ทุนแล้วทุนเล่า! ‘พี่เอิร์ธ’ รีวิวแลกเปลี่ยนทุน AIMS & YSEALI ก่อนพิชิต Chevening ไปต่อโทที่ 'LSE' ที่อังกฤษ จบมาลุยภารกิจเพื่อสิทธิมนุษยชน

“ผมฝันอยากไปเปิดโลกต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก แต่รู้ว่าต้นทุนอาจไม่เท่าคนอื่น แถมเรียนต่างจังหวัดที่โอกาสน่าจะน้อยกว่าเมืองใหญ่ ก็เลยเลือกที่จะวิ่งเข้าหาโอกาส มากกว่าเพียงรอโอกาสที่จะเข้าหา ลุยกิจกรรมเต็มที่ตั้งแต่เข้ามหาลัยปีแรก พัฒนาทั้งตัวเองและสกิลภาษาอังกฤษให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้”

— พี่เอิร์ธ เสฎฐวุฒ กงเต้น
ศิษย์เก่าทุน Chevening 2023/24

 

สวัสดีค่ะชาว Dek-D เราเชื่อว่ามีหลายคนที่อยากแลกเปลี่ยนหรือเรียนต่อเมืองนอกสักครั้งในชีวิต แต่ปัจจัยบางอย่างก็ทำให้ยังไม่ได้ก้าวถึงจุดนั้น อย่าเพิ่งยอมแพ้นะคะ! วันนี้เรามีสตอรี่การวิ่งเข้าหาโอกาสของ “พี่เอิร์ธ-เสฎฐวุฒ กงเต้น” ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ที่สะสมประสบการณ์แน่นตั้งแต่การไปแลกเปลี่ยนในมหาลัยดังด้านสิ่งแวดล้อมที่มาเลเซีย ตามด้วยทุน YSEALI Academic Fellowship  แลกเปลี่ยนแบบคุ้้มค่าสุดๆ ที่สหรัฐฯ

และสเต็ปใหญ่ที่พี่เอิร์ธเพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ก็คือการติดทุนเต็มจำนวนจากรัฐบาลอังกฤษ Chevening รุ่นปี 2023/2024 และคว้าปริญญาโทสาขา International Migration and Public Policy ที่ The London School of Economics and Political Science (LSE) สถาบันสายสังคมศาสตร์ชั้นนำของโลก เราเชื่อว่าเรื่องราวของเขาจะทำให้หลายคนอยากฮึดลุกขึ้นมาเก็บประสบการณ์จากโอกาสที่อาจไม่ได้อยู่ไกลตัวเรา แล้วค่อยๆ สะสมสกิลและเตรียมพอร์ตเพื่อเตรียมรับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

ถ้าพร้อมแล้วเราขอพาไปเริ่มที่จุดเปลี่ยนแรก นั่นก็คือสถานการณ์หมอกควันที่ภาคเหนือของประเทศไทยค่ะ!

โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา

อ่านจบลิสต์ข้อสงสัยไว้ แล้วเตรียมมาพูดคุยปรึกษาแบบ 1:1 กับ "พี่เอิร์ธ" ตัวจริงที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ บอกเลยว่ารอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี,  ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+, ทุนตรงจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) ขนทัพมาพร้อมไฮไลต์อีกแน่นงาน
 

Note: พบพี่เอิร์ธได้ในวันอาทิตย์

 

1

เส้นทางสมัครทุนแรกในชีวิต!
เปิดด้วยพิกัดแรก “มาเลเซีย”

ผมเป็นคนเพชรบูรณ์ครับ ก่อนหน้านั้นปัญหาหมอกควันเป็นเรื่องใหม่มากเพราะแทบไม่เห็นคนในพื้นที่พูดถึงเรื่องนี้เลย แต่พอมาเรียนต่อ ม.เชียงใหม่ ถึงรู้ว่าจริงๆ สิ่งนี้กระทบชีวิตประจำวันขนาดไหน โดยเฉพาะตอนปี 3 ที่มันยิ่งหนักข้อจนทำให้ผมยิ่งอินกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและหาทางศึกษาให้ลึกขึ้น ถ้ามีโอกาสจะเข้าฟังสัมมนา คุยกับชาวบ้าน คนทำงานแต่ละภาคส่วน ร่วมกิจกรรมอาสา สร้างแนวกันไฟ ฯลฯ จนวันนึงได้มารู้จักโครงการ ASEAN International Mobility for Students Programme (AIMS) ครับ

AIMS เป็นโครงการที่ร่วมมือกับหลายมหาลัยในอาเซียน และ ม.เชียงใหม่คือหนึ่งในนั้น ถึงจะต้องแข่งกับนักศึกษาเยอะมากกกโดยเฉพาะรุ่นพี่ปี 3-4  แต่ผมไม่ลังเลที่จะหาข้อมูลแล้วสมัครทันที เพราะอย่างน้อยก็จะได้ฝึกเขียน Essay สัมภาษณ์ และสร้างความคุ้นเคยกับกระบวนการสมัครทุนให้มากขึ้น สำหรับผมแม้จะไม่ได้ทุน แต่เราก็ยังได้พัฒนาตัวเองให้ดีกว่าตัวเองในเวอร์ชั่นเมื่อวาน นี่ก็ถือเป็นความสำเร็จก้าวเล็กๆ แล้วครับ โดยผมโชคดีที่สุดท้ายก็ได้ทุนนี้ไปแลกเปลี่ยน 1 เทอมที่ Universiti Malaysia Sabah มหาลัยในมาเลเซียที่ดังด้านสิ่งแวดล้อมและอยู่ติดทะเล มีโอกาสลงเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 1-2 วิชาตามข้อกำหนดของทุน กับวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับรัฐศาสตร์ครับ

มีหลายเรื่องที่รู้สึกเปิดโลกครับ เช่น บางคาบที่ปกติจะสอนเป็นภาษามาเลย์ล้วน (เช่น Urban Forestry) พอผมเข้าไปเป็นเด็กอินเตอร์คนเดียว เขาสวิตช์มาใช้ภาษาอังกฤษ 100% ทุกคนปรับตัวได้แบบทันทีแบบไม่สะดุดอะไรทั้งนั้น  ผมรู้สึกประทับใจการให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียม และได้เห็นด้วยว่าเด็กมาเลย์เก่งภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน ระบบการศึกษาของเขาก็ต้องทำธีสิสเป็นภาษาอังกฤษ ยิ่งถ้าเป็นคนมาเลย์เชื้อสายจีนก็จะแอดวานซ์ไปอีก เพราะเขาสามารถพูดได้ทั้งมาเลย์, จีนแบบมาเลย์, จีนกลาง และภาษาอังกฤษ

