Hej! สวัสดีค่ะชาว Dek-D หลังจากที่ห่างหายกันไปนาน ในที่สุดคนไทยก็กลับมาอยู่ในลิสต์ผู้มีสิทธิ์สมัครทุนรัฐบาลสวีเดน Swedish Institute (SI) ได้อีกครั้งในปี 2025
ซึ่งหากพูดถึงการเรียนต่อ “สายแพทย์” หรือ “วิทย์สุขภาพ” ในโซนยุโรป หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่คนรู้จักกันดีคือ Karolinska Institutet (KI) ในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน หากอ้างอิงจาก QS World University Rankings by Subject 2024: Medicine สาขาการแพทย์ที่นี่อยู่สูงถึงอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 1 ของประเทศเลยค่ะ
การเรียนในประเทศที่ระบบจัดการสาธารณสุขมีประสิทธิภาพอย่างที่สวีเดน จะเป็นยังไงบ้างนะ? เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ “พี่รัฐ-ปัญโญวัฒน์” จบ ป.ตรี คณะแพทย์ ม.ขอนแก่น จบมาเข้าวงการทำงานสายไอทีสุขภาพ ก่อนจะติดทุนรัฐบาลสวีเดนไปเรียนต่อ Health Informatics ที่ Karolinska และปัจจุบันกำลังทำงานในองค์กรที่มุ่งสร้างมาตรฐานระบบสุขภาพของไทยให้แข็งแกร่งและได้มาตรฐานสากลค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มพาร์ตแรกกันเลย!
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา
อ่านจบลิสต์ข้อสงสัยไว้ แล้วเตรียมมาพูดคุยปรึกษาแบบ 1:1 กับ "พี่รัฐ" ตัวจริงที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ บอกเลยว่ารอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี, ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+, ทุนตรงจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) ขนทัพมาพร้อมไฮไลต์อีกแน่นงาน
Note: พบพี่รัฐได้ในวันเสาร์


ชอบด้านไอทีตั้งแต่ตอนเรียนแพทย์
เท้าความก่อนครับว่าผมสนใจด้าน IT ตั้งแต่เรียนหมอแล้ว สมัยเรียนก็พยายามหาข้อมูลว่าสาขาไหนบ้างที่จะได้ประยุกต์ IT + Healthcare เข้าด้วยกัน ก็ได้มารู้จักสาขา Health Informatics นี้ เคยคิดว่าจบหมอแล้วจะไปเรียนต่อด้านนี้ แต่ผ่านไปเป็น 10 ปีก็ยังหาจังหวะไม่ได้ ก็ทำงานไปเรื่อย ๆ เคยทำงานมาหลายที่ เคยอยู่แผนกไอทีโรงพยาบาลรามาฯ เคยทำ Start-up ของตัวเอง
จนกระทั่งวันนึงไปเจอโพสต์ของรุ่นพี่ทุนรัฐบาลสวีเดนที่รู้จักเขาโพสต์ว่า ทุน SI กลับมารับคนไทยแล้วนะ! // ถ้าใครเตรียมจะสมัครอยากให้คอยเช็กปีต่อปี เพราะที่ผ่านมาก็มีช่วงที่คนไทยไม่ได้อยู่ในลิสต์ผู้มีสิทธิ์สมัครได้
ผมตั้งต้นจากทุนก่อนเพราะเป็นโอกาสที่น่าสนใจ ตอนนั้นยังไม่รู้จักสวีเดนมาก นอกจากเป็นประเทศนึงในยุโรป ก็พบว่ามี Karolinska Institutet (KI) ที่เขาเปิดสอนสาขา Health Informatics ที่อยากไปเรียน ตอนสมัครไม่ได้รู้ด้วยว่าเขาดัง จนไปเรียนจริงถึงเริ่มรู้จักว่าเขาเป็นสถาบันที่เด่นด้านแพทย์แห่งหนึ่ง สุดท้ายสมัครและก็ได้ทุนไปเรียนในปี 2016 ครับ ตอนนั้นยื่น GPA ป.ตรี 2.8 TOEFL ประมาณ 100 และที่ผมว่าอาจมีส่วนช่วยให้ได้ทุนก็คือการมีประสบการณ์ทำงานด้าน Healthcare IT มาก่อน

ไปอยู่ยุโรปครั้งแรกในชีวิต
แทบไม่เห็นแสงอาทิตย์ในหน้าหนาว!
