นี่แหละท็อปยูเอเชีย! ‘พี่ตีตี้’ กับเส้นทางเด็กทุน ASEAN ป.ตรี NUS Business สิงคโปร์ จัดเต็มพร้อมลุยสมรภูมิงานสุดเดือดตั้งแต่ปีแรก

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ใครอยากเรียนต่อ “สิงคโปร์” บ้างคะ~ ประเทศเล็กๆ ใกล้ไทยแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเงินและการศึกษาของเอเชีย เทคโนโลยีทันสมัย และระบบการจัดการดี จนเป็นจุดหมายการเรียนต่อในฝัน วันนี้เลยจะพาไปรู้จัก “พี่ตีตี้” (Teety) ที่ตั้งใจเตรียมพอร์ตฯ ช่วง ม.ปลายตลอด 3 ปีเต็ม จนคว้าที่นั่งและทุนจากมหาวิทยาลัยดังรวมถึง 7 ประเทศ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเลือก ป.ตรี ที่ National University of Singapore ซึ่งเป็น ม.อันดับ 1 ของเอเชีย

จากเด็กมัธยมสายวิทย์ที่ทำวิจัยด้าน Bioinformatics จนมาสนใจ Business & Tech และเปลี่ยนมา Double Majors ด้าน Real Estate และ Finance วันนี้น้องตี้กำลังเรียนปี 2 มหาวิทยาลัยระดับโลก แต่พูดเลยว่าตารางเธอแน่นมากกกกทั้งเรียนและกิจกรรม เพราะที่นี่ส่งเสริมนักเรียนทุกด้านจนเด็กพร้อม intern ตั้งแต่ปี 1 // เส้นทางนี้จะเดือดและคุ้มค่าแค่ไหน อย่ารอช้า ขึ้นเครื่องไปสิงคโปร์กันเลยค่ะ

โอกาสทอง! ปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา

จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ "พี่ตี้” ตัวจริงได้ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่งาน  Dek-D's Study Abroad Fair  นะคะ รอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย (ก.พ., UIS), CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน

. . . . . . . .

จากแล็บวิทย์สู่สนาม Startup
จิ๊กซอว์แต่ละพาร์ตที่ต่อฝันให้ใหญ่ขึ้น

สวัสดีค่ะ ชื่อ “ตีตี้–ดารากาล” ค่ะ ก่อนไปเรียนต่อ ตี้เป็นนักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ทุน พสวท.) ระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เน้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบเข้มข้น ซึ่งตี้เองชอบวิทย์เพราะเป็นรากฐานที่เชื่อมโยงได้กับทุกอย่าง

ช่วง ม.ต้นเคยรู้สึกการไปเรียนต่างประเทศเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่พอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ พสวท. ได้เจอรุ่นพี่ไปเรียนต่อ Top U. กันเยอะ จนทำให้ฝันของเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตี้ใช้เวลาช่วง ม.ปลาย ทำพอร์ตไป 3 ปีเต็มๆ เพราะรู้ว่าส่วนนี้สำคัญกับการเรียนต่อต่างประเทศ ตั้งต้นจากสิ่งที่มีคือการเป็นเด็กในโครงการฯ แล้วหาโอกาสไปแข่งหรือทำกิจกรรมข้างนอกเพิ่ม ทุกครั้งที่กลับมาก็จะกลับมาเขียน Reflection ว่าได้อะไรและต่อยอดยังไงจากประสบการณ์ครั้งนั้นๆ

ตัวอย่างกิจกรรมตอน ม.ปลาย

  • นักเรียนทุนพสวท. จะได้ผ่านการฝึกอบรมเทคนิคปฏิบัติการพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ระเบียบวิธีวิจัยเบื้องต้น และค่ายวิทยาศาสตร์ภาคฤดูร้อนค่ะ  ซึ่งในแต่ละค่ายก็จะมีอาจารย์รุ่นพี่พสวท.มาสอน และได้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ทำการทดลองต่างๆ และสุดท้ายก็นำความรู้และประสบการณ์มาต่อยอดจนได้ทำวิจัยในด้านที่สนใจ ตี้ทำ Bioinformatics Research เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ Transcriptomes ที่มีผลต่อความรุนแรงมะเร็งสมองกับอาจารย์ชีวเคมีที่จุฬาฯ (ตอนจบมีเปเปอร์ส่งจริง)
     
  • เป็นรองประธานนักเรียนทุนพสวท. รุ่นที่ 38 ทั้งประสานงานกับทางพสวท. และจัดกิจกรรมรับน้อง
     
  • เข้าค่ายวิทย์ The 43rd Professor Harry Messel International Science School (ISS 2023) ที่ University of Sydney ตอนนั้นได้ฟังเลกเชอร์ และงานวิจัยของ Professor วิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ เช่น Quantum Computing, Stem Cell และ Antarctic Ecology แล้วมีพาร์ตที่ได้ทำแล็บแขนงต่างๆ ด้วย (สามารถอ่าน Blog เพิ่มเติมได้ที่นี่)
     
  • เข้าค่าย NUS Step Brain Camp ที่เป็นค่ายเกี่ยวกับ Neuroscience และ AI ที่ได้ฟังเลกเชอร์ Professor จาก NUS และได้ลองเขียนโค้ด AI เบื้องต้น
     
  • เข้าร่วมโครงการ AI Builders และได้ทำ Natural Language Processing  Model เกี่ยวกับ Summarization
     
  • ก่อตั้ง Community Service “Clothes to Share” ที่รวบรวมชุดนักเรียนของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วไม่ได้ใช้ ส่งต่อให้รุ่นน้องที่พึ่งเข้ามาใหม่ช่วง COVID-19 เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย และลดขยะสิ่งทอ

ช่วงม.ปลาย ตี้สนใจ Pure Science จุดเปลี่ยนสำคัญคือตอน ม.5 ได้ไป Hackathon ทำให้รู้จัก Business Model เจอเพื่อนโค้ดเก่งๆ จน inspired ให้หันมาสนใจด้าน Business & Computing มากขึ้น จนเริ่มฝึกเขียนโค้ดจริงจังไปเข้าค่ายสอวน. คอม เข้าโครงการ AI Builders เผื่อฝึกทำ AI Model จริงๆ ไปแข่งเขียนเว็บแอปฯ กับเพื่อนในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน และเข้า CAI Camp ของ CPALL ด้วยค่ะ

