‘พี่มายด์’ รีวิวชีวิตเด็กทุน ป.โท Australia Awards Mekong-Australia Partnership "ไม่ใช่แค่เรียนตลอด แต่ทุนอยากให้ออกไปใช้ชีวิตด้วย!"

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงประเทศที่มาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออสเตรเลียคือหนึ่งในประเทศที่มีระบบรัดกุมคุมเข้มมากๆ ซึ่งวันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่มายด์” ศิษย์เก่าทุนรัฐบาลออสเตรเลีย Australia Awards Scholarships ที่ไปเรียนต่อ ป.โท สาขาที่ว่าด้วยมาตรฐานและกระบวนการผลิตที่ดี ซึ่งเป็นแนวทางของการผลิตยา ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง และอื่นๆ ที่ล้วนแต่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคนค่ะ

และแน่นอนว่าทุนเต็มจำนวนนี้ไม่ได้ส่งเสริมให้เราไปเรียนอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรียกว่าเขาดันหลังให้เด็กทุนออกไปหาประสบการณ์ชีวิตนอกห้องเรียนเต็มที่ เข้ากับไลฟ์สไตล์ของประเทศที่มีกิจกรรมให้ทำเยอะมากกกก // ที่นี่จะตอบโจทย์เราไหมนะ? ที่ว่าได้ใช้ชีวิตเต็มที่ จะรูปแบบประมาณไหน? ไปอ่านรีวิวจากรุ่นพี่ตัวจริงกัน!

โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา

อ่านจบลิสต์ข้อสงสัยไว้ แล้วเตรียมมาพูดคุยปรึกษาแบบ 1:1 กับ "พี่มายด์" ตัวจริงที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ บอกเลยว่ารอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี,  ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+, ทุนตรงจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) ขนทัพมาพร้อมไฮไลต์อีกแน่นงาน

 

Note: พบพี่มายด์ได้ในวันอาทิตย์ ช่วง 13.00-17.00 น.

 

. . . . . .

ทักทายกันก่อนน~

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อ “พี่มายด์ – ณัฐศศิญา นาคบุรี” ค่ะ จบ ป.ตรี คณะเภสัชฯ ม.ขอนแก่น ทำงานมา 4 ปีก่อนจะสมัครทุน Australia Awards โครงการ Mekong-Australia Partnership (MAP) ไปเรียนต่อ ป.โท Master of Good Manufacturing Practice (GMP) ที่ University of Technology Sydney ประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันเรียนจบกลับไทยมาเรียบร้อยแล้ว ทำงานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) กองยา กระทรวงสาธารณสุข ค่ะ

ตอนสมัครเราเองจบ ป.ตรี คณะเภสัชขอนแก่น ภาคอินเตอร์ฯ เกียรตินิยมอันดับ 2 (GPA 3.30 กว่าๆ) และ IELTS 6.5 ทำงานสายราชการเป็น GMDP (Good Manufacturing and Distribution Practice) Inspector ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจประเมินมาตรฐานการผลิตยาของบริษัทยา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้บริโภคได้รับยาที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และปลอดภัย  

ตอนเราเริ่มเข้ามาทำงาน เรารู้สึกว่าตัวเองยังใหม่ อยากพัฒนาความรู้และหาประสบการณ์ด้านนี้เพิ่ม เพราะเป็นงานที่ความรับผิดชอบสูงต้องตามโลกและเรื่องในอุตสาหกรรมยาให้ทันค่ะ

. . . . . .

ทำไมถึงตัดสินใจมาออสฯ
และสมัครทุน Australia Awards

จริงๆ เรามองหาทุน ป.โท ไว้หลายที่ค่ะ จนมาเจอกับทุนเต็มจำนวน ป.โท ชื่อว่า Australia Awards เพิ่งเปิดรับคนจากประเทศลุ่มน้ำโขง–ออสเตรเลีย ภายใต้โครงการความร่วมมือประเทศลุ่มน้ำโขง-ออสเตรเลีย (Mekong-Australia Partnership: MAP) เป็นรุ่นแรกที่คนไทยสมัครได้ค่ะ ข้อดีคือเป็นทุนเต็มจำนวน เรียนฟรี มีค่าครองชีพให้ Benefits เยอะมาก และไม่ต้องใช้ทุนคืนด้วย

ทุนครอบคลุมอะไรบ้าง?

  • ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
  • ค่าใช้จ่ายในการตั้งรกราก เมื่อเดินทางถึงออสเตรเลียในตอนแรก
  • ค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน
  • เงินสนับสนุนค่าครองชีพ
  • โปรแกรมปฐมนิเทศทางวิชาการ
  • ประกันสุขภาพสำหรับนักศึกษาต่างชาติ (ตลอดระยะเวลาของทุนการศึกษา)
  • ค่าสนับสนุนทางวิชาการเพิ่มเติม
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับการวิจัยภาคสนาม (สำหรับนักศึกษาหลักสูตรวิจัยและหลักสูตรที่มีส่วนประกอบภาคสนามบังคับ)
  • ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมส่งเสริมการเรียนรู้ Mekong-Leaders Network

คิดว่าทุนนี้มองหาคุณสมบัติแบบไหน?

ส่วนตัวกรรมการน่าจะอยากรู้เป้าหมายและความตั้งใจของเราว่าอยากไปเรียนอะไร แล้วกลับมาสร้างอิมแพคให้กับสังคมยังไงบ้างค่ะ

สำหรับตัวเรา เราคิดว่ากรรมการมองหาคนที่จะมาเปลี่ยนแปลงสังคมในวงกว้าง จริงๆ เราว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่ง แต่เชื่อว่า “ทุกคนมีคุณค่าอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว” ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีโจทย์ที่เขาถามในทุนยังไง มองเห็นศักยภาพของตัวเองแล้วนำเสนอมุมนั้นออกมายังไงบ้าง เรียบเรียงเป็นคำตอบออกมาค่ะ

อย่างตอนนั้นมีข้อที่เขาถามเรื่องภาวะผู้นำ (Leadership) เราเองเพิ่งเข้ามาทำงานเป็นน้องเล็กสุดด้วยซ้ำ ไม่ได้อยู่ในจุดที่เป็นผู้นำหรือหัวหน้าอะไรเลย แต่เราเลือกที่จะมองในอีกมุมว่าผู้นำไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง แต่ทุกคนเป็นผู้นำอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เราเลยเล่าให้กรรมการฟังในมุมที่ว่า ใช่ เราไม่ได้อยู่ในจุดที่ตำแหน่งเป็นผู้นำก็จริง แต่เราสามารถทำให้งานสำเร็จได้โดยการเข้าไปอย่างเคารพนอบน้อม เสนอไอเดียทางออกให้คนที่ตำแหน่งสูงกว่ายอมรับ แล้วในที่สุดงานก็สำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งจริงๆ แล้วคือการแสดงทักษะความเป็นผู้นำในอีกรูปแบบที่ไม่ใช่การสั่งการ  ไม่ว่าจะอยู่ position ไหนเราสามารถแสดงภาวะการเป็นผู้นำได้หมดค่ะ

Photo by C.Valdez on Unsplash
Photo by C.Valdez on Unsplash

. . . . . .

รีวิวการเรียน ป.โท GMP ที่ UTS
บรรยากาศและวิชาประมาณนี้!

เราเลือกเรียนสาขาวิชา Master of Good Manufacturing Practice UTS เป็นมหาวิทยาลัยเดียวในออสฯ ที่เปิดสอนหลักสูตรนี้เลยค่ะ สำหรับ UTS อยู่ใจกลางซิดนีย์ ไปไหนมาไหนง่ายมากก อยู่ใกล้สถานีหลัก (Central Station) แค่ 500 เมตร และการเรียน ป.โท ของเราคือเรียนทั้งวันเช้าเย็น 2 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น 

