Bonjour! ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สุขภาพของโลกกลับน่าเป็นห่วงมากขึ้นทุกวันเลยค่ะ ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขากำลังค้นหาทางออกให้กับโลกในแบบฉบับของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือศาสตร์ด้าน “เคมี” ซึ่งไม่ได้มีบทบาทแค่ในห้องทดลองเพื่อสังเคราะห์สารหรือพัฒนายารักษาโรคเท่านั้น แต่มีส่วนสร้างนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ช่วยพลิกโฉมให้โลกมีความยั่งยืนขึ้นได้ค่ะ
และวันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่ดิว” คนไทยที่ตระหนักถึงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม และมุ่งศึกษาต่อด้านเคมีเพื่อความยั่งยืน ณ มหาวิทยาลัยชื่อดังในฝรั่งเศส หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่าประเทศนี้มีนโยบายที่ส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และพลเมืองก็ให้ความร่วมมือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วด้วยนะ!
มาดูกันว่าพี่ดิวไปเจอการเรียนและทำวิจัยแบบไหน? ความยากของ ป.โทและเอก กับชีวิตที่ฝรั่งเศสคือเรื่องอะไร? ถ้ามีน้องๆ อยากเดินมาสายเดียวกัน พี่เขาจะเชียร์สุดใจหรือบอกให้หนีไปเถอะ? มาฟังประสบการณ์ตรงเพื่อประกอบการตัดสินใจกันค่ะ

Photo by David Levêque on Unsplash.com
ไม่ได้วางฝรั่งเศสเป็นช้อยส์แรก
แต่พอโอกาสเข้ามาก็ขอลองสักตั้ง
สวัสดีค่า ชื่อพี่ดิวนะคะ เรียนจบ ป.ตรี คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล และเป็นเด็กทุน พสวท. ซึ่งมีเงื่อนไขว่าต้องเรียนให้จบปริญญาเอกก่อนใช้ทุนค่ะ ช่วงปีสุดท้ายก็เลยเริ่มวางแผนว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี
เรื่องแรงบันดาลใจต้องย้อนไปตอนเด็ก เรามีความฝันนึงคืออยากพิทักษ์โลก 555 สนใจสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่เด็กๆ เลยอยากเรียนต่อ Green Chemistry เพื่อหวังจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยอะไรสักอย่างเพื่อโลกได้ และความตั้งใจแรกคืออยากเรียนประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จะได้ปรับตัวและเรียนไม่ยากเกินไป
แต่พอที่คณะประกาศว่ามีทุนเต็มจำนวนที่ร่วมกับทาง Université de Rennes ที่ฝรั่งเศส ก็คิดว่า “เอ้อ! ฝรั่งเศสก็น่าสนใจดีนะ อย่างน้อยก็ใช้อักษรโรมันเหมือนกัน” ไม่ปิดกั้นตัวเอง ลองสมัครดูค่ะ (เลือกหลักสูตรภาษาอังกฤษหมดเลย)
สาขาที่ไปเรียนคือ
- ป.โท สาขาเคมี (Catalysis, Molecules and Green chemistry) ที่มหาวิทยาลัยแรนส์ (Université de Rennes)
- ป.เอก สาขาเคมี (Complex system chemistry) ที่มหาวิทยาลัยสตราสบูร์ก (Université de Strasbourg)
- ปัจจุบันเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอก (Postdoc) ที่มหาวิทยาลัยมหิดล


https://www.unistra.fr/
