มารู้จัก “พี่นจา” เด็กเอกไทย กับเคล็ดไม่ลับในการทำพอร์ตจนติดอักษรฯ จุฬาฯ

สวัสดีค่ะ (• ֊ •) ไม่ว่าจะ DEK69 ที่กำลังเฟ้นหาคณะในฝัน หรือน้อง ๆ ที่มีความสนใจคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันนี้จะชวนน้องๆ มารู้จักรุ่นพี่นิสิตใต้รั้วจามจุรี มาดูกันว่าจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สู่คณะในฝันอักษรศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย จะมีเส้นทางอย่างไรบ้างนะ!? 

มารู้จัก “พี่นจา” เด็กเอกไทย กับเคล็ดไม่ลับในการทำพอร์ต จนติดอักษรฯ จุฬาฯ 

เชื่อว่าน้อง ๆ หลายคนอาจจะกำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวและต้องการแนวทางสู่คณะในฝัน วันนี้พี่ไหมเลยชวนพี่นจา นิสิตจากคณะอักษรศาสตร์ตัวจริงเสียงจริง มาจับเข่าสัมภาษณ์พูดคุยกันสักหน่อย เผื่อว่าจะเป็นแนวทางให้กับน้อง ๆ นำไปปรับใช้กับแพลนสู่คณะในฝันของตัวเอง ถ้าพร้อมแล้ว มาติดตามบทสัมภาษณ์จากพี่นจากันเลย

สวัสดีค่ะ วันนี้เราก็มาอยู่กับพี่นจา พอจะแนะนำตัวคร่าว ๆ ให้พวกเรารู้จักได้ไหมคะ         

นจา : สวัสดีค่า ชื่อนจานะคะ (อ่านว่านะ-จา) ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ปี 4 เอกภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นนิสิตฝึกงานตำแหน่ง Web Content ทีม Writer ของ Dek D ด้วยค่า 

 

ได้ยินว่านจากำลังเรียนอยู่ คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย เลยอยากรู้ว่าเข้ามาในรอบไหนหรอคะ

นจา : เราเป็นเด็ก 65 ที่เข้ามาด้วยรอบพอร์ตโฟลิโอค่ะ เข้ามาในโครงการส่งเสริมพัฒนาสมรรถนะนิสิตด้านศิลปะระดับชาติ นานาชาติค่ะ จริง ๆ โครงการนี้รับนิสิตเข้าเรียน 3 คณะค่ะ มีครุศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาตร์แล้วก็อักษรศาสตร์ ซึ่งโครงการนี้ของอักษรฯ จะบังคับเรียนเอกภาษาไทยเลยค่ะ ขอแอบขายโครงการนิดนึงว่าเป็นทุนเรียนฟรีและมีเงินเดือนด้วยน้า แอบได้ยินมาว่าพี่ไหมทำบทความเรื่องโครงการนี้ไว้ด้วย ไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมกันได้นะคะ เผื่อมีใครสนใจ ><

ถ้าหากน้อง ๆ คนไหนสนใจรายละเอียดของโครงการส่งเสริมพัฒนาสมรรถนะนิสิตด้านศิลปะระดับชาติ นานาชาติ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> ใครอยากเข้าจุฬาฯ พร้อมได้ทุน มาทำความรู้จัก “โครงการส่งเสริมพัฒนาสมรรถนะนิสิตทางด้านศิลปะฯ” กันเถอะ

 

ในตอนนั้นนจามีวิธีการเตรียมตัวยังไงสำหรับเข้าโครงการ/รอบนี้ พอจะแนะนำเป็นแนวทางน้อง ๆ ที่สนใจได้ไหมคะ

นจา : อย่างแรกที่เราเริ่มทำก็คือทำความเข้าใจเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการค่ะ ว่าเขาต้องการผลงานแบบไหนบ้าง เกรดเฉลี่ยเราต้องได้เท่าไหร่ ต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษมั้ย 

