สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับน้องๆ ที่ชื่นชอบการคำนวณ การเขียนโปรแกรม (Coding) และใฝ่ฝันอยากเป็นตัวตึงยืนหนึ่งในโลกการเงินและการลงทุน วันนี้จะพาไปรู้จักสาขา ‘Computational Finance’ ที่ผสมผสานการเงิน เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ขั้นสูง ที่จะช่วยให้การวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนแต่ละครั้งมีประสิทธิภาพขึ้น ที่สำคัญทักษะที่เรียนล้วนแต่เป็นที่ต้องการสูงมากกกในตลาดงาน และเป็นเส้นทางสู่ Ideal Job อย่าง ‘Quantitative Analyst’ ที่รายได้เจ็ดหลักต่อปี!
และผู้ที่มาแชร์ประสบการณ์เรียนสายนี้ให้ฟังแบบเข้มข้นสุดๆ ก็คือ “พี่เฟิร์น-พิชญาภา” รุ่นพี่นักเรียนทุนเต็มจำนวน ดีกรีบัณฑิต ป.ตรี สาขา Computational Finance ที่ City University of Hong Kong หรือ ‘CityU’ ที่นี่โด่งดังมากในสายการเงิน เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ แล้วมหาวิทยาลัยเองก็ตั้งอยู่ที่ “ฮ่องกง” ซึ่งเป็น Financial Hub ของเอเชียอีกด้วย
มาดูกันว่าการเรียนสายการเงินและเทคโนโลยีที่ฮ่องกง จะเข้มข้นและท้าทายขนาดไหน? ต้องปรับตัวกับอะไรบ้าง? แล้วโลเคชันดีต่อใจจริงๆ หรือเปล่า? ตามมาหาคำตอบกันเลยค่ะ
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ “พี่เฟิร์น” ตัวจริงได้ในวันอาทิตย์ที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ รอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย ก.พ. และ ทุน UIS, CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN Scholarships (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards (ออสเตรเลีย), และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน



1
ตอนมัธยมยังไม่มีอาชีพในฝัน
แต่รู้ว่าชอบธุรกิจและการเงินที่สุด
ตอนเรียน ม.ปลาย เฟิร์นเรียนที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ฯ เชียงรายค่ะ ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวเองชัดขนาดนั้นว่าอยากทำงานอะไร แต่เป็นเด็กสายแข่ง ชอบด้าน Business และ Finance พอถึงช่วงที่ต้องเริ่มสมัครมหาวิทยาลัย มียื่นไปทั้งคณะคณิตศาสตร์ประกันภัยที่จุฬาฯ และบัญชีที่ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งติดทั้งคู่ แล้วยังติดทุน ก.พ. ไปเรียนต่อประเทศอังกฤษด้วย เท่ากับว่าตอนนั้นมีตัวเลือกที่เป็นมหาวิทยาลัยท็อปในไทย + มีงานรองรับหลังจบแน่นอน
จนกระทั่งวันนึงเฟิร์นไปนั่งคุยกับครูภาษาอังกฤษที่โรงเรียน แล้วเค้าเล่าเรื่องทุนที่ CityU ของฮ่องกงให้ฟัง รู้สึกน่าสนใจดีค่ะ ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเปิดไม่นาน แต่ Ranking สูงใช้ได้ และ School of Business โดยเฉพาะ Global Business และ Computational Finance and Financial Technology ก็เป็นสาขาที่เค้าชูโรงว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมซัปพอร์ตสุดๆ ค่ะ
