คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดคือคนที่เรารัก แต่เราก็เลิกรักเขาไม่ได้ซะที จริงไหม...
การที่มีคนรักเรา เรารักเขาและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อใจเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็อยากได้อยากมี ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ความเป็นเพื่อน คนรัก หรือความสัมพันธ์รูปแบบอื่น แต่ไม่ใช่ว่าหากเรารักและปรารถนาดีต่อใครแล้วคนนั้นจะต้องดีกับเรากลับ บางทีเราถูกทำร้ายทั้งทางตรง เช่น คำพูดที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี การทำร้ายร่างกาย การบีบบังคับให้เราทำสิ่งที่ไม่อยากทำ หรือทำร้ายทางอ้อม เช่น การหมางเมินทำเหมือนเราไม่มีตัวตน ทอดทิ้งหายตัวไป ซึ่งถ้าคนที่ทำร้ายเราเป็นคนที่เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เรารู้สึกโกรธ ไม่พอใจ เสียใจ หรืออารมณ์ด้านลบอื่น ๆ ที่เราอยากเอาคืน แก้แค้นกลับ ด่า ประจาน ให้เขาต้องรู้สึกแย่เหมือนที่เรารู้สึก แต่เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อความเชื่อและตัวตนของเรา (core belief and value) “ช่างแม่ง!!” เป็นสิ่งที่พูดและทำได้ง่าย มีบาดแผลแค่ตื้น ๆ ไม่นานก็จางหาย
ในทางกลับกัน หากคนที่ทำร้ายเราเป็นคนใกล้ชิด มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระดับที่เราให้ใจไปทั้งหมด เราต้องพึ่งพาเขา ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือทางจิตใจ เมื่อถูกเขาทำร้าย ในระยะแรกเราไม่ยอมรับ ไม่รู้สึกตัว ใครมาเตือนเราไม่เชื่อ "เพราะเขาเป็น…พ่อแม่ เพื่อนสนิท หรือแม้แต่คนรัก" ที่ไม่น่าจะมาหักหลังเราได้ เมื่อถูกทำร้ายหนักขึ้น เราเริ่มยอมรับ ท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ลบ เช่น เสียใจ ถูกทรยศ อยากแก้แค้นแต่ทำไม่ได้ มีเหตุผลแก้ต่าง เพื่อจะได้มีเขาอยู่ในชีวิตต่อเพราะเราทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่ห่างกัน แม้รู้ทั้งรู้ว่าควรยุติความสัมพันธ์นี้แต่เรายื้อมันไว้ บางคนถึงขนาดที่ตระหนักได้ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ ตกนรกทั้งเป็น (toxic relationship) อยากจะออกแต่มันออกไม่ได้ บาดแผลทางใจยิ่งลึกเหวอะหวะ ต่อให้เลิกกันไปแล้วเรายังคิดถึงเขา อยู่ด้วยความรู้สึกแบบหวานอมขม (bitter sweet) ทั้งรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน ยากที่จะสร้างความเชื่อใจกับใครได้ (mistrust) สงสัยและโทษตัวเอง มีคำถามว่าทำไมคนที่ควรจะต้องรักและหวังดีกับเราที่สุดต้องมาทำร้ายเราด้วย ชีวิตที่เหลืออยู่เต็มไปด้วยความหวาดผวา หลอน และหวาดกลัว จนอาจป่วยเป็นโรคทางใจได้ เช่น โรคซึมเศร้า, PTSD
การที่จะพาตัวเองหลุดออกมาจากวงจรของการถูกทำร้ายโดยคนที่เรารัก อย่างหนึ่งที่จะช่วยได้ คือ การทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ยังตัดกันไม่ขาด ซึ่งเหตุมาทั้งจากตัวเขาและตัวเรา เพราะเมื่อรู้สาเหตุแล้วเราจะได้แก้ไขให้ถูกจุด โอกาสรอดจะเพิ่มขึ้นอีกมาก นอกจากนี้การที่เรารู้วิธีเยียวยาใจจากการถูกทำร้ายจะทำให้เราหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น
พี่หมอแมวน้ำมีประสบการณ์การรักษาคนไข้ที่ถูกทำร้ายจากคนที่รักมาเยอะ ในช่วงแรกแต่ละคนมีสภาพจิตใจที่แย่มาก แต่หากได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากคนไข้ คนรอบข้าง แม้บางคนจะใช้เวลานาน ผลลัพธ์ที่ออกมา คือ หัวใจได้รับการเยียวยา สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ควรจะเป็นได้
สาเหตุที่คนรักมักจะทำร้ายเรา
คนรักที่ทำร้ายเราก็มีเหตุผลของเขา แต่ไม่ใช่จะเอามากล่าวอ้างได้ว่า “เพราะฉันเป็นแบบนี้…ฉันถึงต้องทำร้ายเธอ“ แต่ที่เราต้องทำความเข้าใจเผื่อว่าเราจะได้คุยวิธีแก้ปัญหาร่วมกัน ความสัมพันธ์อาจจะดีขึ้น
มีงานวิจัยพบว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะแสดงความรุนแรงก้าวร้าวกับคนใกล้ชิด มากกว่าแสดงกับคนนอกด้วยเหตุผลหลายอย่าง
1. การลงโทษตัวเอง (self-punishment) และทำให้ตัวเองต้องเสียหาย (self-sabotage)
การที่เราเห็นคนที่เรารักเจ็บปวด เราเองก็เจ็บไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้น เมื่อเราไปทำร้ายเขา เราก็รู้สึกแย่ เช่น รู้สึกผิด (guilt), สำนึกผิด (regret), อับอาย (shame) เหตุผลที่ลึกลงไปกว่านั้นที่คนทำก็อาจไม่รู้ตัว (core belief) คือ การที่คิดว่าตัวเองมันห่วย ไม่มีค่าพอที่จะให้ใครมารัก ไม่สมควรที่จะมีความสุข ดังนั้นเลยทำลายตัวเองผ่านการทำร้ายคนรักแทน
2. ต้องการให้ทุกอย่างสามารถควบคุมได้ (gaining control) และเป็นการเอาคืนทำมาทำกลับ (reciprocation)
ในความสัมพันธ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบคนรัก (romantic relationships) หากเราคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะทำร้ายเราได้ เราเลยชิงลงมือทำก่อน เพื่อที่ว่าจะได้รู้สึกว่าเราเป็นคนคุมเกม หรือบางครั้งเราตีความว่าสิ่งที่คนรักทำกำลังทำร้ายเรา เราถึงต้องทำคืน
3. คนรักเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เราเป็นตัวเอง (the trust and safety paradox)
ยิ่งสนิทและเชื่อใจกันมากเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและคนรัก (romantic partners) เราสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่โดยไม่ต้องยั้งการกระทำหรือคำพูดใดทั้งนั้น ด้วยความเชื่อว่าคนรักเป็นพื้นที่ที่เราไม่ต้องกังวลหากเราจะเป็นตัวเอง คิดอย่างไร อยากทำอะไร เขาจะยอมรับได้ทุกอย่าง เช่น ใช้คำพูดถากถางที่ไปบูลลี่อีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ, หงุดหงิดจากที่ทำงานแล้วมาลงกับคนที่บ้าน
โดยปกติในช่วงแรกของการสร้างความสัมพันธ์เราจะโชว์แต่ส่วนที่ดีให้อีกฝ่ายเห็น เก็บอาการที่ไม่ดีไว้ได้เพราะอยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่เมื่อเรามั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายรักเรา ยอมเราหมด เราจะทำอะไรแบบดิบเถื่อนตามสัญชาตญาณเพราะขี้เกียจมาเฟคให้เหนื่อย
4. รูปแบบความผูกพันที่ติดตัวมา (attachment style)
ความสัมพันธ์ ความทรงจำ และประสบการณ์ที่เรียนรู้ตั้งแต่แต่เด็กจนโต ทำให้เรามีกรอบของรูปแบบความผูกพันที่ติดตัวมา (attachment style) (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ : 'ความผูกพันทางใจ' ตัวต้นเหตุที่ทำให้เป็นคนนิสัยไม่ดี!) เช่น เราโตมาในครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ทะเลาะกันแต่ก็กลับมาดีกันอีก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เราเจ็บปวด กลายเป็นคนมีความผูกพันที่ไม่มั่นคง (insecure attachment) พอเรามีคนรักเราเลยทำเหมือนกับสิ่งที่เคยเรียนรู้มา คือ ดี ๆ ร้าย ๆ แล้วแต่อารมณ์ โดยที่ไม่ได้คิดถึงใจของอีกฝ่าย
