ทุน Erasmus+ พาเปิดโลกแบบสุด! ข้ามสายจากวิศวะสู่ Industrial Mgmt. (สเปน-อิตาลี-UK) ก่อนเริ่มงาน Consult ที่บริษัท Big 4

สวัสดีค่าชาว Dek-D มีวัยเรียนหรือวัยทำงานคนไหนฝันอยากไปเรียนต่อ ป.โท ที่ยุโรปบ้างคะ~ หลายคนอาจพอคุ้นเคยกับชื่อโครงการ Erasmus Mundus Joint Masters’ (EMJM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเอกลักษณ์คือเปิดสอนสาขาที่มีความเฉพาะทางสูงมาก ได้เรียนฟรีในมหา’ลัยที่เป็นตัวตึงด้านนั้นๆ อย่างน้อย 2 ประเทศ ซัปพอร์ตค่าครองชีพรายเดือน ค่าเดินทาง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ไม่ต้องใช้ทุนคืนด้วย

วันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่มิ้น-ภัสฐกาญจน์” ศิษย์เก่าวิศวะจุฬาฯ ที่ได้ทุนเต็มจำนวนจากสหภาพยุโรป บินลัดฟ้าข้ามสายไปต่อ ป.โท International Master in Industrial Management เรียนมาทั้งหมด 4 เทอม 3 มหาวิทยาลัยในสเปน อิตาลี และสหราชอาณาจักร ปัจจุบันเป็น Senior Consultant สาย Supply Chain ที่บริษัท Big 4 แห่งหนึ่ง 

แน่นอนว่าบทสัมภาษณ์นี้เราจะขอเอี่ยวไปชวนรีวิวเรื่องงานด้วย! ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มที่เส้นทางก่อนต่อโทของพี่มิ้นกันเลยค่ะ

. . . . . . . .

เจอทุนที่ใช่ในวันที่อยากต่อโท

ก่อนหน้านี้มิ้นจบ ป.ตรี ภาควิศวกรรมอุตสาหการที่จุฬาฯ ก่อนจะเริ่มงานเป็นวิศวกรในอุตสาหกรรมโรงปูนและบริษัทพลังงานค่ะ ใจจริงมิ้นอยากเรียนต่ออยู่แล้ว เพราะมองว่าจะวุฒิ ป.โท จะทำให้โพรไฟล์เรา stand out แล้วก้าวหน้าในสายงานขึ้น บวกกับอยากไปเรียนต่างประเทศครั้งหนึ่งในชีวิต เลยพยายามไปงานแฟร์และหาข้อมูลทุนมาตลอด สุดท้ายมารู้จักทุน Erasmus+ ตอนทำงาน

ทุนนี้ทางสหภาพยุโรป (EU) จะให้เงินแล้วเรามาบริหารเอง ประกอบด้วยค่าเรียน, ค่าประกัน, ค่าใช้จ่ายรายเดือน ฯลฯ โดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องกลับมาทำงานใช้ทุนคืนหรือต้องกลับประเทศทันทีที่จบ

เอกลักษณ์ของทุนนี้คือโปรแกรมที่เปิดสอนมีความเจาะลึกเฉพาะทางสุดๆ แบบ Niche Market เช่น Masters in Games (เกม + การศึกษา) หรือ International Master on Wine Tourism Transitions and Innovations (โรงแรม + ไวน์) แบบนี้เลยค่ะ แต่ละโปรแกรมจะให้เรียนอย่างน้อย 2 ประเทศใน 4 เทอม ขึ้นอยู่กับว่าเป็นความร่วมมือจัดตั้งของมหาลัยไหนบ้าง พาร์ตเนอร์แต่ละปีอาจไม่เหมือนกันค่ะ

ก่อนสมัครมิ้นสนใจด้าน Food Science มากแต่ background ไม่ได้ปูมาทางนี้ ก็เลยสมัครไปคู่กับ International Master in Industrial Management (IMIM) ที่เรียนเกี่ยวกับการบริหารอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ เพราะพอมีพื้นฐานจากตอนเรียนและทำงานวิศวะ // รู้สึกจะเป็นโปรแกรมเดียวในตอนนั้นที่ไม่ niche (เฉพาะกลุ่ม) มาก ผลคือติดทั้ง 2 โปรแกรม แล้วตัดสินใจเลือก IMIM เพราะได้ทุนเต็มจำนวน

**แต่ละปีอาจมีบางหลักสูตรที่ไม่อยู่ในโครงการทุนเต็มจำนวน ต้องเช็กข้อมูลให้ดี

สำคัญมาก! ต้องเช็กโปรแกรมที่ Erasmus+ แบบปีต่อปี เพราะรายละเอียดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดค่ะ เช่น บางปีโปรแกรมนี้ไม่เปิดสอน, เปลี่ยนมหาวิทยาลัยที่จะได้เรียน หรือมีมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนจุดโฟกัส ทำให้รายวิชาเปลี่ยนไปด้วย 

. . . . . . . .

