สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงด้านวิจัย แดนอาทิตย์อุทัยก็เรียกว่าเรืองรองสุดๆ วันนี้จะพาไปอ่านรีวิวประสบการณ์เรียนต่อของ “พี่ส้ม – ศุภากร ศุภผลถาวร” ศิษย์เก่า รร.ดรุณสิกขาลัย ที่ได้ทุนเต็มจำนวนไปเรียนต่อ ป.ตรี และ ป.โท Integrated Science Program (ISP) ที่โฮคุได (Hokkaido University; Hokudai) // พูดเลยค่ะว่าเป็นโปรแกรมอินเตอร์สายวิทย์บูรณาการที่เข้มข้นถึงใจ และเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ก็ได้ปูพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเป็นของแถมด้วย
ที่สำคัญคือการได้เรียนท่ามกลางบรรยากาศเมืองท่องเที่ยวที่ธรรมชาติสวยงามตลอดปี มีเทศกาลให้จอยตลอด อาหารอร่อยแบบแสงออกปาก แถมยังเต็มไปด้วยมวลความอบอุ่นแม้จะเป็นเมืองใหญ่ ~
โอกาสทอง! ปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ "พี่ส้ม" ตัวจริงในวันอาทิตย์ที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair บอกเลยว่ารอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย ก.พ. และ ทุน UIS, CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN Scholarships (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards (ออสเตรเลีย), และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน



โปรแกรม ISP เรียนอะไร? จะตอบโจทย์เราไหม? แล้วชีวิตความเป็นอยู่น่าจะตรงใจเราหรือเปล่า? พี่ส้มมารีวิวให้ฟังแบบอินไซต์ประกอบการตัดสินใจ พร้อมกับชี้เป้าโปรแกรมของฝั่งสายศิลป์ที่มีทุนเต็มจำนวนเหมือนกันด้วย พร้อมแล้วตามไปดูกันเลยค่ะ
. . . . . .
โดนอาจารย์ศิษย์เก่าโฮคุไดป้ายยา
มาพร้อมโอกาสคว้าทุนเรียนฟรี!
ตอนแรกเลยส้มคิดอยากเรียนต่อต่างประเทศเพราะดูเท่ดีค่ะ สาขาก็หลากหลายด้วย แล้วน่าจะพาไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ยังไม่ได้คิดจะไปญี่ปุ่น จนกระทั่งอาจารย์ที่สอนตอน ม.ปลาย เขาจบ ป.โท จาก Hokkaido University (โฮคุได) แล้วมาแนะนำกับแจกโบรชัวร์สาขา ISP ให้นักเรียนฟัง พอไปคุยแล้วยิ่งโดนป้ายยาเลย เพราะอาจารย์บอกว่ามหา’ลัยสวยและบรรยากาศดีมากกก
ตอนนั้นยังชั่งใจว่าจะสมัครดีไหม เพราะไปถึงจะเป็นรุ่นแรก ไม่เคยมีใครรีวิวว่าจะเจออะไรมาบ้าง แต่ไหนๆ ก็ลอบสมัครดู (มีสอบ TOEFL ไว้เผื่อยื่นที่อเมริกาอยู่แล้ว) ปรากฏว่าติด แถม Hokkaido Univ. ยังส่งเมลแจ้งว่าเราได้ทุนเต็มจำนวนจากมหา‘ลัยด้วย
เอาเลยยยยย ไม่ลังเลแล้ว รุ่นแรกก็รุ่นแรกสิ ก็มาเลยดิคับบบบบ!!!
Note:
|

