ในวันที่ส้มไม่หวาน แต่วันวานก็ไม่ขม! เมื่อฉันล้มแต่สู้ต่อรอบ 5 จนติดทุนเกาหลี → ปรับภาษาที่เชจู → จบโทอินเตอร์ ม.โซล

สวัสดีค่าชาว Dek-D หลายคนอาจคิดว่าถ้าจะเรียนต่อปริญญาที่เกาหลี ก็คงหนีไม่พ้นต้องได้ภาษาเจ้าของบ้านในระดับ Fluent เลยใช่มั้ยคะ แต่วันนี้มีรีวิวจาก “พี่นุ้ยหนุ่ย” ที่จบเอกจีนศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ แล้วมุ่งหน้าสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี (GKS-G) หลายต่อหลายรอบ และแม้ว่าจะไม่สมหวังกับมหาลัยที่มุ่งสมัครมาตั้งแต่แรก แต่โชคชะตาเธอก็พาก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัยดังที่มอบประสบการณ์ดีๆ ให้เกินคาด มีอะไรบ้างที่อยากเล่าให้ฟัง ในนี้เราสรุปมาให้อ่านเพลินๆ 7 ข้อนะคะ ไปเริ่มกันเลย~

โอกาสทอง! ปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา

จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ "พี่นุ้ยหนุ่ย" ตัวจริงได้ในวันอาทิตย์ที่งาน  Dek-D's Study Abroad Fair  นะคะ รอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย ก.พ. และ ทุน UIS, CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN Scholarships (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards (ออสเตรเลีย), และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน

1

จบเอกจีนศึกษา 
แต่ใจมุ่งหน้า ป.โท ที่เกาหลี

สวัสดีค่า ชื่อ "พี่นุ้ยหนุ่ย" จบ ป.ตรี จากคณะจีนศึกษา วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (PBIC TU) และได้ทุนรัฐบาลเกาหลีไปเรียนต่อ ป.โท GSIS (Graduate School of International Studies) ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University; SNU) เพิ่งจบเมื่อปี 2025 นี้เองค่า

ทำไมถึงคิดอยากต่อ ป.โท?

พูดตรงๆ ว่าเป็นเพราะเพื่อนๆ ใน PBIC เกือบทั้งรุ่นวางแผนจะต่อโทกันหมด ทำให้เราเริ่มคล้อยตามสภาพแวดล้อมค่ะ 555 แต่เป้าหมายอาจต่างจากคนอื่นตรงที่อยากไปประเทศอื่นนอกจากจีน 

ต่อมาประมาณปี 2012-2013 ได้รู้จักทุนรัฐบาลเกาหลีจากอาจารย์และบทความบนเว็บ Dek-D ก่อนจะเจออีกบทความนึงที่แนะนำมหาลัยชั้นนำกลุ่ม SKY ซึ่งจะประกอบด้วย ม.แห่งชาติโซล (Seoul National University), ม.โคเรีย (Korea University) และ ม.ยอนเซ (Yonsei University) แล้วตอนหลังยังมาเจอ ม.ยอนเซ มาออกบูทที่งานแฟร์ศึกษาต่ออีกงานนึงด้วย! จังหวะนั้นคิดเลยว่าพรหมลิขิตแน่ๆ เริ่มวางไว้เป็นเป้าหมายแรกในใจค่ะ

เราเริ่มฝึกเขียนอักษรฮันกึลด้วยตัวเอง แล้วเรียนพิเศษจนพอพูดเกาหลีได้เบื้องต้น ขนาดตอน ป.ตรี ที่กำหนดให้นักศึกษาไปแลกเปลี่ยนที่ ม.ปักกิ่ง 1 เทอม เราก็ยังไปเข้าชมรมภาษาเกาหลีเลย จนรู้สึก make sure ว่าอยากไปเกาหลีจริง! หลังแลกเปลี่ยนเสร็จเรียนต่อให้จบ แล้วแพลนเรื่องเรียนต่อจริงจังพร้อมกับทำงานไปด้วย

สมัครทุน GKS 5 ปี ไม่ติดไม่ถอย

บอกเลยนะคะว่ากว่าจะติด เราใช้เวลาสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีไป 5 ปี!!!! แต่ 4 ครั้งแรกไปไกลสุดแค่รอบสัมภาษณ์ เรายังสู้ต่อเพราะอยากไปจริงๆ

