สวัสดีค่าชาว Dek-D ถ้าพูดถึงประเทศในแถบยุโรปที่เด่นเรื่องคุณภาพชีวิตและเน้นการคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อโลกมากๆ เชื่อว่า “สวีเดน” คงเป็นชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงค่ะ วันนี้จะพาไปรู้จัก “พี่ฝน” คนไทยที่ไปเรียนต่อ ป.โท ด้านวัสดุศาสตร์ที่ สถาบัน KTH Royal Institute of Technology ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของสวีเดนด้วย
การไปเรียนต่อสาขาที่ใช่ในประเทศที่โดดเด่นด้านนี้จะเป็นยังไงบ้าง เรียนหนักไหม ชีวิตนอกคลาสเป็นยังไง พิจารณาปัจจัยอะไรบ้างก่อนตัดสินใจไปเรียนด้วยทุนรัฐบาลไทย // ตามไปเริ่มกันเลยค่ะ!
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา
อ่านจบลิสต์ข้อสงสัยไว้ แล้วเตรียมมาพูดคุยปรึกษาแบบ 1:1 กับ "พี่ฝน" ตัวจริงที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ บอกเลยว่ารอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี, ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+, ทุนตรงจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) ขนทัพมาพร้อมไฮไลต์อีกแน่นงาน
Note: พบพี่ฝนได้วันอาทิตย์


Foto: Fredrik Persson
1
เส้นทางเด็กทุน ก.พ.
ข้อดีและเงื่อนไขที่ต้องคำนึง
ฝนชอบวิชาเคมีมาตั้งแต่ ม.ปลายแล้วค่ะ ต่อมาก็เลือกเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ เอกเคมีที่ ม.มหิดล ได้ทุนศรีตรังทองเรียนฟรี 4 ปี หลังจบทำงานสักระยะนึงก่อนคิดเรียนต่อ ป.โท ตอนที่คิดเรื่องเรียนต่อต่างประเทศ ก็มองว่าเป็นผลดีเรื่องภาษาและคอนเน็กชัน และที่สำคัญคือได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ แล้วยังมีโอกาสไปดูว่าตอนนี้นวัตกรรมที่ต่างประเทศเป็นยังไงบ้าง
ตอนแรกตั้งใจจะประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพราะจะปรับตัวได้ง่ายกว่า แต่อย่างทุนของสาขาและมหาวิทยาลัยในอังกฤษที่สนใจก็มีจำกัด เลยเปลี่ยนมาดูทุนรัฐบาลไทย (ก.พ.) ตามความต้องการของหน่วยงานภาครัฐแทนค่ะ ข้อดีคือครอบคลุมทุกอย่าง ทั้งค่าเรียน ค่ากินอยู่ ค่าครองชีพ ค่าสอบวัดระดับภาษาอังกฤษสำหรับยื่นทุน และค่าตั๋วเครื่องบิน แต่เงื่อนไขที่ต้องพิจารณาคือเราจะต้องกลับมาใช้ทุนในหน่วยงานตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วนตัวเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย เพราะตั้งใจจะกลับมาทำงานที่ไทยอยู่แล้ว
ทุกปีทุน ก.พ. จะมีลิสต์สาขาและหน่วยงานที่เปิดรับนักเรียนทุน ฝนก็ดูว่ามีสาขาไหนที่ตรงกับความสนใจของตนเองบ้าง จนมาเจอกับสาขา ‘Paper Technology’ ซึ่งกำหนดให้เรียนในโซนยุโรป อเมริกา หรือออสเตรเลีย ซึ่งจบมาจะต้องบรรจุในกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวง อว. อย่างน้อย 2 เท่าของระยะเวลาที่ไปเรียน
คอนเซ็ปต์นี้จะเน้นเรียนเกี่ยวกับเส้นใยและเทคโนโลยีทางด้านกระดาษ เราอาจจะเสิร์ชหาไม่เจอชื่อนี้ตรงๆ แต่จะเป็นแขนงนึงของ Materials Science สุดท้ายฝนจึงเลือกเรียนสาขา Macromolecular Materials ที่ KTH Royal Institute of Technology ประเทศสวีเดน