แล้วจะมีช่วงเวลา 4 เดือนที่ทุกวันพุธหลังเลิกเรียนตี้จะนั่งรถจากโรงเรียนไปบางมด เพื่อไปเป็น Mentor โปรแกรม Digital Innovation Sandbox ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) เป็นฟีลๆ สนามซ้อมสตาร์ตอัปย่อมๆ ที่ช่วงท้ายมี Investor ที่อยู่ใน industry มาฟัง pitch ของนักศึกษาที่เข้าร่วม ทำให้ได้รู้จักจากทั้งกับอาจารย์ที่บางมด  Startup Founder และผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ (เช่น CEO จาก QueQ) ที่อาจารย์เชิญมาทุกสัปดาห์เพื่อเล่าเส้นทางธุรกิจให้ฟัง 

// บอกเลยว่าบางวีคตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย เป็นโอกาสที่ดีมากกก เลยนำมาสู่ความสนใจในด้านการสร้างธุรกิจ Startup

นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมตี้อินกับเส้นทางนี้เรื่อยๆ พอถึงเวลาต้องยื่นมหาลัย ก็มานั่งหาข้อมูลทุนและมหาลัยที่ตรงความสนใจ (อ่านจาก Dek-D เยอะมากค่า~) สิ่งสำคัญในการยื่นมหาลัยสำหรับตี้คือ Passion & Experience ค่ะ! ตี้เชื่อว่าเมื่อเรามี 2 สิ่งนี้กับเรื่องใดๆ ก็ตาม มันจะ shine through ออกมาให้ทุกคนเห็นว่า Why me? เพราะเบื้องหลังแต่ละ Essay Question และ Personal Statement คือประสบการณ์ และความพยายามของเราทั้ง 3 ปีที่เราสะสมมา

อีกหนึ่งคือการเรียบเรียงให้ดี ตี้สมัครมา 14 มหาลัย โดยมี NUS เป็นมหาลัยสุดท้ายที่สมัคร ไม่เคยส่ง draft เดียวกันเลยเพราะแต่ละครั้งที่กลับมาดู draft ตัวเอง จะเจอจุดที่อยากเพิ่มหรือแก้จากการ reflect แต่ละรอบจนมาสมบูรณ์แบบจริงๆ ตอนยื่น NUS เลยอยากบอกทุกคนว่า “ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี”

แนะนำว่าหลังจบแต่ละกิจกรรมให้มา reflect กับตัวเอง มากกว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจากแต่ละกิจกรรม คือเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง และสามารถเอาไปต่อยอดอะไรได้บ้าง สุดท้ายก็รู้สึกว่าความตั้งใจ 3 ปีไม่เสียเปล่าเลย เพราะติดทุกที่ที่สมัคร ยกเว้น Nanyang Technological University เพราะไม่มีคะแนน National Exam ที่ไทยเลยไม่เข้า requirement ทางมหาลัย ตี้เลยอยากให้ทุกคนดู requirement ของมหาลัยที่อยากเข้าไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าต้องใช้อะไรบ้าง สำหรับมหาลัยที่ติด หลายที่ได้ทุนเต็มจำนวนพร้อมเงินเดือนด้วยค่ะ

 ในสิงคโปร์ ตี้ได้ทุนเต็มจำนวน ASEAN Scholarships ระดับ ป.ตรี ที่ National University of Singapore (NUS) และติด Singapore Management University (SMU)

  • ในแคนาดา ติด University of Toronto (UofT) พร้อมทุนรวมกว่า CAD 400,000 (Rotman Commerce International Merit Admission Award, International Scholar Award & Principal’s Entrance Award)
  • ในฮ่องกง/จีน ติด University of Hong Kong (HKU), The Chinese University of Hong Kong (CUHK) ทั้ง campus ที่ฮ่องกงและเซินเจิ้น, The Hong Kong University of Science and Technology (HKUST) ทั้งหมดได้ทุนเต็มจำนวน
  • ในไต้หวัน ติดทั้ง National Taiwan University (NTU) และ National Tsing Hua University (NTHU) พร้อมทุนเต็มจำนวนและเงินเดือน รวมถึงได้ทุนรัฐบาลไต้หวัน MOE 2024 ครอบคลุมค่าเทอม 4 ปีและเงินเดือน NTD 15,000/เดือน
  • ในเกาหลีใต้ ติดทั้ง Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST) (ทุนเต็มจำนวน) และ Seoul National University (SNU)
  • ในออสเตรเลีย ติด University of Sydney (USYD) พร้อมทุนบางส่วน
  • ในญี่ปุ่น ติด Ritsumeikan Asia Pacific University (APU) พร้อมทุน 80%

ทำไมถึงได้คำตอบสุดท้ายที่ NUS

เนื่องจากตี้สนใจทั้งด้าน Business & Tech รวมถึงมีความฝันอยากทำ Startup สิงคโปร์เลยเป็นตัวเลือกแรก เพราะเป็นหนึ่งใน Hub ธุรกิจของเอเชีย และมีโครงการเศรษฐกิจที่สนับสนุนการสร้างธุรกิจ  มีหลายธุรกิจที่ประสบความสำเร็จก็มาจดทะเบียนที่สิงคโปร์ (แม้จะก่อตั้งที่ประเทศอื่น) รวมถึง Startup ระดับ Unicorn ก็มาจากที่นี่ด้วย

และยังมีเหตุผลอื่นๆ คือใกล้ไทยมาก เดินทางไป-กลับสะดวก และสิงคโปร์เป็นสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เราได้ฝึกภาษาจีนควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษ ซึ่งตรงกับแพสชันการเรียนภาษาจีนที่เริ่มมาจากการไปเรียนที่กวางโจวช่วงซัมเมอร์ก่อนเข้า NUS ค่ะ