อาจเพราะเป็นการไปสัมผัสชีวิตที่ยุโรปครั้งแรก ก็เลยรู้สึกอะไรก็ดี น่าตื่นตาตื่นใจไปหมด พอลงตัวแล้วก็ยังรู้สึกประทับใจที่ตัวเมืองเค้าจัดการดี ไม่วุ่นวายพลุกพล่าน ใช้ชีวิตได้แบบชิลๆ แต่ที่ต่างสุดน่าจะเรื่องอาหารการกิน เพราะต้องทำอาหารกินเองด้วยถ้าเกิดอยากบริหารเงินทุนให้พอใช้แต่ละเดือน
สำหรับสภาพอากาศที่กรุงสตอกโฮล์ม หนาวน้อยกว่าที่คิด อย่างมากก็ลบสิบองศา ซึ่งใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ หน่อยก็สบายแล้ว ส่วนใหญ่เราอยู่ในอาคาร ก็มีฮีตเตอร์ แต่คนไทยน่าจะไม่ชินเรื่องท้องฟ้ามืดเร็ว ยิ่งช่วงปลายปีอาจมีช่วงสว่างแค่สัก 3 ชั่วโมงเท่านั้น พอเรียนเสร็จออกมานอกห้อง อ้าว มืดแล้วเหรอ!


เรียนโปรแกรมภาษาอังกฤษ
ไม่ได้ภาษาสวีดิชก็ไม่ติดอะไร
ผมไปเรียนสวีเดนมา 2 ปีครึ่ง ช่วงแรกยากเรื่อง “ภาษา” ถึงจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษก็จริง แต่ผมใช้ชีวิตในไทยเรียนโปรแกรมไทยมาตลอด ก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้น พอมาที่นี่ต้องคุยต้องพรีเซนต์ต่อหน้าคนเยอะๆ ก็ต้องปรับตัว ซึ่งก็ถือว่าได้ฝึกทักษะที่ได้ใช้ตอนทำงาน
แต่ผ่านไปแค่เทอมนึงก็ลงตัวแล้วครับ ชีวิตใช้ภาษาอังกฤษแทบจะทั้งหมด ภาษาสวีดิชจบมาพูดได้ไม่ถึง 10 คำเลยมั้ง แอบเสียดายว่าน่าจะฝึกให้มากกว่านี้ครับ
Health Informatics = Health + IT
ขยับมามองระบบสาธารณสุขในภาพใหญ่
เป็นการศึกษาเพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานด้านการดูแลสุขภาพ เช่น ระบบที่ใช้ในคลินิก โรงพยาบาล แอปพลิเคชันสุขภาพ หรือแม้กระทั่งการบริหารจัดการข้อมูลในงานสาธารณสุข (Public Health) ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจับความรู้ไอทีมาวางตรงไหน
จากเมื่อก่อนผมเรียนวิชาสายแพทย์ที่เน้นรักษาคนไข้ พอเข้าใจระบบสุขภาพหรือการทำงานในภาพรวม แต่ไม่ค่อยรู้เบื้องหลังลึกๆ เช่น เรื่องกระบวนการเบิกค่าใช้จ่ายของคนไข้ การบริหารจัดการของแต่ละกองทุน หรือการทำงานของระบบ IT ที่ใช้สถานพยาบาลครับ ข้อดีคือเรื่อง Health IT ของประเทศสวีเดนถือว่าไปไกลพอสมควร ส่วนไทยเองยังสามารถพัฒนาได้อีกเยอะ

ตารางไม่อัดแน่น ครอบคลุมทุกเรื่องที่ควรรู้
เพื่อให้ประสานงานกับทุกฝ่ายได้