พอเข้าใจเรื่องแล้วปุ๊ป เราก็เริ่มสะสมผลงานเพื่อใส่ในพอร์ตค่ะ จริง ๆ เรารู้จักกับโครงการนี้ตอน ม.5 ซึ่งเราสนใจเอกภาษาไทย คณะอักษรฯ ใช่มั้ยคะ เราก็จะไปหาคุณครูภาษาไทยแล้วบอกว่าหนูอยากเข้าโครงการนี้ถ้ามีงานแข่งหรืองานประกวดที่เป็นระดับชาติ นานาชาติ ตามเกณฑ์ของโครงการรบกวนคุณครูช่วยบอกหนูด้วยนะคะ รวมถึงหากิจกรรมเองด้วยย 

ส่วนตัวเรามีความถนัดเรื่องการเขียนก็จะเสิร์ชเลยว่ามีกิจกรรมประกวดงานเขียนที่ไหนบ้าง โดยเว็บที่เราใช้หากิจกรรมบ่อย ๆ จะเป็นเว็บนี้เลย http://contestwar.com/ อันนี้เขาจะแบ่งประเภทการประกวดไว้ดีมาก ๆ เราก็จะไปเช็กว่าประกวดงานเขียนมีอะไรที่เข้าเกณฑ์ของพอร์ตบ้าง จากนั้นก็ลุยทำเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ตลอด ๆ ช่วงม. 5-ม. 6 ถึงจะไม่ได้ชนะเลิศหรือได้เกียรติบัตรทุกกิจกรรม แต่สิ่งสำคัญที่เราได้ก็คือประสบการณ์ทำให้เรากิจกรรมต่อ ๆ ไป เราก็รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองค่ะ 

ส่วนกิจกรรมที่เราได้รับเกียรติบัตรซึ่งเข้าเกณฑ์ของโครงการคือแข่งขันตอบปัญหาวิชาการในงานวันกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทั้งตอนเตรียมตัวและตอนแข่งจริงสนุกและเอนจอยมาก ๆ เหมือนได้ทวนความรู้ภาษาไทยทั้งชีวิตที่เรียนมา แถมบางอย่างก็ได้เรียนเจาะลึกเป็นพิเศษ อย่างวรรณคดีของกรมพระฯ และความรู้เรื่องวัดโพธิ์ค่ะ บอกเลยว่าเป็นกิจกรรมที่เราภูมิใจที่ได้เข้าร่วมสุด ๆ 

นอกจากผลงานแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญมากเหมือนกันในรอบพอร์ตคือเกรดนั่นเอง มีผลงานแน่นแล้ว เกรดก็ห้ามตกด้วยนะคะ ไม่งั้นเราจะไม่ผ่านเกณฑ์การสมัคร ตอนนั้นเราเช็กเกรดตัวเองและลองคำนวณแล้วว่าอีก 4 เทอมถ้าแต่ละเทอมเราได้ไม่ต่ำกว่า 3.5 gpax ก็จะไม่ต่ำกว่าเกณฑ์และสามารถสมัครเข้าโครงการได้ เราก็เลยปั้นเกรดไปตามนั้นด้วยการตั้งใจเรียนในห้อง ทวนก่อนสอบ ส่งงานครบ ไม่ขาดเรียนเกินจำเป็นค่ะ

อีกอย่างที่ต้องนำไปใส่ในพอร์ตก็คือ การสอบภาษาอังกฤษ ของเราเลือกสอบเป็น CU-TEP เพราะมีรอบสอบเยอะ ราคาเป็นมิตรกับวัยเรียนแบบเรา ก่อนสอบก็เตรียมตัวอย่างหนักเลยค่ะ ตอนนั้นแทบจะคิดเป็นภาษาอังกฤษเลยเพราะฟังพอดคาสต์ภาษาอังกฤษของ BBC เกือบทุกรายการทั้งวัน ท่องศัพท์เช้าเย็น ทำแบบฝึกหัดอยู่ตลอด คะแนนก็เลยผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่สอบเลยค่ะ