ส่วนเหตุผลที่เลือก NUS เพราะว่า

  • ตี้ผูกพันกับที่นี่เพราะเคยได้ไปเข้าค่าย NUS Brain Camp มาก่อน ซึ่งค่ายนี้ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้ตี้อยากเริ่มเขียนโค้ด และอยากเรียนรู้เพิ่มเติมด้าน Neuroscience จนเป็นหนี่งในเหตุผลที่เลือกทำ Research เกี่ยวกับมะเร็งสมอง เลยคิดว่าขนาดค่ายแค่ 5 วันยังสร้างแรงบันดาลใจให้เราได้ขนาดนี้ ถ้าได้เรียนที่ NUS คง fulfill มากแน่ๆ
     
  • NUS เป็นมหาลัยที่ Ranking ดีมากๆ ถือเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเอเชีย และติด Top 10 ของโลก และเด่นด้าน Computing รวมถึงมี Alumni Network ที่แข็งแรงมาก มีรุ่นพี่หลายๆ คนที่จบแล้ว ตั้งใจกลับมาเป็น Mentor ให้คำแนะนำรุ่นน้องเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงาน
     
  • NUS สนับสนุนให้นักเรียนลงวิชาเรียนจากคณะอื่นได้อิสระมากๆ ตอนนี้ตี้ก็ลง Chinese & German ไปด้วย มีเพื่อนตี้ที่ Major in Computer science และลง Minor in Music หรือรุ่นพี่ตี้ที่เรียน Major in Electrical Engineering และลง Minor in Political Science ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ได้ pursue สิ่งที่สนใจไปพร้อมกัน
     
  • NUS เป็นมหาลัยที่เรียนหนัก แต่กิจกรรมนอกห้องเรียนหนักกว่า! มี Club ให้เลือกหลากหลาย จัดกิจกรรม Competition/Hackathon บ่อย ถูกใจเด็กสายกิจกรรมที่สุด

สำหรับใครสนใจจะสมัครทุน ใน NUS Admission Application จะมีช่องให้ติ๊กว่าสนใจสมัครทุน มหาลัยก็จะรีวิวโพรไฟล์เราก่อน ถ้าผ่านเข้ารอบ Shortlist ทางมหาลัยจะส่ง Scholarship Application มาให้กรอก จากนั้นจะมีสัมภาษณ์ทุนอีกขั้นตอนนึง

ถ้าเป็นทุน MOE Tuition Grant (TG) จะเป็นทุนอุดหนุนค่าเล่าเรียน (Subsidy) ที่รัฐบาลสิงคโปร์จะจ่ายตรงกับมหาลัยเลย ช่วยลดค่าเรียนให้กับนักศึกษาต่างชาติรวมถึงคนไทย ประหยัดไปหลายแสนต่อปี ซึ่งถ้าเซ็นรับ Tuition Grant แล้วจะมีเงื่อนไขว่าต้องทำงานในบริษัทสิงคโปร์ 3 ปีหลังจบ

 

*ตี้ได้รับทุน ASEAN Undergraduate Scholarship ซึ่งเป็นทุนเต็มจำนวนที่สนับสนุนเกือบทุกอย่าง ทั้งค่าเทอม ค่าหอพัก ค่าคอม และค่ากินอยู่ แม้ไม่มีข้อผูกพันหลังจบ แต่ค่าเทอมที่ทุนสนับสนุนคือค่าเทอมหลังจากที่ทุน MOE subsidy แล้ว จึงยังมีเงื่อนไขว่าต้องทำงานในบริษัทสิงคโปร์ 3 ปีหลังเรียนจบอยู่ แต่สำหรับตี้มองว่าเป็นข้อดีมากๆ ค่ะ

โพรไฟล์ที่ตี้ยื่นไปจะประมาณนี้นะคะ

  • GPAX หรือเกรดเฉลี่ยสะสมตอน ม.ปลาย 3.99
  • คะแนนวัดระดับภาษาอังกฤษ IELTS 7.5
  • Short Essay ส่งทั้งตอนสมัครทุนและมหาลัย
  • ลิสต์ Achievement (ทุนให้เขียน 10 / มหาลัยให้เขียน 3 กิจกรรม)

หลายคนอาจคิดว่าถ้าจะได้ทุนอาเซียนต้องเป็นเด็กโอลิมปิกอย่างเดียว แต่ทุนนี้พิจารณาจากหลายองค์ประกอบทั้งด้านวิชาการและกิจกรรม นอกจากเรื่องการเรียน ตี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ทำกิจกรรมเยอะ และมี passion กับสิ่งที่ทำมากๆ อีกหนึ่งสิ่งที่ตี้เชื่อว่าสำคัญมากๆ คือ Leadership และ Community Service ตี้ว่ามหาลัยอยากได้คนที่ไม่ได้มีเพียงความสามารถในการพัฒนาตัวเองเท่านั้น แต่เป็นคนที่สามารถพัฒนาและขับเคลื่อนสังคมได้ด้วยค่ะก

. . . . . . . .

ก้าวสู่ชีวิตจริงในสิงคโปร์
ต้องปรับตัวกับอะไรมากที่สุด?

สิงคโปร์เป็นประเทศ Multicultural ทำให้มีภาษาและ Slang หลากหลาย บางคำมาจากฮกเกี้ยนหรือภาษาท้องถิ่นอื่นๆ อีก แรกๆ ที่มาถึงแล้วงงสุดๆ คือ ‘Singlish’ (มาจากคำว่า Singapore + English) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษที่ผสมกับภาษาถิ่น ทั้งเรื่องคำศัพท์ โครงสร้างประโยค และน้ำเสียง ถ้าให้ตี้นิยามลักษณะเด่น ก็คงเป็น “ภาษาอังกฤษที่เรียงตามโครงสร้างของภาษาจีน” เช่น ‘go where’ แปลว่า “ไปไหน” หรือ ‘can’ ใช้ได้แทบทุกสถานการณ์ เช่น ‘can or not?’ แปลว่า “ได้มั้ย?”

