แชร์ประสบการณ์ ‘เด็กซิ่ว’ นับหนึ่งใหม่จนถึงวันที่ติดคณะในฝัน
สวัสดีค่ะทุกคน พี่ไหมเองค่ะ (´ `) ช่วงนี้มีนิยามใหม่สำหรับเด็กซิ่วอย่าง DEK68 + 1 ใช่ไหมคะ เป็นนิยามที่เจ๋งมากเลย เอาล่ะ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า น้อง ๆ คงพอจะเดาออกจากชื่อเรื่องแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องอะไร
วันนี้พี่ไหม DEK64 + 1 จะมาขอแชร์ประสบการณ์ซิ่ว ว่ากว่าจะรู้ใจตัวเองเนี่ย มีวิธีค้นหาตัวเองยังไงบ้าง วิธีการเตรียมตัว และเส้นทางระหว่างซิ่วของพี่จะเป็นยังไง มาติดตามกันได้เลยค่ะ
แชร์ประสบการณ์ ‘เด็กซิ่ว’ นับหนึ่งใหม่จนถึงวันที่ติดคณะในฝัน
แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะทำใจในช่วงแรกสำหรับการตัดสินใจซิ่ว เพราะด้วยเวลาที่ใช้ระหว่างซิ่วนั้นก็ทั้งดูสั้นและยาวในขณะเดียวกัน ที่ว่าสั้นก็คือเวลาเตรียมตัว ที่ว่ายาวก็คือเวลาที่ต้องรอลุ้นว่าเราจะติดคณะที่หวังเอาไว้หรือเปล่า บางครั้งน้อง ๆ อาจรู้สึกหวั่นไหวกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ พี่เข้าใจช่วงเวลานั้นเป็นอย่างดี และเชื่อว่าพวกเราทุกคนจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอนค่ะ
เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้พวกเรา พี่เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ซิ่วของตัวเอง จากเด็กสาวคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สู่คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ คณะเปิดใหม่จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมคะ จากเด็กสายวิทย์ผันเปลี่ยนไปเป็นเด็กสายสังคม การเดินทางในครั้งนี้ของพี่จะเป็นยังไง มาดูได้ใน 4 STEPS นับหนึ่งจนถึงฝันกันเลย~
“ติดแล้วแต่ทำไมเลือกที่จะซิ่ว?”
ก่อนอื่นก็ต้องขอเล่าคร่าว ๆ เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของการซิ่วซะก่อน ในตอนแรก ตัวพี่เองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่ด้วยความที่เรียนสายวิทย์-คณิตมาตอนมัธยมปลายจึงอยากเรียนในสิ่งที่เชื่อมโยงกัน ในปีแรกพี่ยื่นคณะสายวิทย์ไปและสอบติด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ความชอบของตัวเอง ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดทำให้พี่มีเวลาในการทำอะไรต่าง ๆ มากมาย ท้ายที่สุดจึงรู้ว่าคณะนี้อาจไม่ใช่เส้นทางที่ตัวเองชอบนั่นเองค่ะ
ถึงแม้ตอนนี้น้อง ๆ บางคนอาจยังไม่ได้คำตอบว่าตัวเองชอบอะไร ก็ไม่ต้องนึกเศร้าใจไปนะคะ เพราะบริบทของสังคมก็ไม่เอื้อให้เรียนรู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเราชอบอะไรขนาดนั้น การค้นหาตัวเองสำหรับบางคนก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา อาจเป็นเดือน หรือปี ไม่ต้องรีบกดดันตัวเองไปนะคะ ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วเราอาจจะไม่รู้ว่าจริง ๆ เราชอบอะไร แต่อย่างน้อยลองหาสิ่งที่ใกล้เคียงกับตัวตนของเราก่อนก็ได้นะ เพราะแบบนั้นขั้นตอนแรกที่พี่อยากจะแนะนำจะมีดังนี้
STEP 1 ค้นหาตัวเอง
การค้นหาตัวเองมีวิธีที่หลากหลาย บางวิธีก็ใช้ได้ดีกับคนบางกลุ่ม กับคนบางกลุ่มก็อาจจะไม่ได้ผลเลย ซึ่งสิ่งที่พี่ทำเพื่อค้นหาคือการย้อนกลับมามองตัวเอง ไม่ว่าจะการถกถามหรือลองสังเกต เช่น
- วิชาไหนในตอนเรียนที่เราทำได้ดี?