พอเรามีทุกอย่างที่โครงการต้องการเรียบร้อยแล้ว ก็เอาน้องมาประกอบร่างรวมกันเป็นพอร์ต จริง ๆ ขั้นตอนนี้เหมือนจะใช้เวลาไม่นานแต่ต้องใช้ความรอบคอบสูงมากเลยนะคะ เราต้องตรวจคำผิด ตรวจเลขหน้า การจัดวางต่าง ๆ ให้เป๊ะที่สุด ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่าควรเริ่มขึ้นโครงหรือเทมเพลตไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงแบ่งเวลาในการทำให้ดีและอย่าลืมเผื่อเวลาแก้ไขกับเวลาสั่งปริ้นท์ด้วย เพราะไม่งั้นอาจจะทำไม่ทันหรือส่งไม่ทันได้

การเตรียมตัวรอบพอร์ตของเราก็จะประมาณนี้เลยค่า สิ่งสำคัญคือต้องดูเงื่อนไขของคณะ โครงการหรือมหาลัยให้ดีว่าเขาต้องการอะไรจากเราบ้างและเราผ่านเกณฑ์มั้ย ผ่านเกณฑ์แล้วมีโจทย์อะไรที่ต้องทำเพิ่มอีกบ้าง จากนั้นก็เริ่มลุยเลยค่า

ป.ล. เราไม่ได้ลงดีเทลเรื่องเกณฑ์และรายละเอียดต่าง ๆ เพราะแต่ละปีจะต้องคอยอัปเดตเสมอนะคะ สามารถติดตามจากประกาศของทางจุฬาฯ ได้เลย~

ทีนี้อยากรู้ว่าเพราะอะไรนจาถึงเรียนคณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทยหรอคะ พอจะเล่าได้มั้ย

นจา : สืบเนื่องจากว่าตอนแรกเรามีไอเดียแบบกว้าง ๆ อยากเข้าคณะสายภาษา อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ค่ะ ซึ่งตอน ม.ปลายเราเรียนศิลป์ภาษาญี่ปุ่นก็คิดว่าเออ เราคงเข้าเอกญี่ปุ่นแหละ เลยลองไปสอบพวกวิชาที่ต้องใช้สอบเข้ากับเด็กดีพรีแอดฯ ดูตอน ม.5 ปรากฏว่าช่วงเตรียมกับตอนสอบเรารู้สึกว่าตัวเองซัฟเฟอร์มาก คือพออ่านหนังสือแล้วไปทำข้อสอบภาษาญี่ปุ่นก็พอทำได้บ้าง แต่ช่วงเตรียมตัวรู้สึกทรมานมาก แบบตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะทำสิ่งนี้ต่อไปได้มั้ย ต้องอยู่กับสิ่งนี้ไปอีกปีนึงเลยนะ ก็เลยลองมานั่งลิสต์ว่าระหว่างที่เราเตรียมตัวสอบเข้า มีวิชาไหนที่เรารู้สึกว่าเราเอนจอยบ้าง คำตอบที่ได้คือวิชาภาษาไทย เป็นวิชาที่เรายิ่งทำยิ่งสนุก รู้สึกว้าวทุกครั้งที่ได้อ่านคำอธิบายเฉลย และเรียนอะไรใหม่ ๆ ตอนนั้นก็เลยคิดว่า เราเปลี่ยนโกลเป็นเอกภาษาไทยดีกว่า น่าจะทำให้เราเอนจอยได้มากกว่า