พออยู่สักพักก็ชิน ไปๆ มาๆ ก็ชอบเฉยเลยค่ะ 555 รู้สึกว่า practical ดี เป็นโหมดเพื่อการสื่อสารจริงๆ ถ้าใครอยากปรับตัวกับภาษาแต่ละแบบดีขึ้น แนะนำให้ไปแฮงเอาต์กับเพื่อนบ่อยๆ ช่วยได้ค่า

แล้วความพีคคือคนสิงคโปร์เหมือนมี VPN ในหัว ถ้าคุยเล่นกับเพื่อนก็ใช้ Singlish กันเป็นเรื่องปกติ แต่เคยได้ยินจากรุ่นพี่ว่าพอถึงคลาสดีเบตเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อนๆ จะ switch mode ได้ไวมาก จาก Singlish English ไปเป็น Standard English ที่สละสลวยสุดๆ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เรียนกันมาอย่างเป๊ะเลยค่ะ

หลังจากตี้ได้มาเรียนและใช้ชีวิตระยะยาว ก็เห็นชัดเลยค่ะว่าระบบขนส่งสาธารณะที่สิงคโปร์คือสุดยอดจริงๆ คนพลุกพล่านจริงแต่จัดการได้ดี ตั้งแต่อยู่มายังไม่เคยเดินเกิน 15 นาทีเลย เพราะ MRT กับบัสเชื่อมถึงกันหมด (เคยนั่งไปมาเลเซียด้วยนะคะ) อีกเรื่องหนึ่งการปรับในสิงคโปร์เป็นเรื่องที่จริงจังและค่าปรับสูงมาก การปรับที่ได้ยินมาแล้วรู้สึกว่าแปลกดี คือ “ค่าปรับลูกน้ำ” (คิดว่าเป็นสาเหตุที่ไม่เคยโดนยุงกัดเลยตัังแต่อยู่สิงคโปร์มา) เลยไม่สงสัยเลยว่าทำไมสิงคโปร์ถึงเป็นประเทศที่มีพัฒนาเร็วและเป็นระเบียบขนาดนี้

. . . . . . . .

กำลังเรียน ป.ตรี BBA ปี 2
เจอประสบการณ์เรียนแบบไหนบ้าง?

รีแคปเส้นทางเรียนที่ผ่านมา

ปี 1 เด็ก BBA จะได้เรียนวิชา Business Function Courses ที่เป็นพื้นฐานของแต่ละ Major ที่ช่วยปูพื้นฐานและ explore ว่าตัวเองชอบฝั่งไหนที่สุด เช่น Principles of Marketing และ Accounting for Decision Makers และ Business Environment courses ที่ทำให้ได้รู้จักมิติต่าง ๆ ของการดำเนินธุรกิจในภาพรวม เช่น Legal Environment of Business และ Real Estate, Society and Enterprise

แล้วพอปี 2 ก็จะเริ่มมีวิชาเฉพาะเข้ามาเยอะขึ้น พอเจอเนื้อหาก็เปลี่ยนมายด์เซ็ต จากที่เคยคิดว่า “จบมาแล้วจะทำงานอะไร” กลายเป็นอยากรู้ว่า ลักษณะงานที่เราอยากทำเป็นยังไงบ้าง และตอนนี้​ที่กำลังให้สัมภาษณ์กับ Dek-D ตี้อยู่ปี 2 เทอม 1 เรียนประมาณ 22 หน่วยกิต หรือราว 5-6 วิชา ถือว่าบาลานซ์ได้ เพราะเทอมก่อนหนักกว่านี้เยอะมากๆ

เด็ก NUS ยังต้องเรียน General Education (6 pillars) ด้วย เช่น เทอมนี้ตี้เรียนวิชา ‘Singapore: Imagine the Next 50 Years’ ที่ให้นักศึกษาออกแบบและเขียน reflection เกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ เป็นคลาสที่กระทรวงศึกษาฯ ตั้งใจให้เด็กมหาลัยได้ลองคิดถึงอนาคตของสิงคโปร์จริงๆ อีกหนึ่งวิชาที่น่าสนใจคือ Disney And the Theme Park World  สาวก Disney ถูกใจแน่ๆ

นอกจากวิชาสาย BBA ก็ลงภาษาด้วย ได้ติ๊กถูกอีกเป้าหมายว่าตั้งใจจะมาเรียนภาษาจีนด้วย ตอนนี้ก็ลงถึง Chinese 5 และล่าสุดก็เพิ่งจะลงเรียนภาษาเยอรมันเพิ่ม เพราะช่วงที่เรียน ป.ตรี ตั้งใจจะไปแลกเปลี่ยน โครงการ SEP (Student Exchange Programme) ที่ยุโรปด้วยค่ะ

เพื่อนในคลาสภาษาจีน
เพื่อนในคลาสภาษาจีน

ความยืดหยุ่นคือเสน่ห์ของ NUS

  • หลักสูตรที่ NUS ปรับตามโลกตลอด ถ้าวิชาเรียน (Module) ไหนไม่ตอบโจทย์ก็พร้อมลดหรือปรับให้สอดคล้องกับตลาดงาน อาจจะเกิดเมเจอร์ใหม่ขึ้นมาเลย หรือมีโครงสร้างจากหลักสูตรเดิมมาเสริมสิ่งใหม่เข้าไป แล้วกำหนดชื่อเมเจอร์ให้ครอบคลุมค่ะ
     
  • ภายใน 4 เทอมแรก (2 ปี) นักศึกษาสามารถเทียบโอนเพื่อย้ายสายหรือเปลี่ยนเมเจอร์ได้แบบอิสระ เหมาะกับคนที่อยากลองเรียนหลายๆ อย่างก่อนเลือกสายโฟกัสจริงจัง
     
  • ส่วนใหญ่วิชาเรียนจะเปิดกว้างมาก ลงได้เกือบหมด ยกเว้นบางวิชาที่มี pre-requisite ซึ่งก็คือวิชาที่ต้องเรียนให้ผ่านก่อนถึงจะไปลงวิชาขั้นที่สูงกว่าได้

อย่างตอนแรกตี้เข้ามาเรียนสาขา Information Systems ที่ผสมระหว่าง Business & Computing แต่พอเรียนแล้วรู้สึกคลิกกับ Business มากกว่า ก็เลย transfer มา BBA แล้วทำ Double Majors เป็น Real Estate และ Finance

สาขาเฉพาะใน BBA ของ NUS มีอะไรบ้าง?
(อัปเดตเดือนกันยายน 2025)

  1. Accountancy
  2. Applied Business Analytics
  3. Business Economics
  4. Finance
  5. Innovation & Entrepreneurship
  6. Leadership & Human Capital Management
  7. Marketing
  8. Operations & Supply Chain Management
  9. Real Estate
ดูโครงสร้างหลักสูตร BBA ที่ NUS 

เลือกเรียน “อสังหาฯ” ในประเทศเล็กที่คิดใหญ่
และ “ไฟแนนซ์” ในศูนย์กลางการเงินเอเชีย!