- ทบทวนสกิลที่เรามีติดตัวไม่ว่าจะการฟัง พูด อ่าน เขียน ฯลฯ
- วิชาที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ
- เรามีความสุขที่จะเรียนวิชาไหน?
- เวลาว่างเราชอบทำอะไร?
- เราสามารถเรียนอะไรที่สอดคล้องกับงานอดิเรกได้บ้าง? ยกตัวอย่าง ถ้าเราชอบไปดูคอนเสิร์ต เราจะเรียนอะไรได้บ้างที่จะทำให้เราได้ไปอยู่ในเบื้องหลัง
- เราอยากทำงานแนวไหน
- เรทเงินเดือนที่เราต้องการ
- อาชีพที่เหมาะกับเวลาพักผ่อนที่เราต้องการ เพราะบางอาชีพก็มีการเข้าเวร เป็นต้น
การกลับมามองย้อนตัวเองในหลาย ๆ ด้านจะช่วยให้เราหาคำตอบได้ แม้อาจไม่ได้ทำให้เห็นถึงตัวตนของตัวเองทันทีในระยะเวลาอันสั้น แต่อย่างน้อยน้อง ๆ จะเห็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับตัวตน จะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น และสามารถตัดความน่าจะเป็นในการเลือกคณะที่เราจะเข้าเรียนได้ ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็ทำให้พี่ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองนั้นชอบอะไร เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนในการเลือกคณะ หรือก็คือการเลือกเส้นทางที่จะทำให้เรารู้ว่าเราจะไปต่อในทิศทางไหนกันค่ะ
STEP 2 เลือกเส้นทาง
หลังจากเราได้คำตอบจากการค้นหาตัวเองแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะหาเส้นทางให้ตัวเอง คือการเบนเข็มเข้าสู่สาขาวิชาที่เข้ากับตัวตนของเรานั่นเอง วิธีที่พี่ใช้ไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นคือการใช้อินเตอร์เนตในมือให้เกิดประโยชน์ ด้วยการนำตัวตนของเราไปสืบค้นลงบนอินเตอร์เน็ต เช่น
- ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบภาษา ก็สืบค้นว่า “หากชอบภาษาจะเรียนคณะไหนได้บ้าง?”
- ถ้าชอบออกแบบจะสามารถเรียนคณะไหนได้บ้าง?
- ถ้าอยากรับราชการสามารถเรียนคณะไหนได้บ้าง?
- อยากทำเพลงเราจะเรียนคณะไหนที่จะช่วยให้เรามีความรู้ด้านนี้ได้บ้าง?
หลังจากลองค้นหา ก็ลองนำรายชื่อคณะมาเปรียบเทียบ อ่านข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจการเรียนการสอน หรือดูคลิปวิดีโอแนะนำคณะ เพื่อที่จะหาคณะที่ตรงกับความต้องการของเรานั่นเองค่ะ การค้นหาแบบนี้บางทีก็ทำให้เราได้เห็นรายชื่อบางคณะที่เราอาจพึ่งจะเคยได้ยินชื่อมันเป็นครั้งแรก และท้ายที่สุดเราอาจจะได้กลายเป็นนักศึกษาคณะนี้ก็ได้ อย่างในกรณีของพี่ที่ไม่เคยได้ยินชื่อคณะนี้มาก่อน ลองสืบค้นดูก็รู้สึกว่าตรงกับสิ่งที่ตัวเองสนใจ พอเราได้คณะที่เราสนใจแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดจะอยู่ในขั้นที่ 3 มาลองดูกันค่ะ
STEP 3 ตรวจสอบข้อมูลและคุณสมบัติ
