Bonjour! ชาว Dek-D ช่วงนี้เรามีโอกาสได้คุยกับรุ่นพี่ศิษย์เก่าทุนรัฐบาลฯ Franco-Thai ดีกรีปังๆ หลายท่านมากๆ และล่าสุดก็คือ “ครูแตงโม-วจนธร ตันติธารทอง” เจ้าของเพจ โอ้ลาล้ากับแตงโม ภาษาฝรั่งเศส ง่ายกว่าที่คิด และผู้เขียนหนังสือสอนภาษาฝรั่งเศสที่วางขายบนร้านหนังสือชั้นนำ ที่ให้เกียรติมาแชร์ประสบการณ์สมัครทุนและการเรียน ป.โท สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ที่ Arts et Métiers ParisTech (ENSAM) ขึ้นชื่อว่าเป็น Top5 สาขานี้ในประเทศ!
นอกจากจะเป็นสาขาเฉพาะทางแบบแอดวานซ์สุดๆ ไฮไลต์คือสอนเป็นภาษาฝรั่งเศส 100% ซึ่งพี่แตงโมเพิ่งมาเริ่มต้นนับหนึ่งตอนที่ยื่นสมัครโทแล้วด้วย (discipline เต็มสิบให้ร้อยจริงๆ) จะน่าสนใจขนาดไหน? เรียนอะไรบ้าง เรื่องไหนท้าทายที่สุดนะ? แล้วไปเรียนที่นี่ เจอประสบการณ์เหนือความคาดหมายอะไรบ้าง?
Allons-y! ไปเริ่มพาร์ตแรกกันเลยค่าา

. . . . . . .
จุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจ
ก่อนปักหมุดสาขาวิศวฯ การบินที่ฝรั่งเศส
ชวนทักทายผู้อ่านกันก่อนค่า
สวัสดีค่า ชื่อ “แตงโม” นะคะ ตอนมัธยมโมเรียนสายวิทย์ที่โรงเรียนนานาชาติค่ะ เพิ่งเริ่มรู้จักสาขาวิศวกรรมการบินตอนที่ไปแลกเปลี่ยนอเมริกาช่วง ม.5 แล้วหลังจากกลับมา ก็เริ่มหาข้อมูลเลยว่ามีมหาวิทยาลัยไหนเปิดสอนบ้าง ซึ่งถ้าย้อนไปเมื่อ 10+ ปีก่อนยังมีที่เปิดสอนน้อยมากๆ สุดท้ายโมเลือกเรียนต่อ ป.ตรี สาขาวิศวฯ การบิน (Aerospace) ภาคอินเตอร์ของจุฬาฯ
ระหว่างนั้นตอนปี 3 มีโอกาสเรียนคลาสที่เชิญอาจารย์ที่จบจากฝรั่งเศสมาสอน เลยเริ่มคุ้นกับประเทศนี้ขึ้น แล้วได้รู้ว่าถ้าในแวดวงการบินจะมี 2 บริษัทใหญ่คือ ‘Airbus’ (สำนักงานใหญ่อยู่ที่ฝรั่งเศส) และ ‘Boeing’ (สำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา) โมเลยเริ่มวาดฝันแล้วว่าจะเข้าทำงานสองบริษัทใหญ่นี้ให้ได้ แต่รู้ว่าถ้าจบแค่ ป.ตรี คงยังไม่พอ เลยยื่นสมัครต่อโท 2 ประเทศนี้เลย

ความฝันยิ่งใหญ่ งั้นลุยเลย!