พอนั่งลิสต์ข้อดีมาชั่งน้ำหนักกันก็ได้คำตอบสุดท้ายเป็นที่ฮ่องกง เฟิร์นมองว่าที่นี่คือศูนย์กลางการเงินของเอเชีย โฟกัสการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการเงินเป็นหลัก มีธนาคารใหญ่ๆ ทั้งในและต่างประเทศตั้งอยู่ด้วย ที่สำคัญคือได้ทุนเต็มจำนวนจากมหาวิทยาลัย CityU ซึ่งทุนนี้ไม่มีข้อผูกพันที่ต้องกลับมาทำงานใช้ทุนคืนค่ะ
2
เปิดโพรไฟล์และคำแนะนำ
เขียน SoP ยื่นสมัคร CityU (ฮ่องกง)
- GPA ม.ปลาย 3.92
- ส่วน IELTS 6.5
- ONET ไม่ได้มีกำหนดว่าเท่าไหร่คือผ่านหรือไม่ผ่าน แต่พิจารณาจาก percentile ซึ่งของเราคือ 98%
- เป็นเด็กกิจกรรม เช่น ทำงานสภานักเรียน เคยเป็นตัวแทนแข่งโครงงานวิทยาศาสตร์ในงาน Symposium และไปแข่งที่ญี่ปุ่น ทำหน้าที่ติวเตอร์อาสาสมัคร สอนน้องๆ ในโครงการ ‘พี่สอนน้องต้องดีแน่’ รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปสอนน้องๆ ม.ต้น มีทั้งสอนภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ค่ะ
ขั้นตอนที่ใช้เวลาคิดและเขียนนานมากกก ก็คือ Statement of Purpose (SoP) เพิ่งอยู่ ม.6 ไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้มาก่อน ในเรียงความฉบับนี้จะต้องเล่าให้ชัดว่าเราเป็นใคร ชอบอะไร ทำไมอยากสมัครที่นี่ ซึ่งการจะร้อยเรียง Core Value ข้อมูลพื้นฐาน และประสบการณ์ของตัวเองให้สอดคล้องไปทิศทางเดียวกับสาขาและมหาลัยได้นี่ไม่ง่ายเลยค่ะ ต้องนั่งคุยกับรุ่นพี่ ครูที่ปรึกษา พยายามเปิด YouTube เพื่อดูตัวอย่างการเขียนที่ดี
คำแนะนำการสมัคร
- ศึกษาข้อมูลสาขาและมหาวิทยาลัยที่สมัครอย่างละเอียด ดูว่าเค้าน่าจะมองหาคนแบบไหนเข้าไปเติมเต็มในคลาส จากนั้นลองสะท้อนตัวเอง ลองเชื่อมโยงว่าความเป็นตัวเรากับประสบการณ์ที่เคยทำ มี elements ไหน match อะไรกับสิ่งที่เค้ามองหาบ้าง
- พยายามเล่าให้กรรมการเห็นว่า ถ้าเกิดเราเข้ามาเรียนแล้ว จะทำได้ดีในมหาลัยของคุณนะ และจะเข้ามาเพื่อสร้างคุณค่าหรือช่วยเติมเต็มอะไรบางอย่างเพื่อให้คลาสเรียนของที่นี่สมบูรณ์แบบขึ้น
- ถ้ารู้ตัวว่าอยากเข้าสาขานี้ พยายามทำกิจกรรมหรือโครงการที่สอดคล้องกับสิ่งที่มองหาค่ะ แต่กรณีคนที่ไม่ใช่สายกิจกรรมจริงๆ ให้ลองเค้นสิ่งที่มีมาเชื่อมโยงให้ได้มากที่สุด
เด็กต่างชาติมี Diversity Grant
และโอกาสได้ทุน 50~100%
CityU มีทุน 3 ประเภท ได้แก่ Half Scholarships (50% ของค่าเทอม), Full Scholarships (100% ของค่าเทอม) และทุน Top ที่ครอบคลุมทั้งค่าเทอมและเงินสนับสนุนเพิ่มเติม โดยจะพิจารณาจากผลการสอบที่เป็นมาตรฐานของประเทศนั้นๆ เช่น ของไทยคือ ONET ค่ะ