ในปีที่ 5 เรายื่นทุนแบบ University Track แต่บังเอิญว่า Yonsei GSIS ไม่เปิด เลยเปลี่ยนแผนกะทันหันมาสมัคร SNU GSIS  ตอนนั้นต้องรื้อ SoP ขอจดหมายแนะนำจากอาจารย์ใหม่ แก้ทั้งหมดในเวลาสัปดาห์เดียว ยื่นสมัครทันแบบฉิวเฉียดมากกกก

https://gsis.snu.ac.kr/why-gsis/
https://gsis.snu.ac.kr/why-gsis/ 

2

เรียนรู้ทุกครั้งที่พลาด
จนได้ SoP เวอร์ชันที่ดีที่สุด

ตอนเราย้อนไปอ่าน SoP ที่ตัวเองเคยเขียนสมัครทุนช่วงปีแรกๆ ยังรู้สึกเลยว่า “เฮ้ย ถ้าเราเป็นกรรมการก็คงไม่เลือกอะ” เพราะตอบไม่ตรง แถมสำนวนก็แข็งมาก แต่เราก็ค่อยๆ พัฒนา ถามเพื่อน ปรึกษาอาจารย์ เก็บคะแนนวัดระดับภาษาเรื่อยๆ เพราะมันจะหมดอายุทุก 2 ปี

ไม่ว่าจะสมัครทุนไหน สิ่งแรกที่กรรมการเห็นก็คือ SoP หรือ Personal Statement เราต้องเขียนให้เขาอยากรู้จักเราต่อ ดังนั้นจะไม่ใช่แค่เล่าชีวประวัติตัวเองว่าเราเป็นใคร แต่ต้องเชื่อมให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เราเคยเรียน, สิ่งที่กำลังจะไปเรียน และสิ่งที่อยากทำในอนาคต สัมพันธ์กันยังไงบ้าง 

แล้วต้องบอกว่าเกรด ป.ตรี ของเราไม่ได้เป๊ะ (เคยตัว D ใน Transcript ด้วยนะ) แต่เราพรีเซนต์ตัวเองแบบมั่นใจเลยว่าเราไม่เคยยอมแพ้ แถมสาขาจีนศึกษาที่เรียนตอน ป.ตรี ก็ต่อยอดไปสาขา Area Studies ของ GSIS ได้ตรงๆ ด้วย

Tips เล็กๆ จากประสบการณ์

ตอนสมัคร เราพยายามติดตามข่าวความสัมพันธ์ไทย–เกาหลี แล้วนำมาใช้เป็น reference ในการเขียน SoP ด้วยค่ะ เพราะแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นทุนเรียนฟรี แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ยังถือเป็น give & take ในระยะยาว สุดท้ายแล้วสิ่งที่กรรมการอยากเห็นจริงๆ คือแพสชัน ความตั้งใจ และการสื่อสารให้ชัดว่า “ทำไมเราอยากเรียน?” “จะต่อยอดยังไง?” และ “จะกลับมาทำอะไรให้ประเทศได้บ้าง?”

ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ก็อปแพตเทิร์นคำตอบคนอื่น กรรมการดูออกแน่ๆ เพราะเขาผ่านใบสมัครมาเยอะมากกกก แล้วเขาก็จะสามารถเทียบกับ Resume ด้วยว่าเรา "มีของ" จริงหรือเปล่า

ตอนประกาศผล โกลาหลสุดๆ

ตอนนั้นมือซ้ายเราอุ้มหมาที่เลี้ยงไว้แล้วดั๊นนนนกินยาเบื่อ มือขวารับโทรศัพท์จาก SNU ที่โทรมาแจ้งผลว่าผ่านรอบแรก และจะนัดสัมภาษณ์วันรุ่งขึ้น แล้วพอประกาศผล เพื่อนที่ทำงานโทรมาบอกว่า “แกติดนะ!” ตอนนั้นกำลังกินข้าวค่ะ จริงๆ ก็ต้องดีใจแล้วกรี๊ดออกมาใช่มั้ยคะ แต่ปรากฏว่าเราเครียดจนกินต่อไม่ลง คิดสารพัดเลยว่าจะเรียนรอดมั้ยน้าาา จะมีเพื่อนมั้ย

