‘พี่ไมเคิล’ กับชีวิตเด็กทุนรัฐบาลจีน จบ ป.ตรี รัฐศาสตร์ IR ม.ปักกิ่ง (北京大学) ม.ท็อปของประเทศมหาอำนาจฝั่งเอเชีย

สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับน้องๆ ที่ใฝ่ฝันอยากเรียนต่อสาขารัฐศาสตร์ในประเทศที่มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก วันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่ไมเคิล” คนไทยที่ได้ทุนรัฐบาลจีน (CSC) เรียนฟรีจนจบ ป.ตรี สาขา International Relations ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (Peking University) มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของแดนมังกร ยิ่งไปกว่านั้นคือเด่นด้านรัฐศาสตร์มากๆ ด้วยค่ะ!

จากแรงบันดาลใจเล็กๆ ในร้านหนังสือ สู่ชีวิตเด็ก IR ที่ได้สำรวจประเด็นการเมืองโลก อยู่ท่ามกลางหัวกะทิแดนตะวันออก และเข้าใจจีนแบบอินไซต์ในแบบที่ไม่มีในตำรา อยากรู้ว่าการเรียนจะเข้มข้นแค่ไหน และเรียนรัฐศาสตร์ในประเทศมหาอำนาจฝั่งนี้จะช่วยเปิดโลกยังไงบ้าง ไปหาคำตอบกันเลย 冲啊 !

. . . . . . . .

เริ่มอิเอ้อซานตั้งแต่อนุบาล

เท้าความก่อนว่าที่บ้านผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนครับ แต่รุ่นคุณพ่อไม่ได้มีโอกาสเรียนภาษาจีน เลยอยากให้ลูกเรียนไว้เผื่อได้ใช้ในอนาคต แล้วผมก็ไปเรียนโรงเรียนสอนภาษาจีนที่อยู่ในไทย กลายเป็นได้เริ่ม “อิ เอ้อ ซาน” (一二三)  ตั้งแต่อนุบาลเลย อาจจะยังไม่คล่องตอนนั้น แต่เริ่มพัฒนาแบบชัดเจนก็ตอน ม.ปลาย ที่เข้าเรียนแผนศิลป์-จีน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

ผมว่าสภาพแวดล้อมที่ รร.เตรียมฯ มีส่วนมากเลยครับ เพื่อนแต่ละคนขยันและตั้งใจมากก จนเรารู้สึกว่าต้องทำให้ได้ไม่น้อยกว่าเขา 555 แต่เป็นสังคมที่ช่วยเหลือกันมากๆ เลยนะครับ แล้วทั้งอาจารย์ทั้งคนไทยและคนจีนก็เก่งมาก คอยติดตามตลอดว่าแต่ละคนพัฒนาขึ้นไปถึงไหนแล้ว

ที่สำคัญผมว่าวิธีสอนก็ทำให้เราเข้าใจภาษาจีนแบบถึงราก อย่างคำว่า “ผิงกั่ว” (苹果) ที่แปลว่าแอปเปิล เขาไม่ได้สอนให้จำเป็นคำๆ แต่จะแยกตัวอักษรให้เข้าใจเลยว่า “ผิง” (苹) แปลว่าแอปเปิล ส่วน “กั่ว” (果) คือผลไม้ ทำให้เข้าใจว่าคำประกอบขึ้นจากอะไรบ้าง ผมว่าตรงนี้แหละคือหัวใจสำคัญของการเรียนภาษาจีน และทำให้เราไปได้เร็วขึ้นเยอะเลยครับ // สำหรับน้องๆ ที่เพิ่งเริ่มสนใจเรียนภาษาจีนตอน ม.ปลาย ผมว่าก็ยังไม่สายแน่นอน แต่ไม่แนะนำให้จำแบบท่องศัพท์ตายตัวครับ

. . . . . . . .