จริงๆ โมก็กังวลเรื่องภาษาฝรั่งเศสเพราะไม่เคยเรียนมาก่อน แถมกำลังเรียนปี 4 ด้วย จนมารู้จัก Network “n+i” ที่รวมตัวสถาบันวิศวฯ ทั่วฝรั่งเศส เปิดโอกาสให้เด็กต่างชาติยื่นสมัครและทำตามขั้นตอนต่างๆ โดยใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดได้ ซึ่งกรณีไม่มีพื้นภาษาเลยเขาจะมีหลักสูตรให้เราเรียนภาษาฝรั่งเศสเฉพาะทางให้ (ถ้าไม่ได้ยื่นคะแนนภาษาฝรั่งเศส ยังไงก็ต้องเรียนภาษาก่อนค่ะ)

ใน Motivation Essay โมก็เขียนเล่าเลยว่าอยากทำงานกับ Airbus และอยากเป็นหนึ่งในหัวหน้าทีมที่ออกแบบหรือประกอบเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ สักรุ่นนึงค่ะ ยื่นสมัครไปทั้งหมด 5 อันดับ (มีค่าใช้จ่ายด้วย) ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยว่าโรงเรียนวิศวะที่ไหนคือตัวท็อป แต่รู้ว่ามีเปิดสอนสายที่สนใจ หลังจากยื่นแล้วทาง n+i จะคัดกรองก่อนรอบแรก แล้วมีมหาลัยมาสัมภาษณ์เราต่อ
แล้วโมก็ติดที่ Arts et Métiers ParisTech (ENSAM) ที่มารู้ทีหลังว่าเป็น Top 5 ด้านวิศวกรรมของฝรั่งเศส!!! เพิ่มโอกาสเรื่องการหางานมากๆ มีคอนเน็กชันศิษย์เก่ากระจายทั่วโลก แล้วจากประสบการณ์รู้สึกว่าค่าเรียนของเขาไม่สูงถ้าเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ

Note: ถ้าอยากเรียนวิศวะที่ฝรั่งเศส แนะนำให้มาผ่านระบบ n+i จะง่ายและครบที่สุด ได้ทั้งคอร์สเรียนภาษาแบบเข้มข้นก่อนเริ่มเรียนจริง 2 เดือน (พักกับโฮสต์ช่วงเรียนภาษา) มีซัปพอร์ตเรื่องการเรียนและใช้ชีวิต ที่สำคัญคือเป็นเครือข่ายของมหาลัยรัฐชั้นนำทั่วฝรั่งเศสด้วย ซึ่ง ENSAM คือหนึ่งในนั้นค่ะ
. . . . . . .
เดินหน้าสมัครทุน Franco-Thai
มอบเต็มจำนวนแบบฟูลแพ็กเกจ
พอรู้ว่าติดมหาลัยแล้ว เราก็เดินหน้าสมัครทุนต่อเลยค่ะ แล้วก็มาเจอกับข้อมูลทุนรัฐบาล Franco-Thai Scholarship ซึ่งตอนนั้นยังกำหนด GPA ขั้นต่ำที่ 3.0 (ตอนนี้เขาดูภาพรวมมากขึ้นแล้วนะคะ) ส่วนโมจบ ป.ตรี ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ยื่นคะแนน TOEFL iBT ประมาณ 108-110
ตอนสมัครต้องใช้เอกสารพวกใบตอบรับจากมหาวิทยาลัย (หรือหลักฐานว่าสมัครแล้ว), จดหมายแนะนำตัว (Motivation Letter), แผนโพรเจกต์ที่อยากทำ, จดหมายแนะนำ (Recommendation Letter) จากอาจารย์หรือผู้ที่เคยร่วมงานด้วย ฯลฯ อย่าลืมศึกษาข้อมูลของปีที่เราสนใจจะสมัครอย่างละเอียดค่ะ
ในที่สุดโมก็ติดทุนค่ะ!! เขาประกาศระหว่างรอผลของอเมริกา แต่ก็ตัดใจเลือกจ่ายค่าเรียนกับเครือข่าย n+i ไปก่อน (ถึงใจลึกๆ จะแอบเสียดายเพราะเคยแลกเปลี่ยนที่อเมริกาแล้วชอบมาก) ส่วนทุนที่ได้ก็สนับสนุนทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าเรียนในมหา’ลัยของรัฐบาล และค่าครองชีพรายเดือน เรียกว่าช่วยแบบฟูลแพ็กเกจ จากนั้นโมก็เริ่มเรียนภาษาแบบจริงจัง เชื่อเลยว่าตัวเองเรียนหนักและเคร่งเครียดไม่แพ้คนอื่น เพราะเราไม่มีพื้นฐานมาก่อนแต่เลือกเรียนหลักสูตรฝรั่งเศส 100% ค่ะ
เร่งสปีดเรียนภาษาแบบเต็มแม็กซ์