ทั้งคู่คือมหาลัยดังด้านเคมีค่ะ แนะนำให้น้องๆ ที่เรียนคณะด้านวิทย์คอยติดตามข่าวทุนวิจัยจากทางมหาวิทยาลัย เพราะสาขา/เงื่อนไข/จำนวนเปิดรับไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่าแล็บฝั่งมหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์เขาต้องการนักศึกษาต่างชาติไปทำวิจัยด้านไหน ซึ่งกรณีเราคือกำหนดเกณฑ์ไว้เข้มงวด คือต้องเป็นนักเรียนที่ได้ผลการเรียน Top 5% ของรุ่นถึงจะสมัครได้ (เช่น ถ้าในรุ่นมี 100 คน ต้องเป็นคนที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับ 1-5) และสุดท้ายจะมีผู้ได้ทุนแค่ 1 คนเท่านั้น
- การสมัครไม่ซับซ้อน เพียงแค่ส่งเอกสารให้ครบ หลักๆ ก็จะมี Statement of Purpose (SoP), Resume, จดหมายแนะนำจาก Supervisor
- การเตรียมตัวในปีสุดท้ายสำคัญมากโดยเฉพาะการทำวิจัยให้ได้ผลลัพธ์และแสดงความสนใจชัดเจน เพราะตอนสัมภาษณ์ เค้าจะให้เราเล่าถึงงานวิจัยที่เราทำในปี 4 และดู Performance ของเราด้วย
- ทุนไม่ได้ดูคะแนนภาษาพวก IELTS/TOEFL เลย แต่เค้าจะดูจากการเขียน SoP และการสัมภาษณ์
- ด้วยความที่เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ ตอนสัมภาษณ์ก็ใช้ภาษาอังกฤษ พูดคุยกับงานวิจัย ต้องสามารถ Discuss, Improve และต่อยอดงานได้
- แนะนำให้เขียน SoP แบบชัดเจนตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ ไม่ต้องน้ำเยอะ
ก้าวแรกของชีวิตพาร์ตใหม่
บทบาทนักศึกษาวิจัยในแดนน้ำหอม
“ถ้าให้เทียบประสบการณ์ที่ฝรั่งเศสกับน้ำหอม คงเป็นแนว Woody Floral มีเสน่ห์ลึกลับ! ช่วงแรกอาจหม่นนิดๆ เหมือนการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ แต่พอเวลาผ่านไป กลิ่นก็สดชื่นและมีชีวิตชีวาขึ้น เริ่มสนุกกับการอยู่กับตัวเองและธรรมชาติของที่นี่”
ส่วนตัวดิวเอง ช่วงแรกไม่มีปัญหากับเนื้อหาวิทย์เลย เพราะตอนเรียนมหิดลเค้าปูพื้นฐานจนแข็งแกร่งสุดๆ แต่ถึงจะมาเรียน ป.โทและเอกหลักสูตรภาษาอังกฤษล้วน ความท้าทายใหญ่สุดก็คือเรื่อง “กำแพงภาษา” เราจะได้เจอ “สำเนียง” (Accent) ที่แตกต่างของเพื่อนๆ และอาจารย์ค่ะ อย่างเช่นพวกคำที่มีตัว H บางสำเนียงออกแบบ Silent Sound เช่น “How are you?” อาจจะฟังออกเป็น “อาวอายู” หรือสไตล์ฝรั่งเศสจะออกเสียงตัว “R” แตกต่างจากที่เราคุ้นชิน ฟังดูจะคล้ายเสียง L + เอ่อ (ə) ประมาณนั้นค่ะ ช่วงแรกๆ ก็คืองงไปเลยยยว่าเขาพูดอะไรกันค่ะ
จริงๆ แล้วถ้าอยู่ในคณะหรือแล็บที่ใช้ภาษาอังกฤษ อาจไม่มีปัญหาถ้าเทียบกับการใช้ชีวิตนอกคณะ เช่น ไปทำธุรกรรม เปิดบัญชี ติดต่อราชการ หรือใช้บริการสาธารณะ ฯลฯ เพราะจะไม่ค่อยมีคนใช้ภาษาอังกฤษกัน บวกกับฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง Paper Work อาจต้องใช้ความอดทนสูงกับเรื่องเอกสารค่ะ เช่น ต้องติดแสตมป์ในเล่มพาสปอร์ต-วีซ่า, ทำเรื่อง Social Security (ประกันสุขภาพของรัฐ), เปิดบัญชีธนาคาร, ซิมโทรศัพท์ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนัดหมายผ่านแอป และกระบวนการบางอย่างใช้เวลาพอสมควร
