Greetings! สวัสดีค่าชาว Dek-D เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าเด็กมหาวิทยาลัย Top 3 ของโลกอย่าง University of Oxford เขาเรียนกันยังไงบ้าง? แล้วชีวิตในเมืองมหาวิทยาลัยสุดคลาสสิกของอังกฤษแห่งนี้ จะเต็มไปด้วยเรื่องราวแบบไหน?
วันนี้จะพาไปเปิด Oxford Experiences ฉบับ “พี่แม็ค–วชิรวิทย์ คงคาลัย” ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่สู้กับการสอบ IELTS และการสมัครทุน Chevening หลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เข้าเรียนหลักสูตร Master of Public Policy (MPP) ที่ Blavatnik School of Government, University of Oxford สำเร็จ! พบบรรยากาศการเรียนที่รายล้อมด้วยเพื่อนร่วมคลาสระดับว่าที่ผู้นำโลก อาจารย์และแขกพิเศษระดับ High-profile อีกทั้งยังเป็นหลักสูตรสุดเข้มที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านนโยบายต่างๆ ด้วยเทคนิค แนวคิด และเครือข่ายในระดับ World Class เพียงปีเดียว
“Tea’s on, scones are warm, and stories are ready—shall we begin?”
ขอชวนจิบชาร้อนๆ หยิบสโคนนุ่มๆ ข้างจาน แล้วไปเริ่มฉากห้องรับแขกที่พี่แม็คแย่งรีโมตทีวีกับคุณตาของเขากันเลยค่ะ
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ "พี่แม็ค" ตัวจริงได้ในวันอาทิตย์ที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ รอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย ก.พ. และ ทุน UIS, CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN Scholarships (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards (ออสเตรเลีย), และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน


จุดเริ่มต้นความสนใจสายการเมือง
เรื่องมีอยู่ว่า…
ผมอยากให้เครดิตคุณตาที่บ้านครับ 555 ตอนเด็กๆ เราชอบแย่งรีโมตทีวีกัน คุณตาจะดูข่าว ผมจะดูการ์ตูน ตอนถึงเทิร์นเขาก็ชวนคุยว่าทำไมนักการเมืองคนนี้พูดแบบนี้ ทำแบบนี้ แล้วเราที่เป็นประชาชนพอจะทำอะไรได้บ้าง ทำให้ผมค่อยๆ ซึมซับมาเรื่อยๆ แล้วช่วงที่จะเข้ามหาลัย ผมก็ดันติดอ่านมติชนสุดสัปดาห์อีก ตอนนั้นคอลัมนิสต์หลายคนอยู่ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กับ ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.) เวลาอ่านจะรู้สึกมันส์ส์ส์ส์ สนุก มีจับประเด็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้น และที่สำคัญคือ เหตุการณ์เหล่านั้นมันกระทบกับเราอย่างไร พอมองแบบนี้ เราก็เลยอยากจะอยากจะรู้ให้มากกว่าเดิม
จากที่สนใจการเมืองในฐานะผู้สังเกต ผมเริ่มอยากเข้าไปเรียนรู้แบบจริงจัง และตัดสินใจสมัครเข้าคณะรัฐศาสตร์ มธ.
จริงๆ ในคณะนี้มีแยกเป็นภาคการเมืองการปกครอง, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และบริหารรัฐกิจ (รัฐประศาสนศาสตร์) แต่ด้วยความที่ มธ. เด่นเรื่องการเมืองการปกครองมาก คนเลยแห่เข้าภาคนั้นกันเยอะ ผมเองก็เหมือนกันเพราะอยากทำงานฝั่งการเมือง แต่ตอน ม.ปลาย รู้สึกตัวเองไม่ฉลาดเท่าไหร่ (คิดดูว่ายุคนั้นยังเป็นระบบ Admission ผมสอบ ONET คณิตได้ 12/100) ทีนี้ก็เหลือทางเดียวคือสอบตรงครับ ถ้าเกรดไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ก็มีสิทธิ์สมัครได้
ผมตั้งใจอ่านหนังสือจริงจังและตั้งเป้าว่า “งั้นเข้าภาคบริหารรัฐกิจให้ได้ก่อน” แข่งโหดเหมือนกัน แต่น่าจะเป็นไปได้กว่า ในที่สุดก็สำเร็จครับ เข้ามาได้แบบงงๆ แต่พอได้เข้ามาเรียนจริงๆ แล้ว...