จากหนังสือชุด “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า”
สู่เส้นทางคว้าปริญญา IR ข้ามประเทศ

ตอนเด็กๆ ผมชอบนั่งอ่านหนังสือตามร้านหนังสือ แล้วจำได้ว่ามีหนังสือชุดหนึ่งชื่อ “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า” เป็นการ์ตูนให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศต่างๆ อ่านแล้วเพลินมาก สนุกแบบวางไม่ลงเลย แล้วก็ค่อยๆ ทำให้ผมสนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตั้งแต่ตอนนั้น

หนังสือชุดนี้ไม่ได้เล่าแค่เรื่องภูมิศาสตร์หรือประเทศต่างๆ แต่พาเราเข้าใจความแตกต่างของผู้คนในแต่ละพื้นที่จริงๆ อย่างเช่น ทำไมคนเมืองหนาวถึงมีแนวโน้มจะวางแผนล่วงหน้ามากกว่า ก็เพราะถ้าไม่เตรียมตัวให้ดีในฤดูเก็บเกี่ยว เขาอาจจะไม่มีอาหารพอใช้ช่วงฤดูหนาวที่ทำเกษตรไม่ได้เลย

หรือแม้แต่เหตุผลว่าทำไมชาวมุสลิมถึงไม่กินหมู ทำไมบางประเทศในยุโรปไม่ชอบอาหารที่มีกลิ่นแรง ฯลฯ พอเราเข้าใจที่มาที่ไป จะไม่ตัดสินแง่ลบแค่เพราะเขาไม่เหมือนเรา ผมว่าการเรียน IR ก็คืออีกก้าวที่ทำให้เข้าใจมนุษย์ เข้าใจโลก และมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างประเทศได้ชัดเจนขึ้น

. . . . . . . .

รีวิวสมัครทุนรัฐบาลจีน
เรียนฟรีไม่มีข้อผูกพัน

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ร้านหนังสือ ผมก็เริ่มสนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงช่วงที่ต้องคิดเรื่องเรียนต่อ ก็ดูไว้หลายที่ครับ แต่สุดท้ายรู้สึกว่าอยากลองเลือกจีน เพราะตอนนั้นมีคะแนนสอบ HSK เก็บไว้แล้ว (ตอนนั้นผมยื่น HSK 6 และ HSKK ที่เป็นการสอบพูด) และอีกเหตุผลสำคัญคือผมอยากมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในประเทศต้นกำเนิดของภาษาที่ตัวเองเรียนมาตลอดสักครั้ง เพื่อให้เข้าใจวิธีคิด วิธีสื่อสาร และมุมมองของคนที่ใช้ภาษานั้นจริงๆ 

ผมสนใจสาย IR (International Relations) และตั้งใจว่าในเมื่อจะไปเรียนแล้ว ก็อยากไปให้สุดเพื่อให้ได้สิ่งที่สุดกลับมา เลยเลือกยื่นสมัครที่ Peking University (北京大学) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของจีนในสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และสมัครทุนรัฐบาลจีน CSC (China Scholarship Council) ผ่านสถาบันขงจื่อของจุฬาฯ ที่มี MOU กับมหาลัยหลายแห่งในจีน เอกสารหลักๆ ที่ใช้ก็มีหนังสือรับรองการจบ ม.6, คะแนนสอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) และเกรดเฉลี่ยที่ตรงตามเกณฑ์ของทุนครับ

ข้อดีของทุน CSC คือเป็นทุนเต็มจำนวน และที่สำคัญคือ “ไม่มีข้อผูกพัน” เรียนจบแล้วจะกลับประเทศหรือไม่ก็ได้ ผมมองว่าทุนนี้เป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม ถ้าเราเข้าใจทั้งฝั่งจีนและฝั่งไทย เราก็สามารถช่วยให้การสื่อสารและความร่วมมือระหว่างประเทศราบรื่นขึ้นได้ ซึ่งผมว่าจำเป็นมากในยุคที่ “ความเข้าใจ” คือเครื่องมือที่สำคัญมากในทุกวันนี้