ตอนนั้นเฟิร์นได้ทุนค่าเทอม 100% ตลอด 4 ปี ประหยัดไปปีละเกือบครึ่งล้าน นอกจากนี้คือเค้าจะมีวงเงิน Pocket Money สำหรับนักศึกษาประเทศในลิสต์ เรียกว่า ‘Diversity Grant’ ที่ต้องการสนับสนุนความหลากหลายในมหา’ลัยค่ะ โดยหากสมัครเข้าร่วมรับทุนนี้แล้ว จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่มหา’ลัยจัดอย่างน้อยเทอมละครั้ง (หรือจะเริ่มโพรเจ็กต์เองเลยก็ได้นะ) จากนั้นเขียนรายงานส่งพร้อมแนบรูปประกอบด้วยว่าเราทำอะไรมาบ้าง (ทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมทุน Diversity Grant ยกเว้นคนที่ได้ทุน Top ที่ครอบคลุมทุกอย่างอยู่แล้ว)
หน้าเว็บหลักสูตร3
เริ่มต้นชีวิตใหม่ในรั้ว CityU
เข้ามาถึง you ไม่มีเคว้งนะ
ในมหา’ลัยมีคนไทยอยู่ประมาณ 40 คน รุ่นนึงก็ประมาณ 10 คนได้ค่ะ (อาจไม่เยอะนะแต่บอกเลยว่าอบอุ่นและเหนียวแน่น!) โชคดีตอนปีเฟิร์น ก็มีรุ่นน้องมีจัดตั้งสมาคมนักเรียนไทยในฮ่องกงและมาเก๊า (Association of Thai Students in Hong Kong and Macau) หรือ ATSHM ขึ้นมาแล้ว ช่วยแนะนำว่าน้องใหม่ต้องเตรียมพร้อมและทำอะไรบ้าง มีจัดกิจกรรมให้ทุกคนมาพูดคุยทำความรู้จักกัน อาจมีพาเดินเที่ยวในเมืองฟีลๆ town tour นอกจากนี้ CityU เองก็มีทีมดูแลนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ จัดปฐมนิเทศและพาทัวร์มหาวิทยาลัยสร้างความคุ้นชินให้ทุกคนปรับตัวได้เร็วขึ้นด้วย
4
เจาะลึกการเรียนสุดเข้มข้น
ฉบับเด็ก ป.ตรี Computational Finance
ปีแรกปูพื้นฐานก่อน เรียนเหมือนกันทุกคน
(ความยาก = การปรับตัว)
เค้าจะมีแนะนำคอร์สให้เป็นไกด์ไลน์ว่าควรลงตัวอะไรเทอมไหนบ้าง ซึ่งเด็กในคณะส่วนใหญ่ลงตามนี้ แล้วก็มี slot ให้ฉีกไปลงวิชาเลือกหรือของสายอื่นๆ ได้
เริ่มมาปี 1 นักศึกษาในคณะนี้จะได้เรียนวิชาพื้นฐานของคณะและมหาลัยก่อน เช่น
- Introduction to Financial Accounting (เราต้องอ่านงบกานเงินเป็น)
- Microeconomics
- Financial Management
- Programming (พื้นฐานง่ายๆ)
- University English
- English for Business Communication
- Chinese Civilisation - History and Philosophy
โดยรวมปีแรกยังไม่หนักมาก แต่จะท้าทายเรื่องการปรับตัว มีศัพท์เทคนิค ช่วงแรกๆ อาจจะมีแบบ เอ๊ะ อะไรนะ! ต้องกลับมาตามอ่านให้ทันเนื้อหา นอกจากนี้คือต้องปรับหูกับสำเนียงอาจารย์ ถ้าไม่ชินอาจจับใจความยากนิดนึง แต่ด้วยความที่ปีแรกเค้าต้องการเตรียมให้นักศึกษาพร้อมเจอโหมดที่ยากกว่าในปีต่อไป เฟิร์นรู้สึกอาจารย์ยังใจเย็นกับเรามากค่ะ 555
ถ้าเป็นวิชาเขียนโค้ด การสอบก็อาจจะให้เราเขียนโค้ดจากโจทย์จริง ถ้าเป็นแคลคูลัสช่วงแรกๆ อาจจะมีแก้สมการหรือแก้โจทย์ที่มีตัวเลขอยู่ แต่พอเรียนขั้นแอดวานซ์ขึ้น จะเริ่มเป็นแบบ Open Book Exam แล้วให้โจทย์ที่ยากขึ้นจากงานที่ส่งตอนเรียน เพราะเค้ามีแนวคิดว่าชีวิตจริงเราไม่จำเป็นต้องจำทุกอย่าง แต่ต้องประยุกต์ให้เป็นค่ะ