ถ้าถามว่าเรียนหนักไหม ผมว่าตารางเรียนตอนอยู่สวีเดนไม่อัดแน่นเลย และเหมือนกับเรียน Introduction to everything ที่เกี่ยวกับ Health IT เนื้อหาไม่ยากเพราะก็เคยทำงานสายไอทีสุขภาพมา 5 ปี หลายๆ อย่างก็พอรู้อยู่แล้ว ถ้าจะ enjoy กับสายนี้คิดว่าอย่างน้อยๆ คงต้องชอบอะไรสักอย่างในไอที เดี๋ยวมันก็มีจุดให้มาประยุกต์ใช้ใน Healthcare ได้เอง
ในแต่ละรายวิชา ก็ไม่ค่อยมีเรียนเท่าไหร่ ในสัปดาห์หนึ่งอาจจะมีเรียนไม่กี่วันแต่ช่วง free time จะเยอะ ที่สามารถเรียนเพิ่มเติมได้ตามความสนใจ ในวิชาที่เรียนบางครั้งก็มี workshop ให้ได้ลงมือทำจริง มีทำงานกลุ่มแล้วมาพรีเซนต์กัน มีคนทำงานจริงมาแชร์ประสบการณ์ ข้อดีก็คือถ้ามีเรื่องที่สนใจก็จะมีเวลาให้ explore จนรู้ลึกๆ เก่งๆ ไปเลย แต่ข้อเสียคือถ้าไม่สนใจอะไรเลยก็อาจจะไม่ค่อยได้อะไร
เพื่อนๆ ในคลาสส่วนใหญ่เป็นคนยุโรป แต่ก็มีหลากหลาย Background บางคนทำงานในบริษัท Consult ใหญ่ๆ หรือเป็นผู้บริหารในโรงพยาบาล ส่วนอาจารย์ที่สอนก็มักเป็นคนที่ทำงานด้านนี้โดยตรง มีเชิญคนทำงานมาบรรยายบ้าง มีโพรเจ็กต์ที่ให้เราได้ทำงานร่วมงานกับหน่วยงานต่างๆ
ตัวอย่างวิชาเรียน
- Introduction to Computer Science เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และการดูแลสุขภาพ
- User Experience (UX) Design วิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้และการออกแบบระบบสารสนเทศสุขภาพให้สอดคล้องกัน
- Project Management พัฒนาทักษะในการบริหารจัดการโครงการและการประยุกต์ใช้เครื่องมือต่างๆ ในสาขา
- Cyber Security ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบสารสนเทศสุขภาพ
- Public Health การพัฒนาระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการดูแลสุขภาพของประชาชน
- Data Science วิธีการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ // ผมมีโอกาสมาเรียนและลองทำครั้งแรกที่นี่)
- Simulation เรียนการจำลองสถานการณ์ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจและปรับปรุงกระบวนการทางสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ



6. เคยเรียนแพทย์แล้วสอบตกเรื่อง CPR
เลยตัดสินใจทำเกมเป็นธีสิสจบ!