5. ยืนหยัดรักษาระยะห่าง (asserting independence)
ความคิดลึก ๆ ใต้จิตสำนึกกังวลกับการที่จะต้องสนิทกับใครมากเสียจนไปรับรู้อารมณ์ที่ท่วมท้นของอีกฝ่าย เพราะเราเชื่อว่า “การมีความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ต้องจบลงด้วยหายนะ” ทำให้เมื่อคนรักเริ่มที่จะสนิทกับเรา เราเป็นฝ่ายตีตัวออกห่าง เพราะกลัวว่าจะพูดและแสดงกิริยาแย่ ๆ จนอีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี เพราะเรารับมือไม่ได้ โดยลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดจากการที่เราทำท่าปฏิเสธเขา
6. ทดสอบระยะห่างระหว่างบุคคล (boundary testing)
ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อให้ใกล้ชิดกันแค่ไหน แต่ก็ต้องมีพื้นที่ส่วนตัวและระยะห่างระหว่างบุคคลที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้อึดอัดและเสียความเป็นตัวตน หากเราเป็นคนที่ไม่รู้ว่าระยะห่างที่เหมาะสมคือเท่าไหน เราจะทำการทดลองทั้งพฤติกรรมที่ดีและไม่ดี หากอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวด ไม่พอใจเราถึงจะเข้าใจว่าเข้าไปแตะได้แค่นี้ เช่น การขอดูมือถือ ขอพาสเวิร์ดโซเชียลมีเดียเพื่อตามเช็ค หากมีอะไรน่าสงสัยเราจะต่อว่าอีกฝ่ายโดยไม่คุยกันด้วยเหตุผล จนคนรักขอร้องให้หยุดทำแบบนี้เพราะไม่สบายใจอย่างมาก เราถึงเข้าใจว่าจุดตัดคือตรงนี้
7. คาดหวังสูงต้องการให้อีกฝ่ายทำได้ (idealization and high expectations)
หากเราเป็นคนมีสเป็คสิ่งที่ต้องการและคาดหวังว่าต้องมีให้ได้ เมื่อเรามีคนรัก เราต้องการที่จะปรับเปลี่ยนให้อีกฝ่ายเป็นไปตามสเป็คนั้น เช่น ต้องการให้ลูกเรียนเก่ง ต้องสอบเข้าได้ หรืออยากให้แฟนได้ทำงานตำแหน่งสูง ๆ เราจะพูดหรือทำพฤติกรรมที่อีกฝ่ายไม่ชอบ อึดอัด เช่น การพูดเปรียบเทียบ จนทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายซึ่งบางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขา
สาเหตุที่เรายังรัก และยังอยากอยู่กับคนที่ทำร้ายต่อไป
1. ต้องการความสัมพันธ์ที่แนบแน่นจนเกินไป
สำหรับบางคนเวลาที่รักใครแล้วต้องการเข้าไปอยู่ใกล้ชิดอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งความคิดและโลกทั้งใบหมุนรอบตัวคนที่เรารัก เรายอมเขาทั้งหมดแม้ว่าบางครั้งจะถูกปฏิบัติแย่ ๆ ใส่ ทิ้งขว้าง แต่เรายังซมซานกลับไปขอให้ได้รัก มองเห็นแต่ข้อดี จนบางครั้งกลายเป็นการหลอกตัวเอง
2. กลัวที่จะสูญเสียความสัมพันธ์นี้ไป
บางคนติดกับดักความสัมพันธ์เป็นพิษ (abusive relationship) เป็นเพราะเราไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เราไม่อยากถูกทิ้งไว้ตามลำพังและต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนที่เคยเป็นมา เราเลยยังคงทนอยู่
3. ขาดความมั่นใจในตัวเอง
เมื่อเราไม่เชื่อมั่นในความสามารถที่จะจัดการกับความสัมพันธ์ของตัวเราเอง เราจะรู้สึกสิ้นหวัง ปล่อยให้อีกฝ่ายคุมเกมความสัมพันธ์ทั้งหมด เมื่อเขาบอกให้ทำอะไร เราจำเป็นต้องทำ เพราะเราตัดสินใจเองไม่ได้
4. เชื่อมั่นว่าคนรักดีที่สุดเหนือกว่าใคร