รีวิวการสมัครคร่าวๆ

  • มิ้นยื่น IELTS 6.5 ทุกอย่างผ่านแบบคาบเส้น ตอนจะส่งเอกสารก็มีปรึกษากับพี่ๆ ด้วย ได้คำแนะนำว่าคะแนนภาษาเน้นแค่ผ่านเกณฑ์ แล้วใช้เวลาไปโฟกัสเอกสารตัวอื่นแทน
     
  • หลักสูตรนี้มี optional ให้ยื่นคะแนน GRE (Graduate Record Examination) ได้ด้วยค่ะ มิ้นลองไปสอบแล้วยื่นเพราะมองว่าการขอทุนเราควรแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้น // สำหรับเรามันคือการสอบที่ยากมากกกก คณิตยังไม่เท่าไหร่นะ แต่ตัวโหดคือภาษาอังกฤษ เจอคำศัพท์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน จนตอนนี้เรียนจบทำงาน ก็ยังไม่เคยเห็นศัพท์พวกนั้นอีกเลยค่ะ 555
     
  • Statement of Purpose อย่างที่เล่าไปว่าสมัคร 2 โปรแกรม เขาน่าจะพิจารณาว่าที่ผ่านมา background เรามาทางไหน สอดคล้องกับสิ่งที่เขามองหาไหม มิ้นเขียนเน้นว่ามีประสบการณ์ทำอะไรมาบ้าง เล่าว่าเป้าหมายชีวิตคืออะไร ยังขาดอะไรอยู่ จนเรามาเจอว่าโปรแกรมนี้แหละที่จะช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ต่างจากที่อื่นยังไงบ้าง **สรุปคือต้องชัดเจน ยิ่งใหญ่นิดนึง และมีเหตุผลรองรับที่สมเหตุสมผล**
     
  • มิ้นเองไม่เจอการสัมภาษณ์ค่ะ ส่งเอกสารแล้วรอผลเลย (ขึ้นอยู่กับโปรแกรมค่ะ บางโปรแกรมมีสัมภาษณ์ด้วย)
เว็บหลักสูตร IMIM

. . . . . . . .

ปรับตัวครั้งใหญ่ ชีวิตใหม่ที่ยุโรป

มิ้นเพิ่งมายุโรปครั้งแรกในชีวิต แล้วทุนนี้ให้เราย้ายประเทศทุกเทอม ก็เหนื่อยอยู่นะโดยเฉพาะตอนขนของและเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ 5555 แต่ที่หนักกว่านั้นคือเรื่องวีซ่ากับที่พัก ใช้เอกสารเยอะมากๆๆๆ ขั้นตอนแต่ละประเทศไม่เหมือนกันด้วย // ความน่ารักของมหาลัยคือเขาเข้าใจปัญหาของต่างชาติ เลยจัดเซสชันที่ให้ข้อมูลและพานักเรียนไปทำเอกสารด้วยกันซะเลยค่ะ

แต่เรื่องวีซ่านี่ศาสตร์ลึกลับสุดๆ

มหาลัยจะทยอยส่งเอกสารให้เราล่วงหน้าก่อนบินย้ายไปแต่ละประเทศอยู่แล้ว บางคนอาจไม่เจอปัญหาอะไรเป็นพิเศษ แต่พอดีรุ่นมิ้นเจอเต็มๆ เพราะลำดับประเทศที่เราเรียนคือ สเปน -> อิตาลี -> สกอตแลนด์ (UK) และปิดท้ายด้วยพรีเซนต์ธีสิสที่อิตาลี ถ้าเป็นสเปนกับอิตาลีเราจะถือวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) แต่ถ้าสกอตแลนด์จะถือวีซ่า UK ที่เป็นคนละตัวกัน