Note: เรื่องภาษา อาจต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนฝรั่งเศส หรืออย่างตอนนั้นมีรุ่นพี่คนไทยที่อยู่มาก่อนคอยช่วยเหลือถึงผ่านมาได้ แต่สิ่งสำคัญคือกฎประเทศเค้าเปลี่ยนตลอดนะคะ บางทีขั้นตอนของปีเราอาจต่างกับปีที่คนอื่นมาก็ได้
ในระดับ ป.ตรี แทบไม่มีที่เปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษเลย หากสนใจเรียนต่อหลักสูตรภาษาฝรั่งเศส ลองเข้าไปศึกษาข้อมูลจากเว็บ Campus France
รีแคปการเรียนและวิจัยคร่าวๆ
+ เล่าความแตกต่างของ ป.โทและเอก
ภาพรวมและงานวิจัยที่ทำ
เริ่มจาก ป.โท Catalysis, Molecules and Green Chemistry ที่ Université de Rennes
- ระบบจะแบ่งออกเป็น M1 (ปีแรก) และ M2 (ปีสอง) โดยต้องเก็บให้ครบ 120 หน่วยกิต เราเลือกวิชาที่สนใจให้ครบตามที่หลักสูตรกำหนดได้นะคะ ส่วนครึ่งเทอมหลังของ M2 จะเป็นช่วงฝึกงาน (Internship) ค่ะ
- จุดเด่นของที่ฝรั่งเศส คือเราเลือกไปทำวิจัยกับแล็บไหนก็ได้ เพียงแต่ต้องส่ง SoP ไปสมัครกับแล็บที่สนใจ แล้วถ้าอาจารย์ที่เขาจะมาเป็น Supervisor เห็นว่าเรามีแรงจูงใจตรงกับวิจัยที่เขาทำ ก็จะรับเราเข้าฝึกงาน ซึ่งฝึกงานที่นี่ได้เงินเดือนด้วยนะคะ ไม่ฟรีค่า
- ถ้าเกิดเข้าเรียนที่มหา’ลัยดังๆ ของประเทศเค้า + อาจารย์มีคอนเน็กชันเยอะ + มีจุดมุ่งหมายทำวิจัยที่ชัดเจน + เกรดวิชา Coursework ดี จะทำให้มีโอกาสสูงที่ได้เข้าไปฝึกงานหรือเข้าไปทำงานแล็บที่สนใจ
- ตอนทำธีสิส ป.โท ดิวโฟกัสไปที่การหาตัวเร่งปฏิกิริยาในการสังเคราะห์สาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Green Chemistry เป้าหมายคือทำให้กระบวนการสังเคราะห์มีเงื่อนไขที่อ่อนโยนขึ้น (Mild Conditions) ลดพลังงานที่ใช้ลง ทำให้การผลิตสารเคมีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สามารถประหยัดพลังงานและลดของเสียไปพร้อมกัน
ส่วน ป.เอก Complex Systems Chemistry ที่ Université de Strasbourg ที่นี่ก็ดังมากด้านเคมี และมีอาจารย์ที่เป็น Nobel Prize ด้วย
- ถึงจะเรียนในสาขาเดิม แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างคือการเน้นเรื่อง CO₂ Reduction” เพราะชีวิตของเรากับโลกทั้งใบขับเคลื่อนด้วยกระบวนการ Oxidation (การสันดาป) ไม่ว่าจะเป็นการหายใจ การเผาผลาญพลังงาน ทุกอย่างล้วนปล่อย CO₂ออกมา ซึ่งสิ่งที่ทำในสาขานี้คือย้อนกระบวนการนี้กลับ (Reverse) โดยนำ CO₂ กลับมาใช้ใหม่ เปลี่ยนให้กลายเป็น Starting materials ใดๆ ที่ช่วยให้เป็นวงจรที่สมบูรณ์ด้วยการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- บรรยากาศตอนเรียนจะคล้ายๆ เรามาอัปเดตข่าวสารแวดวงวิจัยนี้กัน เป็นคาบ Seminar ที่เปิดโอกาสให้ถาม-ตอบกับอาจารย์, Celebrity in Science มี Coffee Break ทุกวันจันทร์และศุกร์
สิ่งที่แตกต่างชัดเจนระหว่าง ป.โท และ ป.เอก