สรุปการสัมภาษณ์ก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ ใช้ภาษาอังกฤษล้วนเพราะคณะที่สมัครคือภาคอินเตอร์  เราเตรียมตัวเยอะโดยเฉพาะการตอบคำถามที่สะท้อนตัวตนเราได้ และทำให้กรรมการรู้สึกว่า “เรารู้จักตัวเองดี” และ “เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงเลือกเส้นทางนี้” 

3

เรียนปรับภาษาที่เกาะเชจูก่อน 1 ปี
สัมผัสบรรยากาศสุดอินเตอร์

หลังได้ทุน GKS สิ่งแรกที่ต้องทำคือเรียนคอร์สปรับภาษาเกาหลี 1 ปีก่อนเริ่มเรียน ป.โท ซึ่งเราได้เรียนที่ “เกาะเชจู” ค่ะ บรรยากาศดีมาก ธรรมชาติล้อมรอบ เจอเพื่อนร่วมคลาสที่มาจากทั่วโลก ชื่อบางประเทศเรายังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำนะคะ จำได้ว่ามีเพื่อนจากโครเอเชีย, โรมาเนีย, คีร์กีซสถาน, คาซัคสถาน, อุซเบกิสถาน และอีกหลายสถานที่รวมตัวกันอยู่ในคลาสเดียวกัน แล้วยังมีเพื่อนจากเมียนมา, เวียดนาม, เม็กซิโก, บราซิล, สหรัฐฯ, อังกฤษ, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ เอาเป็นว่าอารมณ์เหมือน ASEAN Summit + UN เล็กๆ ในคลาสเดียว

บางคนไม่เคยเจอคนไทยมาก่อน เขายิ่งชวนคุยแบบตื่นเต้นมาก เช่น “เธอมาจากไทยเหรอ?” “เคยดูซีรีส์นะ~” หรือ “อยากไปเที่ยวมาก!” เป็นบรรยากาศที่น่ารัก และเห็นเลยว่าทุกคนอยากเรียนรู้ซึ่งกันและกันจริงๆ

แต่บรรยากาศน่ารัก ≠ ความกดดันที่หายไป

ถึงจะเรียนหลักสูตรอินเตอร์ แต่การสอบ TOPIK ให้ผ่านกึบ 3 คือหนึ่งในข้อกำหนดของทุนนะคะ ช่วงนั้นเราเครียดหนักมากเพราะเป็นคนไทยคนเดียวในคลาสด้วย ไม่มีคนที่คุยภาษาเดียวกันให้ปรึกษา และต้องโหมอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน ไม่แตะข้าวเลยเพราะเครียด แถมเครียดลงกระเพาะ กรดไหลย้อนกำเริบ นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ร่างกายงี้พังไปหมด ถึงผลจะออกว่าเราผ่านแล้ว แต่ความเครียดยังฝังลึกค่ะ ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะกลับมาปกติได้ค่ะ ㅜㅜ

ส่วนตัวรู้สึกโรงพยาบาลเกาหลีเข้ายากมาก และหยุดวันอาทิตย์ด้วย แนะนำว่าควรดูแลตัวเองให้ดีเป็นพิเศษ ไม่งั้นป่วยขึ้นมาจะค่อนข้างลำบากค่ะ

4

เริ่มเทอมแรกในรั้ว SNU
บรรยากาศอบอุ่นและอินเตอร์กว่าที่คิด

อย่างที่เล่าไปว่า SNU ไม่ใช่เป้าหมายแรก แต่ดู Ranking ว่าเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ พอเรียนมาเรื่อยๆ แล้วมองย้อนกลับไป เรารู้สึกดีใจมากที่ไม่ยอมแพ้ตอนไม่ติดทุนปีแรกๆ แล้วไม่ผิดหวังที่สมัครเรียนที่นี่ค่ะ อาจจะเรียนหนักจริง แต่ทุนสนับสนุนเยอะ และระบบซัปพอร์ตอบอุ่นแบบเกินคาด ทั้งเปิดโลกให้พบปะสังคมที่ดี รู้จักตัวเองมากขึ้น ฝึกสกิลเอาตัวรอดจนเหมือนเป็นคนใหม่