ความสัมพันธ์เป็นพิษ (abusive relationship) ทำให้เรามองคนรักว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบและทำให้เรามีความสุขได้มากที่สุดแล้ว ไม่มีใครแทนที่ได้
วิธีการรับมือเมื่อถูกคนที่เรารักทำร้าย
1. อนุญาตให้ตัวเองรู้สึกแย่ได้
เมื่อต้องรับรู้ว่าถูกคนที่เรารักทำร้าย เรารู้สึกท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ลบ เช่น เสียใจ โกรธ ผิดหวัง บางคนเชื่อว่าเราต้องหักห้ามตัวเองไม่ให้มีอารมณ์พวกนี้เพราะจะทำให้ใจเราไม่เป็นสุข แต่ข้อเท็จจริง การเก็บกดอารมณ์ไม่ให้แสดงออกส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะการรับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วมีทางระบายออก เช่น ร้องไห้ จะลดความเจ็บปวดทางอารมณ์และทำให้มูฟออนต่อไปได้ง่ายกว่า แต่หากเก็บไว้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า และวนอยู่กับอดีตที่เป็นฝันร้าย
2. ไม่เร่งรัดกระบวนการเยียวยาจิตใจ
บาดแผลทางใจเหมือนบาดแผลทางกายที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นตัว เราไม่สามารถไปเร่งว่าต้องหายให้เร็วที่สุดได้ ปล่อยให้เวลาเยียวยาจิตใจ เพราะกระบวนการเยียวยาใจต้องมีการตกตะกอนข้อมูลเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจ และความคิดของตนเองในแต่ละช่วง ยอมรับสิ่งที่ได้เกิดไปแล้ว เพื่อที่จะเปลี่ยนตัวเองใหม่ไปในทางที่ดีกว่าเดิม
3. กำหนดขอบเขตของตัวเอง
เดิมเราอาจไม่ได้กำหนดขอบเขตส่วนตัวว่าจะให้อีกฝ่ายเข้ามาได้แค่ไหน ทำให้เขาไม่เคารพและละเมิดพื้นที่ส่วนตัวของเรา เช่น บังคับไม่ให้เราติดต่อกับใคร,ฃ ยึดเงินเดือนแล้วจ่ายให้เป็นรายวัน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำร้ายอีก เราต้องล้อมรั้วทางจิตใจและบอกอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เช่น จะบล็อคการติดต่อทุกช่องทาง ไม่ต้องมาเจอหน้า การที่เราเป็นคนกำหนดกติกาจะทำให้เรารู้สึกว่าเรายังมีความสามารถในการที่จะจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ (sense of control)
4. ขอหยุดพักเพื่อทบทวนความสัมพันธ์
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกทำร้าย ให้รีบหยุดพักความสัมพันธ์ไปก่อน เพราะการยื้อที่จะอยู่ต่อทำให้เราไม่ได้กลับมาสำรวจสภาพจิตใจว่าเสียหายไปแค่ไหน ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ส่วนจะพักนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา เช่น ถูกอีกฝ่ายทำร้ายจิตใจจนเราหวาดกลัวไปหมด คงต้องหยุดพักไปนานกว่าที่จิตใจจะฟื้นขึ้นมาดีได้
5. หาคนที่จะปลอบโยนช่วยเหลือเรา
บ่อยครั้งเมื่อเราถูกที่เรารักทำร้าย มันทำให้เราหมดความเชื่อใจ ไม่คิดว่ามีใครที่จะช่วยเหลือเราได้ แต่หากลองมองดูดี ๆ หลายคนรอบตัวยังรักและเป็นห่วงเราพร้อมที่จะเข้ามาช่วย ขอเพียงให้เราเปิดใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น คนในครอบครัว เพื่อน จิตแพทย์ นักจิตวิทยา เพื่อหาทางแก้ไขและทำให้เราอุ่นใจว่าเราไม่ได้ต้องสู้อยู่เพียงลำพัง
6. อย่าโฟกัสไปว่าจะต้องแก้แค้น
หากมีใครทำให้เราโกรธ สิ่งที่ตามมา คือ ความแค้น ที่เราต้องการทำร้ายอีกฝ่ายคืน ถึงแม้การแก้แค้นจะทำให้เราสะใจ แต่มันไม่ได้ช่วยทำให้แผลในใจดีขึ้น ดังนั้นแทนที่จะโฟกัสเรื่องนี้ให้ไปเน้นที่การเยียวยาใจตัวเอง เพื่อที่จะมูฟออนและใช้ชีวิตใหม่ที่ไม่มีใครทำร้ายเราได้อีก
7. ให้อภัยแต่ไม่ต้องลืม