อย่างที่รู้กันว่าเราเป็นเด็กซิ่ว ในบางรอบ บางโครงการ หรือบางคณะ อาจไม่ได้เปิดโอกาสให้เรายื่นด้วยหลากหลายปัจจัย ซึ่งความสำคัญในรอบนี้คือการตรวจสอบข้อมูลของคณะ สาขาและโครงการถึงสิ่งที่จะต้องใช้ และคุณสมบัติให้ถี่ถ้วน ด้วยการติดตามประกาศที่จะออกจากมหาวิทยาลัยในแต่ละปี ควรยึดข้อมูลปีที่สอบเข้าเป็นหลัก แต่ถ้าข้อมูลยังไม่ประกาศออกมา สามารถดูกำหนดการจากปีที่แล้วได้แต่ควรดูเป็นแนวทางเท่านั้น ป้องกันการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้
***อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ชัด ขั้นตอนนี้พี่ขอเน้นย้ำเพื่อไม่ให้น้อง ๆ เกิดการเข้าใจผิดที่จะส่งผลให้เราเสียเวลา และเมื่อมารู้ในวันที่สายก็จะทำให้เราเสียใจอีกด้วย ทางที่ดีคือโหลดประกาศออกมาขีดไฮไลท์เน้นย้ำข้อความ เพื่อไม่ให้ตกหล่นก็ได้นะ
เมื่อเราตรวจสอบข้อมูล และเช็กคุณสมบัติอย่างถี่ถ้วนว่าตรงกับเราเรียบร้อยแล้วก็มาสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ นั่นก็คือการเตรียมความพร้อม!
STEP 4 เตรียมความพร้อม
ขั้นตอนสุดท้ายเมื่อเรามีคณะที่สนใจ มีข้อมูลในมือ พร้อมคุณสมบัติที่ตรวจสอบครบถ้วน เราก็สามารถวางแผนเตรียมความพร้อมตามรอบที่แต่ละคณะเปิดรับได้เลย หากต้องการเข้ารอบ 1 Portfolio ที่จะต้องใช้ผลงานเราก็เตรียมผลงานเพิ่มเติม หากเป็นรอบที่ใช้คะแนนสอบไม่ว่าจะวิชาเฉพาะ ภาษต่างประเทศหรือ TGAT/TPAT, A-Level ก็จัดตารางการอ่าน เก็บเนื้อหาแบ่งสรรเวลาให้ดี หมั่นทำข้อสอบพร้อมจับเวลา วางแผนในการยื่นแต่ละรอบให้ดี โดยอาจจะนำสัดส่วนการรับในแต่ละรอบมาคำนวน หรือตามความมั่นใจของน้อง ๆ เลยค่ะ
ตัวอย่างการเตรียมความพร้อมของพี่ คณะที่พี่สนใจจะเปิดรับรอบที่ 1 จำนวนมากที่สุด พี่จึงมุ่งเน้นไปทางการทำพอร์ต และสมัครสอบวิชาที่ต้องใช้ในรอบที่ 3 เตรียมเอาไว้ด้วยค่ะ
ยังไงก็ตามน้อง ๆ อย่าลืมที่จะวางแผนสำรองกันด้วยนะ การมีแผนสำรองไม่ได้หมายความว่าเราจะทำตามแผนแรกไม่ได้ แต่มันมีไว้เพื่อป้องกันความน่าจะเป็นที่อาจเกิดขึ้นนั่นเอง เพราะเมื่อเรามีแผนรับมือกับมันเราจะก้าวต่อไปได้ไวแน่นอนค่ะ
เป็นยังไงบ้างคะ ประสบการณ์จาก DEK64 + 1 ที่ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่น้อง ๆ ก็ยังสามารถนำขั้นตอนเหล่านี้มาเป็นแนวทางในการเตรียมตัวได้นะคะ สิ่งที่พี่อยากเน้นย้ำมากที่สุดคงจะเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติให้ถี่ถ้วน เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง และเพื่อความรอบคอบในการวางแผนเตรียมตัวค่ะ สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง พี่ก็เชื่อว่ามันคือการแสดงออกที่เต็มที่ที่สุดแล้วในแบบของพวกเราทุกคน อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ พี่เป็นกำลังใจให้พวกเราทุกคนค่ะ^^
0 ความคิดเห็น