แนะนำให้โฟกัส SoP เยอะๆ
เริ่มจากหาข้อมูลก่อนว่ามหา’ลัยที่จะสมัครเด่นเรื่องไหน ยกประสบการณ์ที่เกี่ยวแล้วมาโยงกับเป้าหมายตัวเอง
ในเรียงความพยายามเขียนให้กรรมการรู้จักเราที่สุด ตอบให้ได้ว่าทำไมถึงควรรับเราเข้าไปเรียน? อะไรที่ทำให้เราต่างจากผู้สมัครคนอื่น? เราสนใจและมีแพสชันกับเรื่องไหน? คิดว่าจะสามารถ contribute อะไรให้คลาสเรียนและสังคม? เช่น สมมติเราชอบวิทย์ เป็นคนไฟแรงที่อยากมาสัมผัสเทคนิคการสอนและทรัพยากรเทพๆ เพื่อหาแนวทางกลับมาพัฒนาการศึกษาวิจัยในประเทศของเรา (*ญี่ปุ่นชอบมากเวลาเรา appreciated อยากให้เขาเป็นต้นแบบ) แล้วโชคดีที่โรงเรียนส้มมีให้ทำงานโครงงานร่วมกับอาจารย์มหา’ลัยด้วย ก็เลยหยิบเรื่องนั้นมาซัปพอร์ตได้ค่ะ
แต่ถ้าใครไม่มีโพรเจกต์ใหญ่หรือทำกิจกรรมมาก่อนเลย อาจปูสตอรี่ด้วยความสนใจของเราเอง หรือเราเคยเรียนวิชาอะไร? แล้วสิ่งนั้นทำให้เราสนใจอยากรู้ต่อยังไงบ้าง? ในอนาคตอยากเรียนอะไร? แล้วทำไมมหา’ลัยนี้ถึงช่วยเติมเต็มความสนใจของเราได้?
รายละเอียดทุน ISP Scholarship Programs |
ปกติต้องจ่ายค่าเรียนเท่าไหร่นะ?
*อัปเดต August 2024
| Enrollment fee (one-time fee) | Tuition fee | |
| Integrated Science Program (Bachelor’s Degree) | ¥282,000 | ¥535,800 (per year) |
| Integrated Science Program (Master’s Degree) | ¥282,000 | ¥535,800 (per year) |
จริงๆ ส้มชอบชีวะมากโดยเฉพาะเรื่องวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต เคยลั่นกับอาจารย์ ม.ปลายไว้ว่า “ไม่ชอบเคมีที่สุด และฟิสิกส์คือสิ่งสุดท้ายที่เราจะเลือก !”
สุดท้ายจบที่ ป.ตรี ISP เอกฟิสิกส์
“???”
ทุกคนงง ตัวเองก็งง ยังโดนอาจารย์แซวจนถึงทุกวันนี้ 5555 แต่เหตุผลของเราคือนอกจากชีววิทยาแล้วเราสนใจดาราศาสตร์มากๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเรียนฟิสิกส์ก่อนถึงจะลงดาราศาสตร์เป็นวิชาเลือก หัวข้อวิจัยของโพรเจกต์จบ หรือต่อป.โท ตอนหลังได้ค่ะ สุดท้ายรู้สึกคิดถูกที่เลือก ISP เพราะได้ไปลงวิชาที่ชอบและทำวิจัยด้านที่สนใจได้เหมือนกันค่ะ
โฮคุได ไม่ได้มีแค่ทุนและโปรแกรมวิทย์อินเตอร์ |

. . . . . .
ชีวิตการเรียน ISP ที่โฮคุได
ไม่มีเทอมใดหรอกนะที่ธรรมดา

อิรัชชัยมาเสะ!!!!!!
ต้อนรับปีแรกด้วยตารางเรียนสุดคึกคัก
จัดทั้งวิทย์พื้นฐานและคลาสภาษาญี่ปุ่น
ทุน ISP จะสนับสนุนให้ทุกคนเรียน ป.ตรี จบใน 3 ปีครึ่ง โดยสามารถเลือกต่อ ป.โท ได้ (ไม่บังคับ ค่อยตัดสินใจได้ช่วงใกล้ๆ จบ ป.ตรี) ซึ่งเราตัดสินใจต่อโทด้วย รวมเป็น 5.5 ปี ช่วงแรกของ ป.ตรีเป็นการเรียนที่ Intensive มากกกก ยัดปีแรกของเด็กญี่ปุ่นมาไว้ในครึ่งปีแรก จัดไปเลยฟิสิกส์ 1-2 เคมี 1-2 ชีวะ 1-2 แคลคูลัส 1-2-3 และอื่นๆ อีกมากมายรวมแล้วทั้งเทอม 28 หน่วยกิต บางคนลงไป 30 หน่วยกิตด้วยซ้ำ ซึ่งสามารถทำได้แต่ต้องเมเนจเวลาดีๆ นะคะ
ปีนั้นเริ่มเรียนวิชาแรก 8.45 น. แล้วจบที่ 18.00 น. ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ออกจากห้องมาแววตาว่างเปล่าสุดๆ 55555 จริงๆ มันเยอะนะคะแต่ไม่ได้ยากมาก ชิลได้เพราะก่อนหน้านั้นจบ ม.ปลาย จากโรงเรียนดรุณสิกขาลัย (โครงการ วมว.) ที่สอนมาแบบแอดวานซ์มากอยู่แล้ว
และไม่ต้องกังวลว่าเรียนอินเตอร์แล้วจะไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นติดไม้ติดมือไปค่ะ เพราะเด็ก ISP จะได้เรียนภาษาญี่ปุ่น 4 ตัวในระยะเวลา 2 ปี (สัปดาห์ละ 2-4 วัน) เรียนตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรแบบต่างๆ คำศัพท์ และไวยากรณ์ อาจารย์พูดญี่ปุ่นล้วนๆ แบ่งเป็นวิชาไวยากรณ์และการสื่อสาร อาจจะมีควิซทุกคาบแต่ก็ถือว่าได้พักสมองจากการเรียนคำนวณหนักๆ จากวิชาคณะมาทั้งวัน หลังจบถ้าไปสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT จะได้ประมาณ N3 นอกจากนี้ถ้าไม่จุใจ ทางมหาวิทยาลัยก็มีเปิดสอนภาษาญี่ปุ่นทั่วไปฟรีสำหรับนักศึกษาและบุคลากร ถ้าจัดการเวลาได้ก็ลงเรียนเพิ่มไปได้ยาวๆ เลย
ส่วนส้มเองไม่ได้สานต่อเพราะไม่ได้ตั้งใจจะหางานที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว แค่เรียนให้พอเอาตัวรอดได้ พัฒนาการคือไม่หยิบโฟมล้างหน้าผิดเป็นยาสีฟันค่ะ // 55555 หยอกๆ แต่อยู่มาหลายปีก็จัดการติดต่อบริษัทนั่นนี่เวลาย้ายบ้านได้ พอจะอ่านเอกสารต่างๆ ได้ ก็เรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบไม่ได้ต้องพึ่งพาใครมากเหมือนตอนที่มาแรกๆ ละกันค่ะ