เตรียมสมัครทุนยังไงบ้าง?
เราสามารถสมัครทุนได้เลย แต่การจะได้ทุนต้องสอบด้วยค่ะ ข้อสอบคล้าย ก.พ. ภาค ก. แต่ยากกว่าการสอบบรรจุข้าราชการทั่วไป มีวัดทั้งความสามารถทั่วไป, วิชาภาษาอังกฤษ และภาษาไทย* (ต้องอ่านเยอะอ่านไวมากกก สมมติมี 50 ข้อ ก็อ่านไป 50 บทความ ซึ่งบทความนึงยาวประมาณครึ่งหน้า A4 ได้) ตอนนั้นฝนเน้นทำข้อสอบเก่าเยอะๆ ซื้อจาก HiEd และดูข้อสอบออนไลน์เพื่อให้เจอโจทย์หลายๆ แบบค่ะ
ฝนจบคณะวิทย์ที่ ม.มหิดล ด้วยเกรด 2.94 ถ้าจะยื่นเข้าบริษัทใหญ่ๆ คงยากมาก เพราะแทบทุกที่รับเกรด 3 ขึ้นไปสำหรับการเข้าทำงาน แต่ขอเป็นแรงบันดาลใจว่าเกรดเท่านี้ก็ยื่นเข้า KTH ได้นะ เพราะทางมหาวิทยาลัยจะดูองค์ประกอบอื่นๆ เช่น กิจกรรมที่ทำระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งบางสาขาก็อยากได้คนที่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน อย่างสวีเดน ช่วงหลังๆจะเน้นเรื่องการ contribute อะไรให้โลกได้ ซึ่งฝนเองเป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่ ม.ปลาย เคยทำงานในสโมสรนักศึกษา, ค่ายอาสาสอนหนังสือเด็ก, ค่ายรับน้อง, ชมรมบาสของคณะ ฯลฯ น่าจะพิสูจน์ได้ว่าเรามีแพสชันกับการทำเพื่อส่วนรวม แล้วยังสอดคล้องกับทุน ก.พ. ที่ต้องการหาคนเรียนเพื่อกลับมาสร้าง impact ให้กับสังคมด้วยค่ะ

2
เรียนต่อศาสตร์ที่ศึกษาวัสดุ
ศึกษาวิจัยวิธีช่วยโลก
ถ้าพูดถึง ‘Materials Science’ (=วัสดุศาสตร์) คำนี้กว้างมากค่ะ ครอบคลุมทั้งเคมี ฟิสิกส์ และวิศวกรรม แต่ถ้าสโคปลงมาเป็น ‘Macromolecular Materials’ จะเน้นวัสดุที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น พลาสติก ยาง เซลลูโลส* (เซลลูโลสคือโครงสร้างที่เป็นส่วนประกอบของกระดาษ ทิชชู่ เชือกบางชนิด ฯลฯ) เรียนเพื่อทำความเข้าใจคุณสมบัติของวัสดุแต่ละอย่างว่าแข็งแรงและยืดหยุ่นแค่ไหน ทนความร้อนได้ไหม แล้วค้นหาวิธีพัฒนาวัสดุนั้น เช่น การทำเส้นใยที่แข็งแรงขึ้น หรือการทำให้วัสดุทนความร้อนได้มากขึ้น
ถ้าน้องๆ สนใจแนะนำให้เตรียมพื้นฐานเคมีแน่นๆ เป็นหลัก ตั้งแต่เรื่องตารางธาตุและพันธะเคมี เคมีอินทรีย์ (Organic Chemistry) การทำปฏิกิริยาต่างๆ และจะมีผสมกับพื้นฐานฟิสิกส์บางเรื่องที่ได้ใช้แต่ไม่ลงลึกเท่าเคมี เช่น เรื่องแรงและการเปลี่ยนรูป (Force & Deformation) เพื่อให้เข้าใจว่าวัสดุจะทนแรงกด กระแทก หรือยืดหยุ่นได้แค่ไหน แล้วทำให้โครงสร้างวัสดุมันแตกหรือเปล่า เป็นต้น