เฮ้ย! รู้สึกเรียนสนุกกว่าที่คิดไว้อีก
เราได้เรียนเรื่องการทำนโยบาย การบริหารงานภาครัฐ และประเด็นใหญ่ๆ ว่าเราจะทำยังไงให้นโยบายที่เสนอออกไปนั้นสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและรัฐบาลด้วย วิชาการเขาเก่งและเป็น practical จนผมยิ่งอินกับเรื่องนโยบายสาธารณะ (Public Policy) และการบริหารภาครัฐมากขึ้น
แล้วพอชอบก็ทำได้ค่อนข้างดีครับ จบ ป.ตรี ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง นอกจากนี้ ระหว่างเรียนผมยังเป็นประธานล้อการเมืองในปีที่มีรัฐประหาร และเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองด้วย ต้องบอกในช่วงนั้น นอกจากจะสุดในเรื่องเรียนแล้ว เรื่องกิจกรรมการเมืองก็ไม่ทิ้ง ไปสุดเช่นกัน ออกไปประท้วงก็บ่อย (โดนจับมาครั้งนึงมั้ง ถ้าผมจำไม่ผิด)
. . . . . . .
เส้นทางจากรัฐศาสตร์ มธ.
สู่สาขา Public Policy ที่ Oxford
ตอนเรียน ป.ตรี อาจารย์ที่สอนอยู่เห็นแววว่าน่าจะมาทางวิชาการได้ เลยอยากให้ลองเราเบนมาทางวิชาการ พูดง่ายๆ คือ อยากให้มาเป็นอาจารย์ที่สาขาต่อ แต่เราก็ต้องไปหาเรียนต่อ ป.โท ป.เอก แล้วถ้าจะให้ดีเลยก็ควรจบจากต่างประเทศด้วย ซึ่งก็ท้าทายพอสมควร ถ้าย้อนไป 15 ปีก่อน เกณฑ์คือถ้าจบ ป.ตรี เหรียญทอง อาจจะสมัครเป็นอาจารย์ต่อได้เลย แต่ตอนหลังเขาเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ว่าต้องจบ ป.โท หรือ ป.เอก ขึ้นไป สรุปคือก็ยังไม่ได้ไปไหน เพราะติดเรื่องทุนทรัพย์ + ภาษาอังกฤษเราเองก็ยังไม่แข็งแรง
หลังเรียนจบผมก็เลยตัดสินใจไปทำงานเป็น researcher ในบริษัทเอกชนอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วจุดหนึ่ง ผมทำงานและดันป่วยเข้าโรงพยาบาล ผมเลยลาออกมารักษาตัว ในระหว่างนั้นเอง มีเพื่อนคนนึงมาเยี่ยมพร้อมและถามว่าผม “สนใจไปร่วม project ไหม”
เอาจริงๆ ตอนนั้นผมเองยังไม่รู้หรอกว่ากำลังจะได้ไปทำอะไร แต่ไหนๆ โอกาสก็เข้ามาแล้ว เลยลองดูครับ ผมเลยตกลงไปทำงานกับกลุ่มนี้ และภายหลังก็ได้กลายมาเป็นพรรคการเมืองหนึ่ง โดยผมไปดูแลเรื่อง Data Analytics รีเสิร์ชและวิเคราะห์ข้อมูล หลักๆ ก็คือทำโพล ทำได้ประมาณ 5-6 ปีจนกระทั่งปี 2020 ก็ย้ายไปทำงานให้บริษัทที่ปรึกษากึ่งเอเจนซี่รับทำ marketing แห่งหนึ่ง
ตอนนี้อาจจะงงกว่าเส้นทางผมมันดูหลุดมาจากวิชาการ ไฉนมาลงเอยที่การเมือง และข้ามห้วยมาเอกสารอีกรอบ แต่ทั้งนี้หาก connect the dots งานที่ผมแตะมาตลอดจะเกี่ยวกับปัญหาสาธารณะ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ Public Policy อยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานในภาคราชการโดยตรงก็ตามครับ

จนกระทั่งผมสมัครติดทุน Chevening ครับ ตอนแรกผมเล็งอีกสาขาด้วยคือ Data Science เพราะอยากใช้ความรู้ Data สร้างอิมแพคให้สังคม แต่รู้สึกตัวเองอาจจะไปมึนกับเลขอีกรอบเหมือนตอนช่วง ม.ปลาย เลยไปเลือก Public Policy ที่สนใจโดยตรง และเลือกศึกษาพวก Data ในเชิงนโยบายเอา เพราะตอนนี้กระแสการใช้ข้อมูลในการกำหนดนโยบายมีมากขึ้น ดังนั้นหนีไม่พ้นอยู่แล้วครับ
ผมใช้เวลาไป 3 ปีกับการสมัครทุน Chevening และสอบ IELTS หลายครั้งกว่าคะแนนจะก้าวจาก 6 -> 7.5 และผ่านเกณฑ์ที่สมัครเข้าสาขานี้ได้
ทำไม University of Oxford ถึงตอบโจทย์?