Photo Credit: Peking University
Photo Credit: Peking University

Study Plan

ผมแนะนำให้น้องๆ เล่าให้ชัดเลยว่าเราเป็นใคร สนใจอะไร และการเรียนสาขานี้จะพาเราไปถึงเป้าหมายยังไงบ้าง ถ่ายทอดให้กรรมการเห็นความตั้งใจว่าเราอยากพัฒนาด้านนั้นจริงๆ (ผมเชื่อว่าถ้าเป็นเรื่องที่เราสนใจจริง ยังไงก็เล่าออกมาได้อินครับ)

ของผมจะเน้น 4 อย่างหลักๆ

  1. เราผ่านอะไรมาบ้างที่เกี่ยวข้องกับ IR ทำไมถึงสนใจสาขานี้
  2. วางแผนอนาคตไว้อย่างไร และอยากพัฒนาตัวเองในด้านไหน
  3. สนใจประเด็นไหนเป็นพิเศษ เช่น ด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือความมั่นคงระหว่างประเทศ
  4. สิ่งที่เรียนจะเอาไปใช้ยังไง ทั้งระหว่างเรียนต่อและหลังเรียนจบ เช่น Soft Skills อย่างการเข้าใจคนต่างวัฒนธรรม หรือ Hard Skills อย่างการวิเคราะห์เชิงนโยบาย

การสัมภาษณ์ทุน

เป็นด่านที่จะเจอหลังผ่านรอบเอกสารมาแล้ว ตอนนั้นผมไปสัมภาษณ์ที่จุฬาฯ เจออาจารย์ชาวจีนที่ใช้ภาษาจีนล้วนๆ หลักๆ เจอคำถามแนวจิตวิทยาให้เราสะท้อนความคิดออกมา เช่น ทำไมถึงอยากเรียนที่นี่ สนใจคณะนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จุดเริ่มต้นคืออะไร หรือคิดยังไงกับการไปเรียนต่างประเทศ ฯลฯ ทริกเล็กๆ คือคิดบวกเข้าไว้แล้วมีความตั้งใจจริง อาจารย์ดูออกครับว่าเราจริงใจแค่ไหน

คำแนะนำถึงน้องๆ

แนะนำว่าเกรดเฉลี่ยรวมตอน ม.ปลายควรอยู่ที่ 3.5 ขึ้นไป และคะแนน HSK ระดับ 5 ขึ้นไปจะอุ่นใจกว่า

ที่สำคัญคืออย่าทิ้งทั้งภาษาและวิชาการ ควรบาลานซ์ไว้ทั้งคู่ เช่น ถ้าจะเข้ารัฐศาสตร์ ก็พยายามรักษาเกรดวิชาสังคมกับประวัติศาสตร์ให้ดีไว้ ส่วนภาษาจีนไม่ต้องถึงขั้นเก่งสุดเป็นตัวท็อปของสาย แต่เขาอยากเห็นพัฒนาการมากกว่า และถ้าอังกฤษดีด้วยก็เป็นโบนัส เพราะตอนเรียนเราต้องอ่านเปเปอร์ทั้งจีนและอังกฤษ รวมถึงโลกการทำงานจริงก็ไม่ได้ใช้แค่ภาษาจีนแน่นอน

. . . . . . . .

จากเด็ก ม.ปลาย สู่ชีวิตใหม่ที่คณะ IR
มหาวิทยาลัยอันดับ 1 แดนมังกร

เรียนจีน เรียนโลก ผ่านวิชาที่ไม่ใช่แค่ท่องจำ

“ถ้าคุณดูข่าวต่างประเทศ นั่นคือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเรียนในคณะ IR ไม่ว่าจะเป็นประเด็นสงครามระหว่างประเทศ A กับประเทศ B การเมืองโลก หรือประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมไปถึงวิชาอย่างประวัติศาสตร์จีน เศรษฐศาสตร์พื้นฐาน หรือการเมืองเบื้องต้น”

 