จากนั้นเราก็ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมว่าเอกภาษาไทยแต่ละหลักสูตรเป็นยังไง ต้องเรียนวิชาอะไรบ้าง เรียนวิชาโทอะไรได้บ้าง ตอนนั้นเราชอบหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ที่สุด แล้วพอเสิร์ชเยอะเข้าเลยได้เห็นว่ามีโครงการส่งเสริมพัฒนาฯ ที่รับตรงเข้าเอกภาษาไทย จากนั้นก็เลยเริ่มเตรียมตัวเพื่อเข้าโครงการนี้มาตั้งแต่ม.5 เลยค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น เรารู้สึกว่าถ้าเราเตรียมตัวสำหรับเอกภาษาไทยอย่างเดียวแอบไม่เซฟ ก็เลยมีโกลสำรองด้วย ตอนนั้นเรามีงานอดิเรกเป็นการอ่านวรรณกรรมค่ะ พออ่านหนังสือสอบเสร็จเราก็จะหยิบหนังสืออื่นมาอ่านต่อเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ตอนนั้นก็เลยคิดว่าอยากจะเรียนเกี่ยวกับวรรณกรรมด้วย อยากรู้อยากเข้าใจวิธีการเขียน การวิเคราะห์วรรณกรรมมาก ๆ ตอนนั้นก็เลยสนใจสาขาวรรณกรรมสำหรับเด็กของมนุษยศาสตร์ มศวด้วย เป็นอีกหนึ่งโกลที่เตรียมตัวคู่กันไปค่ะ

อยากบอกว่ามันดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน แต่เราก็เชื่อว่าน้อง ๆ ม.ปลายหลายคนน่าจะเจอการเปลี่ยนแพลนหรือเป้าหมายในลักษณะประมาณนี้เหมือนกัน เพราะงั้นก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนเลยนะคะ ช่วงแรกที่รู้ตัวอาจจะรู้สึกช็อกและทำอะไรไม่ถูกนิดนึงแต่เราเชื่อว่าทุกคนจะผ่านไปได้แน่นอนค่ะ

แบบนี้นี่เอง พอเข้ามาเรียนแล้วเหมือนที่คิดเอาไว้บ้างมั้ย หรือมีอะไรที่ประทับใจหรือเปล่า

นจา : ขอสารภาพตามตรงเลยนะคะ จำไม่ได้แล้วว่าก่อนเข้ามามีภาพในหัวยังไงT___T แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกว่าสิ่งที่คิดกับความเป็นจริงต่างกันเท่าไหร่ ส่วนตัวเรารู้สึกว่าบรรยากาศการเรียนในคณะสนุกมากกกก หลายวิชาคือเปิดโลกเรา อาจารย์น่ารักแล้วก็ชอบฟังความเห็นของนิสิตมาก ๆ ส่วนเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันถามช่วยกันตอบอยู่ตลอด เราจะได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ หรือมุมมองที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอเลยค่ะ 

ช่วงแรกจะมีความกดดัน ปรับตัวกับการเรียนแบบมหาลัยไม่ได้บ้าง แต่เราว่าเพื่อน ๆ ที่เราเจอน่ารักกันทุกคนเลยค่ะ ช่วยกันเรียนช่วยกันติวสอบ บางคนก็แชร์สรุปจากรุ่นพี่ให้ จนตอนนี้ปี 4 แล้วก็ยังมีแชตกับเพื่อนในเอกประมาณว่า “ติววิชานี้กัน” อยู่ตลอดเลยค่ะ อยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้คือเพื่อนช่วยไว้จริง5555555

แล้วก็ความประทับใจอื่น ๆ อันนี้ก็ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวแล้วกันค่ะว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่มเราจะมีเรื่องที่แต่ละคนเนิร์ดมาก ๆ อย่างคนนึงชอบปรัชญามาก เดินด้วยกันอยู่ดี ๆ เขาก็จะหันมาถามคำถามปรัชญา วันนึงเขาถามว่า ทำไมเด็กทารกถึงต้องโดนแปะป้ายว่าบริสุทธิ์ มันเป็นเพราะเด็กบริสุทธิ์ด้วยตัวเองหรือผู้ใหญ่ให้คำนิยาม แล้วสุดท้ายคำว่าบริสุทธิ์มีความหมายว่ายังไง บริสุทธิ์แบบคำเรียกจริง ๆ ไหม หรือเพื่อนอีกคนชอบวัฒนธรรมมาก ๆ เขาชวนเราไปดูนิทรรศการภาพพิมพ์มหาภารตะและรามายณะ แล้วก็ยืนวิเคราะห์ภาพกันอยู่เป็นชั่วโมงต่อด้วยไปเดินแถวพาหุรัดซึมซับบรรยากาศวันนั้นเป็นอีกวันที่รู้สึกแบบ “ว้าว เพื่อนเรานี่ passionate จัง” อะไรประมาณนี้ค่ะ