ที่นี่เป็น Top U. ที่เด่นด้าน Academic มากๆ ได้เรียนรู้แบบเจาะลึก เปิดโลก เจอคนหลากหลายประเทศ เพราะถ้าจะทำงาน Public Policy แล้วสร้างอิมแพคได้จริงๆ จะนั่งคิดนโยบายคนเดียวอยู่ในห้องไม่ได้ แต่ต้องมีคอนเน็กชันกับเพื่อนทั่วโลก ซึ่งพอมาเรียนผมก็พบว่าเพื่อนร่วมคลาสที่ Oxford มีศักยภาพเป็นผู้นำในภาครัฐหรือเอกชน บางคนมีบทบาทตั้งแต่ก่อนเรียนด้วยซ้ำครับ
และอีกเหตุผลคือ ผมว่าเมือง Oxford มันน่ารัก น่าจะ slow life ได้
ปกติเด็กไทยที่ผมเจอ ถ้าเขามีโอกาส ทุนทรัพย์ถึง และได้มาเรียนอังกฤษ 1 ปี ส่วนใหญ่ก็อยากมา London ครับ เนื่องจากมันเป็นเมืองหลวง ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เดินทางไปเมืองอื่นง่าย ที่สำคัญโอกาสในการสร้างเพื่อนใหม่ๆ จะง่ายกว่ามาก ผมว่าเหมาะมากกับคนที่ยังมีแรงนะ แต่สำหรับผมคือมาเรียนตอนอายุใกล้ 30 ปี 555 เริ่มหมดแรงแล้ว เลยคิดว่าคงต้องเป็นเมืองที่เราใช้ชีวิตได้ช้าหน่อย ผมก็เลยเล็งไว้ที่ Oxford ไม่ก็ Cambridge ครับ แล้วก็ดันโชคดี ได้มาเรียนที่ Oxford
จริงๆ ตอนที่ผมรู้ตัวว่าติด Oxford ผมไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย ต้องเปิดดูตั้งหลายรอบ เพราะมันดูเกินเอื้อมมากครับ หลังจากรู้ผลว่ามหาลัยตอบรับเข้าเรียน อีกวีคก็รู้ผลเลยว่าได้ทุนมหาลัย ชื่อ ว่า Oxford Thai Foundation Scholarship แล้วต่อมาก็รู้ว่าได้ทุน Chevening ครับ สุดท้ายเลยเป็นทุนที่ joint กัน ผมก็เลยเป็นทั้งเป็นทั้ง Chevening และ Thai Oxford Foundation Scholars
พอยืนยันทุนแล้วก็เตรียมตัวบินมาอังกฤษเลยครับ


. . . . . . .
Reality Check!