พอปูพื้นฐานจบปีแรก ก็เข้าภาคฟิสิกส์กันต่อ ในช่วง 18 เดือนแรกต้องเรียน Electromagnetism, Mechanics (Classical / Quantum / Statistics), Complex Function, Modern Physics, Intro. to Data Analysis., Intro. to Computer Programming
แล้วปีต่อมาจะเรียนวิชาที่แอดวานซ์ขึ้น เช่น Nuclear Physics, Astrophysics, Relativity, Condensed Matter Physics ฯลฯ กับพวกวิชาที่เกี่ยวกับการทำวิจัยต่างๆ และข้อดีคือ ISP จะมีหน่วยกิตบังคับที่ให้เราไปเลือกวิชาภาคหรือสาขาอื่นนอกจากฟิสิกส์ได้ ส้มก็เลยลงไปอีก 4 วิชาคือ Anatomy, Biodiversity, Funtional Biology, Robotics
พอช่วง ป.ตรี ปีสุดท้ายต้องขึ้นมาอยู่กลุ่มวิจัยใน (Research Lab Group บางทีก็เรียกง่ายๆ ว่าอยู่แล็บ, เข้าแล็บ) เพื่อทำธีสิสจบ ข้อจำกัดคือ ป.ตรี เข้าได้แค่แล็บในสังกัดภาคฟิสิกส์เท่านั้น ต่างจาก ป.โท ที่มีคอลแลปกับสาขาอื่นๆ ทำให้มีทางเลือกมากขึ้น เช่น ฟิสิกส์สสาร, จักรวาลวิทยา, อุตุนิยมวิทยา ฯลฯ แต่ในระดับชั้น ป.ตรี ก็มีแล็บที่ทำวิจัยด้านดาราศาสตร์ให้เลือกได้แล้ว ก็เลยเป็นเหตุผลให้ได้เริ่มทำวิจัยในด้านดาราศาสตร์ที่ตัวเองชอบมาเรื่อยๆ




รีวิวตัวอย่างวิชาเรียน
(เรียนไปเรียนมาก็น่าสนใจดีนะ)
โดยทั่วไปภาคฟิสิกส์จะเรียนแบบผสมระหว่างเลกเชอร์ + แล็บ + สัมมนา ถ้าเป็นวิชาในภาคจะมีวิชาเลกเชอร์ภาคทฤษฎีจับคู่กับสัมมนา หรือที่เราเรียกกันเล่นๆ ว่า “วิชาทำโจทย์” เช่น คาบแรกเรียนเรื่องนี้ คาบต่อไปทำโจทย์โดยประยุกต์สิ่งที่เรียนจากคาบแรก