ส่วนตัวสำหรับเราโชคดีที่มีพื้นฐานทางด้านนี้มาก่อนแล้ว เลยรู้สึกไม่หนักมาก แต่สำหรับนักเรียนคนอื่นที่ไม่มีพื้นฐานก็อาจต้องใช้เวลาปรับตัวค่ะ  ตอนเรียนทุกครั้งจะปิดท้ายด้วย Workshop ที่อาจารย์จะเดินไปดูและถามเป็นกลุ่ม ถ้าไม่เข้าใจอะไรนักศึกษาก็ถามอาจารย์ได้แบบใกล้ชิดเลย แถมในคลาสยังมีแค่ 25-50 คนไม่เกินนี้ เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราค่อนข้างสนิทกับอาจารย์ค่ะ

สไตล์อาจารย์ที่สอนจะแตกต่างกันชัดเจน ถ้าเป็นคนออสซี่แท้ๆ เขาจะเน้นให้เราไปอ่านมาเองแล้วมาดิสคัสกันในห้อง (ต้องอ่านไม่งั้นตามไม่ทัน แล้วถ้าถามแต่ไม่มีใครตอบเขาก็อาจชี้ตัวเลยนะคะ) ส่วนอาจารย์ที่เป็นคนเอเชียจะเน้นอธิบายเป็นประเด็นๆ ซึ่งในมุมเราเองจบเภสัชและทำงานนี้มาโดยตรงก็เลยไม่ยากเกินไป แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลยก็อาจเหนื่อยกว่าช่วงแรกๆ

ตัวอย่างวิชาเช่น

  • วิชา Good Laboratory Practice (GLP) เรียนว่าในการผลิตยาตัวนึง เราต้องทดสอบอะไรบ้าง การทดสอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยา เช่น การตรวจรับรองการทำความสะอาด ต้องดูอะไร คำนวณอย่างไร เป็นต้น
  • วิชา Good Manufacturing Practice (GMP) เรียนเกี่ยวกับข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในการตรวจ GMP โดยใช้ข้อกำหนดตามมาตรฐานสากล
  • วิชา Supply Chain Management for Pharmaceuticals เช่น สมมติเราจะนำเข้ายาสักตัวนึงเข้าประเทศ จะควบคุมการขนส่งยังไงให้คงประสิทธิภาพและปลอดภัย มีปัจจัยอะไรที่ต้องเฝ้าระวังบ้าง
เว็บหลักสูตร ป.โท GMP ที่ UTS 

. . . . . .

สิ่งที่ยากในมุมเด็กเอเชีย?

น่าจะเรื่องการทำ Assignments ซึ่งมันต้องเขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษส่ง ถ้ารวมกับ Quiz ก็จะเป็นสัดส่วนคะแนน 100% ของวิชานั้น เรียกได้ว่าพอคะแนน Assignments ออกที สามารถรู้เกรดตัวเองได้เลยนะคะ คลาสส่วนใหญ่ไม่มีการสอบ แต่เน้นส่งงานค่ะ ซึ่งถ้าใครไม่ได้อยู่จุดที่ใช้ได้ fluent เหมือนเจ้าของภาษา การจะเขียนให้เป๊ะและมืออาชีพก็ถือว่าท้าทายพอตัว ถึงเข้าใจสิ่งที่เรียนอย่างดีแต่อาจเสียคะแนนเพราะเรื่องนี้ได้ถ้าคนอ่านไม่เข้าใจ

หลักๆ เราว่าน่าจะต้องเตรียมรับมือเรื่องงาน มีทุกสัปดาห์ จำได้ว่าช่วงที่เหนื่อยสุดๆ คือคืนก่อนส่ง Assignments เพราะเค้ามักจะกำหนดให้เราส่งภายในวันอาทิตย์ไม่เกิน 23:59 ซึ่งปกติไอเดียเราจะชอบมาวันอาทิตย์ตอนเช้า กดดันไปอีก!