ก่อนบินเรียนทั้งกับสมาคมฝรั่งเศส และลงเรียนพิเศษกับอาจารย์จุฬาฯ สัปดาห์ละ 3-4 ชั่วโมงแบบ non-stop ต่อเนื่อง 4-5 เดือนเต็ม ทุกนาทีที่ว่างจะต้องมีหนังสือภาษาฝรั่งเศสอยู่ในมือตลอด แถมยังอยู่ช่วงโค้งสุดท้ายที่ต้องเตรียมจบ ป.ตรี ไปด้วย
ตอนนั้นโมเครียดมากๆ คิดวนไปหมดว่าจะอยู่ปารีสได้มั้ย จะเรียนจบมั้ย จะคุยกับคนอื่นรู้เรื่องมั้ย ร้องไห้บ่อยมากกก กว่าจะรู้สึกว่า “เฮ้ย ภาษาเราก็ไม่ได้แย่นี่นา” ก็ตอนที่เริ่มใช้ภาษาฝรั่งเศสในชีวิตประจำวันได้ตอนบินมาถึงฝรั่งเศสนี่แหละ
นอกจากนี้คือทุน Franco-Thai จะให้เราเรียนภาษาฟรีที่สมาคมฝรั่งเศส 2 เดือนก่อนบิน และทางโปรแกรม n+i จะให้เรียนทุกวันวันละ 4 ชม. ตอนนั้นไปเรียนที่เมือง Strasbourg เข้าคลาสวันจันทร์-ศุกร์ บางครั้งมีกิจกรรมช่วงบ่ายที่ได้เรียนภาษาฝรั่งเศสในชีวิตประจำวันค่ะ พอเรียนภาษาที่เมือง Strasbourg เสร็จถึงจะเปิดเทอมค่ะ เทแมแรกเรียนวิชาพื้นฐานให้รู้คำศัพท์เฉพาะทาง
สรุปโมเรียนภาษาไป 1 เทอม เคยสอบตกวิชาคำศัพท์ด้วยนะ เพราะต้องอธิบายทุกชิ้นส่วนของเครื่องจักรตัวนึงให้ได้ ตอนนั้นยังไม่แม่น อันดับร่วงไปเกือบที่โหล่ของห้อง แต่โมก็ทุ่มอ่านอีกรอบเพื่อเตรียมสอบรอบใหม่ คราวนี้ดีดขึ้นมาอันดับ 2 ขอบคุณตัวเองกับเพื่อนที่ได้ที่ 1 เลยค่ะ เขาตั้งใจติวให้เรามากกก
ช่วงเปิดเทอมความยากจะต่างกับตอนเรียนภาษาแบบลิบลับ เพราะเรามาเรียนกับคนฝรั่งเศสเต็มตัว บางวิชาเจอคลาสใหญ่ 200-300 คน และอาจารย์บางท่านมาจากแคว้นอื่นก็จะมีสำเนียงเฉพาะที่บางทีฟังไม่ออกด้วย โชคดีที่ได้เพื่อนสนิทจากหลายๆ ประเทศ ทั้งจากเวเนซุเอลา ฝรั่งเศส และเม็กซิโก ที่คอยช่วยจนโมฟัง พูด อ่าน และเขียนได้ดีขึ้นเยอะ หลังจบเทอมแรก ภาษาพัฒนาขึ้นแบบชัดเจนเลยค่ะ
. . . . . . .
นี่แหละ รสชาติการเรียนวิศวะสุดกลมกล่อม
⟪ Challenging. Hands-On. Unforgettable. ⟫
Q: ระบบเรียนวิศวะต่างจากที่ไทยไหมคะ?
ส่วนใหญ่ฝรั่งเศสจะเปิดสอนวิศวฯ แบบ Generalist แล้วเราค่อยเลือกสาขาเจาะลึกอีกในปีสุดท้ายค่ะ แล้วโมเพิ่งรู้ว่าเพื่อนวิศวะที่ฝรั่งเศสเขาผ่านระบบเตรียมสอบจริงจังมากและไม่เหมือนที่อื่น เพราะหลังจากจบ ม.6 เด็กฝรั่งเศสที่คะแนนดีจะถูกส่งเข้าโรงเรียนกวดวิชาเฉพาะทาง 2 ปี (เรียนของรัฐเลยค่ะ หนักมากๆ) เป้าหมายคือสอบแข่งขันทั่วประเทศเพื่อเข้าโรงเรียนวิศวกรให้ได้ จากนั้นเรียนอีก 3 ปีจบ (รวมทั้งหมด 5 ปี) ตอนที่เข้าโรงเรียนได้แล้วจะสบายกว่าตอนเตรียมสอบอีก
ส่วนโมจบ ป.ตรี วิศวะจากไทย เขาจะตัดให้เราไปเริ่มที่ปี 2-3 ของเขา (รวมแล้วใช้เวลาเรียนรวม 6 ปี มากกว่าคนฝรั่งเศส 1 ปีค่ะ) ความยากตอนเริ่มต้นคือเพื่อนๆ สิบกว่าคนไม่ได้เรียนมาพร้อมกัน ตอนทำงานกลุ่มเพื่อนฝรั่งเศสไม่ค่อยเข้าหาเราเท่าไหร่ โมต้องพิสูจน์ตัวเองว่าตัวเองไม่มีปัญหากับวิชาการและภาษาฝรั่งเศสนะ จนเพื่อนมั่นใจแล้วถึงจะชวนมาเริ่มทำงานกันค่ะ
และระบบเรียนของฝรั่งเศสอีกอย่างที่ท้าทายสุดๆ ก็คือ TP (Travaux Pratiques) คือคลาสภาคปฏิบัติที่ให้นำทฤษฎีไปใช้จริง อย่างเช้าเรียนเลกเชอร์ บ่ายเป็น TP ซึ่งต่างจากการบ้านตรงที่ต้องทำสดในห้องเลยค่ะ ต้องทดลอง ทำความเข้าใจ และเขียนรายงานจบให้เสร็จภายใน 4 ชั่วโมง ถ้าได้เพื่อนร่วมทีมดีรอดค่ะ

Q: สรุปความยากแต่ละเทอม
พี่แตงโมต้องสู้กับอะไรบ้าง?