หลักสูตรจะเริ่มจากปูพื้นก่อน แล้วค่อยเจาะลึกตามสายที่สนใจ เช่น ทฤษฎีการเมือง การทูต องค์กรระหว่างประเทศ หรือประวัติเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่ละคนจะเลือก “เอกย่อย” ที่ต่างกันไป ผมเลือกเรียน “เอกการทูต” เพราะชอบเรื่องการเจรจาแบบสันติวิธี มารยาททางการทูต และการสื่อสารในเวทีระหว่างประเทศ หนึ่งในวิชาที่ชอบที่สุดคือ “วิชาการทูต” ที่ยกเคสอย่างวิกฤตการณ์คิวบามาให้วิเคราะห์ว่าจุดเริ่มต้นคืออะไร ใครเป็นผู้เจรจา และจบลงยังไง คลาสมี discussion ตลอด ทำให้เราได้คิด ได้คุย และเข้าใจโลกมากขึ้น

อีกวิชาที่ชอบมากคือ “ความขัดแย้ง” ที่ชวนตั้งคำถามว่าความขัดแย้งจริงๆ คืออะไร มันเกิดจากอะไรบ้าง แล้วมีวิธีคลี่คลายได้ยังไงบ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องอาวุธหรือดินแดน แต่ยังมีมุมต่างด้านวัฒนธรรม ระบบการเมือง หรือศาสนาเข้ามาเกี่ยวด้วย เราได้ยกเคสความขัดแย้งจากทั่วโลกมาวิเคราะห์ แล้วลองมองหาทางออกของแต่ละกรณี

ผมยังจำได้ดีเลยครับว่าตอนพรีเซนต์เรื่อง “จีน-ไต้หวัน” ได้รับคำชมจากอาจารย์ เพราะเลือกประเด็นได้เหมาะ และสามารถเชื่อมหลักทฤษฎีเข้ากับเคสจริงได้ดี สรุปออกมาว่าอุปสรรคไม่ได้มีแค่เรื่องการเมือง แต่ยังมีภาษาและประวัติศาสตร์ที่คนละชุดด้วย

หรือวิชา “ประวัติศาสตร์การทูตจีน” ก็จะพาเราย้อนไปตั้งแต่ยุคจักรพรรดิที่จีนปกครองตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก หรือแนวคิด “จงกั๋ว” จนกระทั่งตะวันตกเข้ามากระตุกระบบเดิมให้เปลี่ยน ผมว่าเรื่องพวกนี้ถ้าได้เรียนจากคนจีนเอง มันลึกและสมจริงกว่าแค่การอ่านจากบทความมากครับ

เตรียมใจเลยว่าอ่านหนัก การเรียนไม่ง่ายเลย!

เรื่องที่เรียนก็ไม่เคยเจอตอน ม.ปลาย แม้แต่เพื่อนคนจีนเองก็ยังต้องคอยทบทวนตลอดเหมือนกัน แต่ผมว่าถ้าเรามาเรียนด้วยแพสชัน ต่อให้เนื้อหาเยอะก็จะมีแรงพยายามครับ

วิธีของผมคือดู YouTube อ่านบทความ หรือวนอ่านซ้ำๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ลึกหรือซับซ้อน เช่น ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ หรือกรณีอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพราะถ้าเข้าใจเบื้องหลังของแต่ละฝ่าย เราจะเห็นภาพชัดขึ้น

ส่วนข้อสอบก็จะมีทั้งสอบพื้นฐานและพาร์ตวิเคราะห์ เช่น ถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมา เราจะรับมือยังไง ใช้หลักอะไรสนับสนุน ผมชอบเปรียบว่าการเขียนบทความก็เหมือนการซ้อมของนักแสดง ต้องสะสมเนื้อหาเยอะๆ ถึงจะขึ้นเวทีได้ 10 นาทีอย่างมั่นใจ

เรียนกับอาจารย์ระดับปรมาจารย์

พอมาเรียนมหาวิทยาลัยอันดับ 1 สิ่งที่ได้ตามมา ก็คือการได้เรียนกับอาจารย์ระดับแนวหน้าของวงการ IR ในจีน บางท่านทำวิจัยประเด็นเฉพาะทางมาตลอดทั้งชีวิต บางคนออกรายการโทรทัศน์เป็นประจำ หรือจบจากมหา’ลัยระดับโลกอย่าง Oxford, Harvard, Stanford และเชิญอาจารย์จากต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนบ่อยๆ

