สวัสดี ชาว Dek-D ทุกคนค่า~ ช่วงนี้ถ้าใครติดตามข่าวการเมืองรอบโลก แน่นอนว่าไม่มีเรื่องไหนน่าจับตาเท่ากับความเคลื่อนไหวของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) ซึ่งได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา เรียกว่าทั่วโลกต่างจับตามองกันสุดๆ เพราะว่าแต่ละนโยบายนั้นค่อนข้างสุดโต่ง และตอกย้ำกับแนวคิด America First แบบสุดๆ
เท้าความไปเมื่อสมัยที่เขาขึ้นดำรงตำแหน่งวาระแรก (2017 - 2021) ทรัมป์ได้ออกหลายมาตรการที่เข้มงวดกับผู้ที่จะเข้ามายังสหรัฐอเมริกา ทั้งคนทำงาน รวมไปถึงนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งสื่อดังอย่าง CNN รายงานว่า มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง เช่น New York University (NYU), Cornell University, University of Southern California (USC) เป็นต้น ได้ออกประกาศเตือนนักศึกษาเกี่ยวกับการขึ้นเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ในครั้งที่ 2 โดย บางแห่งแนะนำให้นักศึกษาต่างชาติที่พักกลับบ้านในช่วงฤดูหนาวกลับเข้าอเมริกาก่อนวันที่ 20 มกราคม (วันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์) เพราะกังวลเรื่องการเข้าประเทศ ข้อจำกัดในการเดินทาง/วีซ่าต่างๆ นั่นเองค่ะ เรียกว่าทำเอาหลายคนนั่งไม่ติดที่กันเลยทีเดียว
วันนี้พี่ลูกหมูเลยมาลองส่องว่ามีนโยบายไหนของทรัมป์บ้างที่อาจส่งผลกระทบต่อนักศึกษาต่างชาติ หรือคนที่จะไปทำงาน/ฝึกงาน ทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่างๆ เพื่อให้ทุกคนได้เก็บข้อมูลใช้ประกอบการวางแผนค่ะ
บทความนี้จะเน้นที่นโยบายเกี่ยวกับทางด้านการศึกษา/นักเรียนต่างชาติ เท่านั้น ไม่รวมนโยบายอื่นๆ เช่น ขยายเวลาการแบน TikTok, ถอนตัวออกจากความตกลงปารีส และองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นต้น
1. วีซ่า H-1B (จะถูกจำกัดหรือไม่!?)
เมื่อช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งก่อนนั้น ก็ได้ดำเนินนโยบายด้านการอพยพที่กระทบต่อโอกาสการทำงานหลังจบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจำกัดวีซ่า H-1B ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับอาชีพเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในสาขาต่างๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี ข้อมูลการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เป็นต้น // วีซ่านี้มักจะถูกใช้กรณีบริษัทอเมริกาที่ต้องการจ้างชาวต่างชาติที่มีความรู้หรือทักษะเฉพาะทางที่ขาดแคลนภายในประเทศนั่นเองค่ะ
จากสถิติพบว่าในยุคของทรัมป์ (ปี 2018) อัตราการปฏิเสธวีซ่า H-1B สูงสุดถึง 24% ซึ่งสูงกว่าปี 2022 ที่อัตราการถูกปฏิเสธมีเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งหากทรัมป์กลับมาใช้นโยบายลักษณะเดียวกันนี้อีก อาจส่งผลกระทบต่อโอกาสการทำงานหลังจบการศึกษาของนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการจำกัดวีซ่า H-1B และอาจมีข้อกำหนดอื่นๆ ที่อาจเข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับวีซ่านักเรียน นักศึกษา และการขอกรีนการ์ด นอกจากนี้ในสมัยแรก ทรัมป์เคยเสนอให้กำหนดระยะเวลาวีซ่าแบบตายตัว 2-4 ปี แทนที่จะให้วีซ่ามีผลตามระยะเวลาการลงทะเบียนเรียน // ข้อเสนอนี้ถูกยกเลิกในยุคไบเดน แต่มีโอกาสถูกฟื้นขึ้นมาอีก
อย่างไรก็ตามทรัมป์ได้กล่าวเกี่ยวกับโครงการวีซ่า H-1B จากการปราศรัยล่าสุด (22 มกราคม 2025) ไว้ว่า เขาชอบคนที่มีความสามารถเข้ามาในประเทศ ไม่ใช่แค่วิศวกรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแรงงานคุณภาพในทุกระดับ และทรัมป์ยังบอกอีกด้วยว่ารู้จักโครงการวีซ่า H-1B เป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์อาจจะยอมรับถึงโครงการนี้มากขึ้น แต่ยังไงก็ต้องมารอดูกันอีกทีค่ะ
| “I like competent people coming into our country – not just engineers but quality workers from all levels. I know the H-1B program very well,” Trump remarked during a recent address. |
คำแถลงข้างต้นช่วยให้นักศึกษาต่างชาติและแรงงานฝีมือมีความมั่นใจมากขึ้น และสร้างกำลังใจให้กับนักศึกษา และกระตุ้นให้นักศึกษาพัฒนาทักษะและเป้าหมายในอาชีพ พร้อมทั้งเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะนักศึกษาจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยื่นขอวีซ่า H-1B เป็นจำนวนมาก (ประมาณ 70% ของ H-1B Visa ในแต่ละปีมอบให้กับชาวอินเดีย)