จริงๆ โปรเจ็กต์จบสาขานี้ไปได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับเราจะเอาไอทีไปวางตรงไหนในระบบสาธารณสุข บางคนทำเรื่องการวิเคราะห์ปริมาณคนไข้ที่เข้ามาในจุดใดจุดหนึ่งของโรงพยาบาลในช่วงเวลาหนึ่ง บางคนทำเกี่ยวกับการจำลองการชนของกะโหลกศีรษะกับถนน ซึ่งเป็นการศึกษาเชิง Simulation หรือบางคนเลือกทำนโยบายสุขภาพ หรือใช้ Data Science วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ และบางคนก็เน้นออกแบบ UI เพื่อเสริมเครื่องมือที่เกี่ยวกับระบบสุขภาพ เป็นต้น
ส่วนผมเลือกทำธีสิสเป็น 3D Game คอนเซ็ปต์คือ “Practice Saving Lives While Playing a Game” สอนเรื่อง CPR กู้ชีพ เพราะตอนเรียนหมอผมสอบตกเรื่องนี้ เลยรู้สึกว่ามันน่าจะมีแอปหรือเกมที่ช่วยให้การเรียนเรื่องนี้ง่ายขึ้น แล้วส่วนตัวก็สนใจด้านไอทีกับการทำกราฟิกอยู่แล้ว ก็เลยเลือกทำเรื่องนี้ถึงแม้ว่าชีวิตนี้จะไม่เคยทำเกมมาก่อน ต้องศึกษาใหม่หมดทั้งเรื่อง 3D Model, Game Programming, Animation ฯลฯ นอกจากนี้ยังต้องทำวิจัยประเมินประโยชน์ของเกมต่อความรู้ในการ CPR ของผู้เล่น และทำเกมออกมาภายใน 3 เดือนพร้อมเล่มจบด้วย จริงๆ ก็เป็นช่วงที่หนักพอสมควร
ในแง่ขั้นตอนการทำ ก็เสนอโครงการกับอาจารย์ที่ปรึกษา ถ้าเขาให้หัวข้อผ่านแล้ว ก็ทำตามที่ดีไซน์ไว้ และตอนท้ายของปีก็จะมีหนึ่งวันที่เขาให้นักศึกษานำเสนอวิทยานิพนธ์กัน อาจารย์ก็จะมาฟังและให้ฟีดแบ็ก ถ้าผ่านก็จบได้ ไม่ผ่านก็ไปแก้ ในแง่ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสอบวิทยานิพนธ์ผ่าน ผมว่าสิ่งสำคัญคือการสื่อสารกับที่ปรึกษาอย่างสม่ำเสมอ
7. เรียนจบมองหางานที่สร้างอิมแพค
พัฒนามาตรฐานข้อมูลทางการแพทย์ในไทย
ปัจจุบันผมทำงานตำแหน่งผู้จัดการที่ THIS หรือ “สำนักพัฒนามาตรฐานระบบข้อมูลสุขภาพไทย (สมสท.)” รับผิดชอบหลายโปรเจกต์เกี่ยวกับการผลักดันการใช้งานมาตรฐานข้อมูลในไทย ถือว่าได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบสุขภาพในประเทศครับ
เป้าหมายของ THIS คือการพัฒนามาตรฐานระบบข้อมูลสุขภาพให้เป็นสากล ซึ่งมาตรฐานนี้จะทำให้ระบบข้อมูลมีคุณภาพ แลกเปลี่ยนกับที่ต่างๆ ได้สะดวกขึ้น (ตัวอย่างข้อมูล อย่างเช่นประวัติว่าผู้ป่วยเป็นอะไรมาก่อน รักษายังไง มีตัวเลือกการรักษายังไงบ้าง ฯลฯ) ถ้าข้อมูลดี ระบบการรักษาจะมีประสิทธิภาพขึ้นตามไปด้วย เป็น Output ที่จะส่งต่อถึงทุกคน
พูดถึงเรื่อง “มาตรฐานข้อมูล” สำคัญยังไง? ข้อมูลที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ดีต้องถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นระบบ มีโครงสร้างชัดเจน มีการบันทึกในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งสิ่งนี้ก็คือ “มาตรฐาน” นั่นเองครับ มาตรฐานข้อมูลจะทำให้ข้อมูลมีคุณภาพขึ้น และสามารถเชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย
ลองเปรียบเทียบกับเวลาทำวิจัย เราต้องออกแบบฟอร์ม คำถาม หรือพวกตัวเลือกต่างๆ สำหรับเก็บข้อมูลใช่ไหมครับ มาตรฐานข้อมูลทางการแพทย์ก็คล้ายๆ แบบนั้นครับ แต่อาจเพิ่มความซับซ้อนขึ้นไปอีกหลายๆ เท่าครับ
เว็บมหาวิทยาลัย Facts about KI8. งานบรรยายในไทยไม่ขาด
และมีโอกาสไปเปิดโลกระบบที่ต่างประเทศ