ทุนการศึกษาในระดับปริญญาโท มักจะเลือกผู้รับทุนก่อนรับเข้าโปรแกรม ในขณะที่ปริญญาเอกจะเป็นการจ้างงาน (PhD Position) และมี Recruitment ทุกปี แล้วพอเข้าไปถึงก็เหมือนเป็นคนทำงานเลยค่ะ เราจะไม่ได้เรียนในคลาสเหมือน ป.ตรี/ป.โท แต่จะทำวิจัยเต็มเวลา ได้เงินเดือนเหมือนพนักงาน เป็นทุนให้เปล่าที่ไม่มีข้อผูกพัน และต้องเสียภาษีและค่าประกันสังคมเหมือนพนักงานทั่วไปเช่นกัน
ถ้ามาเรียนที่ฝรั่งเศส ค่าใช้จ่ายหลักๆ คือค่ากินอยู่ ซึ่งถ้าต้องทำอาหารกินเอง ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่ Rennes จะอยู่ที่ประมาณ 800 ยูโรต่อเดือน แต่ถ้าเป็นนักศึกษาป.เอก จะง่ายกว่าเพราะได้เงินเดือนประมาณ 1,600 ยูโรต่อเดือน
แม้ว่าฝรั่งเศสจะมีค่าเล่าเรียนที่ถูกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่ยังมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ waive ไม่ได้และต้องจ่ายรายปี ฟีลๆ ประกันสังคม ถ้าระดับปริญญาโท (M2) ประมาณ 8,000 บาทต่อปี ส่วนปริญญาเอก (PhD) จะอยู่ที่ราวๆ 12,000 บาทต่อปีค่ะ
หางาน ป.เอก ที่ไหนได้บ้าง?
ตอนแรกงงไปเลยค่ะ! คนที่ฝรั่งเศสจะใช้ “X” (Twitter เดิม) ในการโพสต์รายละเอียดโพรเจ็กต์ ประกาศรับสมัครตำแหน่ง PhD และโพสต์ข่าวสารหรืออัปเดตงานวิจัยของแต่ละคน ดังนั้นการติดตาม account ของแล็บที่เราสนใจสำคัญมากๆ ค่ะ
และอีกช่องทางหลักคือ CNRS (Centre National de la Recherche Scientifique): องค์กรวิจัยหลักของฝรั่งเศส ที่ทำงานคล้ายๆ กระทรวงอว.ฯ ของไทย เราก็สามารถเข้าไปค้นหาโอกาสหรือทุนที่เปิดรับสมัครได้

การมาทำวิจัยสาย Green Chemistry ที่ฝรั่งเศส
นับเป็นสภาพแวดล้อมที่ตอบโจทย์มาก
เราสัมผัสได้เลยว่าคนฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมจริงๆ อย่างช่วงซัมเมอร์อากาศร้อนขึ้นทุกปี แต่ประเทศเค้าแทบไม่มีแอร์ คนเลยต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโดยตรงกับตัวเอง ทำให้ตระหนักเรื่อง Climate Change, Sustainability และ Green Living จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
มีหลายมาตรการรักษ์โลกถูกบังคับใช้แบบจริงจัง เช่น
- ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่มีถุงพลาสติกให้ ถ้าอยากได้ต้องซื้อในราคาสูงมาก จนทุกคนหันมาใช้ถุงผ้า/ถุงกระสอบกันเป็นเรื่องปกติ
- ร้านกาแฟอย่าง Starbucks ไม่มีแก้วพลาสติก ทุกเมนูใช้แก้วกระดาษหมด ถ้าสั่ง Takeaway ต้องไม่นั่งกินที่ร้าน
- ปกติบ้านเราซื้อของนิดเดียวก็ได้ถุงพลาสติกมาหลายชิ้น แต่ที่ฝรั่งเศสแทบไม่มีบรรจุภัณฑ์พลาสติกเลย พยายามเลือกใช้วัสดุรักษ์โลกให้มากที่สุด
- เคร่งเรื่องการแยกขยะ แยกพลาสติกทุกประเภท และทุกคนให้ความร่วมมือจริงจังมาก ถ้าใครไม่ทำอาจโดนมองแรงได้
ผลจากการช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมก็ตกมาถึงคนที่อยู่ในประเทศค่ะ ที่นี่ไม่ใช่แค่บ้านเมืองสวยเท่านั้น แต่อากาศยังสดชื่น ไม่มีฝุ่น เดินออกจากบ้านแล้วหายใจได้เต็มปอด ผิวก็ไม่เหนียวเหนอะหนะด้วย


นอกจากนี้คือเราประทับใจเรื่อง Work-life Balance ระบบจัดการดี และให้ความสำคัญกับความปลอดภัย