ในคณะ GSIS เด็กต่างชาติกับคนเกาหลีมีสัดส่วนประมาณครึ่งๆ ทำให้บรรยากาศค่อนข้างอินเตอร์ เพื่อนๆ ทุกคนน่ารัก เฟรนด์ลี่ และเปิดกว้าง เริ่มมาสัปดาห์แรกมี Major Night ที่นักศึกษาแต่ละเอกพากันไปกินเลี้ยงกันแบบสนุกๆ รุ่นพี่รุ่นน้องได้ทำความรู้จักกัน แนะนำเทคนิคการเรียน เม้าท์มอยชีวิตในเกาหลี แล้วแน่นอนว่าถ้าเป็นวัฒนธรรมเกาหลีที่ถูกต้องคือจะมีไปต่อร้าน 2 ร้าน 3 เราก็ไปเท่าที่เราไหว

ในคณะยังมีกิจกรรมอย่างปิกนิก-กีฬาสี ที่ให้เด็กแต่ละเอกได้ออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน หรือดินเนอร์กับเพื่อนๆ ละอาจารย์ในเอก เพื่อให้คุ้นเคยและได้พูดคุยกับอาจารย์แบบเป็นกันเองมากขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสนั่งกินข้าวกับเพื่อนร่วมสิบชาติในโต๊ะเดียวแบบนี้!

หรือบางวิชาก็มีพาไป Field Trip มีทั้งทริปไปเช้า-เย็นกลับ หรือทริปศึกษาดูงานต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ คณะออกค่าใช้จ่ายให้หมดเลยนะคะ เพราะประเทศเกาหลีเค้าสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง 

5

เจาะลึกสาขา Area Studies
วิชาเรียน / อาจารย์ / เพื่อนร่วมคลาส

เรื่องเรียนโหดพอตัวเลยค่ะ เราใช้เวลาเรียน ป.โท GSIS ทั้งหมด 2 ปีครึ่ง สามารถเลือกเรียนได้ 5 เอก (Majors) คือ

  • International Area Studies *เราเรียนเอกนี้ค่ะ
  • International Cooperation
  • International Development
  • International Commerce
  • Korean Studies

เราเรียนด้าน Area Studies หรือการศึกษาภูมิภาคแบบเจาะลึก ทั้งการเมือง เศรษฐศาสตร์ ภาษา และวัฒนธรรม เจอโครงสร้างการเรียนที่ค่อนข้างยืดหยุ่น แต่ละเอกจะมีข้อกำหนดพื้นฐาน เช่น ต้องลงวิชา Seminar และ Lecture อย่างละ 3 ตัว (Seminar เน้นดิสคัส แลกเปลี่ยนไอเดียกันในคลาส ส่วน Lecture ฟังอาจารย์บรรยายเนื้อหา) ส่วนที่เหลืออีก 6 ตัว เลือกลงได้ตามความสนใจเลย สมมติเราสนใจฝั่งยุโรป เกาหลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ฯลฯ ก็สามารถเลือกเรียนวิชาเจาะเฉพาะของภูมิภาคนั้นๆ เช่น Chinese Politics, Korean Economy ฯลฯ หรือแนวข้ามสายอย่าง Western Commerce แบบนี้ก็ได้นะ

ส่วนเราเน้นลงวิชาเกี่ยวกับ Korea Studies เป็นหลัก แล้วด้วยความที่ไม่ถนัดเลข เลยขอเลี่ยงเอกที่เน้นสถิติหรือการคำนวณหนักๆ ไว้ก่อน

อัปเดตข้อมูลตรงจากเว็บคณะโครงสร้างหลักสูตร Area Studies

หนึ่งในความสนุกของที่นี่คือเพื่อนในคลาสจบมาจากหลายสาขา มีตั้งแต่ดนตรีคลาสสิก วิศวะ กฎหมาย ธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งทำให้การดิสคัสในห้องเรียนเต็มไปด้วยมุมมองใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ถ้าเกิดใครมีแนวโน้มเป็น extrovert อาจได้เปรียบตรงที่กล้าเข้าไปพูดคุยล้วงลึกเรื่องวัฒนธรรมและสังคมจากเพื่อนๆ ต่างชาติได้เยอะกว่า แต่สาย introvert ก็มีเยอะ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้สบายๆ ค่ะ

อาจารย์ที่ GSIS หลายคนมีประสบการณ์ตรงทั้งในเกาหลี อเมริกา หรืออังกฤษ เรามองว่าพวกเขาผ่านสมรภูมิสุดเดือดอย่าง “ซูนึง” แล้วไปเรียนต่อมหาลัยระดับโลกมาอีก ดังนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน เห็นได้ชัดจากวิธีสอนที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยคุณภาพและ Insight มีการโยงแนวคิดจากตะวันตกกลับเข้ากับระบบเกาหลีได้แบบเข้าใจง่ายและจับต้องได้