แล้วเป็นครั้งแรกที่ผมมาอยู่ในสังคมมุสลิม ซึ่งมีอิทธิพลต่อตารางเรียนนะครับ อย่างช่วงพักเที่ยงจะยาวนานเพราะมีละหมาด (ประมาณ 11.00-14.00 น.) ช่วงนั้นอาจมีแทรกวิชาพิเศษเข้ามาสำหรับนักศึกษาที่ไม่ใช่มุสลิม ในวันศุกร์ไม่ค่อยมีตารางเรียนเพื่อให้นักศึกษาได้ไปมัสยิด และหากเข้าช่วงรอมฎอน (Ramadan) มหาลัยก็จะลดกิจกรรมลงเพื่อเอื้อต่อการถือศีลอด // นับเป็นทริปแลกเปลี่ยนที่ได้ความรู้และสัมผัสวัฒนธรรมเพื่อนบ้านเต็มๆ เลยครับ

Kota Kinabalu, Sabah, Malaysia
Kota Kinabalu, Sabah, Malaysia
Photo by Bryan Heng on Unsplash

2

รีวิวทุนแลกเปลี่ยน YSEALI (อเมริกา)
สาขา Environmental Issues

Q: โครงการนี้น่าสนใจยังไง?

หลังจากคลุกคลีกับกิจกรรมสิ่งแวดล้อมสักพักใหญ่ เราค่อยๆ เห็นภาพชัดว่าจริงๆ นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้าง เรามักจะเจอการ Victim Blaming ว่า “อ้าว ก็เพราะชาวบ้านเผาไงถึงมีหมอกควัน” แต่ในความเป็นจริงอ่ะ ชาวบ้านใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษจนฝังรากลึกไปแล้ว ถ้าเราจะบอกให้เขาหยุดเผา เราก็ต้องให้ทางเลือกที่ยั่งยืนกับเขาด้วย

วันนึงผมตัดสินใจสมัครทุน YSEALI Academic Fellowship มีให้เลือก 3 หัวข้อคือ Civic Engagement, Economic Development, และ Environmental Issues (*ผมเลือกหัวข้อนี้) ได้ไปศึกษาประเด็นสิ่งแวดล้อมพร้อมกับลงพื้นที่จริงที่รัฐ Hawaii, California และ Washington D.C. ของอเมริกา รวมระยะเวลา 5 สัปดาห์ มีทั้งเรียนในคลาสและลงพื้นที่จริง

ด้วยความที่ผมเรียนรัฐศาสตร์ ตอนเขียนเรียงความสมัครทุน YSEALI ก็มีเชื่อมโยงเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ากับการเมือง เช่น เราจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างยังไงให้ยั่งยืน เรื่อง Civic Engagement & Politics มีบทบาทยังไงบ้าง เป็นต้น ส่วนตัวเลยคิดว่าน่าจะช่วยให้ใบสมัครผมโดดเด่นขึ้นและได้รับเลือกครับ

Q: เจอบรรยากาศแบบไหน?

เราได้ไปเจอเพื่อนรวมทั้งหมด 10 ประเทศในอาเซียนและติมอร์-เลสเตครับ แต่ละคนคือสายแข็งด้านสิ่งแวดล้อมเลย เช่น เพื่อนมาเลย์ที่เป็นนักวิจัยเต่าทะเล เพื่อนฟิลิปปินส์ทำวิจัยปะการังฟอกขาว เป็นต้น บรรยากาศในคลาสโคตรจะเดือด โดยเฉพาะคนสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เขาดีเบตกันไฟแลบ ในขณะที่กลุ่มคนไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา จะเป็นแนว introvert กว่าอย่างเห็นได้ชัด 

ยอมรับเลยนะว่าช่วงแรกผมเครียดและกดดันมากเพราะพื้นฐานไม่ใช่คนกล้าพูด กว่าจะออกมาได้แต่ละคำต้องผ่านกระบวนการคิดและกำแพงภาษาหลายชั้น จนตอนหลังผมคิดว่าเราจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนจบไม่ได้นะ เลยตั้งชาเลนจ์บังคับตัวเองว่าตอนเรียน ต้องถามให้ได้อย่างน้อย 1 คำถาม ซึ่งข้อดีคือสภาพแวดล้อมเพื่อนอาเซียนคอยซัปพอร์ตจนเรากล้าพูดสิ่งที่คิดหรือสงสัยมากขึ้นครับ

Q: ไปเรียนและดูงาน 3 รัฐ เป็นยังไงบ้าง?

ที่แรกคือ "ฮาวาย" (Hawaii)  เริ่มจากอาจารย์สอนในคลาสให้เข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่นี่ เช่น ปะการังฟอกขาว สัตว์ทะเล ขยะ และความท้าทายของการเป็นเกาะที่ไม่มีทางออกสู่แผ่นดินว่าเขาจะจัดการของเสียด้วยวิธีไหน

ผมมีโอกาสคุยกับคนในหลายระดับตั้งแต่ เกษตรกร คนดูแลเกาะ ไปจนถึงผู้บริหาร แต่ละคนมีบทบาทและมุมมองต่อสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน ซึ่งระบบจัดการขยะของเขาโคตรดีอ่ะ เขาคำนวณเลยว่าวันนี้จะมีขยะกี่ตัน? จะกำจัดยังไง? มีการเปิด-ปิดเกาะตามช่วงเวลาเพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัว มีเตาเผาขยะที่ปล่อยควันน้อยมาก และให้ความสำคัญกับ “การแยกขยะ” เพราะมันมีผลกระทบกับคนทำงานโดยตรง

ที่สำคัญคือเขาสร้างความตระหนักให้คนในพื้นที่จนกลายเป็นนิสัย คนทั่วไปตระหนักเองแม้กระทั่งว่าต้องใช้ครีมกันแดดสูตรที่ไม่ทำร้ายปะการัง หรือช่วยลดพลาสติกแบบจริงจัง บางคนอาจมีแนวคิดว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน” เราจะเปลี่ยนอะไรได้จริงหรอ? “แค่เราทิ้งขยะ 1 ชิ้น มันไม่เป็นไรหรอก” หรือ “แค่ลดใช้พลาสติก 1 ชิ้น มันคงไม่ช่วยอะไรได้มากนัก” แต่พอได้เห็นระบบการจัดการที่เกาะฮาวาย ทำให้รู้เลยว่าทุกการกระทำจะเล็กแค่ไหนก็มีผลหมดทั้งด้านดีและไม่ดีครับ

ที่เจ๋งคือเราได้หนังสือ 4-5 เล่มให้อ่านเพิ่ม แล้วมีโอกาสคุยกับผู้เขียนตัวจริงเสียงจริง อยากถามอะไรก็ยิงตรงได้เลย เช่น “ตอนคุณเขียนเล่มนี้ คุณเจอสถานการณ์อะไรอยู่?” 