ข้อดีคือการให้คะแนน Assignments มี Rubric (เกณฑ์การให้คะแนน) ที่ชัดเจน เช่น Knowledge 80% Readability 10% Presentation 10% เป็นต้น โดยทุกครั้งหลังส่งงาน อาจารย์จะให้ feedback มาตลอด ทำให้เรารู้ว่าจุดแข็งของเราคืออะไร และจุดอ่อนคืออะไร  ส่วนตัวตอนที่ไปเรียนเป็นครั้งแรกที่รู้จัก ChatGPT เพราะเพื่อนใช้กัน เราจึงนำมาใช้ในการเกลาภาษาของเราตอนเขียน โดยไอเดียเป็นของเรา แต่ใช้ AI เกลาภาษาให้มันดูเป็นวิชาการ หรืออ่านได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น  แล้วต้องไม่ลืมที่จะตรวจสอบด้วยตัวเองตอนหลัง พร้อมกับเรียนรู้เพื่อพัฒนาภาษาของตัวเองให้ดีขึ้นไปด้วยค่ะ ย้ำว่าต้องใช้เครื่องมือให้เป็นนะคะ

. . . . . .

ชีวิตดีๆ ที่ลงตัวใน UTS
สภาพแวดล้อมดี บริการสุดประทับใจ!

เราว่ามหาวิทยาลัยมีระบบซัปพอร์ตนักศึกษาดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • Health Clinic มีเจ้าหน้าที่พร้อม และนัดได้เร็วกว่าการนัดพบหมอข้างนอก
  • Psychology Clinic สำหรับคนที่อยากขอความช่วยเหลือเรื่องปัญหาชีวิตหรือสุขภาพจิต ค่าบริการเพียงครั้งละ 15-25 AUD
  • Speech Pathology คลินิกที่ช่วยให้เราออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง เราจะมีโอกาสได้ฝึกพูดและออกเสียงตัวต่อตัวกับนักศึกษาฝึกงานที่เรียนด้านนี้โดยตรง โดยนักศึกษาเขาจะมาเก็บชั่วโมงปฏิบัติงานค่ะ

นอกจากนี้คือถ้ามีปัญหาสุขภาพจริงๆ ก็จะมีหน่วยงานช่วยเหลือจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยจำเป็นต้องบินกลับไทยมาผ่าตัด เขาเข้าใจและเสนอให้เราเลื่อนส่ง Assignments โดยไม่หักคะแนน เพราะเขามองว่าอาการส่งผลทำให้ประสิทธิในการทำงานส่งของเราไม่เท่าคนอื่นค่ะ เพราะเราต้องพักฟื้นแผลจากการผ่าตัด ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเราไม่เท่าคนอื่น 

// ตอนแรกเราบอกเขาว่ารู้สึกผิดที่เลื่อนส่งงาน มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่น แต่เขาตอบกลับเรามาดีมากๆ ว่า “เธอไปผ่าตัด ประสิทธิภาพในการทำงานเธอน้อยกว่าคนอื่นนะ สิ่งที่เราช่วย คือช่วยให้เธอเท่ากับคนอื่นเท่านั้นเอง”

. . . . . .

ปี 2 มีฝึกงานก่อนจบ
เก็บประสบการณ์พร้อมลุยสนามจริง

ข้อดีคือปี 2 มีวิชาฝึกงาน (Research Project) ทางมหา’ลัยได้ทำการดีลกับบริษัทยาไว้ แล้วแมตช์ว่าใครจะได้ไปฝึกงานที่ไหน จากนั้นเราต้องไปคุยรายละเอียดต่อ เช่น ขอบเขตงานที่ต้องทำ วันและเวลาเข้าออฟฟิศ ทำให้เรามีประสบการณ์การทำงานจริง นอกจากนี้ถ้าบริษัทไหนถูกใจเรา เขาสามารถจ้างเราระหว่างเรียนหรือจ้างให้ทำงานกับเขาหลังจบได้เลยค่ะ มีเพื่อนหลายคนที่ได้ทำงานที่บริษัทฯ จากการฝึกงาน

ส่วนตัวเราชอบวัฒนธรรมการทำงานที่นี่ เพราะมี Work-Life Balance อย่างบริษัทที่เราไปฝึก เวลาเข้างานยืดหยุ่นมาก ไม่ต้องมี clock in หรือ clock out เหมือนกับประเทศไทย จะเริ่มและเลิกงานตอนไหนก็ได้แต่ต้องรับผิดชอบงานของตัวเองให้เต็มที่และเสร็จทันเวลาที่กำหนด