อย่างเราก็เคยลงวิชา Seminar ของอาจารย์เกาหลีที่จบ Ivy League มาเหมือนกัน โอ้โหโหดมากกก ต้องอ่านหนังสือสัปดาห์ละ 2,000 หน้า แล้วเข้าไปดิสคัสในคลาสเล็กๆ แค่ 7-10 คน โดนสุ่มถามแบบไม่มีสคริปต์ ต้องคิด วิเคราะห์ และตอบให้ได้ในเวลาไม่กี่วินาที // ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะรอดนะคะ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้แบบอ่านตาแตก 2 เทอมติด ถึงขั้นหายเข้าถ้ำ ไม่แตะโซเชียลเลย กว่าจะเจอโลกอีกทีก็หลังสอบไฟนอลเสร็จค่ะ! 5555

6

เล่าบรรยากาศ 3 เมืองฮิต
เชจู - โซล - ปูซาน

เกาะเชจู (제주도; Jeju-do)

เป็นเกาะที่เงียบสงบ เหมาะกับคนที่ชอบธรรมชาติ ชอบเที่ยวและทำกิจกรรม outdoor เช่น ปีนเขา ดำน้ำ ขี่ม้า เล่นเซิร์ฟ ฯลฯ 

เราเคยไปปีนเขา “ฮัลลาซาน” (Hallasan; 한라산) ที่ว่ากันว่าสูงสุดในเกาหลีด้วยนะคะ ตอนนั้นไปกับกลุ่มเพื่อน เริ่มปีนตอนตี 5 เพื่อให้ไปถึงจุดเช็กพ้อยต์ก่อน 11:00 เพื่อให้ถึงยอดเขาก่อนเวลาที่กำหนด  (ทางขึ้นยอดเขาจะปิดตอน 14:00 เพื่อความปลอดภัย) บอกเลยว่าสภาพตอนนั้นเราเสื้อผ้าไม่พร้อม แรกๆ ก็เดินปีนไปด่าไป แต่พอถึงยอดเขาก็แบบ “โอ้โห สวยอ่ะ” แล้วก็ต้องรีบลงมาเพราะจะบ่ายสองแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืด ทางเดินไม่มีไฟ ต้องใช้ไฟจากมือถือส่องดูเองเลย

ข้อดีของเกาะเชจูคือเดินๆ อยู่ก็เจอดาราบ้าง แต่ชีวิตความเป็นอยู่เราว่าไม่ได้ชิลเหมือนวิวเท่าไหร่ โดยเฉพาะถ้าต้องไปหาหมอเองก็จะรู้เลยว่าความสะดวกในเมืองหลวงกับต่างจังหวัดมันต่างกันมาก แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีแอปสุขภาพที่ช่วยให้เข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้นแล้ว

Note: ค่าครองชีพที่เชจู *แพงพอๆ กับโซลเลยค่ะ

Photo by Minku Kang on Unsplash
Photo by Minku Kang on Unsplash

กรุงโซล (서울; Seoul)

ถ้าเทียบกับที่เชจูกับปูซาน โซลถือว่าแออัดและผู้คนดูรีบเร่งสุดใน 3 เมืองนี้ค่ะ สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยโอกาสและการแข่งขัน และสังคมมีความ multicultural เพราะคนต่างชาติมาเรียนเยอะ แม้แต่คนเกาหลีก็เองต้องปรับตัวในการรับวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้ามาด้วย

เราเองก็ต้องปรับตัวเยอะค่ะ อย่างรถไฟช่วง rush hour แน่นมากกกจนต้องวางแผนล่วงหน้าว่าจะขึ้นยังไงให้ไม่โดนเบียด แต่ข้อดีคือการเดินทางสะดวกสุดๆ ใช้ subway ได้ทั่ว ระบบรถบัสดีมากด้วยนะคะ เช่น รู้เลยว่าคันนี้คนแน่นมั้ย คันถัดไปมากี่โมง ทำให้กะเวลาและวางแผนชีวิตได้เป๊ะ แถมเราพักไม่ไกลจากมหาลัย เลยใช้ shuttle bus ฟรีของ SNU ได้เลยสะดวกสบาย แต่ถ้าใครอยู่โซนอื่นก็ใช้ NAVER (แอปแผนที่ในเกาหลี) เป็นตัวช่วยเดินทางได้