จากนั้นเราเดินทางไปต่อที่ "แคลิฟอร์เนีย" (California) เปลี่ยนมาโฟกัสเรื่องป่าไม้และการจัดการทรัพยากร และปิดท้ายทริปที่ "วอชิงตัน ดี.ซี." (Washington D.C.) เพื่อดูการบริหารเมืองระดับประเทศ ทุกที่ที่ไป เราได้เจอคนทำงานจริงๆ ตั้งแต่ภาคประชาสังคมยันเจ้าหน้าที่รัฐ ที่พร้อมแชร์การทำงานและเปิดให้ถามตอบอย่างเต็มที่ ผมว่าไม่ใช่โอกาสที่จะหาได้ง่ายๆ เลยครับ

 

ดูสรุปข้อมูลโครงการ YSEALI ปี 2025

3

รีวิวสมัครทุนรัฐบาล UK (Chevening)
เรียนต่อสถาบันดังสายสังคมศาสตร์

Q: ทำไมถึงอยากสมัครทุนนี้?

แรงบันดาลใจคือตอนปี 2 เห็นรุ่นพี่ในคณะได้ทุน Chevening ไปเรียนที่ Oxford ก็เลยศึกษาไว้พอสมควร แต่เก็บไว้ในใจก่อนเพราะต้องมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีขึ้นไปถึงสมัครได้ แต่พอเรียนจบออกมาแล้วทำงาน ก็มุ่งจะสมัครทุนนี้เป็นทุนแรกเลย

  • ทุนชีฟนิ่งให้แบบเต็มจำนวนจริงๆ ครอบคลุมเงินรายเดือน (พอใช้สบายๆ แต่แบบเศรษฐกิจพอเพียง) + ค่าวีซ่า + ประกันชีวิต + ประกันสุขภาพ ไม่ต้องใช้ทุน และไม่ต้องออกค่าเทอมส่วนต่างเพิ่มอีก
  • เปิดกว้าง เลือกสมัครเรียนสาขาหรือมหาลัยไหนก็ได้ใน UK
  • โดดเด่นเรื่องคอนเน็กชัน แค่เด็กทุนคนไทย 22 คนในรุ่นก็มาจากหลากหลายสายทั้งฝั่งแพทย์, แบงก์ชาติ, นักการทูต ฯลฯ แล้วพอมาเรียนในคลาสที่ LSE มีเพื่อน 53 คนจากไม่ต่ำกว่า 25 ประเทศ

เหตุผลแรกที่ผมสนใจ UK ก็เพราะมีทุนนี้ แล้วก็มองว่าถ้าอยู่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จะทำให้เราไม่เหนื่อยกับการปรับตัวเกินไป  กับอีกเหตุผลเล็กๆ คือเสน่ห์ของ British Accent ที่โดนเส้นผมครับ อาจเพราะสื่ออังกฤษเข้าถึงยากกว่าอเมริกัน แล้วยิ่งทำให้สำเนียงนี้ดู posh ลึกลับและน่าค้นหาเข้าไปใหญ่

Q: อยากแนะนำอะไรกับน้องๆ?

อย่างแรกคือทุน Chevening จะไม่ได้วัดที่เกรด ไม่มีให้ส่งคะแนน IELTS เลย แต่ดูที่ Career Path โดยระบุว่าต้องมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีขึ้นไป  สิ่งสำคัญคือเราต้องบอกได้ว่าอยากทำอะไรในอนาคต และจะมีส่วน contribute อะไรกลับไปได้บ้าง

 ผมเข้าใจว่านี่คือเหตุผลที่ทุนกำหนดให้มีประสบการณ์ เพราะเขาต้องการลงทุนกับคนที่เห็นเส้นทางอาชีพตัวเองชัดเจน และมีประสบการณ์เป็นวัตถุดิบพร้อมไปดิสคัสในคลาส อย่างผมเองรู้สึกตัวเองไม่ใช่คนพูดเก่งเลย แต่พอมีประสบการณ์และเข้าใจสถานการณ์ในไทย ก็ทำให้เรามีแต้มต่อเพราะสามารถร่วมขับเคลื่อนการเรียนในคลาสได้ เหมือนที่เราได้ฟังเพื่อนๆ แชร์วิธีจัดการปัญหาของประเทศอื่นๆ ครับ

และคำถามที่ผมเจอบ่อยจากคนที่อยากสมัครทุนชีฟนิ่งคือ “พี่คะ ถ้าไม่มีโพรไฟล์ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ มีผลมั้ยคะ” ผมตอบได้เลยว่า ไม่จำเป็น หลายคนอาจมองว่าโพรไฟล์ผมดู impactful แต่จริงๆ ทุนนี้ไม่ได้วัดจากความยิ่งใหญ่ของโพรไฟล์ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าปัญหาไหนที่คุณอยากโฟกัส? ทำไมปัญหานี้สำคัญ? คุณมีบทบาทหรือส่วนร่วมยังไงในการขับเคลื่อน? และคุณสามารถแจกแจงให้เห็นภาพได้ชัดแค่ไหน? ไม่ต้องถึงกับสเกลใหญ่ระดับประเทศ ขอแค่เป็นเรื่องที่คุณอินและมีเหตุผลรองรับจริงๆ