พอลำดับการเรียนเป็นแบบนี้ เทอม 3 ขากลับจาก UK เราต้องขอวีซ่าเชงเก้นใหม่อีกครั้ง เพื่อจะไปพรีเซนต์แค่ 1 วันที่ประเทศอิตาลี // การทำวีซ่าที่อิตาลีค่อนข้างท้าทาย ตอนนั้นมิ้นเลยขอวีซ่าสเปนเผื่อไว้เพราะมีโอกาสได้ง่ายกว่า พออนุมัติก็ใช้เลย แต่ต้องบินไปมาดริดที่สเปนก่อนแล้วค่อยไปอิตาลี วิธีนี้จะชัวร์กว่า ลดความเสี่ยงได้ แต่ต้องแลกกับการยอมเสียค่าตั๋วเพิ่มค่ะ

. . . . . . . .

Q&A ถาม-ตอบ
ครอบคลุมเรื่องชีวิตนักศึกษายุโรป

Q: เรื่องภาษาเป็นอุปสรรคไหม?

ตอนเรียนเป็นภาษาอังกฤษหมด มิ้นเจออาจารย์บางท่านที่ใช้ภาษาถิ่นปนบ้าง แต่เพื่อนๆ ในคลาสที่เข้าใจภาษานั้นก็พยายามช่วยๆ กันจนผ่านมาได้ แต่บางคนก็อาจไม่เจอปัญหานี้ค่ะ

ในชีวิตประจำวันก็อาจเจอสถานการณ์ยากๆ เช่น มิ้นไปแบบภาษาสเปนเป็นศูนย์ แล้วที่สเปนคนแทบไม่พูดภาษาอังกฤษเลยยยย โชคดีที่มหาลัยมีคอร์สภาษาสเปนให้เรียนฟรี เลยได้เรียนพื้นฐานไว้ใช้แบบเบสิกๆ เอาตัวรอดได้ อีกอย่างคือเจอคนสเปนน่ารัก คล้ายคนไทยตรงที่เขาพยายามจะสื่อสารและช่วยเหลือเรามากๆ ถึงแม้จะเดินมาพูดสเปนรัวๆ ใส่เราเลยก็ตาม 5555 // ทุกวันนี้มิ้นยังพยายามทวนๆ ภาษาสเปน ในแอป Duolingo ให้พื้นฐานไม่หายไปค่ะ

Q: เรียนหนักไหม?

เทียบกันแล้ว มิ้นว่าป.ตรี วิศวะที่ไทยเข้มข้นและหนักกว่า ตอนนั้นเน้นลงมือทำ อ่านหนังสือสอบหัวแทบแตกมาตลอด แต่พอมาเรียน ป.โทที่ยุโรป เราต้องปรับตัวเยอะกับวิธีเรียน เพราะที่นั่นส่วนใหญ่เน้นดิสคัส ต้องอ่านเปเปอร์มาคุยกันว่าเราคิดเห็นยังไง เพราะอะไร (ต้องมีเหตุผลซัปพอร์ตเสมอ) บางวิชาแทบไม่มีนั่งเรียนปกติ วันดีคืนดีก็ได้ต่อเลโก้กันเพื่อฝึก Soft Skills ด้วย

แน่นอนว่าช่วงแรกมีเก้ๆ กังๆ แต่พอเจอบรรยากาศที่เปิดกว้าง มีเพื่อนๆ คอยฟังและ cheer up ก็ทำให้เรากล้าแชร์แบบมั่นใจขึ้น

Q: ไม่มีประสบการณ์มาก่อนจะไหวไหม?

จริงๆ มิ้นว่าเรียนได้นะะะ อาจนึกภาพไม่ค่อยออกว่าสิ่งที่เรียนมันใช้ยังไง แต่ถ้าเคยทำงานมาก่อนจะอ๋อขึ้นมาเพราะมี Know-how จากสถานการณ์จริงแล้ว // มิ้นเองตอนเรียนก็มีจังหวะที่ทำให้ย้อนนึกถึงตอนทำงานเป็นวิศวะ แล้วลองโยงว่าสิ่งที่เรียนน่าจะนำไปใช้แก้ปัญหาที่เคยเจอตอนนั้นได้ยังไงบ้าง

Q: แต่ละเทอมเรียนอะไรบ้าง

เทอมที่ 1 Universidad Politécnica de Madrid (Spain)