แชร์ประสบการณ์ฝึกงานในบริษัทยา 2 แห่ง

เราได้เห็นการบริหารงานที่ดีและวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทยาใหญ่ๆ  เราได้ไปเห็นบริษัทที่มียาและโปรดักส์อื่นๆ กว่าร้อยตัว ซึ่งหลายตัวก็มีขายในบ้านเราด้วยนะ เช่น ยาอม Difflam 

ถึงแม้จำนวนผลิตภัณฑ์จะเยอะมาก แต่บริษัทฯ ใช้คนจำนวนน้อยมากในการบริหารและไม่มีสถานที่ผลิตยาด้วยซ้ำ รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ค่อนข้างเปิดกว้างในการทำงาน โดยพนักงานสามารถ Work from Home ได้ และถ้าเข้าออฟฟิศก็มี station สำหรับทำงาน ประชุม และที่ชอบที่สุดคือของกินที่มีให้เลือกมากมายทั้งที่กดกาแฟอัตโนมัติ ชา และอื่นๆ อีกมากมาย 

โดยส่วนตัวแล้วงานที่เคยทำคือไป Audit บริษัทยา แต่ไม่เคยเห็นมุมมองหรือการทำงานในบริษัทยาเลย  การฝึกงานจึงเป็นการเปิดมุมมองให้เห็นอีกด้านว่าเขามี Mindset และการทำงานยังไงบ้าง ซึ่งสำหรับเราถือว่าเปิดโลกและไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายๆ ค่ะ

. . . . . .

ผู้ที่เข้าใจเรื่อง GMP อย่างลึกซึ้ง
เป็นที่ต้องการทั้งในไทยและต่างประเทศ

GMP เป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกโรงงานยาต้องรู้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่อาจมีผู้ที่เข้าใจคอนเซ็ปต์จริงๆ ไม่มาก เราเลยมองว่าผู้ที่เชี่ยวชาญสายนี้เป็นที่ต้องการในตลาดงาน

หลังจบเรากลับมาทำงานที่ไทย เป็นผู้ตรวจ (GMDP Inspector)  ในสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หน้าที่หลักๆ คือต้องประเมินว่าแต่ละโรงงานที่ผลิตยาผ่านมาตรฐาน GMP หรือไม่ อาจมีจุดที่ต้องปรับปรุงเพิ่มซึ่งทางเราก็จะคอมเมนต์ไประหว่างการตรวจ

แต่สำหรับคนที่อยากหางานทำในออสเตรเลียต่อยาวๆ แนะนำว่าควรมีก้าวแรกที่ทำงานในประเทศเขามาก่อน เพราะนายจ้างจะมองว่าเราได้เข้าใจสภาพแวดล้อมและระบบงานของที่นี่มาก่อนแล้ว โอกาสได้งานต่อไปจะสูงขึ้นมาก

. . . . . . 

ทุนที่ไม่ใช่แค่ให้เรามาเรียน
แต่ดันหลังให้เราออกไปใช้ชีวิตเต็มที่!

"สิ่งที่ชอบที่สุดใน ป.โท ไม่ใช่เรื่องรายวิชา แต่การได้ไปใช้ชีวิตแบบมี Work-Life Balance เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นอกจากมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใจกลางซิดนีย์ เดินทางสะดวก และเราไปเรียนแค่ 2 วันต่อสัปดาห์ การได้ทุนเต็มจำนวน 2 ปีทำให้หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายไปเลย แถมทุนเองยังส่งเสริมให้เราออกจากห้องเรียนไปใช้ชีวิตและเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวด้วยซ้ำค่ะ"

  • การเรียน ป.โท มีช่วงปิดเทอมให้ได้พัก ได้ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก เกิดมาเราเพิ่งจะเคย Hiking หรือเข้าคลาสศิลปะป้องกันตัวครั้งแรกที่ออสฯ นี่แหละ แล้วเพิ่งรู้ว่าจริงๆ เป็นคนชอบเดินชมธรรมชาติ ซึ่งซิดนีย์มีหลายที่เลยให้เราเดิน โดยเราชอบที่สุดคือ Coastal walk หรือเดินเลาะริมทะเล  