ตัวอย่างวิชาที่ลง
- วิชา Polymeric Materials เรียนเกี่ยวกับวัสดุที่มาจาก โพลิเมอร์ เช่น พลาสติก, PVC, หนังเทียม ฯลฯ ข้อสอบไม่ใช่แค่ท่องจำ แต่ให้เราดีไซน์วัสดุใหม่ขึ้นมาเอง
- วิชา Ideation ได้ฝึกคิดว่าจะเอางานวิจัยไปต่อยอดเชิงธุรกิจยังไง เช่น ถ้ามีงานวิจัยที่น่าสนใจ จะทำให้กลายเป็นสินค้าในตลาดได้ยังไง // ถือเป็นเรื่องที่ใหม่ถ้าย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน แต่ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยในไทยเริ่มมีเปิดสอนกันมากขึ้นแล้ว
- วิชา Risk Management สอนวิเคราะห์ความเสี่ยงของการออกสินค้าใหม่ เช่น อุตสาหกรรมรับความเสี่ยงได้แค่ไหนก่อนที่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะออกสู่ตลาด
โพรเจ็กต์จบมี 2 แบบ
- ทำร่วมกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจารย์มักจะได้ทุนจากเอกชนอีกที บ้างก็เป็นโพรเจ็กต์ของผลิตภัณฑ์ที่เตรียมออกสู่ตลาดแล้ว บ้างก็เป็นวัสดุตัวใหม่ที่กำลังพัฒนาคุณสมบัติ **ฝนเลือกรูปแบบนี้และทำเกี่ยวกับวัสดุธรรมชาติค่ะ เพราะตอนก่อนมามีคุยกับรุ่นพี่ในหน่วยงานต้นสังกัดที่ฝนจะได้เข้าไปทำงานว่าตอนนี้แนวโน้มวิจัยไปทางไหน บังเอิญเรื่องที่ฝนสนใจตรงกับโพรเจ็กต์ที่องค์กรในไทยอยากขับเคลื่อนพอดี
- ทำร่วมกับบริษัทเอกชน บริษัทจะจ้างเราเป็นพนักงานจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นโพรเจ็กต์ที่อยู่ขั้นเตรียมพัฒนาออกสู่ตลาดค่ะ
3
บรรยากาศการเรียนประมาณนี้เลย~
- ด้วยความที่เป็นระดับ ป.โท ต้องอ่านเองเยอะ แต่อาจารย์ช่วยชี้เป้าให้ว่าควรหาข้อมูลจากไหน มีทั้งเลกเชอร์ + แล็บ + วิชาโพรเจ็กต์ที่ให้ทำงานกลุ่ม เช่น ศึกษางานวิจัยแล้วมานำเสนอ หรือเอาปัญหาจริงจากแล็บมาให้แก้กัน ส่วนวิชาเลกเชอร์ก่อนเรียน อาจารย์จะอัปโหลดหนังสือเรียน + บทความให้อ่านล่วงหน้า ถ้าอ่านได้ก็อ่านดีกว่า ตามทันแบบไม่ต้องจดยิกๆ
จริงๆ สาขานี้ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน แต่ถ้าเคยทำงานในอุตสาหกรรมหรืออย่างฝนที่เคยทำงานในห้องแล็บ ก็จะง่ายขึ้นเวลาดิสคัสกับเพื่อนๆ ในคลาส
- นักศึกษามาจากทั่วโลก ทั้งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อาเซียน แอฟริกา ฯลฯ ในคลาสเรียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ 100% ถึงมีคนสวีเดนก็ไม่พูดภาษาสวีดิชเลยเพื่อให้เกียรติทุกคนเท่าเทียมกัน // สาขานี้กำหนด IELTS ขั้นต่ำ 6.5 ช่วงแรก struggle หน่อย เวลาจะพูดต้องคิดนาน แต่อยู่ไป 1-2 เดือนก็อยู่ตัว
- ตารางสอบที่นี่มีตั้งแต่ 4~6 ชั่วโมง แต่เป็นบรรยากาศชิลๆ เราลุกไปเข้าห้องน้ำตอนไหนก็ได้ พกอาหาร น้ำ ขนมเข้าไปได้เลย (ชิลเกิ๊นนน) แต่เรื่องความยากก็แล้วแต่วิชาเลยค่ะ มีทั้งเน้นท่องจำและวิเคราะห์ เช่น วิชาชื่อ Paper Making Process ก็ต้องจำให้ได้หมดว่าในการผลิตกระดาษแผ่นนึง มีกระบวนการและเครื่องมืออะไรบ้าง
- ที่สวีเดนติด F ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้องลงเรียนใหม่ ทาง KTH ประกาศวัน re-exam ไว้ล่วงหน้า เพราะเขารู้ว่าทุกวิชามีคนตกอยู่แล้ว หรือถ้าสอบผ่านแล้วแต่ไม่พอใจ อยากแก้เกรด ก็สมัครสอบใหม่ได้ ถ้าคะแนนดีขึ้นก็ใช้เกรดใหม่สูงสุด A ได้เลย // ที่นี่ใส่ใจเรื่อง mental health มากๆ ด้วยนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไร สามารถเข้าไปคุยกับอาจารย์ได้เลย
- นอกคลาสมีกิจกรรมแนววิชาการให้เข้าร่วม เช่น ปีแรกฝนได้เข้าร่วม Fiberteknologerna ซึ่งรวมตัวคนที่สนใจเรื่อง Natural Product, Cellulose และ Fiber มาเรียนรู้ด้วยกัน มีจัดทริปพาไปดูการทำงานจริงในอุตสาหกรรม เช่น พาไปดูโรงงานและบริษัทอุตสาหกรรมที่ทำเกี่ยวกับ ไฟเบอร์โดยเฉพาะ ไปดูโรงงานการผลิตไฟเบอร์ต่างๆ ตอนนั้นมีโอกาสลองขึ้นรถเครนที่ใช้ตัดต้นไม้เพื่อนำมาทำกระดาษ ได้ลองขึ้นกระดาษเองเป็นแผ่นเล็กๆ ด้วยค่ะ