ก้าวแรกกับหลักสูตร MPP ที่ Oxford
เล่าก่อนว่าจริงๆ สาขา Public Policy ที่ Oxford มี 2 หลักสูตรคือ
- MSc in Public Policy Research เน้นการศึกษาวิจัยเข้มข้น
- Master of Public Policy (MPP) ถ้าเทียบก็เหมือน MBA ของภาครัฐครับ มีความกึ่งวิชาการกึ่ง professional เน้นลงมือทำ และมีการฝึกงาน (Internsip) ก่อนจบ
ผมเลือกเข้า MPP ครับ เป็นหลักสูตร 1 ปี แต่ intensive นะ — Coursework จริงๆ มีอยู่ 9 เดือน แต่เหมือนอัดจากเนื้อหา 18 เดือน ระบบที่นี่แบ่งเป็น 3 เทอม เทอมละ 8-10 สัปดาห์ แล้วแต่มหาวิทยาลัย การเรียนเข้มข้นเพราะมหาลัยต้องการ push ให้เราไปถึงระดับแอดวานซ์อย่างรวดเร็ว เริ่มต้นเทอมแรกด้วยวิชาปรัชญาและเศรษฐศาสตร์ที่จะช่วยวางกรอบคิด เทอมต่อมาลงลึกไปเรื่องการออกแบบนโยบาย (Policy Making) ต่อด้วยเทอมที่เจาะลึกด้านที่สนใจ และปิดท้ายด้วยเทอม Summer สำหรับทำโพรเจกต์หรือฝึกงานแล้วส่ง Report/Dissertation
การเรียนที่นี่ใช้ระบบ Seminar-based สมมติในวิชานึงจะมีคลาสเลกเชอร์เรียนด้วยกัน 50-100 คน เค้าจะ ensure ว่าเราเข้าใจจริงๆ โดยมีแบ่งคลาสเล็ก 5-6 คนให้ถกเถียงหรือทำ workshop กัน ภายใต้การนำของ TA หรือ Seminar Leader ครับ งานจะมีให้ส่งหลักๆ 2 แบบ คือ 1. Formative Essay และ Summative Essay เรียงความแบบแรกจะเน้นทดสอบและสร้างความเข้าใจเนื้อหาให้กับผู้เรียน อารมณ์เหมือน pre test แต่หนักว่า เราต้องทุ่ม effort กับมันจริงๆ เกรดที่ออกมาซึ่งเต็ม 100% ถึงแม้จะไม่ใช่คะแนนจริงๆ ใน transcript แต่ก็ช่วยทำให้ผู้เรียนรู้สถานะตนเอง ว่าเรียนเป็นยังไง มีอะไรต้องปรับปรุงบ้างตาม feedback เพื่อปรับปรุงในเรียงความอัดถัดมา ซึ่งเกรดก็มาจากการสอบตอนสุดท้ายทีเดียวทั้ง 100% นั่นแหละ
แต่จริงๆ แล้วในแต่ละวิชาก็อาจจะมีการตัดเกรดที่แตกต่างกันไป เช่น มีผสมระหว่างการเขียน essay กับสอบในห้อง หรือทำ simulation ผสมกับเขียน report

ประสบการณ์เทอมแรกของผม
“ปวดหัววววว”
เทอมแรกค่อนข้าง struggle เพราะไม่ได้เรียนอินเตอร์หรือเจอระบบเรียนแบบอังกฤษมาก่อน เวลาใช้ภาษาตอนอยู่ที่โน่นก็ไม่ได้เหมือนในห้องสอบ IELTS เจอเพื่อนแต่ละคนก็ native ทั้งนั้น และผมเป็นคนไทยคนเดียวในจำนวนเพื่อนกว่า 140 คน เวลาทุกข์ก็ไม่รู้จะไปบ่นกับใคร ต้องบอกว่าฟังออกได้แค่ 60-70% เท่านั้น พูดตามไม่ค่อยทัน แต่หนีการพูดไม่ได้นะครับเพราะอย่างที่บอกว่าเป็น Seminar-based
แต่ในความโชคร้าย ก็ยังมีเรื่องดีๆ ครับ ผมเจอเพื่อนๆ และอาจารย์ที่น่ารักและมีความเห็นอกเห็นใจสูง พยายามเข้าใจและ cheer up แล้วมหาลัยยังเตรียม Online Materials กับอัดวิดีโอเก็บไว้ให้เราดูย้อนหลังได้ ซึ่งผมก็อาศัยฟังพวก record พวกนี้ 2-3 รอบ เป็นเหตุผลว่าทำไมเทอมแรกถึงพอตามทัน รวมๆ ใช้เวลาปรับตัว 2-3 เดือนครับ หมดเทอมพอดี

เพื่อนโพรไฟล์ยิ่งใหญ่ 140 คนจากทั่วโลก
ส่วนใหญ่เขาจะมักจะยกบริบทประเทศพัฒนาแล้วใช้สอน แต่คณะก็สนับสนุนให้นักเรียน contribute มุมมองของตัวเองเต็มที่ ทำให้เราได้ฟังเพื่อนจากอินเดีย ญี่ปุ่น อเมริกา แคนาดา ฯลฯ ส่วนผมเป็นคนไทยคนเดียวในคลาส ฟีลเหมือนเป็นตัวแทนประเทศที่ยกสถานการณ์ในไทยไปแชร์ในคลาสกับเขาด้วย