ทุกคนในอักษรต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง น่าสนใจมากเลย แล้วพี่นจามีวิธียังไงในการเฟ้นหาคณะในฝันคะ

นจา : ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนเริ่มต้นเร็วค่ะ คือเป็นเด็กที่ไป Open house ของมหาลัยตั้งแต่ ม.2 ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเรามีคณะในฝันเร็ว พอขึ้นม.ปลายก็จะวางแผนได้เร็ว เตรียมตัวได้เร็ว คือตอนนั้นเหมือนเรากำลังเครียดว่ามีเวลาเตรียมตัวสอบเข้า ม.ปลายอีกแค่ปีเดียว จะเข้าที่ไหน จะเรียนสายอะไร ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เออ เราน่าจะลองหาคณะที่อยากเรียนมั้ย จะได้เลือกสายถูก ผลปรากฏว่าไปมา 3-4 Open house เราไม่อินกับคณะสายวิทย์เลย รู้สึกว่ายังไม่ใช่ทาง ฟังที่พี่ ๆ พูดแล้วเรารู้สึกว่าไม่ใช่แพสชั่นที่เรามีตอนนี้ ก็เลยตัดสินใจจะเรียนสายศิลป์ภาษาค่ะ

พอเรียน ม.ปลายเรียนสายภาษา เราก็เริ่มลองลิสต์สิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบค่ะ ทำเหมือนเช็กลิสต์คือ เอาวิชาที่เรียนมานั่งติ้กว่าชอบวิชาไหนบ้าง สรุปคือเราชอบวิชาภาษา ทั้งไทย อังกฤษ ญี่ปุ่นแล้วก็วิชาสังคม แต่ถ้าเรารู้สึกว่าถ้าต้องเลือกเรียนจริง ๆ ก็ชอบวิชาสายภาษามากกว่าเพราะเป็นวิชาที่ทำได้ดีและเอนจอยตอนเรียน ก็เลยคิดว่าเราน่าจะเหมาะกับคณะอักษร-มนุษย์-ศิลปศาสตร์มากกว่าคณะสายสังคม

จากนั้นเราก็ลองหาอ่านหาดูชีวิตคนที่เรียนคณะนี้ว่าเขาเตรียมตัวยังไง ต้องสอบวิชาอะไรบ้าง จนถึงขั้นว่าถ้าสอบเข้าไปได้แล้วต้องเรียนต้องเรียนอะไร บรรยากาศคณะเป็นประมาณไหน ตอนนั้นเราดู vlog ในยูทูบ อ่านบทความ อ่านกระทู้ รวมถึงอ่านหนังสือกว่าจะจบอักษรฯ ของ Dek-D ด้วย คือช่วยได้เยอะมากกกก เพราะทำให้ได้รู้จักคณะและสาขาใหม่ ๆ เยอะเลย อย่างตอนแรกเราคิดว่าเราคงตั้งใจจะสอบเข้าเอกภาษาสักภาษาหนึ่ง อาจจะญี่ปุ่นเพราะตอน ม.ปลายเรียนภาษานี้ หรือไม่ก็คงเอกอังกฤษ หรือเอกไทย จนพอได้อ่านเล่มนี้ (ของเราฉบับปี 63 แอบเขินนิดนึง มันก็ผ่านมานานแล้ว ><) ทำให้รู้จักสาขาอื่น ๆ อีกเยอะเลย แถมยังได้รู้จักสาขาสาขาวรรณกรรมสำหรับเด็กของมนุษยศาสตร์ มศว ที่กลายมาเป็นอีกโกลของเราเลย