4
เทรนด์ความยั่งยืนที่กำลังมาแรง
สาขานี้มีบทบาทยังไงบ้าง?
ตอนนี้ทั่วโลกให้ความสนใจกับเรื่องความยั่งยืน สาขา Macromolecular Materials ก็มีบทบาทในการคิดค้นวัสดุใหม่หรือพัฒนาสิ่งที่ใช้กันอยู่ตามปกติ ให้มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และลดผลกระทบที่จะเกิดกับโลกของเรา เช่น
- พลาสติกทั่วไปใช้เวลาย่อยสลายเป็นร้อยปี แต่ปัจจุบันมีงานวิจัยที่พัฒนาวัสดุให้ย่อยสลายใน 6 เดือน เช่น การใช้เส้นใยธรรมชาติ (กัญชง) มาใช้แทนพลาสติก
- การพัฒนาพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ดีขึ้น เช่น จาน-ชามกระดาษ ซึ่งปกติจะย่อยสลายได้เร็วแต่เปียกน้ำไม่ได้ จึงต้องมีสารเคลือบกันน้ำ เราก็มาดูว่าสารเคลือบนั้นจะย่อยสลายได้ดีแค่ไหน เป็นต้น
- การหาแนวทางรีไซเคิล (Recycle) ที่คงคุณสมบัติของวัสดุเดิมไว้ให้มากที่สุด และเพิ่มจำนวนครั้งที่สามารถรีไซเคิล
- คิดค้นการใช้พลังงานสะอาด หรือวัสดุที่ปล่อย CO₂ ต่ำ เพื่อชะลอภาวะโลกร้อน

5
KTH Experiences
ชีวิตนักศึกษาและประสบการณ์ในรั้ว Top U.
แล็บดี มีระบบซัปพอร์ตพร้อม
จากที่สัมผัสมาด้วยตัวเอง รู้สึก KTH เตรียมระบบช่วยเหลือนักศึกษาไว้พร้อมทั้งเรื่องเรียน สุขภาพ และการหางาน อย่างเช่น มีจัดงานสัมมนาของมหาวิทยาลัยที่เชิญรุ่นพี่ที่จบออกไปทำงานในอุตสาหกรรมจริงๆ มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง มีเวิร์กช็อปเขียนเรซูเม่ เพิ่มความโดดเด่นตอนสมัครงาน
เรื่องวิชาการมีชื่อเสียงด้านเรื่องวิศวกรรมและเทคโนโลยี มีทรัพยากรและงบพร้อมอัดฉีดด้านวิจัย เพราะเขามองว่าเป็นรากฐานสำคัญของนวัตกรรม ได้รับงบสนับสนุนเยอะ + ถ้าบริษัทเอกชนเห็นศักยภาพของงานวิจัยนั้น ก็อยากร่วมสนับสนุนเงินทุนด้วย ต้องบอกว่าระบบซัปพอร์ตจริงจังเพื่อให้งานวิจัยที่ทำเกิดขึ้นได้จริง ถ้าเกิดนักศึกษาต้องการใช้เครื่องมือที่ไม่มีในแล็บ อาจารย์กับทางคณะก็สามารถจัดหาให้ใช้ได้
สวีเดนเองก็คือประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรม (Innovaton) และวัสดุ (Material) แล้วความน่าสนใจคือไม่ได้เน้นแค่ทำวิจัยในห้องแล็บ แต่พยายามเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำวิจัยไปต่อยอดเป็นธุรกิจจริง