ส้มชอบ “กลศาสตร์ดั้งเดิม” (Classical Mechanics) เพราะมันจับต้องได้ มีเรียนพวกพื้นฐานการเคลื่อนที่ของวัตถุ ระบบดาวเคราะห์ และใช้สมการการเคลื่อนที่ นำมาอธิบายการเคลื่อนที่ต่างๆ เช่น ลูกตุ้มหลายๆ อัน ระบบรอก ระบบที่มีสปริง การเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ แล้วจากพื้นฐานเหล่านั้นก็ต่อยอดเพิ่มความยากเข้าไปอีก อย่างสมมติถ้ามีอะไรมาชนดวงจันทร์ให้ออกนอกวงโคจรไปนิดนึง การเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลกจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เราก็แก้สมการแล้วอธิบายมันออกมาเป็นสมการการเคลื่อนที่สมการเดียวได้ // ขอบอกว่าวิชานี้อาจารย์มีทำสไลด์แล้วเอาตัวละคร Final Fantasy มาใส่ กำหนดแกน xyz ตอนสอนก็จิ้มพิกัดตัวละครเพื่ออธิบาย แล้วเขียนสมการบนกระดานด้วยนะคะ
หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้แก้สมการ เพื่อให้ได้สมการที่อธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุอีกทีนึง ก็คือ ‘Euler-Lagrange Equation’ มันเป็นเบสิกก็จริง แต่ส้มว่ามันเป็นสมการที่สวยงาม เพราะสามารถเอามาใช้แก้และหาสมการที่อธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุได้แบบง่ายๆ ตราบใดที่เรารู้พลังงานในระบบ ช่วยให้เราหาสมการการเคลื่อนที่ในระบบที่ซับซ้อนได้ง่ายมากๆ ไม่ต้องไปนั่งแตกแรงทิศนั้นทิศนี้ให้วุ่นวายแบบที่เคยทำในสมัยเรียนมัธยม
พอประมาณปี 2 เทอมแรก วิชานี้ก็ได้ทำให้ได้ก้าวไปสัมผัสดาราศาสตร์จากแง่มุมของทฤษฎีจริงๆ นอกเหนือไปจากดาราศาสตร์ที่เป็นเรื่องของการดูดาวและนิทานกลุ่มดาวต่างๆ จากในวัยเด็ก ได้ลองพิสูจน์กฎของเคปเลอร์ (กฎที่อธิบายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์) ด้วยวิธีที่แอดวานซ์ยิ่งขึ้น (เช่น ใช้แคล ใช้ระบบพิกัดขั้ว ฯลฯ)
ตัวอื่นๆ ก็จะมี “กลศาสตร์เชิงสถิติ” (Statistical Mechanics) ที่เป็นการเอาสถิติมาอธิบายฟิสิกส์ของกลุ่มก้อนอนุภาคเล็กๆ ที่มีจำนวนมากเกินกว่าเราจะไปคำนวณทุกๆ อนุภาคได้ไหว แต่ฟิสิกส์ในระดับเล็กๆ เหล่านั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสเกลใหญ่ที่เราจับต้องได้ เช่น ถ้าอนุภาคส่วนใหญ่ของแก๊สในกล่องเคลื่อนที่เร็วขึ้น เท่ากับว่าพลังงานจลน์ในระบบมากขึ้น และเราจะพบว่าแก๊สในกล่องนั้นจะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น (แต่เราไม่ได้สนใจว่าถ้าจิ้มอนุภาคมา 1 อนุภาค เราจะวัดพลังงาน/ความเร็วของอนุภาคนั้นได้เท่าไหร่)
หรือ “ฟิสิกส์ควอนตัม” ที่อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสเกลเล็กๆ ซึ่งกลศาสตร์ทั่วไปเอามาอธิบายไม่ได้
ส่วนวิชา “ไฟฟ้าและแม่เหล็ก” เรียนตั้งแต่ประจุไฟฟ้า, วงจรไฟฟ้า, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น แสง, คลื่นไมโครเวฟ, และสัญญาณโทรศัพท์ ฯลฯ ทุกอย่างอธิบายได้ด้วยสมการทางฟิสิกส์ค่ะ
รายละเอียดโปรแกรม ISPการทำแล็บจะประมาณนี้
บางคนอาจคิดว่าการเข้าแล็บคือต้องใช้เครื่องมือ สวมชุดกาวน์ สำหรับฝั่งชีววิทยา-เคมี หลายๆ สาขาก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ฟิสิกส์สายทฤษฎีอาจจะมีแค่คำนวณ สาย Data Analysis ก็นั่งเขียนโปรแกรมอยู่หน้าคอมพ์ ส่วนสายทดลองก็มีใช้เครื่องมือต่างๆ
ตัวอย่างวิชาแล็บช่วงปี 2-3 ที่เคยทำคือ X-ray Diffraction วิธีคือปล่อยรังสีเอกซเรย์ไปที่ผลึกตัวอย่างแล้วดูการเลี้ยวเบนของรังสี จากนั้นวิเคราะห์เพื่อดูว่าโครงสร้างของผลึกตัวอย่างเป็นยังไง ประกอบด้วยสารอะไรบ้าง
หรือแล็บเรื่อง Superconductor (ภาวะตัวนำยวดยิ่ง) เรื่องนี้ดังมากในสายฟิสิกส์ อธิบายง่ายๆ ว่าเป็นสารประกอบที่ถ้าหากเราลดอุณหภูมิลง กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเจ้าตัวนำนี้ได้โดยไม่มีแรงต้านทาน ซึ่งเหมาะกับใช้ในเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ เพราะช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้
สิ่งที่ส้มได้ทำตอนปี 2-3 คือการได้ลองทำ Superconductor ชนิดหนึ่งแบบเริ่มจากศูนย์ เขามีสูตรให้อยู่แล้ว เราจะต้องศึกษาก่อนว่าต้องใช้สารอะไรบ้าง เอามาผสมให้ได้คุณสมบัติตามที่ต้องการ เข้าเครื่องอบเป็นวันๆ แล้วนำตัวอย่างไปทดสอบในไนโตรเจนเหลวเพื่อทดสอบว่ามีคุณสมบัติของ Superconductor จริงไหม