แล้วสิ่งที่ทำให้บรรยากาศในคลาสดุเดือดยิ่งกว่าคือโพรไฟล์สุดยิ่งใหญ่ของเพื่อนๆ เกือบครึ่งเคยทำงานในรัฐบาลระดับสูง เช่น ผอ.กรม, รองเลขาฯ, นักการทูต ฯลฯ บางคนเป็น Rising star ในองค์กรระดับโลกอย่าง World Bank, IMF, UNDP ฯลฯ นอกจากนั้นเป็นจากสาย Consult และบริษัทใหญ่ระดับโลก เช่น McKinsey, Big Tech หรือองค์กรเอกชนที่ทำงานเชิงนโยบาย อีกประมาณ 20% เป็นคนจาก NGO, มูลนิธิ, นักวิจัย, นักเคลื่อนไหว ไปจนถึงคนที่ทำงานกับพรรคการเมือง หลายคนวางแผนชัดเจนว่าเรียนจบแล้วจะกลับไปลงสนามการเมืองต่อ ซึ่งผมก็อยู่ในกลุ่มหลังนี่แหละ

มาดูตัวอย่างวิชาที่เรียนแต่ละเทอมกันครับ
เทอม 1: ปูพื้นฐานกรอบคิดทางปรัชญา จริยธรรม และเศรษฐศาสตร์
- วิชา Foundations ผมว่าคณะอยากให้เรามีกรอบความคิดหรือเข็มทิศทางจริยธรรม เลยมีวิชานี้ขึ้นเพื่อสอนหลักปรัชญาที่ใช้ออกแบบนโยบาย เช่น แนวคิดอรรถประโยชน์นิยม เสรีนิยม ความยุติธรรม ฯลฯ ผู้สอนหลักของวิชานี้คือ อาจารย์ Jonathan Wolff ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาการเมือง
การดีเบตจะเดือดครับ เช่นเมื่อเกิดสถานการณ์นึงขึ้น เราจะนำหลักการ/จริยธรรมไหนมาช่วยตัดสินใจ ถ้าฝั่งคนที่ยึดหลักเสรีนิยมหรือปัจเจกนิยมเป็นหลัก จะมองว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าเหมือนกัน ดังนั้นจะตัดสินใจบนฐานของคนหมู่มากอย่างเดียวไม่ได้ ต่างกับกลุ่มอรรถประโยชน์นิยม ที่มองว่าควรเลือกทางที่ทำให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์สูงสุด
- วิชา Economics for Public Policy เศรษฐศาสตร์คือหัวใจของการออกแบบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของนโยบายครับ วิชานี้เหมือนเอาเนื้อหาที่เรียนปี 1-4 มาไว้ใน 8 สัปดาห์ เราจะได้เรียนรู้ว่าจะออกแบบสวัสดิการ (welfare) ออกมายังไงให้สมดุลระหว่างการคลังของรัฐบาลกับผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เพราะนโยบายที่ดีต้องคำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาวด้วย จึงเป็นอีกวิชาที่ใช้ Logic สูงครับ
เทอม 2: เรียนเครื่องมือและกลไกการทำนโยบาย
- วิชา Principles of Law กฎหมายถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้แก้ปัญหาเชิงนโยบายได้อย่างเป็นระบบ เราต้องรู้หลักว่าถ้าเกิดปัญหานึงขึ้นมา ควรจะดูในมุมกฎหมายไหนระหว่างมหาชน แพ่ง และพาณิชย์ เพื่อให้จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ตอนเรียนจะได้เทียบกฎหมายและบทบัญญัติที่น่าสนใจผ่าน Case Studies ในหลากหลายประเทศ เช่น ในขณะที่ประเทศ A กับ B เลือกใช้วิธีนึงได้ ประเทศ C อาจเหมาะกับวิธีอื่นมากกว่า
- วิชา Politics of Policy Making เรียน framework ทางการเมือง บทบาทของตัวละครต่างๆ เช่น กลุ่มผลประโยชน์ในสังคม รัฐบาลท้องถิ่น การเมือง ข้าราชการ ฯลฯ ว่าถ้าเราอยากผลักดันนโยบายนึงให้เกิดขึ้นจริง ควรต้องผ่านตัวละครไหน มีใครได้หรือเสียผลประโยชน์บ้าง ใช้เกณฑ์ 1, 2, 3, 4,... ประเมินออกมาเพื่อให้นโยบาย Realistic มากขึ้น
- วิชา Evidence in Policy คล้ายวิชาระเบียบวิธีวิจัย แต่ปรับมาให้เหมาะกับ policymaker เน้นทำให้นโยบายถูก drive ด้วยข้อมูลมากกว่าความคิดและความเชื่อ มีความเป็นวิทย์มากขึ้น วัดผลได้ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม โดยไม่มีเรื่องอคติ (bias) ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

เทอม 3 ลึกไปอีก! เปิดโอกาสให้เลือกทางที่สนใจ