*อย่างไรก็ตามยังไม่มีนโยบายหรือการดำเนินการที่ชัดเจน จึงยังไม่สามารถรับรองว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมได้ เพราะแม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่ดึงคนเก่งๆ เข้ามาทำงานที่ประเทศ แต่อีกแง่คือเป็นการแย่งงานคนอเมริกันเช่นกัน
2. นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ (Less DOE)
อีกหนึ่งนโยบายที่กระทบด้านการเรียนสำหรับนักศึกษาต่างชาติ นั่นคือนโยบายการยุบกระทรวงศึกษาธิการ และโครงการเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง (Federal Financial Aid) ซึ่งถ้ายุบกระทรวงศึกษาธิการทั้งหมด จะทำให้การจัดสรรเงินทุนส่วนใหญ่ตกไปอยู่ที่รัฐ หรือกระจายไปท้องถิ่น และหากข้อเสนอนี้ผ่าน จะทำให้ทรัพยากรที่มีสำหรับนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างชาติถูกจำกัดลง ส่งผลต่อโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาในอเมริกา
อธิบายง่ายๆ คือ กระทรวงศึกษาธิการของอเมริกานั้นเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการให้การสนับสนุนทางการเงิน เช่น ทุนการศึกษา หรือ เงินกู้สำหรับนักศึกษาสำหรับนักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อในอเมริกา หากกระทรวงศึกษาธิการถูกยุบหรือมีการลดขนาดการทำงานของหน่วยงานนี้ อาจทำให้โอกาสในการได้รับทุนการศึกษาหรือการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลลดลง และอาจเป็นอุปสรรคสำหรับนักศึกษาต่างชาติต่อการเข้ามาเรียนในอเมริกา
นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดและปรับปรุงนโยบายการศึกษาของสหรัฐฯ และนักศึกษาต่างชาติ เช่น การออก Student Visa การจัดการกับโปรแกรม OPT (Optional Practical Training) และการควบคุมเกี่ยวกับการลงทะเบียนและการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย หากกระทรวงนี้ถูกยุบหรือลดขนาดลง การควบคุมและการกำหนดนโยบายเหล่านี้อาจไม่ชัดเจน หรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักศึกษาต่างชาติ
Note: ทรัมป์จะต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรสเพื่อยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการ นั่นก็คือจะต้องได้รับการสนับสนุนเกือบเป็นเอกฉันท์จากสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎร นโยบายนี้จึงจะไปต่อได้ค่ะ
3. กระบวนการตรวจสอบประวัติที่เข้มงวดขึ้น
หลายคนน่าจะทราบกันมาบ้าง เมื่อครั้งทรัมป์ดำรงตำแหน่งในวาระแรก หนึ่งในคำสั่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักศึกษาต่างชาติ คือคำสั่งให้ดำเนินการ ตรวจสอบประวัติบุคคลที่ยื่นขอวีซ่าสหรัฐฯ อย่างเข้มงวดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งคำสั่งนี้เปิดทางให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบบุคคลจากบางประเทศได้อย่างละเอียด หรืออาจถึงขั้นระงับการยอมรับบุคคลจากบางประเทศบางส่วนหรือทั้งหมด ทำให้กระบวนการยื่นขอวีซ่าใช้เวลานานขึ้น และอัตราการถูกปฏิเสธเพิ่มขึ้น ซึ่งในตอนนี้หลายคนคิดว่าทรัมป์อาจจะนำนโยบายนี้กลับมาใช้อีกโดยเฉพาะในประเทศที่ถูกมองว่า "มีความเสี่ยงสูง" เช่น จีน อิหร่าน และประเทศในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เช่น จีน อาจกลายเป็นประเด็นสำคัญ ในช่วงวาระแรกของการดำรงตำแหน่ง มีการจำกัดวีซ่านักศึกษาจีนผ่านคำสั่ง Proclamation on the Suspension of Entry as Nonimmigrants of Certain Students and Researchers from the People’s Republic of China ในช่วงปี 2020 ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของนักศึกษาและความร่วมมือด้านการวิจัย หากมีการเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศเหล่านี้ และทรัมป์นำนโยบายนี้กลับมาใช้อีกครั้ง จะทำให้นักศึกษาจากจีนและภูมิภาคอื่นๆ เลือกที่จะเลี่ยงการศึกษาต่อในอเมริกา
และที่สำคัญคือประเทศที่มีอัตราการอยู่เกินวีซ่าหรือมีความตึงเครียดทางการเมืองกับอเมริกา อาจเจอข้อจำกัดเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการศึกษาที่นี่ของนักศึกษาในประเทศเหล่านี้