โดยเฉพาะถ้าใครสนใจจีนศึกษา อารยธรรมตะวันออก หรือการเติบโตของจีนในมิติทางเศรษฐกิจ-การเมือง การได้เรียนกับอาจารย์ที่เข้าใจทั้งโลกตะวันตกและตะวันออกจะช่วยให้เห็นภาพรวมรอบด้านยิ่งขึ้นครับ

อยู่ท่ามกลางหัวกะทิ = ต้องหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ

ถ้ามองภาพใหญ่ จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน แต่มหาวิทยาลัยนี้รับนักเรียนใหม่แค่ปีละ 3,000-4,000 คนเท่านั้น เพื่อนในคลาสของผมหลายคนคือระดับท็อปของประเทศจริงๆ บางคนสอบได้ที่หนึ่งของมณฑล ซึ่งจีนมีมากกว่า 30 มณฑลอีก

แน่นอนว่าบางเรื่องเราสู้เขาไม่ได้หรอกครับ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราต้องรู้ว่า “จุดเด่นของเรา” คืออะไร ผมเองเป็นนักเรียนต่างชาติจาก Southeast Asia ก็เหมือนเป็นตัวแทนของไทยในคลาสนั้น อาจารย์เองก็สนใจว่าเรามองโลกยังไง คิดแบบไหน อยากให้เรานำมุมมองตัวเองมาแชร์กันมากกว่า

พื้นที่ปลอดภัยที่เราเห็นต่างได้

ผมภูมิใจมากที่ได้มาเรียน ม.ปักกิ่ง ที่นี่ช่วยเพิ่ม value ให้คนๆ หนึ่งได้จริงๆ ทั้งคอร์สเรียน สภาพแวดล้อม และผู้คนที่เราได้เจอ และหนึ่งในหนึ่งเรื่องที่ผมประทับใจมากคือบรรยากาศในคลาสครับ นักเรียน IR ที่นี่มีความหลากหลายมาก ทั้งจากจีน ญี่ปุ่น นอร์เวย์ อเมริกา เกาหลี ชิลี ปากีสถาน รวมถึงฝั่งอาเซียนอย่างไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ 

ระหว่างเรียนมีการดิสคัสเกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วสิ่งที่ชัดเจนคือแม้เราจะมาจากพื้นเพต่างกัน แต่เรารับฟังกันโดยไม่ตัดสินกันง่ายๆ บางคนสนใจเรื่องเศรษฐกิจ บางคนสนใจวัฒนธรรม แต่ทุกคนเปิดใจและเคารพความเห็นของกันแต่ละกัน หรือแม้แต่เพื่อนคนจีนก็ยังสนใจด้วยซ้ำว่า เรามองประเด็นเดียวกันจากมุมของประเทศอื่นๆ ยังไงบ้าง 

เข้าใจประเทศ = เข้าใจคน

จริงๆ ผมมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของคน เราทุกคนล้วนมีจุดเด่น จุดอ่อน และวิธีคิดที่แตกต่าง แต่ละประเทศก็เช่นเดียวกัน การเรียนรู้ระบบระหว่างรัฐช่วยให้เราเข้าใจคนมากขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วยครับ

. . . . . . . .

รีวิวจีน 5 ข้อในมุมเด็กต่างชาติ
พร้อมแนะนำพิกัดและช่วงเวลาเที่ยว

1. ประทับใจตั้งแต่ที่ตั้งแคมปัส

มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (Peking University) เคยเป็นส่วนหนึ่งของเขตพระราชวังจักรพรรดิ ที่นี่จึงมีทั้งกลิ่นอายความเป็นจีนดั้งเดิมผสมผสานกับความเป็นนานาชาติ นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยสหศึกษาแห่งแรกของจีน และเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาระดับอินเตอร์ของประเทศนี้ด้วยครับ