. . . . . .
โอกาสท่องโลกดาราศาสตร์สมใจ
แถมได้ใช้กล้องดูดาวเทพๆ ด้วย
ทำไมญี่ปุ่นถึงน่าสนใจสำหรับสายวิทย์?
ถ้าใครอยากเรียนสาขาวิทย์ๆ ส้มว่าญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกที่ดีเลยนะคะ เพราะเครื่องมือพร้อม กระบวนการเพื่อขอทุนสนับสนุนหรือเครื่องมือต่างๆ ไม่ซับซ้อนเกินไป และรัฐบาลโฟกัสงานวิจัยก็เลยจัดสรรงบให้เยอะ

ถ้าจะดูว่ายื่นสมัคร ป.โท หรือ ป.เอก ที่ไหนดี? เราต้องดูว่าอาจารย์คนไหนทำวิจัยเรื่องที่เราสนใจบ้าง เขาอยู่มหา’ลัยไหน แล้วค่อยไปเลือกสมัครให้ตรงกับหัวข้อที่อยากทำ อย่างส้มเรียนต่อ ISP ที่นี่อยู่แล้ว อยู่แล็บที่ศึกษาเรื่องกาแล็กซี่มาตลอดตั้งแต่ ป.ตรี-โทเลยค่า (แต่ก็มีเรื่องอื่นด้วย เช่นระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ฯลฯ)
เสน่ห์ของการศึกษาเกี่ยวกับกาแล็กซี่คือมันอยู่ห่างไกลเรามากกก ในช่วงชีวิตนี้คงไม่มีใครสามารถเดินทางไปถึงกาแล็กซี่ที่อยู่ใกล้เราที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถึงเราจะยังมีความรู้เพียงน้อยนิดก็ยังศึกษาเรื่องราวของกาแล็กซี่ด้วยเครื่องมือต่างๆ มากมาย แม้ว่าเท้าของเราจะยังยืนอยู่บนพื้นโลก อีกทั้งกาแล็กซี่ที่อยู่ไกลออกไปมากๆ ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยไขข้อข้องใจว่าในจักรวาลที่ว่างเปล่านั้น ทางช้างเผือก โลกของเรา และแม้กระทั่งพวกเราเอง สามารถมายืนอยู่ตรงไหนได้ยังไง
เรื่องคอนเน็กชันของอาจารย์เราก็สำคัญ เพราะคุยแลกเปลี่ยนกันได้ แล้วถ้าเกิดเราสนใจทำหัวข้อไหน หรือสมมติอยากใช้กล้องดูดาวของมหา’ลัยอื่น ถ้าอาจารย์ช่วยเหลือได้เขาจะพยายามประสานให้ค่ะ
แล้วบอกเลยว่าคอมมูนิตี้ดาราศาสตร์ที่ญี่ปุ่นน่ะใหญ่มาก ! ถ้าเกิดเราพาตัวเองไปอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยถูกที่ จะมีโอกาสได้ใช้เครื่องมือเทพๆ เช่น ส้มทำวิจัยเกี่ยวกับกาแล็กซี่ ซึ่งเล็งว่าจะต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรด้านนี้ในอเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออก และยุโรป ซึ่งญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศโซนเอเชียตะวันออกค่ะ เราสามารถทำเรื่องโดยการเขียน Proposal อธิบายว่าเราจะใช้ Observe อะไรบ้าง หน่วยงานจะพิจารณาเพื่ออนุมัติ และจัดสรรคิวกับระยะเวลาที่ให้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับทีมวิจัยที่มาจากประเทศที่อยู่ในกลุ่มเหล่านี้ก่อน
พูดง่ายๆ ว่าคนโซนนี้จะมีโอกาสได้ใช้มากกว่าหรือยืมได้นานกว่าประเทศนอกกลุ่มค่ะ