เทอมแรก ยังเหนื่อยกับเรื่องภาษาโดยเฉพาะศัพท์เทคนิค เรามีปูพื้นฐานจนพอเข้าใจมาบ้าง แต่พอเรียนจริงทุกอย่างไปเร็วมากค่ะ
เทอมสอง เริ่มปรับตัวกับภาษาได้แล้ว แต่เจอเรื่องวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเข้าหาเพื่อนฝรั่งเศส นอกจากรู้ภาษาแล้วต้องรู้จังหวะด้วยว่าจะพูดยังไง เข้าหายังไง ฯลฯ (คิดดูว่าขนาดเราพูดภาษาไทยกับคนไทยเอง บางทียังไม่เข้าใจกันเลย) // อีกอย่างคือโรงเรียนนี้มีผู้ชายกว่า 90% เพื่อนๆ น่ารักแต่เขาอาจรู้สึกยังวางตัวกับเราไม่ถูกค่ะ
เทอมสาม (ขึ้นปี 2) โมเลือกสาขาเฉพาะทางสุดของมหาลัย เป็นสายที่คนไม่ค่อยเลือกกันเพราะมันยากมากกก มีแค่ 15-16 คน ตอนนั้นก็ถามตัวเองตลอดว่า “ฉันเอาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ทำไม” 555 ยิ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวด้วยก็ยิ่งเหนื่อย บางทีเจอปัญหาเรื่องงานกลุ่มอีก โมเครียดจนร้องไห้เลย เคยได้แค่ 6/20 เพราะอาจารย์ข้ามเนื้อหาที่คนฝรั่งเศสเขาเรียนมากันตั้งแต่ช่วงเตรียมตัวแล้ว แต่เราต้องตามให้ทัน
ภาคที่โมเลือกคือ “Fluid Mechanics” (ของไหล) ของไหลในที่นี้ก็คืออากาศที่ไหลรอบเครื่องบินค่ะ ได้เรียนพวก Aeroacoustic (เสียงของเครื่องบิน คลื่นเสียง มลพิษทางเสียงต่างๆ) บอกเลยว่าสูตรมาเป็นพรึ่บ จำแทบไม่ไหว แถมยังต้องเรียน Coding เพิ่มด้วยค่ะ แต่ความขยันแบบเด็กไทยก็ช่วยไว้เยอะ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครมาดูถูกแค่เพราะเราเป็นเอเชีย หรือภาษาเรายังไม่แข็งแรงเท่าเขา ถ้าเทียบกับระบบไทย โมว่าเรามีพื้นฐานวิชาการแน่นอยู่แล้ว แค่ต้องกล้าลุยๆ มากขึ้นค่ะ
เทอมสี่ (เทอมสุดท้าย) สายที่โมเรียนจะบังคับให้ทำวิจัยอยู่แล้ว เทอมนี้แทบไม่ได้เข้าคลาสเลย ได้ไปฝึกงานจริงจังที่แล็บ ทำโพรเจกต์ด้านวิศวกรรม ได้ค่าตอบแทนด้วยค่ะ

Q: ตัวอย่างวิชาเรียนที่ชอบ
มีวิชานึงชื่อ “แรงตึงผิว” ที่โมประทับใจไม่ลืมเลย เพราะอาจารย์เก่งและสอนดีมากกกก เรียนเกี่ยวกับแรงบนพื้นผิว ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ของแข็ง แต่รวมถึงน้ำ อากาศ ฟองสบู่ หรืออะไรที่ขยับได้ด้วยค่ะ
ที่ผ่านมาโมไม่เคยตั้งคำถามเลยทำไมฟองสบู่ถึงอยู่รวมกัน แล้วแตกๆ ไปเรื่อยๆ บางฟองอยู่นาน บางฟองแตกไว พอเรียนถึงได้รู้ว่า จริงๆ มันขึ้นอยู่กับพื้นผิวของแต่ละฟองค่ะ นั่นคือถ้าเกิดฟอง 3 ฟองเรียงกันในองศาที่เหมาะสม แรงจะสมดุล ฟองก็จะไม่แตก อาจารย์ทดลองทำให้ดูจริงๆ
หรือใครเคยสังเกตตอนเปิดก๊อกน้ำบ้างไหมคะว่าทำไมบางทีน้ำก็ไหลเป็นเส้น บางทีก็ขาดตอน? อันนี้ก็มีสูตรคำนวณเหมือนกัน ว่าเส้นน้ำจะขาดตรงไหน ขึ้นอยู่กับแรงอะไรบ้าง
ที่โมชอบสุดคือช่วงทำโพรเจกต์กลุ่ม อาจารย์จะสอนสูตรพื้นฐานก่อน แล้วให้เลือกหัวข้อจากที่มีประมาณ 30–40 หัวข้อ พร้อมอุปกรณ์ให้ทดลองจริงในห้อง ตอนนั้นกลุ่มโมเลือกหัวข้อเกี่ยวกับหยดน้ำค่ะ เมื่อเราลองหยดน้ำลงในพื้นผิวที่เย็นมาก หยดน้ำมันจะแข็งปั๊บ คำถามคือมันจะเป็นรูปร่างแบบไหนตอนที่สัมผัสพื้น สรุปคือไม่ว่าจะหยดใหญ่แค่ไหน รูปร่างก็จะออกมาเหมือนกันหมดเลย
ส่วนกลุ่มอื่นก็มีหัวข้อน่าสนใจ เช่น เรื่องไวน์ ตอนเอนแก้วแล้วมีคราบไวน์ติดขอบ ก็ไปคำนวณกันว่าไวน์ไหลเพราะแรงอะไร ไหลเร็วแค่ไหน ฯลฯ แต่ละเรื่องเราไม่เคยสังเกตและคิดหาคำตอบมาก่อนเลยค่ะ!