พอจบปี 1 ต้องเลือกว่าจะเลือกว่าจะไปสายไหน ระหว่าง ComFin และ FinTech โดยทุกคนต้องเข้าไปกรอกในระบบ แล้วคณะจะเอาไป rank ออกมา ถ้าเกรดสูงจะได้เข้าตามสายที่ตัวเองเลือก สุดท้ายแล้วทั้ง 2 สายจะมีจำนวนนักศึกษาพอๆ กันค่ะ
- Computational Finance (ComFin) Stream เฟิร์นเรียนสายนี้ เน้นประยุกต์ความรู้คณิต สถิติ การเงิน และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Coding) มาสร้างโมเดลและเครื่องมือวิเคราะห์ที่ใช้ประเมินความเสี่ยง การกำหนดราคา การทำงานของราคาหุ้น และจัดการพอร์ตลงทุนต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด
สำหรับงานที่เป็น Ideal Job ของคนจบสายนี้ น่าจะเป็น Quantitative Trader (Quant) ที่จะทำ research จาก market historical data, develop model ขึ้นมา, test model และนำมาใช้จริงในการเทรดทำกำไร เช่น การทำ mean reversion pairs trading strategy แต่นอกจาก Quant ก็จะงานอื่นๆ เช่น Investment Banker, Private Equity, hedge fund ฯลฯ งานใดๆ ที่เกี่ยวกับไฟแนนซ์คือไปได้ทั้งหมด
- Financial Technology (FinTech) Stream เป็นสายที่ผสมผสานความรู้ธุรกิจ ไอที และนวัตกรรม ครอบคลุมเรื่อง Blockchain, Big Data, Cybersecurity, RegTech, Python, Machine Learning, FinTech
ช่วงปี 2 เรียกว่าทั้งสนุกทั้งยาก เพราะได้เรียนวิชาบังคับของสายที่ตัวเองเลือก ซึ่งส่วนใหญ่วิชาบังคับคณะจะมีไม่เกิน 10 คนต่อคลาส (สามารถลงเรียน take credit วิชานอกสายเพิ่มได้นะ) พอปี 3 จะเป็นการเน้นเอาสิ่งที่เรียนมาตอนปี 1-2 มาประยุกต์ใช้จริง พื้นฐานต้องแน่นพอเพื่อถึงจะผ่านไปได้ค่ะ เช่น วิชา Derivative Pricing
ถ้าสนใจคณะนี้ ต้องเตรียมใจว่าจะเจอคณิตเยอะมากๆ แค่แคลคูลัสก็ 5 ตัวแล้วค่ะ ตัวอย่างเช่น แรกๆ ยังเรียนแคลคูลัสแบบที่มีตัวเลขเยอะๆ ตัวแปรน้อย พอลึกขึ้นเรื่อย ตัวเลขเริ่มหายไปแล้วแทนที่ด้วยตัวแปร สุดท้ายก็เรียนมาถึงจุดที่ไม่มีตัวเลขด้วยซ้ำ
ส่วนปี 4 เป็นการนำสิ่งที่เรียนในปี 1-3 มาต่อยอดเป็น Thesis ของตัวเอง (ที่เฟิร์นเรียนเป็นสาขาเดียวใน College of Business ที่ต้องทำธีสิส) ต้องคิดหัวข้อแล้วติดต่อหาอาจารย์ที่วิจัยฟิลด์เดียวกับหัวข้อที่เราสนใจเพื่อให้เขามาเป็น Supervisor ตอนนั้นเฟิร์นเลือกทำเกี่ยวกับ The correlation ของหุ้นในตลาดและการใช้ความเคลื่อนไหวของหุ้นบางกลุ่มเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กันทางสถิติ
ด้วยความที่เรียนยาก เฟิร์นเจอเพื่อนๆ ที่ช่วยกันเข็นและซัปพอร์ตกันจนจบ ทำงานหนักมากกก และไม่เคยเจอเพื่อนที่เป็น free-rider (คนที่ไม่ช่วยตอนทำงานกลุ่ม) ถ้าใครเรียนไม่ไหวจริงๆ อยากย้ายคณะ CityU จะมีให้เลือกเทียบโอนหน่วยกิต (Transfer Credit) ย้ายไปเรียนคณะใกล้เคียงที่มีวิชา overlap กัน ช่วยให้ไ่ม่ต้องถึงกับเริ่มใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าเลือกยืนหยัดต่อในคณะเดิมก็อาจเข้าหาเพื่อนๆ แล้วตั้งใจเรียนด้วยกันให้เต็มที่ที่สุด