ตี้เลือก Double Major คือ Real Estate และ Finance ค่ะ

เมเจอร์แรก “อสังหาริมทรัพย์” (Real Estate) เพิ่งถูกย้ายเข้ามาในหลักสูตร BBA ไม่นานเองค่ะ ตี้สนใจเพราะเห็นและเติบโตมากับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาก็เริ่มสนใจในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งถ้าดูที่บริบทสิงคโปร์จะแตกต่างจากไทย ด้วยความที่เป็นประเทศเล็กแค่ประมาณ 700 กว่าตารางกิโลเมตร (เล็กกว่ากรุงเทพฯ เกือบครึ่ง) ~90% ของที่ดินในสิงคโปร์เป็นของรัฐ ไม่ใช่เอกชน ทำให้รัฐสามารถควบคุมและจัดระเบียบผังเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองคิดดูว่าเมื่อปี 1950-60s สิงคโปร์ยังเป็นประเทศยากจน มีทรัพยากรจำกัด แต่แค่ 40–50 ปีก็พัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค มีตึกสูงมากมาย และเป็นหนึ่งใน Destination ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ตี้เลยอยากรู้ Behind the Scenes ว่ารัฐบาลเขาบริหารจัดการยังไงถึงพัฒนาประเทศได้เร็วขนาดนี้

อีกเมเจอร์คือ “การเงิน” (Finance) ตี้คิดว่าการมีพื้นฐานการเงินที่ดี นอกจากจะทำให้เรียนอสังหาได้ดีมากขึ้น ยังสามารถเป็นพื้นฐานการจัดการเงินที่เป็นเรื่องของทุกคนและหลีกหนีไม่ได้

Finance ยังเป็นเมเจอร์ฮอตที่เด็ก BBA เลือกเรียนไป 2 ใน 3 ของคณะค่ะ เคยได้ยินว่าอาชีพในฝันของนักเรียนสิงคโปร์หลายคนคือนักเทรด (Trader) เพราะสิงคโปร์เป็น Financial Hub ของเอเชีย มีบริษัทใหญ่และธนาคารระดับโลกมาตั้งสำนักงานใหญ่ (HQ) อยู่เพียบ นอกจากนี้โครงสร้างภาษีของสิงคโปร์ยังออกแบบมาเพื่อดึงดูดคนเก่งจากทั่วโลก และผลักดันธุรกิจ-สตาร์ตอัปให้เติบโต บรรยากาศที่นี่เลยเอื้อมาก ตี้รู้สึกว่าการได้เรียนและอยู่ใน ecosystem แบบนี้ช่วยให้เข้าใจระบบการเงินของศูนย์กลางเอเชียจริงๆ

เรียนเน้นอภิปรายเดือดๆ
จากใจบางก็แข็งแกร่งขึ้น

คลาสที่ NUS ประมาณ 70-80% จะเป็นคนสิงคโปร์ และเด็กจีนมาเรียนเยอะ (โดยรวมคือส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายจีนค่ะ) นอกนั้นก็มีคนจากประเทศอื่นๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่คนไทยจะนิยมเรียน Engineering หรือ Computer Science กันมากกว่า ส่วนใหญ่ตี้เป็นคนไทยคนเดียวในคลาส BBA เพิ่งเคยเจอคนไทยในคลาสเดียวก็คือพี่ภูรินี่แหละค่ะ! 555

ที่ BBA จะเรียนแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Class Participation) เป็นหลัก ส่วนใหญ่เป็นคลาส Seminar ขนาด 30-50 คน ซึ่งมีบอกชัดเจนว่าแต่ละคลาสต้องเตรียมอ่านอะไรมาก่อนบ้าง ซึ่งจำเป็นต้องอ่านนะะะะ เพราะพอเริ่มคลาสจริงอาจารย์ไปเร็วมาก เน้นการดิสคัส แสดงความคิดเห็น และทำงานกลุ่ม โต๊ะเรียนในห้องก็จัดเป็นครึ่งวงกลม ทุกคนมีป้ายชื่อตัวเองตั้งข้างหน้า อาจารย์บางคนถึงกับปริ้นท์รูปนักเรียนมาเช็กทุกครั้งที่ตอบคำถามแล้วติ๊กคะแนน หรือบางวิชาอย่าง Accounting ใช้วิธีแจกกระดาษให้เด็กที่ตอบคำถาม เก็บรวมตอนท้ายเพื่อคิดเป็นคะแนน 

บรรยากาศในห้องเรียน
บรรยากาศในห้องเรียน

สำหรับคะแนน Participation บางวิชาเป็นสัดส่วนเยอะมากถึง 20% ทำให้คลาสคึกคักมาก ทุกคนพร้อมยกมือตลอดเวลา นอกจากนี้การพรีเซนต์ยังเป็นเรื่องปกติของเด็ก BBA เลย (เทอมนึงเคยนับเล่นๆ เจอพรีเซนต์ประมาณสิบครั้งได้ค่ะ)

ทุก presentation ทุกคนต้องใส่ชุด Formal
ทุก presentation ทุกคนต้องใส่ชุด Formal

ในช่วงแรกตี้ยังไม่ชิน กลัวคำตอบผิด กลัวพูดไม่รู้เรื่อง เลยต้องทำการบ้านหนักมาก โดยเฉพาะคลาสที่ยากๆ ก็ต้องถามเพื่อน บางคนจบจาก Poly* มาก่อน พอขึ้นมหาลัยก็เหมือนมา review ซ้ำ ส่วนเราก็ต้องเก็บเนื้อหาให้ทันและพยายามมีส่วนร่วมให้ได้ ตัดภาพมาที่ตอนนี้รู้สึกชิลขึ้นเยอะแล้วค่ะ เราตระหนักได้ว่าคำตอบเราไม่จำเป็นต้องถูกต้อง 100% เสมอไป ขอแค่เรามีเหตุผลในการ support ที่แข็งแรงและเป็นไปได้มากพอก็โอเคแล้ว อีกเรื่องคือภาษาอังกฤษคือการสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องเป๊ะทุกคำ ขอให้สื่อสารให้เพื่อนและอาจารย์เข้าใจก็พอ