เทอมนี้จะได้เริ่ม specialize ว่าอยากไปทางไหน คณะจะให้เราลงวิชาเลือกตามความสนใจได้ ผมเลยไปทาง Tech & Digital Transformation เพราะสนใจนโยบายที่จะใช้เทคโนโลยีปรับปรุงระบบการทำงานของรัฐและธุรกิจให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น
ผมลงวิชาเลือกไป 2 วิชาคือ Digital Transformation in Government เรียนว่าภาครัฐจะปรับตัวยังไงในยุคดิจิทัล และอีกวิชาคือ New Economy and Regulation ที่พาไปดูว่าเศรษฐกิจใหม่ในปัจจุบันและอนาคตหน้าตาเป็นแบบไหน เช่น Platform Economy, E-Commerce และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น ได้เรียนรู้ทั้งผลกระทบมีอาจเกิดกับภาครัฐและเอกชน รวมถึงแนวทางการจัดการและวิธีกำกับดูแลที่ดีตั้งแต่ยุคที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยโทรคมนาคม, อินเทอร์เน็ต และ Tech Startup อย่างทุกวันนี้
และย้อนไปเมื่อเทอมแรก มีวิชาชื่อ Policy Challenge I ที่เรียนรู้นโยบายทั่วโลกว่าหน้าตาเป็นยังไง พอมาเทอมนี้เจอวิชา Policy Challenge II เป็นภาคต่อที่เป็นการ wrap up ทุกสิ่งที่เรียนมาใน 9 เดือนเป็น [Simulation] นักศึกษาจะถูกจัดกลุ่มให้สวมบทบาทเป็นรัฐบาล บริษัท หรือองค์กรระดับโลกแล้วมาเจรจาต่อรอง (Negotiation) ภายใต้สถานการณ์วิกฤตจริงๆ
ตอนรุ่นผมเรียนจะมี 3 สถานการณ์ให้เลือกคือ Sustainability / Cybersecurity / Nuclear Crisis ซึ่งผมเลือก Cybersecurity เจอเคสอินเทอร์เน็ตล่มใน South Africa ที่สร้างความเสียหายหนัก ทำให้ประชาคมโลกตั้งคำถามว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้วจะจัดการยังไง ในคลาสจะจำลองเวที UN มาเจรจาสร้างกฎหมายระหว่างประเทศฉบับใหม่ขึ้น เพื่อนแต่ละคนที่รับบทต่างๆ ต้องรักษาผลประโยชน์ฝั่งตัวเองพร้อมกับหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ร่วมกันครับ
ผมว่าวิชานี้สนุกมากกกก เป็น Transformative Experience เพื่อนบางคนเทพเรื่อง Negotiation จนผมแอบกลัว แต่โชคดีที่ตลอดการเรียน 9 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เราพูดคล่องขึ้น
ปิดท้ายด้วยเทอมซัมเมอร์ ฝึกงานพร้อมส่งรีพอร์ตจบ
ทางคณะจะแนะนำให้เราไปฝึกงาน (internship) กับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการทำนโยบาย เช่น สถาบันวิจัย, หน่วยงานรัฐ, องค์กรระหว่างประเทศ ฯลฯ โดยจะมี Final Product ที่เราต้องส่งกลับให้คณะ ซึ่งก็อาจเป็นรายงาน (Report) หรือวิทยานิพนธ์ (Dissertation) ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกจะไปต่อทาง Academic หรือ Practical
ตอนนั้นผมเลือกฝึกงานกับสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งครับ เป็นโพรเจกต์ที่ผมสนใจมาก นั่นก็คือการพัฒนา Index สำหรับวัดประสิทธิภาพของรัฐบาลในแต่ละประเทศว่าโครงสร้างและการทำงานของรัฐบาลนั้นมีองค์ประกอบที่ครบถ้วนแค่ไหน ผลสัมฤทธิ์ออกมาเป็นยังไง และควรจะปรับตรงไหนได้บ้าง
แต่ละประเทศจะมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว งานของเราคือเอามาวิเคราะห์ คิดคะแนนรวม แล้วจัดอันดับออกมาว่าประเทศไหนอยู่ระดับ best / worst เขียนรายงานประกอบ แล้วเอาดัชนีนี้มาประยุกต์ใช้กับไทยว่าบ้านเราน่าจะได้คะแนนประมาณไหน ถ้าเทียบกับประเทศอื่นแล้วเราขาดอะไรบ้าง เขียนออกมาเป็น Final Report ความยาว 5,000 คำ ส่งให้คณะครับ
รายละเอียดหลักสูตร MPP. . . . . . .