จริงๆ มีเทคนิคนึงที่ผมแนะนำน้องๆ บ่อยมากคือ ‘STAR Approach’ ใช้ได้ทั้งตอนเขียน Essay และสัมภาษณ์ เพื่อคุมไม่ให้เราเล่าหลุดธีมหรือออกทะเล และทำให้กรรมการเห็นภาพว่าเรามีบทบาทจริงในปัญหาที่เราสนใจจริงๆ ตัวอย่างเช่น

  • S - Situation: ผมทำงานกับผู้ลี้ภัยโดยตรง และเจอปัญหานี้ตอนทำงาน
  • T - Task: ได้รับมอบหมายจาก UNHCR ให้ไปประชุมกับภาครัฐและภาคสังคมต่อการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กผู้ลี้ภัยในแคมป์
  • A - Action: เราไป Advocate ด้านนี้และชี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าบทบาทของเราคืออะไร แล้วสิ่งที่เราอยากได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและภาคสังคมนั้นๆ คืออะไร
  • R - Result: ภาครัฐและภาคสังคมเข้าใจถึงข้อท้าทายที่ UNHCR เผชิญ และพร้อมที่จะปรับวิธีการร่วมกับ UNHCR เพื่อให้การทำงานช่วยเหลือเด็กผู้ลี้ภัย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดูสรุปข้อมูลทุน Chevening ปี 2025/26

4

ต่อกันที่รีวิวสมัครเรียน LSE
ขั้นตอนนี้เกรดกับคะแนน IELTS มีผล!

Q: สมัครสาขาไหน? เพราะอะไร?


“เฮ้ย ทำไมเป็นคนเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากันวะ?”
“สู้มาตั้งนาน เขายังไม่ได้รับแม้แต่สิทธิขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ”

ความคิดนี้เกิดขึ้นตอนปี 4 หลังจากที่ผมไป Study Trip ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นเขตชายแดนไทย-พม่า และได้เห็นปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกครับ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่านี่คือปัญหาใหญ่มาก ทริปนั้นจุดประกายให้ผมอยากทำงานเพื่อให้คนกลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ประเด็นผู้ลี้ภัยเป็นที่ถกเถียงอย่างมากในยุโรปที่เต็มไปด้วยผู้อพยพ มีผู้เชี่ยวชาญและงานวิจัยเยอะมากจนทำให้องค์ความรู้สาขานี้แข็งแกร่ง ขณะที่ในไทยยังไม่มีหลักสูตรเฉพาะทาง (ส่วนใหญ่อยู่ในบางวิชา) และยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

พอคิดเรื่องเรียนต่อ ผมพบว่า LSE เป็นสถาบันเดียวในอังกฤษและในโลกที่รวมสาขา Migration & Refugee Studies และ Public Policy เข้าด้วยกัน ทำให้ผมอยากเข้าที่นี่ที่สุด  อีกอย่างคือทุนเองก็มองหาคนที่มีแพสชันชัดเจน มีเส้นทางอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตที่เชื่อมโยงกัน แล้ว “ประเด็นผู้ลี้ภัย” คือสิ่งที่ผมลงทุนมาตลอดชีวิตการทำงาน ทำให้ผมอยากต่อยอดด้านนี้ และผมเชื่อว่าการเรียนที่ LSE จะให้ความรู้ที่ลึกกว่าการศึกษาด้วยตัวเองแน่ๆ

Q: เตรียมตัวยังไงบ้าง?

LSE เน้นด้าน Academic พอสมควร สาขาที่ผมสมัครกำหนดเกรด 3.5 ขึ้นไป (ตอนเข้าไปส่องโพรไฟล์เพื่อนๆ เจอประมาณ 3.9x ปลายๆ ถึง 4.00 จากยูท็อปๆ อีก ทำให้ว้าวตั้งแต่คนที่มาเรียนแล้วเพราะ LSE คัดกรองผู้สมัครสุดๆ) ส่วนคะแนน IELTS สาขานี้กำหนด Overall 7.0, Reading 7.0+ และไม่มีพาร์ตไหนต่ำกว่า 6.5 จริงๆ ผมรู้สึกตัวเองชะล่าใจไปเพราะเพิ่งมาสอบ IELTS หลังจากทุนประกาศว่าเรามีสิทธิ์สัมภาษณ์ ดังนั้นถ้าใครวางแผนสมัคร LSE อย่าให้กระชั้นเกินไปจะดีกว่า

สำหรับการเตรียมตัว การสอบ IELTS เป็น Standardized Test เราต้องเข้าใจก่อนว่าคะแนนมาจากไหน ผมเริ่มจากศึกษาโครงสร้างข้อสอบ และดูเกณฑ์ในการได้แต่ละคะแนนมาอยู่ในมือครับ 

ด้วยความที่เห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษมาตลอด ก็เลยฝึกสะสมมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่เคยไปลงคอร์สเสียเงินเพิ่มเลย เพราะทุกวันนี้มี Resources ฟรีให้เข้าถึงง่ายและมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ ผมบังคับตัวเองให้ฝึกอ่านวันละ 2-3 ข่าว และก่อนหน้านั้นเคยเริ่มจากการฝึกอ่านการ์ตูนเด็กด้วยนะครับ แนะนำว่าถ้ามาถึงกระโดดไปไกลตัวหรือแอดวานซ์เลย ผ่านไปไม่กี่วันก็ท้อแน่ๆ อาจเริ่มจากสิ่งที่ชอบ อาจเป็นหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์ที่คุณรู้เรื่องราวของมันอยู่แล้ว ตามด้วยข่าว แล้วค่อยไปดูคำศัพท์ระดับ IELTS ก็ได้

5

เจาะลึกประเด็นระดับโลกในรั้ว LSE
เรื่องการย้ายถิ่นฐาน & นโยบายสาธารณะ

Q: เจอการเรียนประมาณไหน?