ระหว่างเรียนก็มีงานทดลองย่อยให้ทำอีกเยอะ เช่น ลองประกอบชิ้นส่วน ดูระบบอะไหล่ หรือเข้าโรงงานจริง ไปดูขั้นตอนการเทเหล็กหลอมขึ้นรูปเป็นชิ้นต่างๆ บางวิชามี “รถยนต์ทั้งคัน” มาให้นักเรียนถอดเครื่องยนต์ออกทั้งบล็อก แล้วต้องจดทุกชิ้นส่วนไว้ด้วยเพราะต้องประกอบกลับคืนเขาแบบเป๊ะๆ โดยรวมแล้วโมคิดว่าเป็นการเรียนที่ hands-on สุดๆ ได้เห็น ได้ทำ ได้จับจริง เป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายไปเยอะค่ะ
Q: ฝึกงานที่ฝรั่งเศสเป็นยังไงบ้างคะ~
ด้วยความที่เป็นสายกลางๆ และไปต่อยอดได้กับหลายอุตสาหกรรม ตัวเลือกการฝึกงานเลยมีเยอะ แล้วแต่ใครเลือกสายไหนเป็นหลัก บางคนไปฝั่งรถยนต์ บางคนด้านนิวเคลียร์ หรือเครื่องบิน ส่วนใหญ่คนจะไปกันเยอะที่สายเครื่องจักร เพื่อนโมบางคนได้ไปฝึกกับบริษัทใหญ่ๆ เลยก็มี
ตอนนั้นโมไปฝึกงานในแล็บที่ทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับ “ท่อลมขนาดยักษ์” (Wind Tunnel) ซึ่งใหญ่ขนาดที่เอารถถังเข้าไปได้ ทีมจะเอาอุปกรณ์ที่ต้องการทดสอบไปวางตรงกลาง แล้วปล่อยลมใส่ เพื่อดูว่าทิศทางลมไปทางไหนบ้าง แรงปะทะตรงจุดไหน และส่วนไหนที่ควรพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อลดแรงต้านด้านหน้าให้ได้มากที่สุด โดยอุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบก็มีตั้งแต่รถถัง ตัวเครื่องบิน ฯลฯ จากนั้นก็ต้องเก็บข้อมูลออกมาแล้วเอามา Coding เพื่อแปลงเป็นภาพวิเคราะห์และสรุปผล
แล็บที่โมทำงานเป็นของรัฐบาล บรรยากาศค่อนข้างชิล แต่ความยากคือเขาจะให้เราเขียนโค้ดขึ้นมาเองหมดเลย (ไม่มีสอนก่อนด้วย) แล้วก็มีใบรีพอร์ตที่ต้องเขียนส่ง โดยใช้ภาษาคอมพ์ฯ เพื่ออธิบายการทดลองทั้งหมด พอจบก็เอาข้อมูลมาพรีเซนต์ให้อาจารย์มหาลัย ถ้าผ่านตรงนี้ได้ก็เท่ากับสอบผ่าน
แล้วเราก็ได้เจอความท้าทายของภาษาฝรั่งเศสเพิ่มอีกจุดใหญ่ค่ะ ตอนปี 2 โมมั่นใจมากเลยว่าภาษาฝรั่งเศสเราไหวแล้วแหละ เรียนเข้มมาขนาดนี้ แถมได้ใช้จริงมาหลายเดือนแล้วด้วย แต่พอถึงตอนต้องเขียนรีพอร์ตฝึกงานเทอมสุดท้ายก็ทำเต็มที่ แทบไม่มีผิดหลักไวยากรณ์เลยสักนิด แต่พอส่งให้อาจารย์ตรวจเท่านั้นแหละ เขาบอกว่า “คุณเขียนถูกตามหลักแกรมมาร์เป๊ะเลยนะคะ แต่คนฝรั่งเศสเค้าไม่พูดกันแบบนี้กัน”
จากนั้นอาจารย์ก็วงแดงบางประโยคกลับมาให้ ซึ่งเป็นเรื่องโครงสร้างประโยคที่คนฝรั่งเศสเขาไม่ได้ใช้กันเฉยๆ TT ต้องค่อยๆ มาเรียนรู้ ทำความเข้าใจใหม่ค่ะ