“Oxford is not just a place,
it’s an experience”
1. พิธีรับเข้าเรียนที่สืบทอดมาเป็นพันปี
เอกลักษณ์ของที่ Oxford และ Cambridge คือพิธีรับเข้าเรียนที่เรียกว่า ‘Matriculation’ จัดช่วงเดือนตุลาคมให้นักศึกษาเข้าใหม่ วันนั้นเราจะต้องใส่ชุดที่เรียกว่า ‘Sub fusc’ (เสื้อเชิ้ตสีขาว + เนคไทหรือหูกระต่ายสีดำ + สวมทับด้วยชุดครุย) เดินขบวนเข้าไปที่ Sheldonian Theatre เพื่อเข้าร่วมพิธีที่มหา’ลัยจัดขึ้นมาต่อเนื่องเป็นพันปี อธิการบดีจะขึ้นเวทีแล้วพูดภาษาลาติน ผมจำข้อความเป๊ะไม่ได้ แต่ใจความคือการยอมรับเราเข้าเป็นนักศึกษาอย่างเป็นทางการ
ถ้าเสิร์ชคำว่า ‘Oxford Matriculation’ จะเห็นภาพเลยครับว่าเหมือนอยู่ในโลกเวทมนตร์ พ่อมดแม่มดเดินกันทั่วมหาลัยเลย
2. เชิญผู้นำระดับโลกมาเป็น Guest Speaker เกือบทุกสัปดาห์
แต่ละสัปดาห์ใน Oxford มีกิจกรรมเยอะมากทั้งจากคณะ/วิทยาลัย/สถาบันในมหาลัยครับ สำหรับไฮไลต์นึงของ Blavatnik คือจะมีจัด Workshop ที่เชิญวิทยากรมาแทบสัปดาห์ ซึ่งแต่ละคนเป็นระดับ High-profile speaker อย่าง ‘Rishi Sunak’ อดีตนายกฯ ของอังกฤษก็เคยมาให้เลกเชอร์ (2025) หรือย้อนไปปี 2024 ‘Hillary Clinton’ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็เคยมาที่ Oxford ด้วยนะ
3. ระบบบ้านหรือ College เหมือนแฮร์รี่พอตเตอร์
ต้องบอกก่อนว่านักศึกษา 1 คน มีสถานะ 2 คือ
- เป็นนักเรียนของคณะ (School/Department) คือสังกัดทางวิชาการที่กำหนดว่าเราจะเรียนสาขาวิชาอะไร
- เป็นสมาชิกของบ้าน/วิทยาลัย (College) คือสังกัดที่ระบุว่าเราอยู่บ้านหลังไหน หมู่ไหนเป็นต้น เป็นที่ดูแลเราเรื่องความเป็นอยู่โดยรวม
ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คือ เหมือนมหาลัยเป็น 1 ตำบล แล้ว college คือหมู่บ้าน ส่วน school หรือ department คือสถานที่ทำงาน บริษัทห้างร้าน ชาวบ้าน 1 คนจะมีหมู่บ้านและสถานที่ทำงานที่แยกกันไป
ทั้งนี้เราจะมี Supervisor 2 คน ซึ่งคนหนึ่งสังกัดจากคณะ อีกคนจาก college ที่จะช่วยดูแลเราไปจนจบปีการศึกษา คอยติดตามว่าเรายังไหวไหม ในระบบ collegiate system มันจะมีกิจกรรมหลายอย่างที่ทำให้รู้จักทั้งเพื่อนคณะเดียวกันที่อยู่คนละ college และเพื่อนร่วม college ที่อยู่คณะอื่น เท่ากับขยายวงคอนเน็กชันไปอีกนะครับ
หลักๆ คือเขาจะมีระบบดูแลนักศึกษาที่แบ่งออกเป็นประมาณ 40 colleges กระจายในเมือง Oxford ข้อดีของการอาศัยอยู่ที่ College คือ เราจะสามารถประหยัดค่าหอและอาหารอย่างมากถ้าเทียบกับไปเช่าหอ หรือซื้ออาหารเองข้างนอก
จริงๆ ตอนที่สมัครเขาจะให้เราเลือกบ้านที่สนใจได้ด้วยนะ แต่สุดท้ายเขาจะจัดให้ตามความเหมาะสมอีกที ฟีลๆ หมวกคัดสรรของฮอกวอตส์ครับ