หลักสูตร International Migration & Public Policy เรียน 1 ปีการศึกษา  แต่การเรียนการสอนจะอยู่แค่ช่วง 2 เทอมแรกเท่านั้น

  • เทอมแรก Sep-Dec
  • เทอมสอง Jan-Mar
  • เทอมสาม Apr-May เป็นช่วงสอบและเสนอหัวข้อธีสิสและกระบวนการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับ approve จากทางอาจารย์ คณะ และมหาวิทยาลัย
  • เทอมสี่ Jun เป็นต้นไปจนเสร็จสิ้นกระบวนการทำธีสิส

แต่ช่วง 3-4 เดือนแรก เป็นช่วงที่เด็กไทยแทบทุกคนต้องปรับตัวเรื่อง "ภาษาอังกฤษ" ตอนนั้นผมยื่น IELTS 7.0 มา แต่คาบแรกๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลยยย เราต้องเจอทั้งศัพท์เทคนิค (Technical Terms) ความเร็วในการสอน เพราะอาจารย์ assume ว่าทุกคนคล่องภาษาแล้ว

ทำให้ช่วงแรกเครียดมาก!! รู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์ล่องหนในห้อง ไม่เข้าใจสิ่งที่เรียนสักนิด สุดท้ายเลยต้องเร่งเครื่องโดยการอ่านหนังสือแบบหามรุ่งหามค่ำ เพราะถึงตารางเรียนจะดูโล่ง แต่ปริมาณ Reading Lists มหาศาลทั้ง Essential Reading (คอนเซปต์และเปเปอร์หลัก ต้องอ่าน) และ Further Reading​ (สำคัญเหมือนกัน ควรอ่านเพิ่ม) ซึ่งถ้าเราไม่อ่านจะตามไม่ทันแน่ๆ เพื่อนๆ แต่ละคนอ่านหนังสือกันเป็นกิจวัตร การเข้าห้องสมุดคือเรื่องปกติของทุกคนครับ

ถ้าถามว่ายุคนี้แล้วใช้ AI ช่วยได้ไหม? ผมว่าใช้ได้แต่ต้องใช้ให้เป็น ตอนนั้นเพื่อนแนะนำให้ใช้เพื่อช่วยสรุปชีตที่อ่าน ซึ่งจะช่วยย่นเวลาให้เห็นภาพรวมได้ แต่ยังไงก็ควรอ่านเองให้มากที่สุด แล้วใช้ AI เป็นตัวช่วยสุดท้าย ห้ามพึ่งมากกว่าการอ่านด้วยตัวเองเด็ดขาดครับ

Note: สำหรับคนที่สงสัยว่าควรอ่านหนังสือเพิ่มเติมจากที่อาจารย์ให้มั้ย? ตอนเรียน LSE อาจารย์เคยแนะนำว่าให้ยึดตามเปเปอร์ที่เค้าคัดมาให้สัก 70% และค้นคว้าเพิ่มเติมก็ได้ เราเองก็มั่นใจด้วยว่าอาจารย์คัดสรรสิ่งที่ต้องอ่านมาอย่างดีแล้ว

Q: เรื่องการเขียนโหดไหมคะ?

เนเจอร์สาขาผมคือเขียนเปเปอร์รัวๆ แต่ละวิชาต้องเขียนเปเปอร์ 2-3 ฉบับ รวมๆ แล้วเทอมนึงเขียนเป็นสิบ ผมต้องปรับตัวและเรียนรู้ใหม่เยอะมาก เพราะเราไม่ใช่แค่บรรยายไปเรื่อยๆ แต่มาที่นี่มี Structure การเขียนที่ชัดเจน

LSE จะมีทั้ง ‘Formative Essay’ (ไม่มีคะแนนแต่อาจารย์จะให้ feedback ละเอียดมาก แนะนำว่าควรทำเพราะช่วยให้เตรียมสอบได้ดีมากจริงๆ ทั้งเรื่องโครงสร้างและเนื้อหา เขาไม่มีเหน็บไม่มีว่าเลย ให้คำแนะนำจริงๆ) กับอีกแบบคือ ‘Summative Essay’ (ตัวเก็บคะแนนจริง)

ผมเคยปรึกษาพี่ๆ Chevening หลายคน เขาบอกว่า “ไม่ต้องอายที่จะขอคำแนะนำจากเพื่อนในคลาส” ผมเลยลองทำตามนั้น เพื่อนบางคนแชร์งานเก่าๆ ให้ดู ได้เห็นว่าเขาเขียนกันยังไง โครงสร้างแบบไหน และมหาลัยมี Database ของเปเปอร์เก่าๆ และข้อสอบเก่าให้เราโหลดมาอ่านได้ด้วยครับ

Q: การสอบและธีสิส หัวจะปวดไหม?

LSE มีการสอบหลายแบบ มีทั้งให้เวลา 2 สัปดาห์หรืออาจจะแค่ 2 วันแล้วส่ง รีเสิร์ชหนักหน่วงมากกกก และโจทย์อาจเป็น 1 ข้อ = 1,500 คำ (บางวิชาสอบ 3 ข้อ) หรือบางวิชาให้เราทำเป็น Research Paper ออกมาเลย โดยเขาคาดหวังว่าจะต้องมีอ้างอิง 10+ แหล่งต่อคำถาม ดังนั้นถ้าเราทยอยอ่านเก็บมาตลอดจะได้เปรียบมาก เพราะจะได้รู้ว่าข้อมูลที่ต้องใช้มันอยู่เปเปอร์ไหน แต่ถ้าไม่อ่านเลย มืดแปดด้านแน่ครับ

แล้ว LSE แปลกอย่างนึง ไม่ว่าจะเรียนตั้งแต่เทอมแรก จะเก็บบางวิชามาสอบเทอมสาม แถมในช่วง 2-3 เดือนนั้นเราก็ต้องทำธีสิสไปด้วย! 5555 จริงๆ เปิดเทอมมา Day 1 อาจารย์ก็ชวนคุยเรื่องวิจัยกันแล้วนะครับ เขาพยายามผลักดันให้เริ่มทำวิจัยตั้งแต่เทอมแรก  

ตอนนั้นผมเลือกทำประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในไทย เริ่มลงมือเขียนเล่มหลังสอบเสร็จ  แต่ก็มีศึกษาล่วงหน้าไว้ ถ้าจะมีสัมภาษณ์ก็ติดต่อและขอเอกสารไว้ก่อน ทำเก็บไปทีละนิดๆ ระหว่างทางก็เจออาจารย์ตลอด คอยอัปเดต แล้วเขาจะช่วยไกด์ให้ไม่หลงทาง

Q: ประทับใจวิชาไหน จนอยากให้ทุกคนมีโอกาสได้ sit-in

ก่อนมาเรียนผมพอมีพื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาผู้ลี้ภัยในไทยอยู่บ้าง แต่พอศึกษาเจาะลึกที่ LSE ผมได้เห็นภาพที่กว้างขึ้น ได้เข้าใจว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อผู้อพยพมันซับซ้อนกว่าที่คิด ขึ้นอยู่กับประเทศปลายทางและสถานการณ์ในขณะนั้น เหมือนเป็นความรู้ที่เกินกว่าคำว่าประสบการณ์ไปอีกขั้น