*Polytechnic (หรือ Poly) คือสถาบันการศึกษาที่เน้นสายวิชาชีพ-ปฏิบัติ & ฝึกงานจริง เรียน 3 ปี หลังจบจะได้วุฒิ Diploma สามารถเข้าสู่ตลาดงานได้ หรือเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ได้ค่ะ

รูปนี้ทำให้เห็น Progression ของตัวเอง จากตอนมาใหม่แรกๆ ไม่กล้าพูด ไม่ได้คะแนน Class Participation (CP) เลย จนค่อยๆ ฝึกไป อ่านเนื้อหาก่อนเรียนจนค่อยๆ ชินขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเรียนสนุก และชิลกับ CP มากขึ้น
รูปนี้ทำให้เห็น Progression ของตัวเอง จากตอนมาใหม่แรกๆ ไม่กล้าพูด ไม่ได้คะแนน Class Participation (CP) เลย จนค่อยๆ ฝึกไป อ่านเนื้อหาก่อนเรียนจนค่อยๆ ชินขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเรียนสนุก และชิลกับ CP มากขึ้น

ถึงจะต้องแข่งขันกันยกมือทำคะแนน แต่ตี้รู้สึกได้ว่าไม่ใช่การแข่งขันกับคนอื่นแต่เป็นการแข่งขันกับตัวเองว่าเราเตรียมพร้อมได้ดีแค่ไหนค่ะ เพราะจริงๆ ช่วยกันเรียนก็เยอะ โดยเฉพาะบางวิชาที่มีรุ่นพี่รุ่นน้องเรียนด้วยกัน เลยรู้จักและมาเล่าให้ฟังว่าวิชาไหนเป็นยังไงบ้าง หรือมีแหล่งข้อมูล/หนังสืออะไรที่ไม่ควรพลาดบ้าง

อย่างไรก็ตามนะคะ ถ้าอยู่ที่นี่ “การหักล้างคือเรื่องปกติ” อย่าใจบางน้าาา~ นอกจากจะเจอตอนดิสคัสแล้ว ตี้เองก็เคยถูกเพื่อนล้าง paragraph ที่เขียนมาทั้งหมดตอนทำรายงาน ก็อึ้งไปค่ะ ㅠㅠ แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่าเป็น feedback ที่จะช่วยให้รายงานทั้งเล่มออกมาเป็นโทนเดียวกันทั้งหมด ถือว่าเป็นเรื่องดี เหลือแค่เราต้องทำใจให้ชินเท่านั้นเองค่ะ

. . . . . . . .

เพราะตลาดงานการแข่งขันเดือด
NUS ขอเตรียมเด็กให้พร้อมที่สุด

เด็กสิงคโปร์ฝึกงานกันตั้งแต่มัธยม!

จริงๆ ที่สิงคโปร์การฝึกงานตั้งแต่มัธยมถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะเด็ก Poly ที่มีฝึกงานอยู่ในหลักสูตรด้วย พอเข้ามหาลัยบางคนปี 1 ก็ได้ไปฝึกกับบริษัท Big 4 หรือบางคนถึงขั้นฝึกงานพร้อมกันสองที่เลยก็มีค่ะ

ด้วยความที่ตลาดงานโหดขนาดนี้ NUS เลยตั้งใจเตรียมเด็กให้พร้อมที่สุดตั้งแต่ปี 1 ทั้งการบิ๊วโปรไฟล์ การทำ LinkedIn, Portfolio, Resume ให้พร้อมสมัครฝึกงานตั้งแต่ปีแรก ลงรายละเอียดให้ลึกมาก เช่น การเลือกใช้ Action Verb ที่ impactful หรือการเขียน Greeting section ยังไงให้ engage ได้เยอะๆ รวมถึงมีคลาส Networking ที่เทรนเลยว่าถ้าไปออกงานจริงๆ ควรวางตัวยังไงให้คนจดจำได้

ฝั่ง Business School ของ NUS ก็มี BIZCareers (Career Development Office) ดูแลเส้นทางอาชีพแบบครบวงจร กิจวัตรประจำวันของตี้คือตื่นมาตอนเช้า เปิดเช็กแจ้งเตือนจาก BIZCareers ก่อนเลยว่ามีที่ไหนเปิดรับสมัครงานหรือฝึกงานอยู่บ้าง กิจกรรมที่จัดก็มีแทบทุกสัปดาห์ ทั้งซ้อมสัมภาษณ์แบบ 1-on-1, group discussion, mock interview ไปจนถึง workshop personal branding และ LinkedIn building ที่ช่วยให้โพรไฟล์ดูน่าสนใจขึ้นจริงๆ

และเด็ก Business ทุกคนจะต้องเข้าร่วม Career Workshop แบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ 1K = เน้นพื้นฐาน เช่น การอัด Elevator Pitch / Video Interview ฝึกสัมภาษณ์กับคอม หรือ 2K = เข้มข้นขึ้น เช่น Resume Critique และ Mock Interview กับ Instructor จริงๆ 

และที่ขาดไม่ได้เลยคือ “ชมรม”

ชมรมที่นี่จะเรียกว่า CCA (Co-Curricular Activities) ที่ NUS มีให้เลือกเยอะและเจาะลึกความสนใจมากๆ ค่ะ เรื่องชมรมที่นี่ไม่ใช่แค่ join หรือมาเล่นๆ แต่เค้าจริงจังมาก เกือบทุกชมรมมีสัมภาษณ์เพื่อคัดคนเข้าชมรม และ CCA ใน NUS BBA สำคัญมากๆ เพราะจะ consider เป็นส่วนหนึ่งของคะแนน SEP (Student Exchange Programme) และ การ join CCA ยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่มหาลัย consider หอในมหาลัยให้กับนักเรียน เนื่องจากหอในมหาลัยการันตีแค่ 1 ปี นักเรียนที่อยากอยู่หอในโรงเรียนจึงต้องทำ CCA กัน แต่ปีแรกตี้อยากโฟกัสการปรับตัวก่อนก็เลยแค่ลองไป Fencing และ Training ของชมรมกีฬาของ Hall บ้าง ร้องเพลงงานวันลอยกระทงที่สถานทูต และนัดเพื่อน/รุ่นพี่เที่ยว กิน และออกกำลังกายค่ะ!