หลักสูตรของแต่ละปีจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับรอบนั้นมหา’ลัยโฟกัสเรื่องไหน บางปีก็อาจจะไปเน้นเรื่องวิศวกรรม การจัดการ การบริหารโรงงาน ฯลฯ แต่ของปีมิ้น มหาลัยที่สเปนจะเน้นไปฝั่งบัญชี (Accounting), การเงิน (Finance), การตลาด (Marketing) กับประวัติศาสตร์ยุโรป (European History) ด้วยค่ะ

คิดว่าที่ยากสุดคือ Accounting กับ Finance เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ก่อนหน้าที่เรียนวิศวะอาจจะมีเจอพวก ‘Budget Analysis’ ที่สอนตรรกะว่าต้องคำนวณยังไงถึงได้ตัวเลขนี้ แต่พอเป็น Accounting คือมีคำถามตลอดว่า เฮ้ย ทำไมอ่ะๆๆๆ? ทำไมต้องคิดแบบนี้? ทำไมถึงจัดหมวดแบบนี้ล่ะ? 5555 จริงๆ เนื้อหาไม่ได้แอดวานซ์เกินไป ใช้แค่บวกลบคูณหาร แต่ต้องเข้าใจ Logic ของเขานั่นแหละค่ะ

ส่วนวิชา Marketing นี่เรียนออนไลน์ควบคู่ไปด้วย แล้วก็มีโพรเจกต์ให้ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจ เขาจะเน้นให้ใช้ Logical Thinking เยอะมาก ส่วนใหญ่จะมีบทอ่านมาก่อนแล้วมาดิสคัสกันในคาบ ไม่ได้เน้นทฤษฎีหนักๆ

ตอนเที่ยวบาเซโลน่า
ตอนเที่ยวบาเซโลน่า

เทอมที่ 2 MIP Politecnico di Milano (Italy)

จริงๆ แล้วอิตาลีเป็นอีกประเทศที่สตรองสายวิศวะ ตอนทำงานเคยสังเกตว่าพวกเครื่องจักรของหลายที่ก็นำเข้าจากอิตาลีเยอะค่ะ สำหรับมหาลัยที่มิ้นไปเรียนจะดังด้านบริหาร (โดยเฉพาะคณะ MBA) หลักๆ ไปเรียนเกี่ยวกับการคำนวณ + การบริหารอุตสาหกรรมและการบริหารโรงงานเป็นหลัก เช่น เราจะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ยังไงบ้าง? ตอนเรียนเขาจะมีกำหนด scenario มาให้คำนวณ ส่วนรูปแบบ Workshop อาจจะน้อยกว่าเทอมแรกที่สเปน เรื่องการมีส่วนร่วมหรือสีสันต่างๆ เลยดร็อปจากตอนสเปนนิดนึงง

หนึ่งในวิชาที่เรียนตอนอยู่อิตาลีคือ Industrial 4.0 เปิดโลกมากเพราะเขาสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่เขาใช้กันเป็นปกติ (หลายอย่างเพิ่งเป็นที่พูดถึงไนไทย) มีแล็บให้เราเข้าไปดูงานและสังเกตเทคโนโลยีที่เขาใช้กัน

เทอมที่ 3 Heriot-Watt University (Scotland)

ที่นี่จะเข้าโหมดจริงจังหน่อย ถึงวิชาเรียนถึงจะขึ้นชื่อว่า Leadership แต่เน้น Paper, การเขียนเชิงวิชาการ, การอ้างอิง Citation เป็นหลัก มีประโยชน์มากตอนทำธีสิสเทอมสุดท้าย

พรีเซนต์จบปึ้ง!
พรีเซนต์จบปึ้ง!

Q: ชอบวิชาไหนที่สุด?

จำได้แม่นเลยว่าเมื่อ 5 ปีก่อน มิ้นได้เรียนเกี่ยวกับความยั่งยืน (Sustainability) เห็นชัดเจนว่ายุโรปไปไกลมากกกก ทั้งเรื่องวิธีสอน การคำนวณ Carbon Footprint หรือปริมาณก๊าซเรือนกระจก (โดยเฉพาะ CO₂) ที่ถูกปล่อยออกมาจากการทำกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งการที่เขามีองค์ความรู้พร้อมขนาดบรรจุในหลักสูตรให้ทุกคนเรียนได้ แสดงว่าต้องผ่านการศึกษาอย่างเข้มข้นจริงๆ ค่ะ