การให้อภัยเป็นการเอาความรู้สึกลบที่เป็นพิษออกไป เช่น ความโกรธ ความแค้น หากทำได้ก็ดี แต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยระยะเวลา เมื่อเราเยียวยาใจให้ดีขึ้นถึงระดับหนึ่ง เราจะให้อภัยอีกฝ่ายได้
"แต่เราไม่ต้องลืมสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่กลับเข้าไปหาคนที่ทำร้ายอีก"
8. เจ็บปวดแต่ได้เติบโต
ประสบการณ์ที่ถูกทำร้ายทำให้เราเจ็บปวดมาก แต่ถ้าหากเรานำมันมาเป็นบทเรียน สำรวจว่ามันเกิดอะไรขึ้น จุดผิดพลาดคืออะไร และเราแก้ไขอย่างไร มันทำให้เราได้เติบโตขึ้น รู้จักตัวเอง และมีความสัมพันธ์กับคนอื่นใหม่ในรูปแบบที่ดีต่อใจ
9. มองหาเรื่องดีที่ยังมีอยู่
การถูกคนที่เรารักทำร้ายทำให้เราผิดหวังกับความสัมพันธ์ แต่ถ้าลองมองหาสิ่งดี ๆ ที่เรายังมีอยู่ เช่น ความสำเร็จในการทำงาน การที่เรายังเป็นที่รักของคนรอบตัว จะช่วยสร้างพลังบวกให้เราพาตัวเองหลุดออกจากมาจากความสัมพันธ์ที่เลวร้ายได้
10. อย่าโทษตัวเอง
คนที่ทำร้ายเราไม่เคยสนใจความรู้สึกว่าเราเจ็บปวดแค่ไหน และเขาจะโยนความผิดทุกอย่างว่าสิ่งที่เขาทำเพราะตัวเราทำแบบนี้… มันทำให้เรารู้สึกผิดและโทษตัวเอง ดังนั้นตั้งสติให้ดี แยกให้ได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรเป็นเรื่องที่เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง
11. ตัวแลตัวเราเองให้ดีและรักตัวเองให้มาก
ช่วงที่เราจมอยู่กับความรู้สึกแย่ในความสัมพันธ์ห่วย ๆ เรามักจะละเลยการดูแลตัวเอง ดังนั้นให้กลับมาโฟกัสที่เรื่องนี้ เช่น ดูแลตัวเองให้ดูดี ออกกำลังกายให้แข็งแรง,นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำสิ่งที่อยากทำ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง ในบางครั้งเรายังคงโทษตัวเองและรู้สึกผิด ดังนั้นต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยและเมตตาตัวเอง เพื่อให้เรารับรู้ตามความเป็นจริงว่าเรายังมีคุณค่า
12. เปิดใจคุยและเคลียร์กัน
หากเรายังรักคนที่ทำร้าย ถ้าเขาพร้อมที่จะคุยสื่อสาร เราต้องคุยเพื่อถามสิ่งที่ค้างคาใจ และบอกความรู้สึกความต้องการของเรา ถ้าเขายังคงโทษ ด่อทอ ทำร้ายความรู้สึก ไม่รับฟัง เราจะได้จบความสัมพันธ์แบบที่ไม่ค้างคาใจ เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว
สำหรับใครที่ถูกคนที่รักทำร้าย หากเจ็บปวดมาก เศร้า เบื่อไปหมด ท้อแท้ หลอน หวาดกลัว มีปัญหาการกินการนอน สมาธิความจำแย่ คิดลบ โทษตัวเอง มีความคิดอยากหายไป ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครช่วยได้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา จะได้ให้การช่วยเหลือและช่วยให้หลุดจากความสัมพันธ์ที่เลวร้ายนี้ได้
ข้อมูลจากhttps://www.marriage.com/advice/relationship/disappointed-when-someone-you-love-hurts-you/https://medium.com/be-open/why-do-i-love-someone-who-hurts-mehttps://www.youniversetherapy.com/8-reasons-why-we-hurt-the-ones-we-love-the-mostพี่หมอแมวน้ำขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้อยู่ แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่สักวันมันอาจจะดีขึ้น หากมีการปรับวิธีการเพื่อเอาตัวเองออกมาจากความสัมพันธ์นี้ ถ้าใครมีคำถาม เรื่องที่อยากให้ช่วย คอมเมนต์มาได้เลยนะคะ
0 ความคิดเห็น