นอกจากตัวมหาวิทยาลัยจะพิเศษแล้ว การเรียนที่ปักกิ่งเหมือนได้ซึมซับประวัติศาสตร์จีนแบบ 360 องศาเลยครับ เพราะเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ มีความเป็นการเมืองจ๋าพอสมควร แลนด์มาร์กหลักๆ ก็จะมีพระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน พระราชวังฤดูร้อน และหอบูชาฟ้าดิน

Beijing
Beijing

2. เปลี่ยนเมือง เปลี่ยนอารมณ์

หลายคนอาจนึกถึงจีนแค่ภาพแบบเยาวราช ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มากจริงๆ อย่างเมื่อกี้ผมเล่าถึง “ปักกิ่ง” ไปแล้ว ถ้าตัดภาพไปที่ “เซี่ยงไฮ้” (Shanghai) จะเป็นเมืองสุดไฮเทค เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ส่วน “ฉงชิ่ง” (Chongqing) ตั้งอยู่ในหุบเขา เมืองทั้งเมืองสร้างอยู่บนภูเขาหลายลูก วิวแปลกตามากๆ หรือถ้าเป็นสายธรรมชาติก็มี “เฉิงตู” (Chengdu) กับ “จางเจียเจี้ย” (Zhangjiajie) ที่สวยไม่แพ้กันเลยครับ

ผมเคยได้ไปเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจใกล้ๆ ปักกิ่งด้วย อย่าง “เป่าติ้ง” (Baoding) ซึ่งเป็นเมืองเอกทางเหนือของจีน “เทียนจิน” (Tianjin) เมืองท่าที่มีตึกฝรั่งตั้งแต่ยุคก่อน หรือ “ถังซาน” (Tangshan) เมืองที่เคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1976

Tianjin
Tianjin
Tangshan
Tangshan

ส่วนใครเป็นสายกินโดยเฉพาะติ่มซำ หรือชอบหนังฮ่องกง เมืองที่ไม่ควรพลาดเลยคือ “กวางโจว” (Guangzhou) เมืองท่าสำคัญของจีนตอนใต้ เป็นด่านรับวัฒนธรรมตะวันตก บรรยากาศให้ฟีลคล้ายกรุงเทพฯ ย่านเยาวราชครับ

ประทับใจสุดคือเดินทาง 3 ชั่วโมงแค่ 5 หยวน!

ยอมรับว่า "ระบบการเดินทางของจีน" เป็นเรื่องนึงที่ผมอิจฉาครับ ทั้งสะดวก ครอบคลุม และประหยัดมากจริงๆ โดยเฉพาะรถไฟใต้ดินที่แม้แต่ในปักกิ่งก็ยังถือว่าถูก (เคยนั่ง 3 ชั่วโมงจ่ายแค่ 3 หยวน)

 

3. ภาษาจีนมีสำเนียง & บุคลิกเฉพาะเมือง

สำหรับผมเองไม่เจอ Culture shock เรื่องภาษา เพราะเคยฝึกฟังสำเนียงจีนของหลายๆ ภาคมาก่อน (คล้ายกับภาษาถิ่นแต่ละภาคของไทยทีมีสำเนียงเฉพาะตัว)

คนไทยที่ไม่คุ้นอาจรู้สึกสำเนียงคนปักกิ่งฟังยาก เขาจะม้วนลิ้นหนักมากๆ จนถือเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไปเลย เพราะถ้าย้อนไปในเชิงประวัติศาสตร์ ปักกิ่งเคยเป็นเมืองของชนเผ่าแมนจูในยุคราชวงศ์ชิง เลยได้รับอิทธิพลด้านภาษาเข้ามาเยอะ ในขณะที่เมืองอื่นอย่าง “เซี่ยงไฮ้” หรือ “กวางโจว” สำเนียงจะนุ่มกว่า เพราะธรรมชาติของเค้าจะไม่มีการม้วนลิ้นครับ

4. สี่ฤดูแบบชัดๆ ในเมืองหลวงของจีน

หน้าหนาวที่จีนนี่หนาวจริงๆ ครับ เสื้อหนาวที่เตรียมมาไม่มีเสียเปล่า ส่วนตัวผมชอบฤดูใบไม้ผลิมาก ต้นไม้สวย อากาศก็ดี เดินไปที่ไหนก็รู้สึกสดชื่น บรรยากาศดีจนจิตใจก็ดีตามไปด้วย