วิชาแรกที่อยากเล่าถึงคือ International Migration and Immigration Management เพราะช่วยเปิดมุมมองในมุมที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานและนโยบายการจัดการผู้ลี้ภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงานข้ามชาติ, นโยบายความมั่นคง ไปจนถึงบทบาทของศาสนาในกระบวนการอพยพครับ มีเรื่องน่าสนใจหลายประเด็นเลย เช่น

  • Brain Gain vs. Brain Drain เมื่อคนย้ายถิ่นฐาน ประเทศต้นทางเกิดภาวะสมองไหล (Brain Drain) คนมีทักษะถูกดึงออกไปเพราะสภาพแวดล้อมในประเทศตัวเองไม่เอื้อ เช่น บางประเทศในแอฟริกา หมอแทบไม่อยู่ประเทศตัวเองเลย เพราะค่าตอบแทนต่ำ อัตราการตรวจคนไข้สูง (หมอ 1 คนดูแล 200-300 คน) แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศที่รับผู้อพยพก็ได้สมอง (Brain Gain) ได้แรงงานฝีมือมาช่วยผลักดันระบบเศรษฐกิจ

    มาดูกันที่เคสของฟิลิปปินส์ ประเทศนี้ส่งออกแรงงานมหาศาล และมีหน่วยงานรัฐบาลที่ส่งเสริมการทำงานในต่างประเทศโดยตรงด้วย อย่างในอังกฤษมีพยาบาลจากฟิลิปปินส์เยอะ ฟังดูอาจจะเหมือน Brain Drain แต่ฟิลิปปินส์มองว่าสิ่งนี้คือโอกาสและช่องทางที่ช่วยพัฒนาประเทศ เพราะแรงงานกลับมาพัฒนาประเทศ + ส่งเงินกลับบ้าน ช่วยกระตุ้น GDP ได้
     
  • Push-Pull Factors ของการย้ายถิ่น ปัจจัยที่ผลักดันให้คนออกจากประเทศ (Push) และดึงดูดให้ย้ายเข้าไป (Pull) เช่น ความยากจน โอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และนโยบายของประเทศปลายทาง เช่น สิทธิแรงงาน หรือระบบสวัสดิการ ฯลฯ // ยกตัวอย่างใกล้ตัว การที่ผมไปเรียนต่ออังกฤษก็นับเป็นหนึ่งใน Push-Pull Factors เช่นกันครับ
     
  • Border Control & External Control การควบคุมคนเข้า-ออกประเทศทำได้ 2 ระดับคือ 

    1. ระดับพรมแดน (Border) เช่น ระบบตรวจคนเข้าเมือง เช่น กล้องวงจรปิด, หน่วยลาดตระเวน, พาสปอร์ต, วีซ่า // ผมเพิ่งรู้เลยว่าเดิมพาสปอร์ตและวีซ่าเป็นเครื่องมือของมหาอำนาจที่ต้องการชะลอการอพยพจำนวนมากเข้าประเทศ ส่วนบางประเทศเลือกจัดตั้งนโยบายขึ้นมาเป็นกำแพง เช่น การตั้งศูนย์กักกัน หรือการให้ประเทศที่อยู่ห่างไกลเป็นจุดรองรับแทน

    2. ระบบนานาชาติ/ทวิภาคี (External Control) เช่น ข้อตกลงระหว่างประเทศ นโยบายวีซ่า ที่กำหนดโควตาการรับผู้อพยพเข้าประเทศ ลองสังเกตว่าพาสปอร์ตของบางประเทศสามารถเดินทางไปได้แทบทุกประเทศทั่วโลก แต่ทำไมพาสปอร์ตของบางประเทศอย่างอัฟกานิสถานและซีเรีย กลับเดินทางไปได้เพียงแค่ 40 ประเทศเท่านั้น

    นอกจากนี้ บางประเทศใช้การควบคุมระยะไกล (Remote Control) เช่น มหาอำนาจที่ไม่อยากให้ผู้ลี้ภัยไหลเข้าประเทศตัวเอง ก็เลยเลือกส่งเงินสนับสนุนให้ประเทศอื่นจัดการแทน หรือตั้งค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศที่ห่างไกลออกไป

    หรือบางประเทศให้สิทธิผู้ลี้ภัยเข้าถึงงานและบริการสาธารณะ เช่น นโยบายของยูกันดา (Uganda) บางประเทศกลับใช้นโยบาย Securitisation (ความมั่นคงมาก่อนสิทธิมนุษยชน) เช่น หลังเหตุการณ์ 9/11 หรือสวีเดนในปี 2015 ที่ออกกฎหมายจำกัดจำนวนผู้อพยพ โดยอ้างว่าสถานการณ์ประเทศแย่ ต้องขอความเห็นใจจากประชาชน

    วิชานี้ยังทำให้เราฉุกคิดประเด็นที่ไม่เคยนึกถึง เช่น การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมว่ามีเส้นแบ่งตรงไหน อย่างองค์กรด้านการแพทย์ที่เข้าไปช่วยคนในเขตสงคราม มีหน้าที่ช่วยเหลือทุกคนที่บาดเจ็บ แต่ถ้าผู้บาดเจ็บเป็นโจรหรือผู้ก่อการร้ายล่ะ ควรต้องตัดสินใจยังไงต่อ เป็นต้นครับ

อีกวิชาที่น่าสนใจคือวิชาชื่อ International Migration and Migrant Integration เน้นเรื่องการปรับตัวของผู้อพยพในประเทศปลายทางครับ

วิชานี้จะชวนคิดว่าผู้อพยพต้องกลมกลืนกับสังคมใหม่ (Assimilation) หรือแค่ปรับตัวให้เข้ากัน (Integration) หรือ ศาสนาเป็นปัจจัยช่วยรวมผู้ลี้ภัยเข้ากับสังคมใหม่ (Inclusion) หรือเป็นเครื่องมือสร้างกำแพง (Exclusion) กันแน่ อย่างในหลายประเทศที่มีข้อจำกัดด้านศาสนาในประเทศต่างๆ เช่น ที่ฝรั่งเศส คนห้ามใส่ฮิญาบในที่สาธารณะ หรือกรีซเป็นประเทศที่ไม่อนุญาตให้สร้างมัสยิดในประเทศ