Photo by Mos Sukjaroenkraisri on Unsplash
Photo by Mos Sukjaroenkraisri on Unsplash

ปูซาน (부산; Busan) 

หลังจากไปเที่ยวมาหลายที่ เรารักปูซานที่สุดเลยค่ะ~~~ ที่นี่เป็นเมืองริมทะเลที่อากาศดี คึกคักแต่ไม่วุ่นวายเท่าโซล ค่าครองชีพพอกันแต่รู้สึกอาหารอร่อยกว่า และเดินทางง่ายเพราะมี subway เหมือนกัน 

ที่ปูซานเราอยากเข้าโหมดสงบหรือชิลก็ได้หมด มีหาดที่ฮิตมาก แต่ก็มีบางหาดลับที่สวยมากแต่คนยังไม่ค่อยรู้จัก เพราะต้องต่อรถบัสอีก 2–3 เที่ยวกว่าจะถึง หรือถ้าอยากทำกิจกรรม ที่นี่มีทั้งรถไฟแคปซูลริมทะเล กระเช้าเที่ยวชมวิว หรือนั่งเรือยอร์ชกลางคืนที่ฟีลโรแมนติกสุดๆ ร้านอาหารก็อร่อย เรียกว่าลงตัวไปหมดเลยค่ะ ㅠㅠ

Photo by Minku Kang on Unsplash
Photo by Minku Kang on Unsplash

7

รีวิวเกาหลีแบบแรนดอม

1. ระบบเตือนภัยสุด Alert

หลายคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพมากๆ ของเกาหลี ช่วงที่อยู่เชจู เราเคยเจอแผ่นดินไหวด้วยค่ะ ตอนนั้นก็คือยังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตามปกติ แล้วปรากฏว่ามือถือของทุกคนก็ดังพร้อมกันหมดทั้งประเทศ!! ระบบเตือนภัยจะส่งข้อความทันทีว่า “ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น, ควรทำตัวยังไง, ให้ออกนอกบ้านหรือหลบในอาคาร” เค้าแจ้งละเอียดมาก และระบบจะอิงตามพื้นที่ที่เราอยู่ ณ ขณะนั้น เรียกว่าเป็น real-time & location-based แม้แต่นักท่องเที่ยวที่ใช้ซิมชั่วคราวในเกาหลีก็ยังได้รับเหมือนกัน

ตัวอย่างการแจ้งเตือน

  • วันนี้หิมะตกหนัก ให้เลี่ยงใช้รถส่วนตัว
  • อิแทวอนเกิดเหตุการณ์ ขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่นั้น
  • ฤดูร้อนช่วงเมษา จะมีคลื่นความร้อน อย่าออกจากบ้านตอนกลางวัน
  • มีคนหายในบริเวณใกล้เคียง หากพบเบาะแสช่วยแจ้งด้วย
  • ไฟป่าลุกลาม / ค่าฝุ่น PM เกินมาตรฐาน ให้อพยพและสวมแมสก์

2. ค่าใช้จ่ายจากทุน พอไหมนะ?

ทุน GKS ถึงจะเป็นทุนเต็มที่ซัปพอร์ตค่าใช้จ่ายหลักๆ อยู่แล้ว แต่เด็กทุนส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เงินส่วนตัวควบคู่กันไปอยู่ดีค่ะ เฉลี่ยแล้วรุ่นเราจะได้ประมาณ 1 ล้านวอน (ปัจจุบันเขาปรับเพิ่มแล้ว) ถ้าค่าหออยู่ประมาณ 3-4 แสนวอน ก็จะเหลือเงินใช้ ประมาณ 6 แสนวอน ซึ่งถ้าไม่ได้เป็นสายออกนอกบ้านบ่อย หรือไม่ได้ดื่ม-ปาร์ตี้ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายก็ “พออยู่ได้นะ” แต่ถ้าอยากใช้ชีวิตเกาหลีแบบเต็มที่ ออกไปกินข้าวบ้าง เที่ยวบ้าง ช้อปบ้าง ก็อาจจะต้องวางแผนดีๆ หรือหา Part-time ทำเสริมค่ะ

ถ้าเรื่องค่าอาหารในแต่ละวัน อย่างโรงอาหารของ SNU จะมีหลายโซน แต่โดยรวมมื้อนึงราคาไม่ต่ำกว่า 5,000 วอน ถ้ากิน 3 มื้อก็ประมาณ 15,000-20,000 วอนต่อวัน ถือว่าเป็นราคาที่นักศึกษาจับต้องได้ แต่ก็ต้องแลกกับการไปรอต่อคิว และเลือกเมนูที่เหมาะกับงบตัวเอง

3. เด็กทุนนี้ทำ Part-time ได้ไหม?