สังคมนานาชาติ & กิจกรรมหลากหลาย
ถ้าอยากหาประเทศที่นักเรียนไทยไม่เยอะมาก สวีเดนน่าจะตอบโจทย์ ที่นีมีเพื่อนต่างชาติเยอะและจะทำความรู้จักกันได้ง่ายถ้าเทียบกับคนสวีดิชที่เขาจะมีกำแพงมากกว่า
ก่อนเปิดเทอม ป.โท ที่มหาวิทยาลัยมีคอร์สภาษาอังกฤษฟรี ฝนก็ลงเรียนด้วย ทำให้ได้เจอเพื่อนใหม่จากหลายประเทศ แถมคาบสุดท้ายของคลาส อาจารย์ยังให้ทุกคนเอาอาหารจากประเทศตัวเองมาแชร์กันด้วย หรือแม้แต่ห้องสมุดมักจะมีเทศกาลหรืออีเวนต์ต่างๆ นักศึกษาเข้าร่วมได้ เช่น อาจเป็นเทศกาลหนังสือหรือหรือกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมค่ะ


แนะนำว่าเด็กอินเตอร์ควรไปเข้าชมรมเพราะทำให้เข้าสังคมง่ายขึ้น อย่างตอนนั้นฝนเข้าชมรมละครเวที เข้าไปทำฝ่ายที่ดูแลอาหารให้ทีมงานทุกฝ่าย (มีข้อจำกัดคือแสดงเป็นภาษาสวีดิช เราเลยต้องมาอยู่ฝ่ายสวัสดิการแทน) ถือเป็นประสบการณ์ที่ชาเลนจ์เพราะเข้าไปถึงเป็นเด็กอินเตอร์คนเดียวท่ามกลางคนสวีดิช ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะค่ะ
และอีกชมรมที่ไปเข้าคือ “ชมรมหนังสือพิมพ์” ปีนึงจะออก 4 ฉบับ แต่ละฉบับมีธีม ต้องเขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกัน มีแบ่งงานเป็นกองบรรณาธิการและทีมพิสูจน์อักษรค่ะ
สายตี้ไม่ต้องกลัวเบื่อ ทุกคณะมีผับของตัวเอง!
ทุกคณะที่ KTH มีผับเป็นของตัวเองและเปิดทุกเย็นวันศุกร์ แต่การจะเข้าผับจะต้องเป็นนักศึกษาของคณะนั้นๆ เพราะต้องใช้คีย์การ์ดแตะก่อนเข้าผับ เป็นการส่งเสริมให้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ แต่นอกจากนั้นก็มี “ผับกลาง” ที่นักศึกษาจากทุกคณะเข้าได้ ไม่ต้องมีคีย์การ์ด ชวนเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยมาก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นแนว Hangout, คุยกัน, กินขนม, สร้างคอนเน็กชัน แต่ก็มีบางที่ที่เป็นผับสายแดนซ์จริงจัง ผับที่มีไว้เพื่อ “เต้น” คือเข้าไปแทบจะเดินไม่ได้เลย (คนเต็มไปหม้ดดดด)