5
รีวิวตัวอย่างวิชาน่าสนใจ
เรียนกันประมาณนี้
วิชา Computer Programming
ปีแรกเค้าสอนเขียนโค้ดจาก very baby things เลยนะ จริงๆ เฟิร์นก็แทบเริ่มจากศูนย์ เคยเรียนแบบเบสิกมากตอนมัธยม) เริ่มมาถึงปูพื้นฐานให้ก่อน สอนตรรกะต่างๆ โดยให้เรียนจาก https://scratch.mit.edu ซึ่งเป็นเกมที่ให้เราฝึกลากบล็อกมาต่อกัน โจทย์เริ่มจากง่าย เช่น กำหนดเลข 10 ตัวแล้วให้เราเขียนโค้ดเพื่อเรียงลำดับจากมากไปน้อย หลังจากนั้นโจทย์ก็ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงแรกเฟิร์นเห็นโจทย์แล้วคิดไม่ออกเลย ตรรกะในหัวยุ่งเหยิงไปหมด แต่พอเรียนเรื่อยๆ ก็เริ่มจัดระบบความคิดได้ พยายามคิดกลับกันว่า “ถ้าเกิดคอมพิวเตอร์มาเป็นเรา จะทำยังไง ใช้ตรรกะไหน” ตอนหลังรู้สึกเลยว่าสกิลเขียนโค้ดมาไกลจากตอนแรกมากกก
วิชา Financial Accounting
หลายๆ คนบอกว่าวิชานี้ยาก เพราะโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้สอนพื้นฐานมาก่อน เริ่มมาถึงเค้าจะให้เราไปซื้อหนังสือ ที่ในนั้นมี code ให้ล็อกอินไปทำแบบฝึกหัดออนไลน์ควบคู่กับการเรียน ซึ่งอาจารย์สอนดีมาก ได้เรียนรู้ตั้งแต่องค์ประกอบใน Financial Statement วิธีการอ่านและการบันทึกข้อมูล
วิชา Asset Management
เป็นวิชาที่สอนเกี่ยวกับการจัดการสินทรัพย์และการลงทุน เรียนรู้ Asset Types (สินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์) การประเมินผลตอบแทนและหามูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ และสอนวิธีนำความรู้มาสร้างพอร์ตหุ้นให้สอดคล้องกับเป้าหมายเรา
ปกติ 80-90% ของเด็กในคณะนี้มักมีพอร์ตหุ้นและเริ่มลงทุนเองตั้งแต่ยังเรียน ซึ่งวิชานี้เราสามารถปรับใช้กับลงทุนส่วนตัวได้เลยค่ะ
วิชา Game Theory
ไม่ใช่วิชาบังคับแต่เฟิร์นลองไปลงเรียนดู ทั้งสนุกและ eye opening มาก เนื้อหาว่าด้วยเรื่องการตัดสินใจของคนเรา เช่น ปัจจัยที่ทำให้คนๆ นึงเลือกตัดสินใจแบบนั้น วิเคราะห์ว่าอะไรคือผลตอบแทน, ถ้าเลือกทางนี้ต้องเสียอะไรบ้าง แล้วเค้าชั่งน้ำหนักอย่างไรถึงเลือกทางนั้น เป็นต้น ตัวอย่างใหญ่ๆ เช่น ทำไมบางประเทศถึงเลือกก่อสงคราม หรือทำไมประเทศศรีลังกาถึงเข้าร่วม Loan ของจีน (BRI) ทั้งๆ ที่ไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดผลประโยชน์เท่าไหร่ ซ้ำยังเป็นภาระในระยะยาวด้วย เป็นต้น
วิชา Derivative Pricing
**ขอดอกจันว่าโคตรหิน** เรียนตอนปี 3 ประยุกต์ Math + Finance + Coding ประยุกต์เพื่อรันออกมาให้ได้ผลลัพธ์ ซึ่งที่ยากคือ “แล้วจะเอามันมาเชื่อมโยงกันยังไง?” และคณิตก็เป็นแคลคูลัสแบบแอดวานซ์ // ส่วนตัวเฟิร์นแอบตามในคลาสไม่ทัน ต้องกลับมาทบทวนหนักมากว่าเรียนอะไรมา ถ้าไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์จะต่อยอดได้ยากค่ะ
วิชา Business Case Analysis