ที่ต่างประเทศก็มีองค์กรที่ทำงานด้านมาตรฐานระบบข้อมูลสุขภาพเหมือนกันครับ งานของผมก็มีโอกาสทำงานกับต่างประเทศอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ก็ไปประเทศใกล้ๆ อย่างสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เกาหลี หรือไกลหน่อยก็ศรีลังกา สวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ ส่วนในไทยก็มีบรรยายหรือการทำโครงการกับหน่วยงานต่างๆ ครับ
8. ว่าด้วยเรื่องโอกาสทำงานหลังเรียนจบ
สำหรับคนเรียน Health Informatics
ตอนเรียนสวีเดนผมก็มีโอกาสให้เราเข้าไปทำงานร่วมกับบริษัทต่างๆ และหลายคนก็ได้ทำงานที่นั่นต่อเลย คิดว่าส่วนใหญ่หางานต่อกันได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เป็นอย่างไรนะครับ ตอนนี้ในเทรนด์โลก ความต้องการด้าน IT มีสูงก็จริง แต่ดูข่าว layoff พนักงานสาย IT ก็เยอะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
แต่ถ้าพูดถึงสายนี้ในไทย ผมว่าขึ้นอยู่กับว่าเราจะอยู่ในส่วนไหน ก็พูดตรง ๆ ว่าโดยรวมทำงานสายแพทย์ปกติๆ ก็ดูจะมี Career Path ที่ชัดเจนกว่า เช่น เงินเดือนจะอยู่ประมาณนี้ หรือโอกาสเติบโตในสายงานจะเป็นแบบไหน แต่ถ้าทำสาย Health IT อาจยังไม่มี Career Path ที่ชัดเจนมากนัก เพราะสายนี้ยังถือว่าใหม่ในไทยครับ

แชร์บันทึกการเดินทางในชีวิต
ฉบับนักเรียนทุนและคนสาย Health Informatics
ต้องบอกว่า Dek-D มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่รัฐ ศิษย์เก่าทุนรัฐบาลสวีเดน เพราะบังเอิญไปเจอเพจและบล็อกของเขาค่ะ ปัจจุบันยังคงมีอัปเดตเนื้อหาใหม่ๆ คล้ายกับเป็นบันทึกชีวิตการเรียน การทำงาน บวกกับเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับคนที่สนใจเรียนต่อโดยเฉพาะด้าน Health Informatics และคนเตรียมสมัครทุนรัฐบาลสวีเดน สรุปไว้ให้อ่านง่ายและมีข้อมูลเชิงลึกที่หาอ่านไม่ได้จากที่ไหน
สำหรับเพจ Rath Panyowat จริงๆ หลักๆ เน้นอัปเดตเกี่ยวกับเรื่อง Health Informatics มากกว่า นานๆ ทีจะมีข่าวสนเรื่องทุนที่น่าสนใจ ส่วนบล็อก rath.asia ก็จะเป็นเนื้อหายาวๆ เป็นหลัก แนะนำให้กด Bookmark ไว้แล้วไปติดตามกันนะคะ!
- LinkedIn: Rath Panyowat
- Facebook Page: Rath Panyowat
- Twitter: @rathpanyowat
- Instagram: rath.panyowat

. . . . . .
[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่นักเรียนทุน ป.ตรี/โท/เอก อย่าพลาดโอกาสนี้! เพราะรอบนี้เราได้รับเกียรติจากทั้งศิษย์เก่าทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี, ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+ รวมถึงทุนจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) เปิดบูทให้ทุกคนสามารถ Walk-in เพื่อพูดคุย ปรึกษา หรือรีวิว SoP แบบตัวต่อตัวได้
- แจกฟรี Planner วางแผนเรียนต่อนอกสำหรับมือใหม่
- IELTS Mock Test - ทดลองสอบ IELTS ฟรีโดย British Council IELTS (Walk-in only)
- Alumni’s Talk: #ทอล์กเด็กนอก รายการพูดคุย-สัมภาษณ์รุ่นพี่นักเรียนทุนจากหลากประเทศ & แชร์ประสบการณ์เรียนต่อ การใช้ชีวิต จัดเต็ม 24 หัวข้อสุด Exclusive
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair 2025 งานเรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
0 ความคิดเห็น