กิจกรรม Orientation Day
กิจกรรม Orientation Day
งาน Student Life Fair ที่แต่ละ CCA จะมาออกบูธ
งาน Student Life Fair ที่แต่ละ CCA จะมาออกบูธ
(ซ้าย) Fencing สนุกมากๆๆๆๆ แต่กลับมาตัวเขียวทั้งตัว TT
(ซ้าย) Fencing สนุกมากๆๆๆๆ แต่กลับมาตัวเขียวทั้งตัว TT
(ขวา) Track Running Training กับเพื่อนที่ Hall
ร้องเพลงที่สถานทูตไทย
ร้องเพลงที่สถานทูตไทย
Night Run Gang กิจกรรมผ่อนคลายยามดึก
Night Run Gang กิจกรรมผ่อนคลายยามดึก

พอปี 2 ก็เริ่มอยู่ทั้งใน CCA เกี่ยวกับ Major ที่เรียนอย่าง Business Real Estate Network (BREN) ทั้งกีฬาอย่าง Swimming Club และจิตอาสาอย่าง NUS Red Cross Youth Project Fundraising และ NUS CatCafe รวมถึงเป็น Outreach Secretary ของ Association of Thai Students in Singapore (ATSIS) ด้วยค่ะ นอกจากนี้ ตี้ก็สมัครเป็น Volunteer บ้างค่ะ

NUS CatCafe Welcome Session
NUS CatCafe Welcome Session
Weekly Swimming Training
Weekly Swimming Training
1st ATSIS Committee Meeting
1st ATSIS Committee Meeting
ATSIS BBQ Party
ATSIS BBQ Party
เป็น Volunteer งาน RunNUS
เป็น Volunteer งาน RunNUS

CCA ใน NUS มีหลากหลายและครอบคลุมมากๆ แค่ CCA ที่เกี่ยวกับ Finance ก็มีแยกย่อย 5-6 CCA แล้ว เช่น NUS Invest Society, NUS Private Equity, NUS Asset & Management Club, NUS Alumni Ventures และ NUS Fintech Society

มี CCA ที่เกี่ยวกับ Real Estate อยู่ 3 CCA คือ Business Real Estate Network, Building & Estate Management Society และ NUS Real Estate Fund Management Club

ส่วน CCA ที่เกี่ยวกับ Consulting ก็มีไป 4-5 CCA ในการคัดจริงจังมากๆ มีทั้งรอบคัดให้ทำ Pitching Deck และ Group Interview โดยเมื่อผ่านการคัดเลือก ภายใน CCA ก็จะมีทั้ง workshop/case competition ที่เชิญ mentor จากบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ หรือ prof./speaker จาก industry มาแชร์ insight ทำให้เข้าใจโลกธุรกิจชัดขึ้นอีกก้าว ได้เจอเพื่อนที่สนใจในสายเดียวกัน และรู้ว่าต้องพัฒนาอะไรเพิ่มอีกบ้างค่ะ

Mentorship Program
แมตช์​เรากับโค้ชตัวจริงในวงการ

NUS ซัปพอร์ตการเติบโตในทุกด้านทั้งการเรียนและความสนใจ อยากเล่าว่าที่นี่มีระบบ NUSS-NUS Mentorship Programme แต่ใน Major Real Estate ที่ตี้เรียนก็มี Mentorship Programme ของ Real Estate เองที่ให้นักศึกษาใน Major ทุกคน pair กับ Alumni ที่ทำงานในการสายที่เราสนใจตั้งแต่ปี 1 โดยอาจารย์จะส่งเมลแนะนำโปรแกรมให้นักศึกษา ถ้าสนใจก็สามารถระบุได้ว่าเราสนใจอยากทำอะไรใน sector ไหนของอุตสาหกรรม Real Estate อย่างตอนนั้นตี้เองก็สนใจด้าน PropertyConsulting ปรากฏว่าได้เมนเทอร์เป็น Head of Consultancy จาก Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาอสังหาฯ ระดับโลกค่ะ!

โอกาสนี้ทำให้ตี้ได้พูดคุยโดยตรงว่าอุตสาหกรรม Real Estate ตอนนี้เป็นยังไง และเจาะลึกว่าในสาย Consuting มีรูปแบบยังไง ทำงานอย่างไง ครอบคลุมอะไรบ้าง มีโอกาสแบบไหนบ้าง และถ้าอยาก jump in ควรเริ่มและพัฒนาจากจุดไหนดี 

Prof จัด Workshop สำหรับนักเรียนใน Mentorship Programme
Prof จัด Workshop สำหรับนักเรียนใน Mentorship Programme

พอกลับไทยช่วงซัมเมอร์ 3 เดือน ตี้ได้ไปเรียนรู้ธุรกิจอสังหาของที่บ้าน และได้ทำทั้งการวางระบบราคาใหม่และ Digital Marketing ไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่ตี้ชอบมากคือการทำ Evaluation โดยเฉพาะเคสบ้านที่ถูกบังคับคดีแล้วเอามาประมูล ตี้สนุกกับการเอาข้อมูลพวกนี้มาวิเคราะห์ต่อว่าถ้าซื้อลงทุนจะคุ้มค่าไหม และมีโอกาสที่จะโตมากแค่ไหน


จากความสนใจนี้ ตี้เลยลองทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองช่วงปิดเทอม เป็น Agent อสังหาฯ ในไทย เน้นปล่อยเช่าให้ชาวต่างชาติ ถือว่าได้เรียนรู้กระบวนการตลาดอสังหาฯ ในไทยจริงๆ ไปด้วย แถมยังมีรายได้เสริมวัยเรียนด้วยค่ะ

. . . . . . . .