6
เตรียมรับมือกับบางเรื่อง
คนไทยบางคนอาจไม่ชินสิ่งนี้!
สวีเดนเป็นประเทศที่พื้นที่สีเขียวเยอะและแทบไม่มีฝุ่นเลย
เดินออกจากหอก็เจอป่า แบ่งตารางชีวิตแต่ละวันได้ลงตัว เช้ามาไปเรียน บ่ายเข้าแล็บ/ทำโปรเจ็กต์ ตกเย็นเดินเล่น 4-5 กิโลเมตรและปั่นจักรยานไปเที่ยวในเมืองได้ตลอด
หน้าหนาวพระอาทิตย์จะตกเร็วมาก
อาจตกตั้งแต่บ่าย 3 บรรยากาศหม่นๆ ท้องฟ้าสีขาวดำทะมึนทั้งวัน กว่าฟ้าจะสว่างอีกทีก็ 9-10 โมง เลยอาจทำให้คนอารมณ์เฉาๆ แปรปรวนหรือนอนไม่หลับตามไปด้วย ต้องเสริมวิตามิน D ช่วยปรับสมดุลร่างกาย
ร้านค้าปิดเร็ว เมืองสงบ คนไม่ค่อยปาร์ตี้
ถ้าชอบบรรยากาศเมืองที่คึกคักเจอคนเยอะๆ อาจไม่เหมาะ ส่วนใหญ่คนชอบไปที่เดิมๆ ร้านเดิมๆ ไม่ค่อยมีที่ใหม่ๆ ให้ลอง ยิ่งช่วงหน้าหนาวก็อย่างที่บอก บรรยากาศอาจไม่ค่อยสดใสมีชีวิตชีวาเหมือนช่วงอื่นของปี ยิ่งถ้าเป็นช่วงเทศกาล ร้านค้าจะแทบไม่เปิดเลย


ตัวเลือกอาหารมีไม่มาก
โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวที่สวีเดนปลูกผักไม่ได้ ต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ถ้าไม่ชินกับอาหารยุโรปอาจจะเบื่อง่าย ต่างจากตอนอยู่ไทยที่วาไรตี้และมีให้เลือกสรรเยอะทุกฤดูกาล
หรือถ้าคิดถึงอาหารไทย ก็สามารถพอหาได้แต่ราคาจะสูงค่ะ เข้าร้านเดือนละครั้งได้ก็หรูแล้วว แต่มีทางเลือกคือซื้อวัตถุดิบมาทำเองเลยดีกว่า เลยอยากแนะนำให้เตรียมสกิลทำอาหารพื้นฐานไว้ค่ะ จะประหยัดไปได้เยอะ

7
ภาคต่อชีวิตการทำงานหลังกลับไทย
ตอนนี้ฝนทำงานที่กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวง อว. มีโอกาสใช้ภาษาเยอะขึ้นโดยเฉพาะหลังจากองค์กรปรับโครงสร้าง แล้วฝนได้มาอยู่ในกลุ่มที่มี Research Area ที่กว้างขึ้น มีโอกาสติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้นและมีโอกาสนำเสนอผลงานวิจัยในระดับนานาชาติมากขึ้นด้วย
องค์กรที่ฝนทำงานมีนโยบายที่ฝนชอบก็คือการผลักดันการใช้วิทยาศาสตร์เพื่อช่วยเหลือประชาชน เช่น ถ้าเกิดมีอะไรผิดปกติขึ้นมา อยู่ดีๆ น้ำเปลี่ยนสีงี้ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบหาสาเหตุกัน เป็นต้น ดังนั้นแนวทางที่อธิบดีพยายามผลักดันคือการพัฒนาแล็บให้ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ เทียบเท่ามาตรฐานของต่างประเทศ เพราะถ้าไม่มี know-how ต่อให้มีเครื่องมือพร้อม ก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้ว่าสิ่งนั้นอันตรายหรือปลอดภัย ปัจจุบันแล็บที่ฝนทำงานจึงมีเครื่องมือชั้นสูงและรองรับการพัฒนาในสเกลที่ใหญ่ขึ้นค่ะ

. . . . . .
[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่นักเรียนทุน ป.ตรี/โท/เอก อย่าพลาดโอกาสนี้! เพราะรอบนี้เราได้รับเกียรติจากทั้งศิษย์เก่าทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี, ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+ รวมถึงทุนจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) เปิดบูทให้ทุกคนสามารถ Walk-in เพื่อพูดคุย ปรึกษา หรือรีวิว SoP แบบตัวต่อตัวได้
- แจกฟรี Planner วางแผนเรียนต่อนอกสำหรับมือใหม่
- IELTS Mock Test - ทดลองสอบ IELTS ฟรีโดย British Council IELTS (Walk-in only)
- Alumni’s Talk: #ทอล์กเด็กนอก รายการพูดคุย-สัมภาษณ์รุ่นพี่นักเรียนทุนจากหลากประเทศ & แชร์ประสบการณ์เรียนต่อ การใช้ชีวิต จัดเต็ม 24 หัวข้อสุด Exclusive
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair 2025 งานเรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
0 ความคิดเห็น