สรุปจากทั้งหมดที่พูดมา วิธีของเราก็คือเริ่มที่การมองหาความชอบความไม่ชอบของตัวเอง จะสังเกตว่าเราไม่ได้เอาอาชีพในอนาคตมาตั้งแล้วเลือกเรียน แต่เราจะเน้นความชอบเรียนชอบทำมากกว่า เพราะส่วนตัวเรามองว่าถ้าเราได้อยู่กับสิ่งที่เอนจอยเราก็จะทำสิ่งนั้นได้ดีและก็คงจะพาเราไปหาลู่ทางในอนาคตได้ค่ะ หลังจากที่เรารู้ตัวแล้วว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรก็เลือกสิ่งที่เข้ากับตัวเรา เริ่มจากกว้างไปแคบ อาจจะเป็นคณะ สาขา แล้วค่อยเจาะจงไปที่หลักสูตรของมหาวิทยาลัยค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่เป็นประสบการณ์ส่วนของเรา ซึ่งเราคิดว่าหลายคนอาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ อีกเยอะเลยในการค้นหาหรือเลือกคณะในฝันด้วย เพราะงั้นอาจจะใช้วิธีเดียวกับเราแบบ 100% ไม่ได้ แต่อาจจะลองเอาไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังค้นหาสิ่งที่ใช่ค่า

อยากรู้ว่าตอนเรียนนจามีวิชาที่ชอบมั้ย อยากจะขายวิชาอะไรที่เรารู้สึกว่าสนุกมาก ๆ หรือเปล่า

นจา : ขออนุญาตหมายเหตุตัวโต ๆ เลยว่าวิชาที่ชอบของแต่ละคนค่อนข้างขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาจจะเป็นที่เนื้อหา การเรียนการสอน บางคนชอบที่ได้ดิสคัส ตั้งคำถาม บางคนชอบวิชาที่ได้หาตัวอย่างมาคุยกับเพื่อนในคลาส ได้พรีเซนต์หรือบางคนก็ชอบวิชาที่เน้นทักษะ ได้ลองลงมือทำ 

แต่ส่วนตัวเราก็จะชอบวิชาที่ได้วิเคราะห์แบบลงรายละเอียดลึก ๆ แบบยิ่งเรียนยิ่งว้าว ซึ่งก็จะมีวิชาแบบนี้หลายตัวมากเลยค่ะ โดยเฉพาะวิชาที่เป็นอารยธรรม 

ตอนเรียนอารยธรรม เราเรียน 3 ตัวคือจะเป็น อารยธรรมตะวันออก อารยธรรมตะวันตกแล้วก็อารยธรรมไทยเป็นวิชาบังคับคณะ เราชอบทั้ง 3 ตัวเลยเพราะทุกอย่างเชื่อมโยงกันไปหมด มันดูจะเป็นคนละซีกโลก คนละพาร์ตไปหมด แต่จริง ๆ ก็มีจุดที่มาบรรจบและเชื่อมโยงกันได้ แล้วพอเราเก็ตทั้งหมดเราเหมือนบรรลุ แบบเราเข้าใจแล้วว่าทำไมโลกเป็นอย่างงี้ เพราะมันเคยมีประวัติศาสตร์แบบนี้ เป็นความรู้สึกฟีลว่าบรรลุแล้วอะค่ะ (ขำ)

ส่วนวิชาในเอกภาษาไทยเราก็ชอบหลายตัวเลยค่ะ เอาแค่วิชาบังคับของเอกก็อย่างวิวัฒนาการวรรณคดีไทยและวิวัฒนาการวรรณกรรมไทยก็เปิดโลกเรามาก ๆ แล้ว รู้สึกว้าวกับตัวบทที่อาจารย์เลือกมาให้อ่าน ได้ลองวิเคราะห์ว่าทำไมกวีหรือนักเขียนถึงเลือกใช้คำนี้ ทำไมถึงเขียนแบบนี้ ได้ลองฟังความคิดเห็นเพื่อนและอาจารย์ทำให้เราเห็นว่า เออความคิดคนเราหลากหลายมากเลยนะ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่มันมองได้เยอะมาก ๆ แถมการวิเคราะห์ยังต้องดูบริบทของยุคสมัยคู่ไปด้วย เหมือนได้เรียนประวัติศาสตร์ไปด้วยเลย บอกเลยว่าคนชอบคิด ชอบอ่านแบบเราฟินมาก ๆ