อยู่ที่นี่เราจะได้สัมผัส 4 ฤดูแบบชัดๆ หน้าหนาวคือขาวโพลน พระราชวังสวยมาก หิมะกองเต็ม ส่วนฤดูใบไม้ผลิก็มีดอกไม้บานเต็มเมือง พอถึงฤดูร้อน ต้นไม้จะเริ่มเหลืองๆ แล้วใบไม้ร่วงก็คือแห้งโกร๋นทั้งแถบ สำหรับผมคิดว่าหน้าหนาวกับฤดูใบไม้ผลิคือฤดูที่ปักกิ่งน่าเที่ยวที่สุดเลยครับ

5. ทุนคือสะพานเชื่อม

ผมว่าเป็นเรื่องดีมากๆ ที่จีนส่งเสริมนักศึกษาต่างชาติให้เข้าไปเรียนรู้ในประเทศของเขา การให้ทุนคือหนึ่งในวิธีที่จีนใช้พรีเซนต์ภาพลักษณ์ประเทศตัวเอง และเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้าใจจีนในมุมที่ลึกขึ้นด้วยครับ แม้ว่าผมจะเรียนภาษาจีนและวัฒนธรรมจีนมาตลอดตั้งแต่เด็กจนคิดว่าคุ้นเคยแล้ว แต่พอมาอยู่จริงๆ  ไม่ต้องมองที่ไหนไกลเลย แค่ “เมนูอาหาร” หรือทริกการสั่งอาหารเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ต้องมาอยู่จริงถึงจะเข้าใจ

. . . . . . . .

จากแผนที่จีน
สู่สายการค้าระหว่างประเทศ

รุ่นพี่หลายคนจบไปทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ ฝึกงานที่ UN หรือทำงานกับองค์กรนานาชาติหลายแห่ง ส่วนผมเองตอนเรียนเข้าไปฝึกงานในบริษัทโลจิสติกส์ของไทยที่มีสาขาในจีนครับ งานหลักคือดูระบบหลังบ้านเกี่ยวกับแผนที่และการขนส่ง เช่น การปักหมุด ตรวจที่อยู่ วิเคราะห์และระบุพิกัดต่างๆ บนระบบแผนที่ หลังจากจบผมกลับมาทำงานที่บริษัทเดิมในตำแหน่ง Product Manager แต่ประจำอยู่ที่สาขาในไทย

ปัจจุบันผมเปลี่ยนสายมาทำด้านการค้าระหว่างประเทศ เป็น Account Specialist ให้กับบริษัทด้านน้ำมันและเคมีสัญชาติอเมริกา โดยดูแลลูกค้าที่อยู่ในจีน หน้าที่หลักคือรับอีเมล ตอบลูกค้า ตรวจสอบความถูกต้องของออเดอร์และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งรายละเอียดเยอะมาก ทั้งกฎหมาย ข้อกำหนดต่างๆ เรื่องจำนวนสินค้า ปริมาณ และข้อมูลประกอบ ทุกอย่างต้องแม่นเป๊ะครับ

แน่นอนว่าการเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ เราต้องปรับตัวและเรียนรู้ทักษะใหม่ ผมรู้สึกว่า Soft Skills ที่ได้จากคณะ IR มีประโยชน์ตั้งแต่ “ตอนเรียน” ที่ช่วยให้สื่อสารกับเพื่อนต่างชาติ ดีลงาน หรือพูดคุยกับคนหลากหลายวัฒนธรรมได้อย่างไหลลื่น พอถึง “ตอนทำงาน” โดยเฉพาะเวลาต้องคุยกับลูกค้าจีนหรือทีมเซลส์ฝั่งจีน เพราะเราคุ้นกับวัฒนธรรมการสื่อสารของเขา รู้ว่าจะสื่อสารแบบไหนให้เข้าใจง่ายและราบรื่นครับ 

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น