หรือกรณีศึกษาเรื่องแรงงานอพยพชั่วคราว หรือ Seasonal Workers ที่อเมริกา ประเทศเขาจะมีโครงการรับแรงงานจากเม็กซิโกมาทำงานเป็นช่วงๆ หลังจบฤดูกาล แล้วก็ให้แรงงานกลับประเทศ แต่ก็มีแรงงานบางส่วนที่เกิดผูกพันและจนถึงการสร้างครอบครัวกับชาวอเมริกัน จนทำให้ไม่อยากเดินทางกลับเม็กซิโก และอีกทั้งเห็นว่าคุณภาพชีวิตที่อเมริกาดีกว่าประเทศของตน พอคนกลุ่มนี้มีลูก ลูกก็เกิดความคิดและรักในความเป็นอเมริกัน เพราะเกิดและโตที่นั่นและไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นเม็กซิกัน ยิ่งทำให้เขาอยากมีชีวิตที่อเมริกาและไม่อยากกลับไปที่เม็กซิโก จึงกลายเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างต่อไปว่าอเมริกาจะมีนโยบายต่อคนกลุ่ม Second Generation จากกลุ่มคน Seasonal Workers นี้อย่างไร 

เราจะได้เรียนรู้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วมีมาตรการรองรับกลุ่มนี้แค่ไหน เพราะประเทศกลุ่มนี้จะมีผู้อพยพรุ่นสอง (Second Generation) เยอะมากๆ บางประเทศมีนโยบายรองรับ ในขณะที่บางประเทศไม่มีเลย ตัวอย่างผลกระทบระดับประเทศ อย่าง UK ออกจาก EU (Brexit) ส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาการย้ายถิ่นฐานนี่แหละครับ

6

นี่แหละ LSE’s Experience
ชีวิตครั้งหนึ่งในรั้วมหาลัยระดับโลก

  • LSE ดังมากในสายสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ และเป็นที่ตั้งของห้องสมุดด้านสังคมศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
     
  • สังคมเพื่อนมหัศจรรย์ มาตรฐานการรับนักศึกษาเข้าเรียนสูง ทำให้เรามีโอกาสรู้จักและแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่โคตรเก่งจากทุกมุมโลก และแม้จะเป็นประเด็นเดียวกัน เราจะได้ฟังมุมมองจากคนที่เติบโตมาในบริบทที่แตกต่าง พร้อมกับรับรู้เรื่องใหม่ๆ อย่างเช่นสิ่งที่เพื่อนบอสเนียเล่า ผมไม่เคยอ่านเจอในหนังสือด้วยซ้ำ
     
  • ตั้งผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ทางคณะให้เราหาตัวแทนสาขาเพื่อไปร่วมแสดงความเห็นและเป็นกระบอกเสียงแทนเพื่อนคนอื่นในสาขา ถึงประเด็นต่างๆ ที่เราอยากให้ทางคณะปรับ หรือจัดหาโอกาสมาให้นักศึกษา เช่น หากเราอยากให้มีการจัดเทรนนิ่งให้กับนักศึกษาจากบุคคลที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยโดยตรง เราก็ให้ตัวแทนไปประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่คณะ แล้วคณะก็จะรับฟัง และพยายามจะตอบสนองความต้องการของทางผู้เรียนให้ได้มากที่สุด 
     
  • อาจารย์ที่ LSE คือตัวจริงในวงการ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงที่พร้อมตอบในสิ่งที่เราสงสัยได้ แต่ถ้าอยากคุยกับอาจารย์เราต้อง Book ล่วงหน้า แต่ละคนมีเวลาเข้าพบเพียงครั้งละ 15 นาที ดังนั้นมาแบบว่างเปล่าไม่ได้ครับ ต้องวางแผนการคุยมาอย่างดีเลย // อย่างไรก็ตาม อาจารย์ใจดีมากกกกก ผมเคยบ่นว่าเครียด กดดัน ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ก็บอกว่านี่รวมพวกเทพๆ จากหลายที่ ไม่แปลกเลยที่จะเธอจะดาวน์น่ะ
     
  • มีโอกาสเข้าถึงบุคคลระดับโลกอยู่บ่อยๆ มหาลัยมักจะเชิญคนที่มีบทบาทสำคัญมาพูดให้ฟังครับ บางครั้งก็ตรงกับวิชาเรียนผม เช่น ตอนเรียนรื่องผู้ลี้ภัย ก็เชิญ Guest Speakers ที่ทำงานด้านนี้มาพูดให้ฟัง คนไทยก็มีนะ ผมเคยเข้าฟัง Talk ของคุณธนาธร, อ.ปวิณ และบุคคลสำคัญอื่นๆ ระดับโลก เช่น รองนายกสหภาพยุโรป, นายกฟิลิปปินส์ ฯลฯ // ทางมหาลัยจะมีเพจที่ประชาสัมพันธ์ Upcoming Events ให้คอยเช็กได้
     
  • ระบบซัปพอร์ตนักศึกษาของ LSE มีแน่นมาก เชื่อมโยงเราเข้ากับรุ่นพี่ในสายอาชีพต่างๆ และให้ความสำคัญกับเรื่องของการจัดการความเครียดและสภาพทางอารมณ์ของผู้เรียนมากๆ โดยเฉพาะความเครียดของเด็กอินเตอร์ย้ายประเทศมาแล้วต้องเจอระบบเรียนแบบอังกฤษ มหาลัยก็เลยจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือ พยายามเชิญชวนให้นักศึกษาไปใช้บริการโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

    ในแง่โอกาสการทำงาน ทางมหาลัยมักจะจัด Job Fair ที่ให้เรานักศึกษาได้พบปะกับนายจ้าง และมีเซสชันที่ช่วยเตรียมพร้อมให้เราเข้าสู่ตลาดงานจริงๆ เช่น ให้ความรู้เรื่องเทคนิคการสมัครงาน การเตรียมตัวสัมภาษณ์ และการสร้างโพรไฟล์ให้โดดเด่นขึ้นด้วยครับ