#รีวิวสิงคโปร์
พร้อมชี้เป้าโลเคชันฮีลใจ

สิงคโปร์เป็นเมืองเล็กแต่เต็มไปด้วยต้นไม้และห้างสรรพสินค้า เพื่อนๆ ชวนไปทำอะไรใหม่ๆ ตลอด บางทีก็ไป hiking หรือไปชายหาดกับเพื่อนๆ เข้าเมืองก็แวะ Marina Bay Sands (MBS) กันบ้าง บางคนยังไปเล่น Pilates อีกด้วย ที่ NUS เองยังมี club รวมตัวกันไป hiking ก่อนสอบ ได้ทั้งออกกำลังและเปลี่ยนบรรยากาศไปพร้อมกัน

งานอดิเรกของตี้คือออกไปหาร้านใหม่ๆ ตะลุยกินเรื่อยๆ 555 ถ้าให้ตี้ชี้เป้าสถานที่ฮีลใจ ร้านอาหารที่อร่อยแบบแสงออกปาก หรือว่าบรรยากาศที่อยากลองไปสัมผัสถ้าได้มาเที่ยว อยากแนะนำประมาณนี้ค่า

  • Marina Barrage เป็นสถานที่โปรดเลยแต่อาจจะไม่ได้เป็น lankmark ที่นักท่องเที่ยวไทยไปกันบ่อยๆ จุดปิกนิกวิวสวย มองเห็นสิงคโปร์ทั้งเมือง แถมยังเห็น Marina Bay Sands อยู่ไกลๆ ด้วย บรรยากาศชิลสุดๆ ช่วงหกโมงเย็นกำลังดี แต่ถ้าไปหลัง 2-3 ทุ่มก็สงบมากๆ เป็น open space มุมกว้างๆ เดินทางง่ายเพราะติด MRT
     
  • Sentosa Beach คนส่วนใหญ่มักจะมา Sentosa เพื่อไปสวนสนุก Universal Studios Singapore แต่จริงๆ แล้วชายหาดที่นี่คือบำบัดจิตใจตี้มากค่ะ~ อยู่ห่างจาก NUS ไม่ถึง 40 นาที นั่งบัสไปได้สบายๆ ฟีลเหมือนพัทยาหรือบางแสนของไทยนี่แหละ
  • Hamburg Steak Keisuke ถ้าเรื่องกิน ตี้ยกให้ร้านนี้เป็นที่สุด Hamburg อร่อยมากกกกก แถมสลัดบาร์ก็ดีแบบสุดปัง ไกลแค่ไหนตี้ก็ไปกินอยู่บ่อยๆ ค่ะ
  • Chagee สาขา Yusof Ishak House ที่ NUS จริงๆ “ชาจี” เป็นร้านชาสัญชาติจีนที่มีเปิดหลายสาขาในสิงคโปร์ แต่ความพิเศษของสาขาใน NUS คือต้องสั่งออนไลน์เท่านั้น และ “พนักงานทุกคนสื่อสารด้วยภาษามือ” เขาตั้งใจออกแบบมาเพื่อให้ผู้พิการทางการได้ยินสามารถใช้บริการได้สะดวกและสบายใจที่สุด ตี้รู้สึกเป็นการออกแบบที่น่ารัก อบอุ่น และใส่ใจทุกคนจริงๆ ค่ะ ที่สำคัญร้านนี้อยู่ใกล้ศูนย์สอบพอดี ช่วงใกล้สอบเพื่อนๆ ก็มักจะมารวมตัวกันที่นี่ เลยกลายเป็นอีกจุดคึกคักของ NUS ไปเลย~

    Note: ถ้าใครสนใจลองตามไปอ่านที่ลิงก์นี้ได้ค่า https://www.asiaone.com/lifestyle/chagee-opens-sign-language-store-nus-supporting-deaf-community

ตอนนี้ตี้กำลังเรียนปี 2 แล้วพบว่าสังคมเด็ก NUS จะ take serious ทุกเรื่องจริงๆ ทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม สิ่งที่ท้าทายเลยคือการจัดการเวลาให้บาลานซ์กับชีวิต ตี้เองก็พยายามเรียนควบคู่กับไปกับการทำกิจกรรม ทั้งการเข้าชมรม เข้าร่วม Workshop หรือ Hackathon รวมถึงหาเวลาไปทำงาน Volunteer ด้วยค่ะ  ส่วนตัวอยากหาเวลาออกกำลังกายด้วย ตั้งใจว่าจะไปยิมหรือว่ายน้ำสัปดาห์ละครั้ง แต่ก็มีบ่อยที่งานด่วนเข้ามาแล้วต้องยกเลิกไป สุดท้ายเลยต้องเลือกและเสียสละอะไรบางอย่างเหมือนกัน

ในช่วงแรกของชีวิตมหาลัยอาจจะรู้สึก overwhelmed หรือ FOMO ไปบ้าง ซึ่งมันปกติมากๆ เพราะทุกคนรอบตัวเราต่างก็เป็นเด็กจอมพลังที่ทั้งเรียนดี กิจกรรมเด่น แต่เมื่อผ่านไป สำหรับตี้คิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีความสุขกับสิ่งที่ทำ และก้าวไปข้างหน้าในเส้นทางและเป้าหมายของเราค่ะ ;)

 

สำหรับใครที่กำลังสนใจหรือกำลังจะมาเรียนต่อที่ประเทศสิงคโปร์ สามารถติดตาม สมาคมนักเรียนไทยในสิงคโปร์ (ATSIS: Association of Thai Students in Singapore) ที่จะมีการข่าวสารการเรียนต่อในประเทศสิงคโปร์ รวมถึงมีการจัดกิจกรรมรวมตัวนักเรียนไทยในสิงคโปร์อยู่บ่อยๆ เช่น งานวันลอยกระทง, งานวันสงกรานต์, BBQ Party, Singapore Tour, กิจกรรมสายรหัส และยังมีการจัดงาน Professional Networking สามารถติดตามข่าวสารได้ที่

 

. . . . . . . .

[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา

เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่!  พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง

  • 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
  • ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอก หลายทุนหลายประเทศ
  • แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
  • IELTS Mock Test ฟรี  (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
  • Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
  • โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
  • จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
มาเถอะ อยากเจอ~ ดูรายละเอียดงานที่นี่
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น