ทุน GKS อนุญาตให้นักศึกษาทำงานพาร์ตไทม์ได้ค่ะ แต่มีเงื่อนไขที่เป็นกฎหมายของเกาหลีเลย เช่น ต้องได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัย ทำงานไม่เกินชั่วโมงที่กำหนด และงานต้องไม่ขัดต่อจรรยาบรรณนักศึกษาด้วย 

งานยอดฮิตของเด็กทุนก็มีตั้งแต่ TA (ผู้ช่วยอาจารย์) ผู้ช่วยในห้องสมุด, เป็น Student Helper ให้ International Affairs Office ช่วยงานสถานทูต / อีเวนต์ระหว่างประเทศ ซึ่งแต่ละงานก็จะช่วยให้เราพัฒนาภาษาอังกฤษและเกาหลี ได้รู้จักคนใหม่ๆ แต่ขอเตือนว่าให้เมเนจดีๆ เพราะเรียนหนัก การบ้านโหดพอสมควรค่ะ

4. รีวิวบนเว็บ NAVER เชื่อได้ไหม?

ส่วนตัวเราเชื่อพลังรีวิวของชาวเกาหลีใน NAVER ได้อย่างสนิทใจค่ะ 555 ไม่ว่าจะร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขนม ถ้าเห็นรีวิวดาวแน่นๆ ใน NAVER Café หรือ Blog คือ ของจริง ไม่มีหน้าม้า ไม่มีอวยเกินจริง ถ้าไม่อร่อยจะไม่มีคนเมนต์ ไม่มีดาว 

ข้อควรรู้: ควรจองร้านอาหารล่วงหน้า เพราะบางร้านคนแน่นมากก

5. บทเรียนจากชีวิตเด็กทุน

ถ้าเทียบกับตอน ป.ตรี ที่มีเพื่อนแก๊ง ไปไหนไปกัน สนุก ไม่เหงา ชีวิตเรียนโทต่างประเทศคืออีกโลกนึงเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะมาคนเดียว ต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่เรื่องเรียน ชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการจัดการเรื่องที่เราไม่สามารถรู้ก่อนได้ เช่น ถ้าไม่สบายแล้วต้องไปหาหมอ แล้วเจอหมอที่พูดอังกฤษไม่คล่อง เราก็ต้องพยายามสื่อสารให้ได้ อาจจะเตรียมศัพท์เบื้องต้นไว้ หรือใช้แอปแปลภาษา ฯลฯ 

และสิ่งที่ได้จากการเรียนป.โท ไม่ใช่แค่ความรู้ใหม่ๆ แต่รวมถึงคอนเน็กชัน มิตรภาพ และทักษะการเข้าสังคม หลังจากไปเรียนมา เรารู้สึกว่าเข้าใจโลกมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และปรับตัวกับความหลากหลายของคนได้ดีขึ้นมากๆ บางวัฒนธรรมที่เราเคยไม่เข้าใจ พอได้รู้จักกันจริงๆ ก็เริ่มยอมรับ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายใจมากขึ้น

และสุดท้ายงานเลี้ยงก็มีวันเลิกรา ทุกคนเรียนจบแล้วก็ต้องแยกย้ายกลับประเทศตัวเอง สิ่งที่พอจะทำได้คือการใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ให้คุ้มค่าที่สุด เรียนและใช้ชีวิตเต็มที่ รวมถึงพยายามรู้จักตัวเองให้มากขึ้นในทุกๆ วันค่ะ

 . . . . . . .

[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา

เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่!  พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง

  • 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
  • ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอกตัวจริง
  • แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
  • IELTS Mock Test ฟรี  (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
  • Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
  • โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
  • จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
มาเถอะ อยากเจอ~ ดูรายละเอียดงานที่นี่
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น