- ทุกขั้นตอนมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างจริงจังและชัดเจน เช่น เวลาทำแล็บจะ Fix ไว้ที่ 9:30-18:00 ห้ามเกินจากเวลาที่กำหนด
- นักศึกษาปริญญาโท เวลาจะเข้าแล็บนอกเวลา ต้องมี French Native อย่างน้อย 2 คนคอยดูแล
- ก่อนเริ่มทำแล็บต้องสอบ QA (Quality Assessment) and Sefty pass เพื่อตรวจสอบว่ามีความรู้เรื่องการจัดการสารเคมีแค่ไหน และต้องแจ้ง Responsibility Staff ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ
- การได้กลิ่นสารเคมีในแล็บถือเป็นความผิดปกติ เพราะปกติจะมี Fume Hood (เครื่องดูดอากาศ) ทำงานตลอดเวลา มีการทำลิสต์สารเคมีที่ใช้ พร้อมกับ Safety Datasheet เพื่อบันทึกข้อมูล แล้วถ้าในอนาคตเกิดตรวจแล้วพบว่ามีโรคที่เกิดจากสารเคมีตัวไหน รัฐบาลจะร่วมรับผิดชอบด้วย
- เราไม่ต้องเจอเรื่องเอกสารมาสูบพลัง เพราะแล็บที่ฝรั่งเศสจะมี “เลขาแล็บวิจัย” คอยช่วยจัดการเรื่องนี้ สำหรับนักวิจัยหรือนักศึกษาเพียงแค่ Paper Sheet / Paper Work เพื่อบันทึกข้อมูลเท่านั้น โฟกัสกับงานได้เต็มที่เลยค่ะ

#รีวิวฝรั่งเศส ในมุมการใช้ชีวิต
และสิ่งที่อยากให้เตรียมรับมือ
- มหาวิทยาลัยที่ฝรั่งเศสมักจะเปิดโอกาสให้ลองเข้าเรียนก่อนได้ เรื่องสอบตกหรือการซิ่วไม่ใช่ประเด็นซีเรียสที่สังคมจะตั้งคำถามกับเรา แถมยังมองว่าเป็นโอกาสค้นหาตัวเอง หากิจกรรมหรือทำอย่างอื่นระหว่างรอเริ่มเรียนใหม่ได้
- หลักสูตร ป.ตรี แทบไม่มีที่เปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งการจะมาเรียนหลักสูตรที่เปิดสอนเป็นภาษาฝรั่งเศส จะต้องลงคอร์สปรับภาษาที่รับรองโดยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุดมศึกษา และกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส จากนั้นก็สอบวัดระดับ DELF หรือ DALF ให้ผ่านเกณฑ์ของหลักสูตร/มหาวิทยาลัย แล้วจึงจะมีสิทธิ์สมัครเข้าเรียนได้ (ส่วนใหญ่กำหนด DELF ระดับ B2 หรือ DALF ระดับ C1) เรื่องภาษาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Campus France
- ฝรั่งเศสมีความรู้และเทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจสาย Eco ของเค้าสามารถอยู่รอดได้ และไม่ค่อยได้พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้นคนทำงานที่นี่อาจไม่ได้มี service-mind สูงชนิดที่ต้อนรับขับสู้หรือเอาใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีสุดๆ อย่างที่เราคุ้นเคยกันในบางประเทศ
- สมาคมนักเรียนไทยในฝรั่งเศสแข็งแรงมาก มี Sub-group ของนักเรียนไทย ที่คอยช่วยเหลือกัน มีการจัด Welcome Session ทุกปี ให้คำแนะนำเรื่องเอกสาร การทำบัตรต่างๆ
ซึ่งความประทับใจคือท่านทูตไทยที่ฝรั่งเศส nice มากกก เค้ามีเปิดบ้านต้อนรับเด็กไทยด้วยนะคะ แล้วก็เลี้ยงส้มตำ! (นักเรียนเห็นแล้วร้องไห้เลยยยย เริ่มมาถึงก็คิดถึงบ้านแล้ว TT) รวมไปถึงพี่ๆคนไทยที่ Strasbourg ก็น่ารักมากๆ เลี้ยงดูปูเสื่อเราเป็นอย่างดี อยากขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ
0 ความคิดเห็น