ตอนนั้นของผมได้อยู่ที่ ‘Wolfson College’ ซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมืองหน่อย รับเฉพาะนักเรียนระดับ Postgrad เท่านั้น (จริงๆ ชื่อบ้านใน Oxford จะคล้ายๆ กับของ Cambridge ที่นั่นก็มี Wolfson เหมือนกัน) เอกลักษณ์ของ College นี้คือเน้นความเท่าเทียม ต่างจากภาพจำของ Oxford ซึ่งปกติจะมีธรรมเนียมการแบ่งลำดับชั้นระหว่างสมาชิกใน College หรือมหาวิทยาลัย ตัวอย่างเช่น บาง College เก่าๆ จะมี High Table สำหรับคณาจารย์/แขกพิเศษ แยกไว้ต่างหาก และ Common Table สำหรับนักศึกษา
แต่สำหรับที่ Wolfson รวมถึง College ใหม่ๆ ทุกคนสามารถนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันได้หมด อย่างผมเองที่เคยกินข้าวอยู่ดีๆ แล้วมีศาสตรจารย์ด้านการพัฒนาเดินเข้ามาทาน lunch ด้วยกันแบบงงๆ ไม่ถือตัว หรือแม้บางครั้ง ตอนมา Formal Dinner ก็ได้มีโอกาสคุยกับ College Head ซึ่งนั่งกินไวน์อยู่ข้างๆ ด้วยครับ โดยรวมบรรยากาศของ College นี้จะเน้นความเป็นกันเอง ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมที่เน้นความหลากหลาย และความเท่าเทียวอันเป็นพื้นฐานของการพัฒนาแนวคิดและนวัตกรรมความก้าวหน้าของมนุษย์ครับ



4. Formal Dinner ดินเนอร์หรูในปราสาท
Formal Dinner คือธรรมเนียมการรับประทานอาหารร่วมกัน โดยจะไปร่วมโต๊ะที่บ้านอื่นได้ด้วย แต่ต้องได้รับบัตรเชิญจากเพื่อนที่อยู่บ้านนั้นก่อนครับ พูดง่ายๆ คือยิ่งรู้จักเพื่อนเยอะ ยิ่งเก็บได้เยอะ อาหารและบรรยากาศของแต่ละที่ก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันเลย
สำหรับผมบรรยากาศของ Formal Dinner คือเหมือนได้นั่งกินข้าวในปราสาทหรูๆ เป็นช่วงเวลาที่เกิดความคิดในใจว่า “ไม่รู้จะมีโอกาสได้กลับมาอีกมั้ย” ช่วงเวลา 1 ปีนี้ผมเลยพยายามไปเที่ยวส่วนต่างๆ ใน Oxford และ UK ให้มากที่สุดครับ

5. Social Gathering แบบอังกฤษๆ
เวลาไปนั่งใน British Pub, ร้านอาหาร หรือแม้แต่ในหอ บทสนทนาที่เกิดขึ้นมันมักไม่ใช่แค่ Small Talk แต่คือการพูดคุยเรื่องโพรเจกต์ งานวิจัย ไปจนถึงแผนชีวิตหลังเรียนจบ พูดง่ายๆ ว่าก่อนเข้าผับก็ต้องเตรียมตัวมาดี ถ้าไม่มีอะไรในหัวก็คุยกับเขาไม่รู้เรื่องครับ 555 หลายครั้งบทสนทนาธรรมดาๆ ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเก่งขึ้นตลอดเวลา และได้คอนเน็กชันแบบคุณภาพมากๆ
(แถม) และใช่ครับ ผมตกหลุมรัก Scone ที่อังกฤษ!
ผมชอบ English Breakfast กับ Scone ที่สุดแล้ว มันจะมีความนุ่ม ครีมมี่ ไม่แข็ง ไม่แห้ง เวลากินกับ clotted cream แล้วเหมือนชีวิตดีขึ้นเฉยเลยครับ เป็นรสชาติต้นตำรับที่หากินที่อื่นก็ไม่เหมือนกัน
. . . . . . . .
[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอกตัวจริง
- แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
- IELTS Mock Test ฟรี (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
- Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
- โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
0 ความคิดเห็น