เรื่องการพรีเซนต์เป็นภาษาฝรั่งเศสก็ท้าทายไม่แพ้กัน เพราะหัวข้อเป็นเชิงเทคนิคเต็มๆ ศัพท์เทคนิคเยอะ แล้วยิ่งพอไม่ใช่ภาษาแม่ก็ยิ่งต้องระวังให้ถูกต้องที่สุดทั้งเนื้อหาและวิธีพูด แต่โชคดีที่โมพอจับทางได้ว่าอาจารย์น่าจะถามแนวไหน มีอะไรที่เน้นเป็นพิเศษ พยายามเก็งและเตรียมหาวิธีตอบไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้คือเช็กข้อมูลทุกอย่างมาอย่างดี + ทบทวนซ้ำหลายรอบ เลยทำให้ตอนพรีเซนต์จริงรู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะ ถึงจะมีตื่นเต้นบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ

. . . . . . .
แต่ละวันแต่ละเดย์
ENSAM Experiences
ประวัติยาวนาน มีระบบรหัสรุ่นแบบจริงจัง
ENSAM เปิดมาแล้ว 200 กว่าปี มี “ระบบรหัสรุ่น” ที่จริงจังและเก่าแก่มากค่ะ โครงสร้างรุ่นจะใช้รหัสตามปีที่เข้าเรียน เช่น โมเข้าเรียนปี 2012 ก็จะได้รหัส 212 และจะมี “รหัสสาย” ที่รวมคนจากรุ่นก่อนหน้าและหลังบวกลบ 1 ปี ซึ่งจะสนิทกันเป็นพิเศษ ส่วนคนที่รหัสปีเดียวกันแต่เรียนอยู่คนละแคมปัส (เช่น 220 แต่ต่างเมือง) เขาจะเรียกว่าญาติของกันและกันค่ะ
ระบบนี้ฝังรากลึกมากจนเข้าเว็บไปหาข้อมูลยังเจอพี่สายที่อายุ 90 กว่าในปารีสเลย เครือข่ายศิษย์เก่าก็แน่นจริงๆ มีทั้งธรรมเนียมการบริจาคเงินประจำปีเพื่อสนับสนุนทุนการศึกษา เป็นโค้ชให้รุ่นน้อง หรือเปิดเว็บไซต์รวมงานสำหรับศิษย์เก่าทั่วโลก ที่น่ารักมากคือ ถ้าเราเจอใครที่จบปีเดียวกัน แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็สามารถทักได้เลยว่า “เราเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันนะ” เป็นคอนเน็กชันที่ผูกพันลึกขนาดนั้นเลยค่ะ
คณะวิศวะผู้หญิงน้อยเหมือนกัน
สายวิศวะผู้หญิงเรียนน้อยอยู่แล้ว เพื่อนผู้ชายบางคนก็จะเกรงใจ ไม่ค่อยให้เราทำอะไรแรงๆ หรือเชิงเทคนิคเท่าไหร่ค่ะ (ทั้งที่เราก็อยากลองนะ) แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกกดดันมากสุดกลับเป็นเรื่องการปรับตัวเข้ากับกิจกรรมและวัฒนธรรมมากกว่า เช่น การเข้าสังคม การดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ จริงๆ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ จริงๆ แล้วเราสามารถปฏิเสธไม่กินแอลกอฮอล์ได้จนเรียนจบ
สายกิจกรรมมีอะไรให้ทำเยอะ
โมเป็นสายกิจกรรมตั้งแต่เรียนที่ไทย พอมาที่นี่ก็เล่นกีฬาเหมือนเดิม อยู่ทั้งทีมบาสฯ และวอลเลย์บอล มีแข่งกับมหา’ลัยอื่น สนุกมากกก บางทียังได้เหรียญติดมือกลับมาด้วยค่ะ!