เท่าที่มิ้นสังเกตในยุโรปเรื่องสิ่งแวดล้อมคือซีเรียสสุดๆ เราแทบจะไม่เจอการใช้พลาสติกเลย แล้วยังมีนโยบายที่ปลูกฝังเรื่องนี้ให้ประชาชน เช่น มีเครื่องให้หย่อนขวดพลาสติกไปแล้วจะได้เงินคืนกลับมา แนวคิดคือให้คน “ไม่สร้างขยะ” ก่อน แล้วให้การกำจัดขยะเป็นทางเลือกสุดท้าย

Q: เจอเพื่อนๆ แบบไหน?

รุ่นมิ้นได้เรียนกับเพื่อน 22 ประเทศ ทั้งจากซูดาน อิหร่าน อิรัก ปานามา เอกวาดอร์ ฯลฯ ทุกคนน่ารัก~ เปิดกว้างสุดๆ เหมือนเป็นตัวแทนของประเทศตัวเองเลย แล้วบางคลาสเรียนรวมกับโปรแกรมอื่นก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีก เช่น คาซัคสถาน เอธิโอเปีย ฯลฯ เวลาเรียนอาจารย์มักจะคละให้คนแต่ละโซนอยู่กลุ่มเดียวกัน 

ถ้าสไตล์คนเอเชียเจอวัฒนธรรมการเรียนมาคนละแบบ อาจจะเกาะกลุ่มกันแล้วเป็นแนวแบบ “อะๆๆ ยอมได้ก็ยอม” มีความ Compromise กันเยอะ แต่ถ้าเป็นฝั่งสเปน เยอรมัน ฝรั่งเศส จะไม่มีใครยอมใครเลย ไฟต์กันตรงๆ เอาเหตุผลมาคุยกันให้เคลียร์ตรงนั้น แล้วพอจบออกจากห้องมาไปกินข้าวกันได้เหมือนเดิม ไม่มีเอาไปเม้าท์ลับหลัง สกิลแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานของเขาเด็ดขาดมากๆ

Q: คิดว่าอะไรคือข้อดีของการมาเรียนที่ยุโรป?

เราได้เรียนรู้ Case Studies ใกล้ตัวจากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำในทวีปค่ะ ได้เข้าถึงเนื้อหาที่เป็นต้นฉบับ (Original) ที่ไม่ได้ผ่านการแปล วิเคราะห์ ตีความ หรือปรุงแต่งมาอีกที // ตัวอย่างที่เจอบ่อยมากตอนเรียนคือกรณีศึกษาของ ZARA (แบรนด์สเปน), IKEA (แบรนด์สวีเดน) หรือแบรนด์รถยนต์สัญชาติยุโรป

นอกจากนี้มหา’ลัยยังพาเราไปดูงานจริง เช่น ดูระบบการจัดการคลังสินค้าของสำนักงาน IKEA ที่อิตาลี, มีวิชาส่งเสริมวัฒนธรรมที่พาเราไปมิวเซียม เที่ยวเมืองโตเลโด (Toledo) ใกล้กับมาดริด (Madrid) พร้อมกับฟังแง่มุมประวัติศาสตร์ไปด้วย

นอกห้องเรียนก็มีกิจกรรมที่ช่วยเสริมประสบการณ์ เช่น Internaitonal Dinner ให้เพื่อนๆ นำอาหารประเทศท้องถิ่นของตัวเองมาแชร์กัน โชคดีมากค่ะที่ตอนนั้นหิ้วผงปรุงรสสำเร็จรูปจากไทยไปเยอะมากกก ได้เอามาใช้งานนี้เลยค่ะ

เยี่ยมชมโรงงาน IKEA
เยี่ยมชมโรงงาน IKEA
ไปเที่ยวนอร์เวย์
ไปเที่ยวนอร์เวย์
ไปเที่ยวนอร์เวย์
ไปเที่ยวนอร์เวย์

Q: บรรยากาศแต่ละประเทศเป็นยังไงบ้าง ชอบที่ไหนสุดคะ?

