจจะทำงาน Producer จริงๆอาจมีโอกาสไปร่วมกองกับโปรเจ็กต์ต่างชาติได้ ในนั้นอาจมีการจัดซื้อ // อย่างเช่นคนที่ดูซีรีส์เกาหลีอาจคุ้นกับโลโก้ CJ นั่นก็คือเค้าส่งออกซีรีส์มาที่ไทยค่ะ มีคนทำแผนกนี้โดยเฉพาะ

สังคมที่เจอก็ประมาณนี้
(จากประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น)

สังคมเกาหลีการแข่งขันสูงอยู่แล้วค่ะ ทุกปีคนสมัคร 500 รับแค่ 35 อันนี้พูดถึงแค่การสมัครเข้าเรียน Film Arts ที่ DIMA เท่านั้นนะคะ แล้วพอจบไปต้องแข่งกับมหาลัยอื่นๆ อีก ทำให้นักศึกษาพยายามไปทำงานเข้ากองเยอะๆ เพื่อเก็บประสบการณ์ และยังเป็นโอกาสทำความรู้จักรุ่นพี่ในวงการ และแสดงศักยภาพให้เห็น

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนเกาหลีขยันเรียนมาก! เพื่อนๆ ชวนอ่านหนังสือกันโต้รุ่งช่วงก่อนสอบ ประมาณว่าเราจะไปอ่านที่นู่นที่นี่นะ ไปด้วยกันไหม ถึงเวลาก็แยกย้ายกันต่างคนต่างอ่านเงียบๆ // แต่เราหลับนะ แล้วตื่นมาอีกทีตีห้า และพบว่าเพื่อนยังไม่หยุดอีกค่ะ 555

นอกจากนี้ ธรรมชาติของเด็ก Film Arts (รวมถึงเราด้วย) คือทำงานดึกสุดๆ ตี 2-3 ยังเห็นออนไลน์อยู่ แล้วก็จะตื่นเช้ากันไม่ค่อยไหว ระหว่างเริ่มคาบ 9:00 กับ 10:00 ความรู้สึกต่างกันมากเลยนะแม้จะห่างกันแค่ชั่วโมงเดียว

เรียนหนัก แต่ถ้าถามว่าได้เที่ยวไหม?

เต็มที่ค่ะ~ เราไปทั้งคอนเสิร์ต ไปเทศกาลฮิปฮอป บาร์แจ๊ส (ใช้เปิดเพลง ไม่ค่อยมีดนตรีสด) ช่วงไหนรู้สึกทำงานแล้วหมดไฟ ที่นี่มี Gallery Art เยอะมากให้เราไปฮีลใจ แถมเข้าฟรีด้วย

เราประทับใจที่บ้านเมืองเค้าเกาหลีน่ารักมากๆ วันไหนมีเวลาว่างก็เดินริมแม่น้ำฟังเพลง ดูคนรักกัน นั่งคาเฟ่ก็สวยอีก แค่ดูพระอาทิตย์ตกก็แฮปปี้แล้ว แล้วเวลาไปถ่ายรูปออกมา ถึงไม่แต่งหน้าก็เหมือนใส่ filter ตลอด~

สุดท้ายนี้เรายังต้องปรับตัวต่อไป

ตอนนี้ยังคงต้องสปีดตัวเองเรื่องภาษาเกาหลี เพราะเนื้อหาที่เรียนก็เยอะและลงดีเทลล์ลึกขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน เราเห็นเพื่อนๆ เค้าเริ่มทำ Portfolio กันเร็วมากกก เราเองก็ต้องหาให้เจอว่าอยากทำงานส่วนไหนในกองถ่ายภาพยนตร์ (ผู้กำกับ, ผู้กำกับภาพ, ผู้กำกับเสียง, ผู้กำกับไฟ, ผู้กำกับอาร์ต และ PD) เพื่อบิ๊วพอร์ตให้ตรงที่สุด รวมไปถึงมีโปรเจ็กต์จบ ป.ตรี ที่เป็นงานกลุ่มทำหนัง 1 เรื่อง เราจะต้องเลือกหน้าที่ที่รับผิดชอบในนั้นด้วยค่ะ

สุดท้ายนี้เราก็จะมีอัปเดตชีวิตที่เกาหลีลงโซเชียลเรื่อยๆ ถ้าใครมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเรียนที่ DIMA หรือมีรุ่นน้องสมัครติดที่นี่แล้วอยากรู้จักเพื่อนคนไทย ทักมาพูดคุยกันได้ตลอดนะคะ~

ช่องทางหลักของ DIMA 
บุ๊กมาร์กไว้ติดตามข่าวสารกันเลย!

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น