| Note: ตัวอย่างมหา’ลัยอื่นๆ ในญี่ปุ่นที่ดังดาราศาสตร์ เช่น University of Tokyo, University of Tsukuba, Waseda University |
เล่าให้ฟังเผื่อมีน้องสนใจทางนี้พอดี
ดาราศาสตร์ทฤษฎี vs. ดาราศาสตร์สังเกตการณ์
ที่นี่มีกลุ่มวิจัยที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ตรงๆ อยู่ 2 กลุ่ม คือดาราศาสตร์ทฤษฎีกับดาราศาสตร์สังเกตการณ์ ถ้าฝั่งทฤษฎีจะทำวิจัยเกี่ยวกับการคำนวณ ทำแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ต่างๆ
แต่ส้มสนใจฝั่งสังเกตการณ์ เราจะใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องอย่างกล้องโทรทรรศน์ ไม่ว่าจะเป็นแสงย่านที่ตามองเห็น รังสียูวี อินฟาเรด หรือคลื่นวิทยุ เพื่อเก็บข้อมูลจากท้องฟ้าแล้วนำมาวิเคราะห์กันต่อ ความสนุกคือได้ลงมือทำจริง แม้ว่าจะรีโมตไปใช้กล้องดูดาวในจังหวัดหรือประเทศอื่น บรรยากาศก็ยังสนุกอยู่ดี ส้มชอบเวลาเห็นกล้องขยับจาก Target 1->2 ได้เห็นข้อมูลดิบจากหลังกล้อง ได้จับข้อมูลมาทำงานต่อ แปลงข้อมูลเป็น Format สำหรับเขียนโค้ด แล้วดึงข้อมูลเชิงลึกจากสิ่งที่เราสังเกตได้มา
(จริงๆ แล้วส้มอยากทำงานสาย Public Outreach ที่เล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ยากๆ ให้คนทั่วไปสนุกไปกับมันได้ หนึ่งในสกิลที่สำคัญและน่าสนใจมากคือ Visualization)
รู้หรือไม่!? ภาพดาราศาสตร์สีสวยๆ นั้น มาจากภาพฝุ่นๆ ฝ้าๆ สีขาวดำ
การเอาข้อมูลจากการสังเกตการณ์ที่มีอยู่ มาสื่อสารให้คนทั่วไปสนใจและเข้าใจข้อมูลที่เรามีเราจะใส่ความศิลปินในตัวเราเข้าไปได้นิดนึง เช่น ทุกคนน่าจะเคยเห็นภาพดาราศาสตร์ที่สีสวยๆ กันมาบ้าง นับเป็นหนึ่งในวิธีสื่อสารเรื่องราวของจักรวาลให้น่าสนใจขึ้นและคนทั่วไปเข้าถึงง่าย แต่เบื้องหลังเวลาส่องกล้องหรือเก็บข้อมูลจริงๆ เราจะเห็นแค่แสงสีขาวๆ ฝ้าๆ เท่านั้น ภาพที่เห็นเป็นสีสวยๆ เกิดจากการนำภาพหลายๆ ภาพมาย้อมสีและรวมกัน โดยภาพต่างๆ เหล่านั้นมักมาจากแสงที่ความยาวคลื่นต่างกัน ซึ่งต้นกำเนิดของแสงก็ต่างกันไป เช่น แสงอัลตราไวโอเลตหรือ UV ก็มักจะมาจากดาวฤกษ์ที่อายุน้อย ขนาดใหญ่ และร้อนจัด หรือแสงในย่านอินฟราเรดที่มาจากฝุ่นที่ล่องลอยอยู่ในกาแลกซี ซึ่งที่จุดต่างๆ บนท้องฟ้าก็มีความเข้มของแสงในความยาวคลื่นเหล่านี้ต่างกัน ขึ้นกับว่าบริเวณนั้นบนท้องฟ้ามีอะไรอยู่บ้าง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บในรูปแบบของตัวเลข และแสดงผลออกมาได้เป็นภาพขาวดำ

ถ้าสนใจลองเข้าไปดูตัวอย่างภาพจากกล้อง James Webb Space Telescope (JWST) << ในนี้จะมีอธิบายกระบวนการที่กล้อง JWST สร้างภาพสีขึ้นจากข้อมูลที่ได้มาค่ะ
ปกติสีต่างๆ ที่เรามองเห็นนั้นประกอบขึ้นมาจากการผสมแม่สีหลัก (เช่น แดง เขียว น้ำเงิน — RGB) ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ในทางเดียวกัน สมมติว่าเรามีภาพ 3 ภาพ จาก 3 ความยาวคลื่นที่ต่างกัน แต่ละภาพถูกย้อมเป็นสีแดง เขียว น้ำเงิน โดยที่แต่ละจุดในภาพก็มีความเข้มของสีต่างกันไป พอเราเอา 3 ภาพมาซ้อนกัน ก็จะได้ภาพสีสวยๆ แต่ในภาพสวยๆ ก็มีเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ ถ้ารู้ว่าภาพจากความยาวคลื่นไหนย้อมเป็นสีอะไร ฟิลเตอร์แต่ละอันให้แสงความยาวคลื่นเท่าไหร่ผ่านได้ ก็จะพอเข้าใจว่าแต่ละสีในภาพคือแสงที่มีต้นตอมาจากอะไร เช่น ตรงไหนคือฝุ่น ตรงไหนคือดาวฤกษ์เกิดใหม่ ตรงไหนมีธาตุอะไรเยอะ
ตัวอย่างนึงที่เห็นชัดคือรูปถ่ายพลูโต หลายคนเข้าใจว่าดาวพลูโตมีพื้นผิวเป็นสีแดงรูปหัวใจ แต่จริงๆ ภาพนั้นเกิดจากภาพอินฟราเรด (ซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น) ที่ถูกนำมาย้อมสีเพื่อเน้นให้เห็นส่วนประกอบเชิงเคมีที่แตกต่างกันบนพื้นผิวของพลูโต แต่ถ้าเรามองด้วยตาเราเองจะไม่เห็นเป็นสีแบบนั้น
. . . . . .
อ่านเพลินๆ 12 ข้อ
#รีวิวฮกไกโด (Hokkaido)
ที่ตั้งของโฮคุได
- Hokkaido University อยู่ที่เมือง “ซัปโปโร” ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของจังหวัด “ฮกไกโด” ส้มจะชอบแซวว่าเมืองนี้เหมือนเป็นประเทศที่แยกออกมาเอง ไม่ค่อยเหมือนญี่ปุ่นเลย 5555 ตอนเที่ยวรู้สึกเหมือนเชียงใหม่ เป็นเมืองใหญ่แต่บรรยากาศชิลๆ เวลาเงยหน้ามองท้องฟ้าก็จะเห็นดาวแม้อยู่ในเมืองใหญ่ ยิ่งถ้าออกไปนอกเมืองไกลๆ เราก็จะได้เห็นแสงดาวเต็มฟ้าแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน





- มหาวิทยาลัยอยู่ใกล้ป่าด้วย เจอกวางได้เป็นปกติ วันดีคืนดีอาจเจอจิ้งจอกฮกไกโด หรือนกอ้วนปุ๊กที่ชื่อ ‘Shima Enaga’ (シマエナガ) // นกอ้วนแทบจะเป็นจุดขายของฮกไกโดไปแล้ว~ ขนสีขาวนุ่มฟูเหมือนโมจิเลยค่าา



- ปกติฮกไกโดไม่ใช่เมืองร้อนมาก แต่ปี 2023 อากาศร้อนทุบสถิติ สูงไปถึง 36.3°C ซึ่งเราไม่มีแอร์ค่ะ! แถมโครงสร้างตึกที่นั่นสร้างมาเพื่อรองรับอากาศหนาว กำแพงหนามาก หน้าต่างปิดแน่นมาก ช่วงหน้าร้อนอบอ้าวหนักมาก
ส่วนหน้าหนาว เคยเจอหนาวสุด -15°C ปกติก็จะติดลบเลขตัวเดียว พระอาทิตย์ขึ้นเจ็ดโมง บางทีสามโมงกว่าๆ ถึงสี่โมงก็เริ่มมืดแล้ว หลายคนจะเจอปัญหา Seasonal Depression เพราะแทบไม่ได้เจอแสงแดดเลยค่ะ


บางคนจะบอกว่า ญี่ปุ่นเหรอ? ไปเที่ยวก็พอมั้ง อย่าไปใช้ชีวิตเลย~~ แต่จริงๆ ซัปโปโรเป็นเมืองที่ค่อนข้างใช้ชีวิตง่าย ถ้าเครียดก็มีอะไรให้ทำตลอดโดยเฉพาะช่วงเทศกาลค่ะ เช่น ช่วงหิมะตกก็มีเทศกาลหิมะ (Supporo Snow Festival) พอปลายเมษามีซากุระบาน กลางปีสวนโอโดริมีจัดลานเบียร์ ขายขนม อาหาร ยาวไปอีกสองสามเดือน แล้วช่วงสิงหา-กันยาก็จะมี Autumn Festival กินดื่มตามฤดูกาลอีกค่ะ



- ประทับใจเรื่องอาหารที่สุดแล้ว พอได้มากินข้าวด้งหรือซูชิที่ฮกไกโดแล้วเหมือนเซ็ตมาตรฐานการรับรสให้สูงขึ้น ฮกไกโดขึ้นชื่อเรื่องข้าวอร่อย วัตถุดิบดี ซีฟู้ดสดโดยเฉพาะหอยเชลล์ (โฮตาเตะ) ราคาก็ไม่แพงมาก
- สำหรับของขึ้นชื่อของฮกไกโด ส้มดันเป็นคนที่แพ้ “นมวัว” และไม่ชอบ “เมล่อน” แต่ถึงอย่างนั้น พอมาชิมเมล่อนฮกไกโดทีนึงรู้สึกมันหอมหวาน ฟินมากจริงๆ ถ้าใครไม่ชอบลองเปิดใจที่จังหวัดนี้สักครั้ง