โดยรวมบรรยากาศแต่ละประเทศก็มีเสน่ห์เป็นของตัวเอง ที่สเปนบ้านเมืองสวย สะอาด คนใจดีและช่วยเหลือดีมาก (แต่อาจต้องระวังเรื่องคนสูบบุหรี่เยอะ) ส่วนตอนไปมิลาน (Milan) ส่วนตัวรู้สึกเข้าถึงยากสุด คนที่นั่นมีความ Proud to be Italian แต่คิดว่าแต่ละโซนน่าจะไม่เหมือนกันค่ะ

แต่ถ้ามหาวิทยาลัยที่สวยสุดๆ ยกให้ Heriot-Watt University (Scotland) สวย สะอาด บรรยากาศดี ต้นไม้เยอะ แล้วคือมิ้นไปช่วงจะจบหน้าหนาวแล้วเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดีก็เลยเจอดอกไม้ Bloom สีชมพูทั้งถนน~~ แล้วที่ทำให้ใช้ชีวิตง่ายกว่าประเทศอื่นคือเขาใช้ภาษาอังกฤษกัน เราจะมีติดแค่เรื่องอาหารกับสภาพอากาศเลยค่ะ

Q: เป็นการตัดสินใจลงทุนที่คุ้มค่าไหม?

ที่สุดค่ะ มิ้นได้ไปเจอ-ทำ-เห็นอะไรที่คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสแน่ๆ ถ้าไม่ตัดสินใจพาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น คงไม่รู้เลยว่าจริงๆ โลกเรามีอะไรมากกว่าที่เคยคิดแค่ไหน ได้เพื่อนใหม่จากหลายประเทศที่ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาเรียนรู้วัฒนธรรมของกันและกัน (ทุกวันนี้ก็ยังมีติดต่อกันเลย) เวลาเพื่อนต่างชาติมาเที่ยวก็นึกถึงเราแล้วติดต่อมา หรือบางคนไปเจอคู่รักที่นั่นก็มีนะ ยิ่งถ้าใครชอบไปออกกำลังกาย รับรองเลยว่าสภาพแวดล้อมจะช่วยฮีลใจเราได้แน่ค่ะ! 5555

. . . . . . . .

เล่าเกี่ยวกับงาน Consult
สนุก ท้าทาย บันเทิงรายวัน

ขออธิบายก่อนว่างานที่ปรึกษาจะมี 2 ประเภทใหญ่ๆ 

  • Consult (ที่ปรึกษาธุรกิจ) มีความเป็น Generalist ที่รู้รอบ เข้าใจภาพรวมของการปฏิบัติงาน ไม่ได้เชี่ยวชาญเฉพาะทางใดทางหนึ่ง
  • Corporate (พนักงานบริษัท) รู้ลึกแบบ Specialist ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง งานจะมีความต่อเนื่องและชัดเจนเป็น Routine-based

ปัจจุบันมิ้นทำงาน Consultant สาย Supply Chain ในบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกกลุ่ม Big 4 แห่งหนึ่งค่ะ โดยปกติแล้วเรื่อง Supply Chain จะมีตั้งแต่การวางแผน -> จัดหา -> ผลิต -> ส่งมอบ และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเคมี อาหาร การเงิน สิ่งพิมพ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ

ในมุม Consultant เราไม่ได้ลงไปทำเอง แต่จะเป็นคนให้คำปรึกษาแนวคิด แนวทาง หรือแนะนำวิธีแก้ปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญและอยากแก้ไขเพื่อลดการสูญเสีย Loss ที่อาจเป็นได้ทั้งต้นทุน เวลา ทรัพยากร และโอกาส สไตล์งานไม่ได้เป็น Routine ซ้ำเดิม แต่เป็น Project-based ที่เราจะรู้เพียงขอบเขตงานกว้างๆ เท่านั้น เราคาดเดาไม่ได้ว่าจะเจอลูกค้าสไตล์ไหน

โจทย์ของลูกค้าแต่ละที่ก็แตกต่างกัน เช่น บริษัทเขามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว แต่เจอปัญหานี้แล้วควรแก้ยังไงดี? ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์สูงจะได้เปรียบ เพราะมี Database และ Best Practice ที่สามารถเลือกมาประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาแต่ละเคสให้ลูกค้าได้

ดังนั้น Consultant เป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ความยืดหยุ่น และพร้อมเข้าไปทำความรู้จักธุรกิจของลูกค้าเราในเชิงลึก เพราะแม้คอนเซ็ปต์จะคล้ายกันแต่รายละเอียดของแต่ละอุตสาหกรรมก็ไม่เหมือนกันอยู่ดีค่ะ

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น