เป็นคลาสเล็กๆ รับแค่ 20 คนเท่านั้น ถ้าสนใจต้องกรอกข้อมูลในฟอร์ม อัดวิดีโอแนะนำตัวว่าเคยทำอะไรมาบ้าง แล้วส่งสมัครคัดเลือกรอบแรก ถ้าผ่านก็จะได้รับเคสมาทำ เช่น สมมติว่า “บริษัทยักษ์ใหญ่ต้องการแก้ปัญหานี้ ถ้าเป็นเรา จะนำเสนอแผนหรือแก้ไขเคสนี้ยังไง” ทำออกมาเป็น Presentation 10 นาที ต้องผ่านรอบนี้ถึงจะได้เข้าเรียน
เหตุผลที่ต้องคัดเข้มขนาดนี้เพราะเค้าต้องการรวมกลุ่มผู้ที่มี potential และสนใจด้านนี้จริงๆ มาเรียนด้วยกันเพื่อเตรียมพร้อมไปแข่งเคส (Case Competition) ซึ่งเป็นเวทีสำคัญมากสำหรับคนสนใจงานด้าน Consult
ช่วงแรกจะสอนพื้นฐาน การทำ Business Case เช่น การอ่านเคส, วิธี breakdown, วิเคราะห์และค้นหาสาเหตุหลักของปัญหา แล้วเค้าจะมีแบ่งกลุ่มเล็กๆ 2-3 คน มอบหมายเคสมาให้คิดทุกสัปดาห์แล้วมานำเสนอในคลาส อาจารย์กับเพื่อนๆ ก็จะคอมเมนต์ หรือถามเพิ่มช่วง Q&A ได้
เฟิร์นเองเคยไปแข่งเคสจากวิชานี้ด้วย มีครั้งนึงทีมเฟิร์นได้ป็นแชมป์ในฮ่องกงจากการแข่งขัน HHBC HKU (Hong Kong University) และผ่านเข้าไปถึงรอบที่แข่งกันระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กับอีกครั้งคือแข่งที่ Georgetown University ใน Washington D.C. ของสหรัฐอเมริกา เป็นโอกาสให้ได้ไปเจอคนเก่งๆ จากหลายประเทศ และฝึกการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมไปในตัวด้วย


6
นี่แหละความพร้อมของมหา’ลัย
และอาจารย์สายซัปพอร์ต!
1. ลงทุนกับการเรียนของนักศึกษา
ที่คณะมีซื้อแพลตฟอร์มการเงินการลงทุนที่ชื่อ ‘Bloomberg Terminal’ ที่ให้เราสามารถเข้าไปเช็กราคาหุ้น อ่านบทวิเคราะห์หุ้น ศึกษาเครื่องมือทางการเงิน อัปเดตข่าวสารแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์พอร์ต ฯลฯ ปกติต้องจ่ายแพงมากกกก เริ่มต้นที่ $24,000 1 ผู้ใช้ (≈840,000 บาท) หรือ $27,000 ต่อปี (≈ล้านกว่าบาท) แต่ที่นี่ให้นักศึกษาเข้าถึงได้ฟรีตลอด 4 ปี!
2. อาจารย์สนับสนุนและเปิดกว้าง
- ส่วนใหญ่อาจารย์มาจากมหา’ลัยชั้นนำอย่าง Ivy League หรือนักวิจัยจากฝั่งอเมริกาและยุโรป
- สิ่งที่เค้าบอกอยู่เสมอคือไม่มีคำถามไหนที่โง่ (No question is a dumb question.) ถ้าสงสัยก็ถามได้เลย
- เรียนแบบเน้นฝึกฝน ลงมือทำจริง เช่น มีวิชาสถิติตัวนึงที่เราต้องเขียนโค้ดไปพร้อมกันในห้อง ถ้าติดตรงไหนก็ยกมือถามได้ทันที มอบหมายการบ้านและงานกลุ่มทุกสัปดาห์ ถ้าไม่เข้าใจก็อาจจะนัด session เพิ่ม หรือถ้าเค้าสังเกตในการบ้านว่าเราผิดจุดเดิม ก็จะช่วยอธิบายให้เข้าใจค่ะ
- อาจารย์รับฟังความคิดเห็น สังเกตได้ว่าตอนเรียนจะมีเพื่อนๆ ฝั่งตะวันตกหรืออเมริกา ต่อมเอ๊ะเค้าทำงานตลอด และกล้าถามกล้าพูดเมื่อรู้สึกไม่โอเค เช่น ในวิชา Statistics มีควิซในคลาสที่ทุกคนผิดข้อเดียวกันหมด ก็มีเพื่อนยกมือบอกอาจารย์ว่าโจทย์ไม่เคลียร์ พออาจารย์ลองอ่านโจทย์ใหม่ก็เห็นด้วย สรุปคือให้คะแนนข้อนั้นฟรี และบอกว่าจะปรับปรุงโจทย์ให้ชัดเจนขึ้น