นอกจากกีฬา โมยังเข้าชมรมจิตอาสา ฟีลๆ สภากาชาดของไทย มีจัดกิจกรรมให้เด็กที่ขาดโอกาส เช่น รวบรวมของเล่นและของขวัญไปแจก หรือจัดบูทขายของแล้วเอาเงินไปบริจาคกันเอง ส่วนสายเทคนิคก็มีชมรมแนว Robot Club หรือ International Students Club ให้เลือกอีกเยอะ ใครสนใจอะไรก็เลือกตามสไตล์ได้เลยค่ะ
แอบเหงา แต่บรรยากาศก็ฮีลเราได้
จริงๆ ทุนให้บินกลับได้ปีละครั้ง แต่โมใช้เวลาช่วงซัมเมอร์ไปฝึกงานแทน เลยไม่ได้บินกลับไทยเลยตลอดสองปีที่ไปเรียนค่ะ แน่นอนว่ามีช่วงที่แอบเศร้าๆ หงอยๆ โดยเฉพาะช่วงคริสต์มาสที่คนนิยมกลับบ้านกัน ปารีสก็เปิดไฟสวยงามไปหมด แต่เรานั่งอยู่คนเดียว โมเคยร้องไห้เลยนะ รู้สึกเหงาสุดๆ แต่ก็เตือนตัวเองเสมอว่า “มีอีกหลายคนอยากมาอยู่ตรงนี้แทนเรา มีหลายคนฝันอยากได้โอกาสมาเรียนที่ปารีส” โมเลยบอกตัวเองว่าอย่ายอมแพ้เด็ดขาด
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอยู่ปารีสแล้วใช้ชีวิตสะดวก เดินทางง่าย มีโซนต่างๆ ให้ไปเดินเล่น หาร้านอร่อย หรือแวะอ่านหนังสือก็ได้ แม้บางที่อาจจะไม่ได้สะอาดเป๊ะ แต่ถ้าอยู่ไปเรื่อยๆ จะรู้เลยว่าตรงไหนคือที่ของเรา ตรงไหนคนฝรั่งเศสนิยมไปกัน ตรงไหนเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว
แถมพอเป็นนักเรียนก็ได้สิทธิพิเศษอีกมาก เช่น ส่วนลดค่าเดินทางที่เยอะพอสมควร พิพิธภัณฑ์ก็แทบจะเข้าฟรีหรือไม่ก็ในราคาถูกมากๆ แถมมีโรงอาหารนักเรียนที่ราคาน่ารักด้วยค่ะ
. . . . . . .
จบกลับมาทำงานที่ไทย
เจอเจ้านายเป็นศิษย์เก่าที่เดียวกัน!
อย่างที่เล่าว่ามหาวิทยาลัยที่โมเรียนมีเครือข่ายแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกับบริษัทชั้นนำในฝรั่งเศส หลายแห่งก็มีศิษย์เก่าที่เรียนจบจากที่เดียวกัน คอยเปิดโอกาสให้เด็กใหม่ๆ เข้าทำงานต่อ เช่น สายยานยนต์ พลังงานนิวเคลียร์ หรือวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะรับเด็กจากโรงเรียนนี้โดยตรงเลยค่ะ
โมมองหางานสาย “Engineering Management” บริษัทจะไม่ได้มองหาแค่วิศวกรที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคอย่างเดียว แต่เขามองหาคนที่มีศักยภาพมาเป็นผู้จัดการที่เข้าใจสายงานเทคนิคจริงๆ ด้วย
พอเรียนจบมีบริษัทที่ไทยที่มีเจ้าของและหัวหน้าทีมวิศวกรรมติดต่อมาค่ะ ทางบริษัทสัมภาษณ์งานและรับโมเข้าทำงานตอนที่โมยังอยู่ที่ฝรั่งเศสค่ะ งานแรกหลังจบก็คือ Assistant Manager ด้าน Product Development ค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่าหัวหน้าโมก็คือคนไทยที่เคยจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย ตลอดการทำงานโมได้ประสบการณ์ที่ดีมากๆ ได้ทำงานที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง ได้ดูแลลูกค้าเอง ได้ทำโพรเจกต์ใหญ่หลายชิ้น ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของโมเลยค่ะ
. . . . . . .