    ต้องบอกว่าธรรมชาติที่นั่นสวยมาก เดินได้ไม่มีเบื่อ ที่นึงที่เราชอบไปคือ Maroubra to Malabar walk เป็นการเดินเลาะริมมหาสมุทรซึ่งมีทางสำหรับเดินอยู่แล้ว มองฝั่งซ้ายจะเห็นวิวมหาสมุทร มองฝั่งขวาจะเห็นวิวอุทยานแห่งชาติ  บางทีตอนเย็นหลังเลิกเรียนอยากไปนั่งดูวิวพระอาทิตย์ตกดินแบบสวยๆ ก็ทำได้ง่ายไม่ต้องวางแผนเยอะ แค่เดินไปนิดเดียว หรือนั่งรถไปนิดเดียวก็หาวิวสวยๆ ดูได้แล้วค่ะ!
     
  • เมืองซิดนีย์ค่าครองชีพสูง แต่ปกติการเดินทางในซิดนีย์และพื้นที่ใกล้เคียง อย่างเช่นทางรถไฟ รถบัส เรือเฟอร์รี หรือรถราง เราจะใช้บัตรเดียวคือ ‘Opal Card’ สะดวกมากๆ และนักศึกษาทุน Australia Awards มีสวัสดิการลดค่าเดินทาง 50% ด้วยอีกค่ะ โดยปกติสิทธิ์พิเศษนี้จะได้เฉพาะนักเรียนที่เป็น Citizen ที่โน่น แต่ทุนนี้เขาให้เราเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นทุนจากรัฐบาลออสเตรเลียโดยตรง
     
  • เรามีโอกาสได้เจอเพื่อนนักเรียนทุนนี้และทุนอื่นๆ ในรั้ว UTS และทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เวิร์ปชอป แฮงก์เอาต์ ปาร์ตี้ ทริปทัวร์เมืองต่างๆ อย่างแคนเบอร์รา (Canberra) และซิดนีย์ (Sydney) ฯลฯ ต่อยอดคอนเน็กชันไปอีกไกล แล้วยังเป็นโอกาสให้ได้ฝึก Soft Skills และทดสอบบุคลิกภาพให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้นด้วยค่ะ
     
  • หนึ่งในเรื่องที่ออสฯ ปลูกฝังคือการเคารพและให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียม ออสฯ ค่อนข้างซีเรียสกับการให้เกียรติทุกเชื้อชาติ ก่อนการพรีเซนต์ต่างๆ จะมีการขอบคุณแผ่นดิน และชนพื้นเมืองที่ให้พวกเราได้มาอาศัย ด้วยมายด์เซ็ตที่ไม่ได้มองว่าตนเป็นเจ้าของดินแดน เพราะฉะนั้นกับคนต่างชาติเลยไม่ได้มีการเหยียดเชื้อชาติมากเท่าไหร่ เพราะเค้าไม่ได้คิดว่านี่แผ่นดินฉัน แผ่นดินเธอ โดยเฉพาะซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีคนมาจากหลายประเทศ หลายวัฒนธรรม เลยมีการเคารพกันเป็นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ

. . . . . .

[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา

เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair  จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่!  พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง

  • ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่นักเรียนทุน ป.ตรี/โท/เอก อย่าพลาดโอกาสนี้! เพราะรอบนี้เราได้รับเกียรติจากทั้งศิษย์เก่าทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี,  ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+ รวมถึงทุนจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) เปิดบูทให้ทุกคนสามารถ Walk-in เพื่อพูดคุย ปรึกษา หรือรีวิว SoP แบบตัวต่อตัวได้
  • แจกฟรี Planner วางแผนเรียนต่อนอกสำหรับมือใหม่
  • IELTS Mock Test  - ทดลองสอบ IELTS ฟรีโดย British Council IELTS (Walk-in only)
  • Alumni’s Talk: #ทอล์กเด็กนอก รายการพูดคุย-สัมภาษณ์รุ่นพี่นักเรียนทุนจากหลากประเทศ & แชร์ประสบการณ์เรียนต่อ การใช้ชีวิต จัดเต็ม 24 หัวข้อสุด Exclusive
  • จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair 2025 งานเรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
มาเถอะ อยากเจอ! ดูรายละเอียดที่นี่
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น