- อาจารย์ทีมีความ supportive สูงมาก อย่างตอนปี 2 เฟิร์นเจอช่วงที่ผ่าตัด แล้วมีวิชาที่สอบกลางภาคแล้วคะแนนไม่ดีจนรู้สึกจิตตก อยากดร็อปวิชานั้น แล้วส่งเมลไปปรึกษาอาจารย์ เค้าบอกว่า คุณไม่ได้แย่เลยนะ แค่ตอนนี้มีข้อจำกัดเรื่องสภาพร่างกาย มีโอกาสให้แก้ตัวได้ จากนั้นเค้าก็เสนอความช่วยเหลือ เช่น ให้นัดคุยส่วนตัวได้ (แต่สมมติจะดร็อปก็เคารพการตัดสินใจของเรา) บอกเลยว่าช่วงนั้นผ่านมาได้เพราะการซัปพอร์ตของเพื่อนๆ และอาจารย์ค่ะ
3. คอนเน็กชันระดับอินเตอร์
CityU มีทุนให้ต่างชาติเยอะ ทำให้เจอเพื่อนจากหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฯลฯ หรือเพื่อนจากทวีปแอฟริกาใต้ก็มี ดังนั้นกฎเกณฑ์จะไม่เยอะเพราะมีคนมาจากต่างที่่
นอกจากนี้ CityU มักจะเชิญรุ่นพี่ที่จบแล้วประสบความสำเร็จหรือเติบโตในสายงาน เช่น Quant Trader ที่ XY Capital, ทำงานในธนาคารใหญ่ๆ อย่าง JP Morgan, HSBC และอื่นๆ มาแชร์ประสบการณ์และแนะนำว่าทำยังไงถึงจะได้ land job ให้ตำแหน่งที่ดี รูปแบบก็อาจเป็น small group หรือ coffee chat กันค่ะ
7
มีโอกาสไปเป็น Volunteer Consulting
ช่วยธุรกิจที่จ้างผู้มีปัญหาทางการได้ยิน
นอกจากการแข่งเคส เฟิร์นยังเคยมีโอกาสเข้าร่วมใน 180 Degrees Consulting ซึ่งเป็นโครงการ Volunteer Consulting ที่ช่วยให้คำปรึกษากับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร อย่างเฟิร์นเองมีโอกาสไปช่วยธุรกิจที่สนับสนุนอาชีพให้คนหูหนวก ที่ตอนนั้นเค้าประสบปัญหาการเติบโตทางธุรกิจ เราจะทำยังไงเพื่อให้เค้าเติบโตมีกำไรขึ้น และมีโอกาสจ้างคนกลุ่มนี้ต่อไปได้
สิ่งที่เฟิร์นสังเกตได้คือที่ฮ่องกงให้ความสำคัญกับคนพิการมาก เช่น ทางเท้าที่มีพื้นผิวขรุขระสำหรับคนตาบอด เพื่อให้เค้าใช้มือหรือไม้เท้าสัมผัสได้ว่าเดินทางตรงไปได้หรือถึงจุดที่ต้องหยุด หรือ ระบบสัญญาณไฟจราจร เช่น ไฟเขียวไฟแดง ที่มีเสียงติ๊ดๆๆ ดังขึ้นมา เพื่อช่วยให้คนตาบอดรู้ว่าถึงจังหวะที่จะข้ามถนนได้แล้วนะ // ในประเทศอื่นๆ ก็มีระบบนี้เหมือนกัน เฟิร์นว่าเป็นการออกแบบที่ช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียมค่ะ
8
ฝึกงานเป็น Sales & Business Development
บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน
ข้อดีของคณะนี้คือจบมาทำได้หลายอย่างมาก เรียนทั้งลึกทั้งกว้างในระดับที่เอาไปทำจริงในสายงานอื่นได้เลย อย่างเฟิร์นเองถึงจะเรียน Finance แต่เลือกไปฝึกงานสาย Business เพราะรู้สึกสนใจมากกว่า
เฟิร์นกลับมา Intern บริษัทสัญชาติอเมริกันยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในไทยค่ะ สินค้าของเค้าเป็นกลุ่มอุปโภคบริโภค ลักษณะงานเรากึ่งๆ Sales และ Consulting ช่วยสนับสนุนการขายและให้คำปรึกษาลูกค้า เพื่อผลักดันให้ธุรกิจของลูกค้าของเราเติบโต เพราะเมื่อลูกค้าขายได้ เราก็จะสามารถขาย product ให้กับลูกค้าได้ค่ะ (คล้ายกับทำเคสตอนเรียน)