7

Wrap Up ช่วงชีวิตที่อังกฤษ
ประสบการณ์ให้อะไรเราบ้าง

  • ผมว่าตัวเองเปลี่ยนไปเยอะทั้งเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิต การอยู่คนเดียวในอังกฤษทำให้ต้องเอาตัวรอดและปรับตัวหนัก ถึงจะไม่ใช่สายอ่านก็เลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะจนกลายเป็น Introvert ขึ้นแบบไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นช่วงเทอม 3-4 ที่มีเวลาว่างมากขึ้น ผมได้เที่ยวหลายเมืองในอังกฤษและยุโรป เพื่อนบางคนก็ใช้เวลาว่างไปทำงานพาร์ตไทม์ 20 ชม./สัปดาห์
     
  • ระบบเรียนที่นี่ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เราต้องหาข้อมูลเอง คิดเอง แล้วมาดิสคัสในคลาส ซึ่งกลายเป็นนิสัยติดตัวมาจนถึงตอนทำงาน ทุกครั้งก่อนลงมือทำอะไร ผมจะหาข้อมูลเองก่อนขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
     
  • เรื่องเมืองที่อยู่มีผลมาก! ผมเลือกลอนดอนเพราะอยากอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยโอกาส มีทั้งกิจกรรมจากมหาลัยและองค์กรต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ที่นี่ (ถ้าไปเมืองเล็ก โอกาสทำกิจกรรมอาจน้อยลงครับ)

8

เลือก UK หรือ USA ดีนะ?
“มีดีคนละแบบ ลองเลือกจากปัจจัยนี้”

  • เรื่องเงินทุน Chevening ให้ทุนเต็มจำนวน มีค่าเรียน ค่ากิน อยู่ครบจบ ไม่ต้องกังวลเลย
  • ระยะเวลาเรียน อังกฤษเรียนปีเดียว เหมาะกับคนที่ทำงานมาแล้ว อยากไปปีเดียวแล้วกลับมาทำงานต่อ แต่อเมริกาส่วนใหญ่ 2 ปี ได้เวลาเรียน-ใช้ชีวิตเยอะกว่า แต่ก็ต้องลงทุนเวลามากขึ้น
  • ความหลากหลายและบรรยากาศในเมือง อังกฤษความหลากหลายสูงมาก ไม่ใช่แค่ในมหาลัย แต่รวมถึงทั้งเมืองด้วย แต่ถ้าอเมริกาอาจจะมี % ความหลากหลายน้อยกว่านิดนึง เคยคุยกับเพื่อนฝั่งนั้นมา เค้าก็เห็นตรงกันครับ
  • ระบบเรียนและความกดดัน อังกฤษเรียนจบไว = ทุกอย่างต้องรีบ เรื่องหัวจะปวดเยอะมาก ต้องแพลนชีวิตแบบเร่งรีบไปหมด แต่อเมริกามีเวลายืดหยุ่นกว่า
  • สังคมคนไทยและชีวิตนอกคลาส ที่อังกฤษมีนักศึกษาไทยเยอะกว่ามาก ข้อดีคืออาจช่วยลดเรื่องโฮมซิก แต่ข้อเสียคืออาจจะติดอยู่ใน Comfort Zone

สรุปคือถ้าอยากจบไว ใช้งบประมาณคุ้มค่า และได้อยู่ในเมืองที่ความหลากหลายสูง  UK อาจจะตอบโจทย์ครับ แต่ถ้าอยากเรียน 2 ปี ได้ประสบการณ์ชีวิตที่ยืดหยุ่นขึ้น มีเวลาใช้ชีวิตมหาลัยแบบเต็มๆ อาจลองพิจารณา USA ดูครับ

10

หลังจบเริ่มทำงานที่ UNHCR
องค์กรของ UN ที่ดูแลผู้ลี้ภัย

หลังเรียนจบผมเข้าทำงานที่ ‘UNHCR’ (United Nations High Commissioner for Refugees) หรือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เป็นหนึ่งในองค์กรของ UN ที่ช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ลี้ภัยทั่วโลกครับ

ด้วยความที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ไม่มีนโยบายรองรับผู้ลี้ภัย เพราะไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาผู้ลี้ภัย (1951 Refugee Convention) และพิธีสารปี 1967 อีกทั้งรัฐบาลไทยไม่ได้มีกฎหมายที่คุ้มครองผู้ลี้ภัยภายในประเทศ คนกลุ่มนี้จึงไม่มีสถานะทางกฎหมาย เสี่ยงต่อการถูกกักตัว และไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งการพำนักในระยะยาว หรือเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ

ดังนั้น UNHCR ก็จะมีบทบาทในการให้ความคุ้มครองและพยายามช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ครับ เช่น การให้สถานะผู้ลี้ภัย การพยายามผลักดัน (Advocate) ให้รัฐบาลไทยมีนโยบายที่เป็นมิตรต่อผู้ลี้ภัยมากขึ้น และหาแนวทางให้ผู้ลี้ภัยมีโอกาสย้ายไปตั้งถิ่นฐาน (Resettlement) เริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศที่สามที่มีมาตรการรองรับผู้ลี้ภัยครับ // ทั้งนี้ UNHCR จะพิจารณาตามเกณฑ์ และขึ้นอยู่กับโควตาที่แต่ละประเทศกำหนดด้วย

. . . . . . . 

[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา

เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair  จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่!  พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง

  • ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่นักเรียนทุน ป.ตรี/โท/เอก อย่าพลาดโอกาสนี้! เพราะรอบนี้เราได้รับเกียรติจากทั้งศิษย์เก่าทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี,  ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+ รวมถึงทุนจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) เปิดบูทให้ทุกคนสามารถ Walk-in เพื่อพูดคุย ปรึกษา หรือรีวิว SoP แบบตัวต่อตัวได้
  • แจกฟรี Planner วางแผนเรียนต่อนอกสำหรับมือใหม่
  • IELTS Mock Test  - ทดลองสอบ IELTS ฟรีโดย British Council IELTS (Walk-in only)
  • Alumni’s Talk: #ทอล์กเด็กนอก รายการพูดคุย-สัมภาษณ์รุ่นพี่นักเรียนทุนจากหลากประเทศ & แชร์ประสบการณ์เรียนต่อ การใช้ชีวิต จัดเต็ม 24 หัวข้อสุด Exclusive
  • จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair 2025 งานเรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
มาเถอะ อยากเจอ! ดูรายละเอียดที่นี่
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น