ชวนเม้าท์มอยเรื่องภาษาฝรั่งเศส
ภาษาอะไร เสน่ห์แรงเกินนน
ภาษาฝรั่งเศสเพราะมากกก ขนาดพูดว่า “ห้องน้ำอยู่ไหน” หรือ “เธออาเจียนรึเปล่า” ก็ยังเพราะเลยค่ะ แล้วตอนเรียนโมก็เจอครูไทยที่สำเนียงดีมากๆ สอนเป๊ะ ทำให้เราได้ฝึกออกเสียงให้ถูกและใกล้เคียงเจ้าของภาษามาตั้งแต่ต้น พอมาอยู่ฝรั่งเศสเลยไม่เขิน ยิ่งชอบเรียนภาษาก็ยิ่งสนุกไปใหญ่
แต่ถามว่าเรียนยากมั้ย? ก็ยากนะ ท้อตลอดโดยเฉพาะช่วงแรกที่ยังงงๆ เพราะตัวอักษรดูคล้ายภาษาอังกฤษ แต่ออกเสียงไม่เหมือนกันค่ะ แล้วมันก็เริ่มตีกันในหัว 555 เรื่องที่งงสุดคือ “เพศของสิ่งของ” เช่น แก้วน้ำเป็นเพศชาย แต่เก้าอี้เป็นเพศหญิง แล้วเวลาพูดต้องใช้ she/he เพราะไม่มีคำว่า it แบบภาษาอังกฤษ ถ้าเราใช้ผิด เพื่อนฝรั่งเศสบางคนอาจจะไม่เข้าใจคำนั้นเลยก็ได้
แต่ถ้าเรียนไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มจับทางได้ โครงสร้างประโยคและการวางตำแหน่งก็คล้ายอังกฤษอยู่ มีกฎการออกเสียงจริงๆ ที่ชัดเจน ถ้าเข้าใจกฎแล้วจะรู้สึกว่ามันมีเหตุมีผล ข้อยกเว้นก็ไม่เยอะเท่าภาษาอังกฤษ
Tips: อ่านเยอะๆ ฟังเยอะๆ แล้วจะซึมซับไปเอง บางอย่างเป็นเรื่องของความเคยชินเลยค่ะ ยิ่งเจอบ่อยก็ยิ่งจำได้เร็ว
. . . . . . .
“โอ้ลาล้ากับแตงโม
ภาษาฝรั่งเศส ง่ายกว่าที่คิด”
Q: จุดเริ่มต้นของเพจและเว็บไซต์ของตัวเอง
โมเริ่มจากเป็นวิศวกรค่ะ แล้วช่วงสิ้นปี 31 ธ.ค. 2018 อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากแบ่งปันความรู้ภาษาฝรั่งเศสที่เรามีให้คนอื่น ตอนนั้นคิดเลยว่า “เราอยากสอน เพราะเราจะมีความสุขกับมันแน่ๆ” แล้วโมก็ชอบทำอะไรจริงจังไปสุด ช่วงหยุดยาวปีใหม่เลยเปิดช่อง YouTube ถ่ายเอง สอนเอง โพสต์เอง แพลนไว้เลยว่าจะโพสต์กี่วัน/ครั้ง ไม่เกินหัวข้อละ 5 นาที (คลิปที่มาแรงสุดคือคลิปสอน A-Z)
โมเน้นเนื้อหาจากหนังสือเรียนเป็นหลัก เพราะภาษาฝรั่งเศสมี 6 ระดับ ก็เลยเจาะให้ครบ มีเขียนหนังสือและเปิดเว็บ ตอนแรกจะทำต่อเนื่องให้ครบปีนึง แล้วดูว่าเวิร์กมั้ย ถ้าไม่ก็ค่อยกลับไปทำงานบริษัท ช่วงแรกทำทุกวัน จันทร์–อาทิตย์ 8.00–22.00 น. ถึงทำแบบไม่มีรายได้ก็ลุยต่อเพราะตั้งใจมาก
สุดท้ายหนังสือเล่มแรกๆ กลับขายดีแล้วได้รีวิวดีจากคนอื่น ก็เลยติดต่อร้านนายอินทร์ไปเพื่อวางขายค่ะ จากเป็นคนชอบอ่านหนังสือ พอเห็นผลงานตัวเองไปวางที่ชั้นในร้านหนังสือ แฮปปี้มากค่ะ ㅠㅠ


พอเขียนหนังสือแล้ว โมก็ต่อยอดไปทำคอร์สออนไลน์ต่อ เพราะมีหลายคนอยากให้โมสอนแบบละเอียด แต่หาเวลาสอนสดไม่ได้สักที ก็เลยถ่ายวิดีโอไว้ลง YouTube สอนละเอียดมากๆ มีทั้งอ่าน อธิบาย และใส่เทคนิคของตัวเองไปด้วย
ทุกวันนี้โมพยายามลง YouTube แบบต่อเนื่อง เปิดเว็บ https://www.ohlalakabtangmo.com (ทำเองทุกขั้นตอนอีกเหมือนกัน) และกำลังเริ่มโพรเจกต์สำนักพิมพ์แปลนิยายฝรั่งเศสของตัวเองแล้วด้วย ชื่อ IG: @ballade.publishing เพราะโมสังเกตว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่คนอ่านหนังสือเยอะ แล้วเราเองสนใจแนวปรัชญากับนิยาย ก็เลยอยากนำวัฒนธรรมการอ่านมาให้คนไทยได้สัมผัสด้วยกันค่
ช่องทางติดตามครูแตงโม
- Website: https://www.ohlalakabtangmo.com
- Facebook: ohlalakabtangmo
- IG: ohlalakabtangmo
- YouTube: ohlalakabtangmo/featured
- TikTok: @ohlalakabtangmo
0 ความคิดเห็น