ถ้าอยากเรียนอักษร มีอะไรที่จะต้องเตรียมตัวเพิ่มเติมมั้ย พี่นจาอยากแนะนำอะไรน้อง ๆ รึเปล่า

นจา : ขอใช้ประสบการณ์ส่วนตัวแล้วกันนะคะ แบบว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะเตรียมสิ่งนี้เพิ่ม สำหรับเราคือภาษาอังกฤษค่ะ คือตอนเรียน ม.ปลายเราก็รู้สึกว่าภาษาอังกฤษก็เป็นอีกวิชาที่ถนัดนะ แต่พอเข้าปี 1 ก็แอบช็อกประมาณนึง เพราะต้องอ่านหนังสือนอกเวลา ต้องเขียน paragraph อยู่บ่อย ๆ เลยคิดว่าถ้าเราคล่องอังกฤษมากกว่านี้ อยู่ในระดับที่สื่อสารได้ดี คิดได้ไว เขียนตอบได้เร็ว ก็น่าจะเรียนได้แบบเอนจอยสุด ๆ เลยค่ะ

อีกสกิลที่คิดว่าสำคัญและควรมี คือการฝึกตอบคำถามในข้อสอบ เพราะว่าเรามีข้อสอบที่ต้องเขียนตอบยาว ๆ เยอะมากกกกก เพราะงั้นถ้าเราฝึกการเขียนตอบแบบมีโครงสร้างที่ดี เขียนเข้าใจง่าย ไม่งง มีการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายคำตอบก็จะทำให้เวลาเจอคำถามแล้วไม่แพนิค ตั้งสติแล้วเขียนตอบได้เร็วค่ะ

ส่วนเรื่องการเตรียมตัวสอบ ด้วยความที่เราเข้ารอบพอร์ตก็อาจจะแนะนำไปแล้วเรื่องการเตรียมตัวเข้ารอบพอร์ต แต่สิ่งที่เราคิดว่าสำคัญและจำเป็นต้องมีไม่ว่าจะสอบเข้าคณะไหนก็คือการแบ่งเวลาค่ะ แบบอาจจะเลือกเตรียมตัวกับวิชาที่เราไม่ถนัดมากหน่อย แต่ก็ไม่ลืมจะให้เวลากับวิชาที่ถนัดแล้วด้วย หรือก็คือการบาลานซ์ทุกอย่างให้ดีนั่นเองค่ะ

ปิดท้ายกันหน่อย พี่นจาอยากจะฝากอะไรน้อง ๆ ที่มีความสนใจในคณะอักษรศาสตร์

นจา : ลุยเลยค่ะ! พยายามให้เต็มที่กับทุกพาร์ตที่จะพาเราเข้าคณะในฝัน ถึงมันจะไม่ง่ายแต่เราเชื่อว่าถ้าได้ใส่ทุกอย่างที่มีแล้วต่อให้ผลเป็นยังไงก็จะไม่เสียใจค่ะ ขอให้ทุกคนสมหวังและได้อยู่ในที่ที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองน้า เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ

 

ก็จบไปแล้วนะคะ สำหรับการสัมภาษณ์พี่นจา หวังว่าบทสัมภาษณ์นี้จะสามารถช่วยเป็นแนวทางให้กับน้อง ๆ สู่คณะในฝันได้นะคะ อย่าลืมว่าไม่ว่าเราจะมีความฝันใดก็ตามสิ่งที่เราต้องมีเป็นอย่างแรกคือการตรวจสอบเงื่อนไข เกณฑ์ และคุณสมบัติให้ดีนะ ไม่งั้นมันอาจจะเป็นอุปสรรคของเราในการเตรียมตัวได้ พวกพี่เป็นกำลังใจให้พวกเราทุกคนค่ะ

พี่ไหม
พี่ไหม - Columnist เด็กสาวผู้รักชิวาว่า ที่พยายามจะเข้าใจระบบ Tcas ที่เปลี่ยนไปทุกปี เหมือนตัวฉันที่เปลี่ยนไปในทุกวัน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น