*ปัจจุบัน ยังไม่ชัดเจนว่าการตรวจสอบนี้จะเข้มงวดเพียงใด หรือจะมีการแบนบุคคลจากบางประเทศหรือไม่ โดยคาดว่าจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมจากหน่วยงานของรัฐบาลกลางในอีก 30–60 วันข้างหน้า (อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 28 ม.ค. 68)
4. Birthright Citizenship
Birthright Citizenship หรือ "สิทธิในการได้รับสัญชาติโดยการเกิดในประเทศ" นโยบายนี้คือการยกเลิกสิทธิการได้สัญชาติจากการเกิดสำหรับเด็กที่เกิดในอเมริกา โดยพ่อแม่ที่ไม่ใช่พลเมือง ซึ่งรวมถึงผู้ที่อยู่ในสหรัฐฯ ด้วยวีซ่าชั่วคราวและผู้ที่เข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย (ส่งผลต่อคนถือวีซ่าทำงาน, วีซ่านักเรียน, วีซ่าท่องเที่ยว) โดยจะได้รับสถานะพลเมืองโดยอัตโนมัติ ก็ต่อเมื่อเด็กคนนั้นต้องมีพ่อหรือแม่อย่างน้อย 1 คน เป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักถาวรถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ หรือเป็นพลเมืองอเมริกัน // ซึ่งก่อนหน้านี้คือเด็กคนไหนที่เกิดในอเมริกา ก็จะได้สัญชาติอเมริกันอัตโนมัติ
*คำสั่งนี้มีกำหนดเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ และกำลังถูกฟ้องร้องในศาลเพื่อขอให้ยกเลิก และเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางกฎหมาย (อาจจะใช้เวลาพอสมควรในการแก้กฎหมาย)
5. กรีนการ์ดสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา
ข้อนี้ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียวค่ะและอาจจะดูขัดแย้งจากข้ออื่นๆ หน่อย ที่ดูเข้มงวดกับผู้อพยพชาวต่างชาติ แต่ทรัมป์ได้ประกาศในช่วงหาเสียงว่า เขาสนับสนุนการให้กรีนการ์ดอัตโนมัติแก่ผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยในอเมริการวมไปถึงระดับ Junior (อนุปริญญา) ซึ่งหมายความว่า คนที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยในอเมริกา จะได้รับบัตรประจำตัวผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยหรือเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายในอเมริกา โดยสามารถเข้า-ออกได้แบบไม่ต้องขอวีซ่า
| “What I want to do, and what I will do, is — you graduate from a college, I think you should get automatically, as part of your diploma, a green card to be able to stay in this country,” Trump said during a June interview with “The All-In Podcast.” |
*อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ต้องผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาก่อนนะคะ และผ่านสภาคองเกรสและฝ่ายนิติบัญญัติก่อน รวมไปถึงนโยบายด้านการอพยพอื่นๆ ด้วยจึงจะมีผลบังคับใช้ได้ ดังนั้นแนวคิดนี้ยังคงเป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับในทางปฏิบัติ
นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลกระทบต่อการศึกษาของนักเรียนต่างชาติในหลายด้าน เช่น การควบคุมการเข้า-ออกของคนต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ทรัมป์ใช้หาเสียงอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการขอวีซ่านักเรียนที่อาจจะต้องเจอข้อกำหนดที่มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามพี่ลูกหมูแนะนำว่าเราอย่าพึ่งตื่นตระหนกไปก่อนนะคะ เราต้องคอยติดตามข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอด และคอยอัปเดตจากทางมหาวิทยาลัยอยู่เสมอเพื่อทำความเข้าใจตัวเลือกและวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของนโยบาย และสุดท้ายนี้พี่ลูกหมูคิดว่าถ้าเราเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย ไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหรือมีความเสี่ยง ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวลค่า
...........
สำหรับใครที่มองหาโอกาสโกอินเตอร์ ตอนนี้มีหลายทุนกำลังเปิดรับสมัคร
ตามไปเช็กกันต่อได้เลยที่ "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก by Dek-D"
ติดตามทุนต่อนอกง่ายๆ กับ Dek-D
- Website: www.dek-d.com/studyabroad
- X: @tornokandcourse
- IG: @tornokandcourse
- Facebook: Study Abroad เรียนต่อนอก by Dek-D
- Facebook: Study Guide ไปเรียนต่อนอกกันเถอะ
- TikTok: @tornokandcourse
1 ความคิดเห็น
I'm 007.