9
โอกาสที่จะ land job หลังจบ
เป็นยังไงบ้าง? (+คำแนะนำ)
ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้หาที่ฝึกงานตั้งแต่ปี 2-3 (บางคนเริ่มจากปิดเทอมปี 1) ลองเช็กว่าบริษัทที่สนใจเปิดรับสมัครฝึกงานรอบ Summer/Winter ช่วงไหนบ้าง อาจจะเริ่มจากบริษัท Startup เล็กๆ เก็บประสบการณ์ก่อน แล้วพอมีประสบการณ์ก็ค่อยๆ ขยับไปปบริษัทใหญ่ค่ะ
มหาวิทยาลัยไม่สนับสนุบให้ไปฝึกงานโดยไม่มีค่าตอบแทน สมมติเราเข้าไปแล้วบริษัทให้เงินไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ต่ำกว่า XXX ต่อเดือน เค้าจะช่วยจ่ายส่วนต่างเพิ่ม เป็นการจูงใจให้นักศึกษาอยากไปหาประสบการณ์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
ที่ CityU มี Career Center ที่ช่วยอัปเดตบริษัทที่เปิดรับสมัครงานหรือฝึกงาน ส่งมาให้เราตลอด เราอาจจะนัดให้เค้าช่วยรีวิว Resume ให้พร้อมยื่นสมัครได้ด้วย
10
#รีวิวฮ่องกง
- บ้านเมือง mix ระหว่างเมืองกับธรรมชาติได้ลงตัว และเดินทางง่าย แม้จะพักในเมืองก็นั่งรถไฟหรือรถบัสสักชั่วโมงนึง ก็ไปเที่ยวธรรมชาติอย่างทะเล ภูเขา หรือเดินป่าได้แล้วค่ะ
- ฮ่องกงสนับสนุนศิลปะ มี ‘HK Museum of Art’ มีจัดนิทรรศการใหญ่ๆ ตลอด บางเดือนมีธนาคารใหญ่ๆ เชิญมิวเซียมจากต่างประเทศมาจัด ทำให้ค่าเข้าถูกและเข้าถึงง่าย
- ค่าครองชีพสูง แต่สวัสดิการนักศึกษาช่วยได้มาก เช่น ค่ารถไฟและค่าเข้ามิวเซียมลด 50% หรือถ้าเกิดไม่สบายที่ฮ่องกง มหา’ลัยเฟิร์นจะกำหนดให้ทุกคนทำประกันอยู่แล้ว และมีคลินิกในมหา’ลัยที่จ่ายประมาณครั้งละ 13 HKD แต่ถ้ารักษาข้างนอกจะแพงค่ะ
- ถ้าจะมาใช้ชีวิตที่ฮ่องกง อาจต้องเตรียมรับมือกับเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เช่น อาหารจืดๆ มันๆ และคนสูบบุหรี่เยอะมากก everywhere เลยค่ะ
การมาเรียน CityU และฮ่องกง
คือการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก
เจอประสบการณ์ที่คงหาไม่ได้ที่ไหนแล้ว เป็นการประกอบกันระหว่าง “สถานที่ใหม่” และ “ช่วงชีวิตนั้นๆ” ทำให้เกิดเป็นตัวตนใหม่ของเราที่ต้องใช้ชีวิตในต่างประเทศ ทั้งพึ่งตัวเอง เรียนรู้การใช้ชีวิต อิสระและมั่นใจในตัวเองขึ้น แล้วยังเป็นสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมให้เฟิร์นกล้า Speak Up เพื่อตัวเองมากขึ้นด้วยค่ะ

. . . . . .
[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอกตัวจริง
- แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
- IELTS Mock Test ฟรี (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
- Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
- โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
0 ความคิดเห็น