- ร้านสะดวกซื้อเซโกมาร์ต (Seicomart) ของฮอกไกโด ที่นี่มี “Hot Chef” หรือโซนขายอาหารปรุงสดใหม่ในร้านสะดวกซื้อ หนึ่งในเมนูฮิตคือไก่ทอดและเบนโตะปรุงสด กิมมิกของฮกไกโดคือเขาแยกเมนูไก่ทอดอย่าง “ซังงิ” (ザンギ, Zangi) กับ คาราอาเกะ (唐揚げ, Karaage) เป็นคนละเมนูกันนะคะ เพราะซังงิจะเป็นไก่ทอดสไตล์ฮกไกโด ต้นกำเนิดมาจากแถบนี้ รสชาติจะมีเอกลักษณ์ (คนฮกไกโด said: ดังนั้นเราจะมาเป็นไก่ทอดเหมือนกันไม่ได้!)
- ตอนแรกเราทำอาหารไม่เป็นเลย แต่พอไปอยู่ที่นู่นต้องหาวิธีประหยัด เลยเริ่มปลดล็อกสกิลทำอาหารพื้นฐานค่ะ เพื่อนบางคนคือหาหม้ออบลมร้อน หม้อความดัน เครื่องปั่น ฯลฯ มาทำอาหารกันแบบจริงจังมากกก
ส่วนโรงอาหารมหา’ลัยราคามื้อละ 500-600 เยน อาจไม่เฮลท์ตี้มากแต่ก็มีป้ายบอกส่วนประกอบชัดเจน เช่น ปริมาณแป้ง เกลือ ฯลฯ ให้บริหารจัดการอาหารการกินได้ แล้วด้วยความที่คนไทยอยู่เยอะ ทำให้ที่นี่มีร้านขายวัตถุดิบและร้านอาหารทั้งอาหารไทย อาหารจีน ข้าวเหนียวมะม่วง บัวลอย ขนมถ้วย ฯลฯ ยังไงก็รอดดด !


- เมื่อก่อนจะมีร้านที่ส้มฝากท้องประจำคือ “ร้านลุงม้า” เป็นร้านลับที่คนไทยในโฮคุไดบอกต่อกันค่ะ ขายอาหารสองเซ็ตให้เลือก เมนูแต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย มีทั้งจานหลัก + ข้าว + เครื่องเคียง 2-3 ถ้วย มีสลัดที่ถูกต้อง (ผักมิสึนะ คล้ายๆ ใบร็อกเก็ต) อร่อยมากกกก อุดหนุนประจำเลย แต่ขอดับฝันว่าตอนนี้ร้านปิดไปแล้ว เพราะคุณลุงอายุเยอะแล้วค่ะ ╥╥
- คนไทยเหนียวแน่นและช่วยเหลือกันดี มีรวมกลุ่มเป็น “สมาคมนักเรียนไทยในญี่ปุ่น” (TSAJ) และภูมิภาคต่างๆ ก็จะมีอุปนายก อย่างส้มเองก็เคยเป็นอุปนายกภูมิภาคฮอกไกโด บวกกับประธานเมืองซัปโปโรด้วย แต่ดันเจอโควิดเลยต้องงดกิจกรรม ปกติส่วนกลางจะมีงบให้เรามาจัดรับน้อง ทริปทัวร์เมือง พาไปร้านอาหาร ฯลฯ ทำให้คนไทยที่นี่ไม่เคว้งคว้างเกินไป
- เรื่องที่พัก ปีแรกอยู่หอในได้ อยู่ไม่ไกลจากตึกเรียนรวมที่เราเรียนตอนเทอมแรก แต่เทอมต่อมาไม่ตอบโจทย์เพราะอยู่ไกลตึกคณะวิทย์ฯ (เทอม 2 เราต้องเข้าไปเรียนที่ตึกคณะแล้วค่ะ) ราคาหอนอกรวมค่าไฟค่าแก๊สก็จะประมาณ 50,000+ เยนต่อเดือน ซึ่งมีตึกนึงแถวๆ รถไฟใต้ดินสถานีคิตะ 12 มีคนไทยเยอะ อยู่กันแทบทุกชั้นจนเราเรียกตึกนี้กันเล่นๆ ว่า “Thai Town” เหตุผลคืออยู่ใกล้กับคณะที่คนไทยนิยมมาเรียนกันค่ะ
- ที่นี่มีงานโฮคุไดไซ (Hokudai-sai) คล้ายกับเทศกาลเกษตรแฟร์เวอร์ชั่นญี่ปุ่น เป็นงานที่เปิดให้นักศึกษาจากคณะ ชมรม หรือกลุ่มต่างๆ มาตั้งเต็นท์ขายของ มีโซนพิเศษสำหรับนักศึกษาต่างชาติ // เด็กไทยก็มีตั้งร้านขายอาหารไทย เช่น กระเพรา, ผัดไทย ฯลฯ พอให้หายคิดถึง

- ปิดท้ายด้วยความใส่ใจของโฮคุไดค่ะ ที่มหา’ลัยจะมี “Student Support Desk” ช่วยดูแลนักศึกษา เปิดให้คำปรึกษาทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ แล้วพอขึ้นปี 2-3 แต่ละคณะมีออฟฟิศที่ดูแลนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะด้วย ถ้าติดเรื่องเอกสาร เรื่องเรียน หรือการใช้ชีวิต เราสามารถเข้าไปพูดคุยปรึกษาออฟฟิศเหล่านี้
. . . . . . . .
[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอกตัวจริง
- แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
- IELTS Mock Test ฟรี (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
- Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
- โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
0 ความคิดเห็น