ไม่ใช่วัยทำงานก็หมดไฟได้! มารู้จัก ‘Academic Burnout’ หรือ ‘ภาวะหมดไฟในการเรียน’  

น้อง ๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะ “หมดไฟ” ใช่ไหมคะ ซึ่งภาวะนี้ตามที่เราคุ้นเคยมักจะเกิดขึ้นกับพี่ ๆ วัยทำงานที่ได้รับความกดดัน ความเครียด เรื้อรังสะสมนำมาสู่อาการหมดไฟจากการทำงานได้ค่ะ 

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแค่พี่ ๆ วัยทำงานที่สามารถเกิดอาการหมดไฟได้นะคะ น้อง ๆ วัยเรียนเองก็สามารถเกิดภาวะที่เรียกว่าหมดไฟได้เช่นเดียวกัน ซึ่งภาวะนั้นมีชื่อเรียกว่า ‘Academic Burnout’ หรือ ‘ภาวะหมดไฟในการเรียน’ นั่นเองค่ะ

ไม่ใช่วัยทำงานก็หมดไฟได้! มารู้จัก ‘Academic Burnout’ หรือ ‘ภาวะหมดไฟในการเรียน’  

ภาวะหมดไฟในการเรียน อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากนักในสังคมปัจจุบัน ทำให้อาจมีผู้เรียนที่กำลังเป็นภาวะนี้และไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เพราะงั้นวันนี้พี่ไหมจึงอยากพาน้อง ๆ มาทำความรู้จักกับภาวะหมดไฟในการเรียน ลักษณะอาการ พร้อมวิธีการแก้เบื้องต้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันเลย~

‘Academic Burnout’ หรือ 'ภาวะหมดไฟในการเรียน'      

คือ อาการในแง่ลบทั้งทางอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจต่อการเรียนเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเครียด ความกดดัน และความเหนื่อยล้า  ส่งผลกระทบกับผู้เรียนได้แทบจะทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะนักเรียนหรือนักศึกษา ตั้งแต่ทางสภาพจิตใจ การทำงาน  ไปจนถึงผลการเรียน 

แม้ว่าจะมีวิจัยเชิงวิชาการในการค้นคว้าเกี่ยวกับประเด็นนี้ไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเจอภาวะนี้ในกลุ่มผู้เรียนอ้างอิงจากงานวิจัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน เมื่อเชื่อมโยงกับระบบการศึกษาที่มีการแข่งขันตลอดเวลา ไหนจะการสอบที่ต้องเตรียมตัว ตามด้วยภาระงานที่หนักหนา นั่นทำให้เกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ความกดดัน ความเหนื่อยล้าสะสมจากการแข่งขันที่สูง ยังไม่นับปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่อาจส่งผลแง่ลบแก่ผู้เรียนที่นำมาสู่การหมดไฟได้ เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่าอาการเบื้องต้นของภาวะหมดไฟในการเรียนมีอะไรบ้าง

อาการเบื้องต้น

  • รู้สึกหมดแรงไม่ว่าจะนอนมากแค่ไหน ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและนอนไม่หลับ
  • ขาดแรงจูงใจในการเรียน หรือการทำงานที่ได้รับมอบหมาย
  • มีอาการหงุดหงิด
  • ขาดแรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสันในการทำงานในชั้นเรียน
  • สูญเสียความมั่นใจในการทำงาน
  • ไม่สามารถทำงานตามกำหนดการได้
  • ความถี่ของการเจ็บป่วยมากขึ้นจากความเครียด ความอ่อนล้า

 เมื่อเรารู้อาการเบื้องต้นเป็นยังไงแล้ว ต่อมาจะเป็นโครงสร้างของภาวะหมดไฟในการเรียน โดยจะมีโครงสร้างแบ่งออกเป็น 3 มิติ ดังนี้

  • ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ เช่น การถูกบังคับให้ต้องเรียน ทำในสิ่งที่เกินกำลังจะทำได้เป็นระยะเวลานาน ส่งผลต่อความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจ เป็นด้านที่แสดงออกทางอารมณ์ ทำให้บางครั้งอาจหมดแรงจูงใจในเกี่ยวกับการเรียน
  • การเมินเฉยต่อการเรียน เช่น การเพิกเฉยต่อผลการเรียนของตัวเอง หมดความสนใจต่องานที่ได้รับมอบหมาย ขาดความกระตือรือร้นเกี่ยวกับการเรียน เป็นด้านที่แสดงออกทางความคิด
  • การรับรู้ว่าตนเองไร้ความสามารถ เช่น ผู้เรียนรู้สึกเชิงลบว่าตัวเองไร้ความสามารถ และมีความสามารถในการเรียนน้อยลง ไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ ด้านนี้เองก็เป็นอีกด้านที่แสดงออกทางความคิด

หลังจากที่เราทราบถึงอาการเบื้องต้น และโครงสร้างแต่ละมิติแล้ว เพื่อที่จะรับมือกับภาวะนี้ ต่อไปก็จะเป็นวิธีการแก้เบื้องต้นนั่นเองค่ะ

วิธีการแก้เบื้องต้น

  • หาเวลาในการทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น หาเวลาพักผ่อนภายในสัปดาห์ ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำสิ่งอื่นต่อไป
  • ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ ดื่มน้ำ ทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • ออกไปสูดอากาศข้างนอก การใช้เวลากับธรรมชาติสามารถลดความเครียดได้
  • มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาจารย์ และเพื่อนร่วมชั้น เมื่อเรามีความสุขกับการเรียน ก็จะไม่ค่อยเกิดอาการหมดไฟ
  • ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล เป็นการสร้างแรงจูงใจ เพราะเป้าหมายที่ยากเกินไป เราเองจะท้อก่อนประสบความสำเร็จ
  • หลีกเลี่ยงการผัดวันประกันพรุ่ง การผัดผ่อนงานอาจช่วยให้รู้สึกดีในเวลาอันสั้น สุดท้ายแล้วก็จะส่งผลให้เราต้องเร่งทำงานจนอดนอน เกิดความหงุดหงิด และมีความเครียดเพิ่มขึ้น
  • การถอยกลับ คือการลองมองย้อนกลับมาว่าสิ่งที่เรากำลังเรียน กำลังทำ เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่เส้นทางที่เราชอบหรือไม่ จะมีวิธีอื่นอีกหรือเปล่านะที่จะพาเราไปสู่เป้าหมาย
ขอขอบคุณข้อมูลจากhttps://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6852272/https://he01.tci-thaijo.org/index.php/muhed/article/view/263371https://online.uga.edu/news/how-combat-academic-burnout/

 

และนี่ก็คือ ‘Academic Burnout’ หรือ ‘ภาวะหมดไฟในการเรียน’ น้อง ๆ อย่าลืมหมั่นสังเกตตัวเองเมื่อเกิดความรู้สึกข้างต้นเพื่อที่จะหาวิธีแก้ไขให้ทันท่วงทีนะคะ ถึงแม้ภาวะหมดไฟจะดูน่ากลัวแต่ถ้าเราหมั่นสังเกตตัวเอง เท่าทันอารมณ์ความรู้สึก ก็จะส่งผลดีต่อตัวเราอย่างแน่นอนค่ะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับน้อง ๆ วัยเรียนทุกคนนะคะ  

พี่ไหม
พี่ไหม - Columnist เด็กสาวผู้รักชิวาว่า ที่พยายามจะเข้าใจระบบ Tcas ที่เปลี่ยนไปทุกปี เหมือนตัวฉันที่เปลี่ยนไปในทุกวัน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด