'พี่เฟิร์น’ รีวิว 5 ข้อฉบับเด็กทุนรัฐบาลเกาหลี ลัดฟ้าไปเปิดโลก ป.ตรี เคมีบิวตี้ที่ ม.ดังแห่งเกาะเชจู!

안녕하세요 ชาว Dek-D ถ้าพูดถึง “เกาหลีใต้” หลายคนมักนึกถึงศูนย์กลางอุตสาหกรรมความงามระดับโลกที่อยู่ใกล้บ้านเรา เพราะครองตลาดทั้งสกินแคร์ เมกอัป และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กลายเป็น Soft Power ที่ดึงดูดให้คนทั่วโลกอยากเดินทางมาสัมผัสเสน่ห์ของแดนโสมด้วยตัวเอง

แล้วจะดีแค่ไหน ถ้าคนที่อินกับวัฒนธรรมเกาหลี แล้วได้ทุนฟรีไม่มีข้อผูกมัดไปสัมผัสเบื้องหลังความเฉิดฉายของ K-Beauty ถึงที่?

วันก่อนเราได้พูดคุยกับ “พี่เฟิร์น–ภูษนิศา” รุ่นพี่เด็กทุนรัฐบาลเกาหลี GKS-U รุ่น 2020 แบบ University Track ที่เพิ่งเรียนจบ ป.ตรี สาขา Chemistry and Cosmetics คณะ Natural Science ที่ Jeju National University บนเกาะเชจูอันโด่งดังเรื่องธรรมชาติสุดโรแมนติก และให้เกียรติมาแชร์ประสบการณ์กับเราว่าเส้นทางการสมัครทุนดัง การเรียนสายบิวตี้เข้มข้น จนถึงชีวิต 5 ปีในเกาหลีใต้ทั้งสนุกและท้าทายครบรสขนาดไหน พร้อมแล้วไปอ่านกันเลยค่าา

โอกาสทอง! ปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา

จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ "พี่เฟิร์น” ตัวจริงได้ในวันเสาร์ที่งาน  Dek-D's Study Abroad Fair  นะคะ รอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย ก.พ. และ ทุน UIS, CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN Scholarships (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards (ออสเตรเลีย), และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน

. . . . . . . .

1

เมื่อความชอบสายบิวตี้ & ซีรีส์เกาหลี
มาบรรจบกันเป็นเป้าหมายใหม่

จุดเริ่มต้นเฟิร์นน่าจะเหมือนเด็กผู้หญิงหลายๆ คนที่ชอบเครื่องสำอาง สกินแคร์ และติดซีรีส์เกาหลีมากค่ะ แล้วอย่างที่รู้ว่าเกาหลีเป็นประเทศที่ดังเรื่อง K-Beauty ทำให้เริ่มคิดว่า “ถ้าได้ไปเรียนด้านนี้ที่เกาหลีจะเป็นยังไงนะ”

คำถามต่อมาคือ เราจะไปเรียนที่เกาหลีได้ยังไงล่ะ? จนกระทั่งไปคลิปของพี่เจ jaysbabyfood ทำให้รู้จัก “ทุนรัฐบาลเกาหลี” (GKS-U) ที่ให้ไปเรียนฟรี ตอนนั้นเพิ่งเข้าช่วงสิงหาคม แต่ทุนเปิดรับกันยายน กระชั้นมากค่ะแต่ขอลองเต็มที่สักหน่อย

เฟิร์นเริ่มจากศึกษาข้อมูลทุน เข้าเว็บ GKS ไปเช็กว่ามีคณะกับมหาลัยอะไรที่ยื่นได้บ้าง แล้วมาสะดุดกับ Chemistry and Cosmetics ที่ Jeju National University เชื่อมั้ยว่าตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชจูคือเกาะ! แต่เฟิร์นพุ่งตรงยื่นที่นี่ตัวเลือกเดียวเลยค่ะ สมัครแบบ University Track ซึ่งเขาจะมีเอกสารของทุนให้เราปริ้นท์ แล้วยื่นไปส่งไปรษณีย์ให้มหาลัยโดยตรงได้เลย

ถ้าใน Statement of Purpose (SOP) ของเฟิร์นเน้นเขียนเล่าชีวิตว่าเราเรียนอะไรมาบ้าง กิจกรรมเด่นๆ ที่เคยทำ (เฟิร์นเล่าว่าเคยไปค่ายผู้นำ เพราะคณะที่สมัครมีความเฉพาะทางมาก เลยยังไม่มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับคณะโดยตรง) แล้วก็เล่าว่าถ้าเรียนจบจะไปต่อยอดยังไงบ้าง ส่วน Study Plan อธิบายแผนว่าแต่ละปีตั้งใจจะลงวิชาอะไร อยากเข้ากิจกรรมอะไรบ้างที่จะช่วยให้ได้พัฒนาตัวเองได้

เปิดโพรไฟล์ & ทริคเตรียมตัวของ 5 นักเรียนไทยที่ได้ทุนรัฐบาล ป.ตรี เกาหลีใต้ 2020

https://www.dek-d.com/studyabroad/54225 

Jeju-do, South Korea
Jeju-do, South Korea
Photo by Linda Yuan on Unsplash.com

. . . . . . . .

2

เริ่มเรียนคลาสภาษาเกาหลีแบบสับๆ
ฉบับคนพื้นฐานเป็นศูนย์

ปีแรกเฟิร์นไปเรียนภาษาเกาหลีที่ “สถาบันภาษามหาวิทยาลัยปูซานเวแด” (Busan University of Foreign Studies; BUFS) ใช้หนังสือสอนภาษาเกาหลีของ Yonsei เป็นหลัก แต่อาจารย์จะมีทำเอกสารเตรียมสอบ TOPIK เองค่ะ เพื่อนที่เรียนด้วยกันไม่ได้มีแค่เด็กทุนที่ปรับภาษา แต่นักศึกษาต่างชาติที่ตั้งใจมาเรียนคอร์สภาษาโดยตรงเลยค่ะ

ตอนนั้นเฟิร์นไปเริ่มภาษาเกาหลีจากศูนย์ พอไปถึงเขาจะมีทดสอบเพื่อแบ่งห้องตามเลเวล โดยให้เราเขียนอะไรก็ได้ลงกระดาษ ถ้าเขียนเกาหลีไม่ได้ก็เขียนภาษาอังกฤษแทน เฟิร์นเลยได้มาเริ่มระดับต้นสุด เรียนทั้งปูพื้นฐานทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน และสอบ TOPIK ที่ได้ฝึกปฏิบัติจริงก็คือหัดออกเสียง ฝึกสนทนา และสอบพรีเซนต์ อาจารย์ก็มีทั้งเฟรนด์ลี่จนเรียนแล้วสบายใจ หรือเข้มงวดจนแอบกดดันเบาๆ มีใช้ภาษาอังกฤษช่วยแค่ช่วงแรกๆ จนนักเรียนเริ่มอ่านกับสะกดคำเกาหลีได้แล้ว

ช่วงปรับภาษา ตารางเรียนแน่นตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ มีสอบเก็บคะแนนเรื่อยๆ (ถ้ามีสอบอาจเลยไปถึง 4-5 โมงเย็น และมีให้หยุดหลังจากนั้น 1-2 สัปดาห์) แล้วก็ปิดเทอม 1 เดือนค่ะ ที่หนักสุดคือช่วงท้ายๆ เพราะต้องสอบ TOPIK กึบ 3 ถึงจะผ่านไปเรียน ป.ตรีได้ แต่รุ่นเฟิร์นเจอช่วงโควิด-19 เลยเหลือรอบที่สอบได้น้อยลงค่ะ

Busan, 대한민국
Busan, 대한민국
Photo by Minku Kang on Unsplash

. . . . . . . .

3

ตัดภาพมาที่ ป.ตรี ของจริง
ฉบับเด็กสายเคมีบิวตี้ที่เชจู

พอขึ้นปี 1 ชีวิตเปลี่ยนสุดขั้วเลยค่ะ! 

ช่วงเทอมแรกก็ยังคงเรียนออนไลน์อยู่ ก็เลยยังหาเพื่อนไม่ได้ ไปไหนมาไหนคนเดียว (เปิดออนไซต์ตอนเทอม 2) และสิ่งที่ยากสุดคือการเรียนเป็นภาษาเกาหลีล้วนๆ รู้สึกเลยว่ากึบ 3 ไม่พอ อาจารย์พูดเร็วฟังจนฟังไม่ทันประจำ แถมศัพท์ที่ใช้สอบ TOPIK กับศัพท์ในคลาสก็คนละโลก พอกลับห้องเลยต้องเปิดหนังสืออ่านใหม่ แปลจากเกาหลีเป็นอังกฤษ แล้วค่อยแปลเป็นไทยอีกรอบ เลยแนะนำว่าถ้าวิชาไหนมีหนังสือภาษาอังกฤษด้วยก็จะซื้อมาอ่านคู่กัน ช่วยได้เยอะ (แต่บางวิชาก็ไม่มีนะ) 

จำได้ว่าเทอมนั้นยากจนเฟิร์นเกือบยอมแพ้ โทรหาแม่เลยว่าอยากกลับบ้านแล้ววว ㅠㅠ แต่เพราะกฎของทุน GKS คือทุกเทอมต้องรักษาเกรดไม่ต่ำกว่า 70-80% ถ้าได้ใบเตือนครบ 3 ครั้งก็มีสิทธิ์ถูกรีไทร์ เฟิร์นเลยคิดว่าให้ถึงเวลานั้นก่อนค่อยยอมแพ้ก็ได้ ตอนนี้ฮึบไปก่อนๆๆ สุดท้ายก็ผ่านมาด้วยดีค่ะ

ปีนี้ยังไม่เจอวิชาคณะ ส่วนใหญ่เป็นวิชาเลือกเสรี เช่น กีฬา คณิต คอมพิวเตอร์ หรือวิทยาศาสตร์พื้นฐาน รวมสองเทอมลงไปเกือบ 18 วิชาเลยค่ะ เฟิร์นตั้งใจอัดวิชาเสรีให้หมดตั้งแต่ปีแรก เพราะรู้ว่าพอขึ้นปี 2 จะเริ่มหนักด้วยวิชาเฉพาะ เลยเลือกเคลียร์ให้โล่งก่อนดีกว่า

แล้วในปีเดียวกันนี้ เฟิร์นก็มีโอกาสได้ไปดูโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่เกาะเชจูด้วยนะ มหาวิทยาลัยจะเปิดให้นักศึกษาที่สนใจลงทะเบียนไปดูได้ รุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ทำงานอยู่ก็พาชมและแนะนำเครื่องมือ ความต่างที่เห็นชัดคือในแล็บมหาวิทยาลัยจะใช้เครื่องเล็กๆ ทำเป็นตัวทดลอง แต่พอไปโรงงานจริงจะเจอเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ผลิตเป็นล็อตใหญ่ๆ เป็นระดับอุตสาหกรรมค่ะ

ปี 2

เริ่มเข้าสู่วิชาของสาขาค่ะ มีทั้งทฤษฎีล้วน และทฤษฎี+ทำแล็บ เรียนเนื้อหาหนักและเข้มข้นมากขึ้น ที่สำคัญคือเจอเพื่อนในคณะทุกวัน บรรยากาศการเรียนและสังคมเริ่มเข้าที่ วิชาที่เรียนก็เต็มไปด้วยแล็บๆๆๆ ไม่ว่าจะเป็นแล็บชีวะ ฟิสิกส์ เคมีทั่วไป รวมทั้งฟิสิกส์พื้นฐาน ถึงจะยากแต่ก็สนุกค่ะ เห็นภาพการทำงานจริงชัดขึ้น

ปี 3

เนื้อหาลงลึกกว่าเดิมอีก และต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทำ Project หรือ Design เป็นงานจบ อย่างเฟิร์นก็เลือกทำ Design เป็นงานกลุ่มที่จะจับกลุ่มทำกับเพื่อนตอนปี 4 ค่ะ

ปี 4

โหปีนี้สนุกสุดดดด ฟูลฟิลมาก ไฮไลต์คือวิชา “ทำแล็บเครื่องสำอาง” ที่ได้ลงมือผสมเองคนเองกับมือ!

ทุกสัปดาห์ได้ลองทำสกินแคร์แต่ละชนิด เช่น น้ำหอม โฟมล้างหน้า เจลล้างหน้า หรือเซรั่ม ทำให้รู้ว่าเค้าใช้ส่วนผสม (Ingredients) อะไรบ้าง แล้วคนเองผสมเองกับมือเลยค่ะ! อาจารย์จะให้สูตรตั้งต้นมา แต่เราสามารถปรับเพิ่มส่วนผสมหรือกลิ่นได้เอง มีใส่อะไรบ้างก็จดไว้ แล้วบันทึกว่าใช้แล้วรู้สึกยังไง ได้ผลลัพธ์ยังไงบ้าง ใส่อะไรมากหรือน้อยไป กลิ่นโอเคมั้ย เป็นต้น เขียนเป็นรายงานส่งทุกสัปดาห์

อาจารย์ที่สอนตอนนั้นน่าจะเป็นตัวท็อปของวงการ (ผู้สอนอาจมีเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี) และมหาวิทยาลัยมีห้องแล็บสำหรับการพัฒนาเครื่องสำอางโดยเฉพาะ รู้สึกว่าแล็บที่นี่พร้อมมาก ทั้งเครื่องตรวจและอุปกรณ์วัดต่างๆ ตอนเข้าห้องแล็บครั้งแรกตื่นเต้นสุดๆ เลยค่ะว่าอาจารย์จะสอนอะไร แล้วได้ลองทำผลิตภัณฑ์ตัวไหนบ้าง

เท่าที่เคยลองเรียนแล้วทำมาทั้งหมด ชอบสุดคือ “น้ำหอม” ได้เรียนรู้เรื่องกลิ่น top, middle, base รวมถึงการปรับระดับแอลกอฮอล์ ความเข้มข้นของหัวเชื้อ และระยะเวลาการติดทน รู้สึกว่าละเอียดอ่อนและน่าตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นว่าในที่สุดกลิ่นที่เราคิดออกมาจะเป็นยังไง

ตอน ม.ปลาย เฟิร์นชอบเครื่องสำอางในแง่การใช้ แต่ยังไม่รู้เลยว่าแต่ละอย่างถูกผลิตขึ้นมายังไง ต้องผ่านกระบวนการแบบไหน หรือใช้ส่วนผสมอะไรบ้าง พอมาเรียนตรงนี้ก็ได้เห็นชัดเจนว่าเคมีถูกนำมาประยุกต์ให้กลายเป็นเครื่องสำอางได้จริง ตั้งแต่การเลือก ingredients การทดสอบ ไปจนถึงการทำเป็นสูตรที่ใช้ได้จริง ทำให้ความชอบที่มีอยู่แล้วขยายเป็นความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เลือกทำ Biodance Mask เป็นงานจบ

อย่างที่เล่าว่าเฟิร์นเลือก ‘Design’ โจทย์คือการสร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางขึ้นมาจริงๆ เราจะเริ่มจากประชุมในทีมก่อนว่ากลุ่มเราจะทำอะไร เช่น แชมพู น้ำหอม หรือสกินแคร์ชนิดอื่นๆ สุดท้ายกลุ่มเฟิร์นเลือกทำมาสก์ไฮโดรเจล (Biodance Mask) ที่เน้นลดริ้วรอย ลดจุดด่างดำ และเพิ่มความกระจ่างใส ขั้นตอนคือหาส่วนผสมที่ใช้ได้จริง แล้วเข้าแล็บลองคิดและผสมสูตรที่เวิร์กที่สุด อาจจะต่อยอดจากสูตรตั้งต้นหรือเน้นความแปลกใหม่ก็ได้

หลังจากนั้นเฟิร์นกับเพื่อนก็นำมาสก์ที่ทำขึ้นมาลองใช้เองเพื่อดูผลลัพธ์ (ในหลักสูตรจะสอนส่วนผสมที่ปลอดภัยค่ะ) แล้วเขียนเป็นรีพอร์ตวิจัยส่ง สิ่งที่ได้ยังเป็นแค่ Demo สำหรับทดสอบ เพราะถ้าจะต่อยอดไปผลิตจริงต้องผ่านมาตรฐานและการตรวจสอบที่เข้มงวดอีกหลายขั้นค่ะ

ชอบสุด VS. เครียดสุด คือวิชาไหน?

ถ้าชอบสุดก็คือวิชาแล็บเครื่องสำอางที่เล่าก่อนหน้านี้ แล้วก็มี “เคมีวิเคราะห์” กับ “เคมีเชิงคำนวณ” เพราะชอบคณิตอยู่แล้วค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าที่เกาหลีจะไม่ได้เน้นเนื้อหาหนักๆ อัดแน่นจนเกินไป

แต่ที่หนักใจสุดคงเป็น “เคมีเชิงฟิสิกส์” เพราะไม่เคยชอบฟิสิกส์มาตั้งแต่มัธยม พอเจอระดับมหาวิทยาลัยก็ยิ่งมึนไปใหญ่ค่ะ อาจารย์สอนด้วยศัพท์เทคนิคเยอะจนตามไม่ทัน ถึงขั้นหันไปถามเพื่อนว่าอาจารย์สอนอะไร ซึ่งเพื่อนก็มักตอบว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกัน” (อ้าว! 5555) เวลาเข้าแล็บถ้าอ่านเนื้อหาก่อนไปบ้างจะช่วยให้เข้าใจขึ้น แต่ถ้าเป็นทฤษฎีก็ต้องนั่งตั้งใจฟังให้ออก

ถ้าเป็นเรื่องเส้นทางอาชีพหลังจบ รุ่นพี่หลายคนที่เรียนจบไม่ได้ทำงานตรงสายเสมอไป บางคนทำงานในแล็บ บางคนเลือกเรียนต่อปริญญาโท หลายคนไปทำงานต่างประเทศ ส่วนเฟิร์นเอง เป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนแรกคืออยากทำงานกับแบรนด์เครื่องสำอาง แต่ตอนนี้อยู่ในช่วง gap year และอยากลองค้นหาว่าจะชอบงานแบบไหนที่สุดค่ะ

เว็บสาขา Chemistry & Cosmetics

. . . . . . . .

4
แม้ในวันที่ส้มไม่หวาน
แต่เกาะเชจูทำให้อยากสู้ต่อ!

ด้วยความที่ "คะแนนสอบ" คิดเป็นสัดส่วนที่มากสุดของแต่ละวิชา บรรยากาศช่วงสอบกลางภาคและปลายภาคก็เลยเต็มไปด้วยความเครียด น้ำตา กับการอดนอนค่ะ! ยิ่งถ้ารู้สึกอ่านไม่ทันจะนอยด์มากกก  เฟิร์นเป็นสาย One Night Miracle ตลอด เพราะที่นี่ไม่มีหยุดอ่านหนังสือก่อนสอบเหมือนบางมหาวิทยาลัย

ถ้าถามว่าผ่านมาได้ยังไง?

วิธีที่ดีที่สุดสำหรับเฟิร์นคือการร้องไห้ เดินเล่นรอบมหาลัยบ้าง กินน้ำหวาน ดูซีรีส์ ที่สำคัญคือไปนั่งเล่นริมทะเล ซึ่งบรรยากาศกับอากาศที่เชจูมีส่วนช่วยเยอะมากๆ เฟิร์นได้เห็นภาพบรรยากาศตลอด 4 ฤดู แล้วก็รู้สึกชอบจนเป็นแรงบันดาลใจให้อยากอยู่ต่อเพื่อจะได้เห็นธรรมชาติแบบนี้ต่อไป  ถึงแม้ว่าการอยู่ที่เชจูอาจไม่สะดวกเหมือนโซล เพราะที่นี่ไม่มีรถไฟ ต้องใช้บัสเป็นหลัก แล้วก็ไม่ค่อยเห็นคนขี่จักรยานกันเท่าไหร่ แต่ยังไงเฟิร์นก็ชอบมากอยู่ดีเพราะได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติเต็มๆ ทั้งทะเล ภูเขา และอากาศดีๆ

Jeju island
Jeju island
Photo by Jieun Lim on Unsplash

ที่สำคัญคือเรื่อง “สังคม” เฟิร์นว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เจอเพื่อนดีๆ ช่วยกันเรียน ส่วนมากจะเป็นเพื่อนคนเกาหลี เฟิร์นเป็นคนไทยคนเดียว แล้วมีเด็กต่างชาติอีกคน (ถ้าเป็นเด็กต่างชาติ ป.ตรี จะมีน้อยมากๆ)

ช่วงสอบก็จะเห็นเพื่อนๆ อ่านหนังสือกันหนักมากทั้งสัปดาห์ บางคนโหมอ่านแบบใส่เต็ม บางคนอาจบาลานซ์การพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมด้วย ขึ้นอยู่กับสไตล์แต่ละคนเลยค่ะ ส่วนเฟิร์นเน้นอ่านช่วงที่ตัวเองมีสมาธิที่สุด ก็คือเย็นๆ ไปถึงดึก // มีครั้งหนึ่งไปนั่งริมทะเลแล้วถ่ายลงสตอรี่ เพื่อนก็ตกใจเลยว่าเราไม่ต้องอ่านเลยหรอออ~ เฟิร์นก็เลยบอกว่าจำเป็นต้องพักสายตากับสมองจากหนังสือสักหน่อยค่ะ  5555

เล่าให้ฟัง เกาะเชจูปังขนาดนั้นเลยหรอ~

เฟิร์นว่าเรื่องธรรมชาติเชจูคือที่สุด แต่ถ้าอยากได้ฟีลเมืองก็โซล ส่วนปูซานคือกลางๆ มีทั้งทะเลทั้งความเป็นเมือง ฟีลเหมือนพัทยาเลย

  • การเรียนแต่ละวันเหมือนได้ออกกำลังกายไปในตัว เพราะมหาลัยอยู่บนเนินเขา อากาศสดชื่น แถมยังติดป่า ยิ่งเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติไปอีกค่ะ บางวันยังเคยเห็นกวางเดินตัดถนนให้ตกใจเล่นๆ
     
  • เดินทางไม่ลำบากเพราะอยู่หอใน ถ้าวันไหนไม่มีรถรับ-ส่งก็จะประกาศล่วงหน้า ไม่ได้เซอร์ไพรซ์เรา แต่ว่าถ้าอยากเข้าเมืองต้องนั่งรถบัส เพราะที่เชจูไม่มีรถไฟเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ
     
  • กิจกรรมที่ทำบ่อยๆ ก็คือแวะไปเช็กอินทะเลรอบเกาะ เพราะที่เชจูหาดสวยทั้งเกาะเลย บางคนก็ชอบปีนเขา โดยเฉพาะ “เขาฮัลลาซาน” (한라산) ภูเขาที่สูงที่สุดของเกาหลี ขึ้นทะเบียน UNESCO กว่าจะขึ้นไปถึงยอดก็เหนื่อยจริง แต่เห็นวิวแล้วรู้สึกคุ้มหายเหนื่อยจริง!
     
  • ร้านอาหารใกล้ฉัน มีร้านอาหารทั้งหน้าและหลังมหาลัยเลยค่ะ อยากชี้เป้าหลายร้าน เช่น 
    - ร้านหลังมหาลัยที่คุณลุงคุณป้าคู่หนึ่งเปิดขาย เมนูเด็ดคือ “สตูว์กิมจิปลาแมคเคอเรล” (고등어김치찜) “ปลาซาบะย่าง” (고등어구이) และ “ไข่ตุ๋น” (계란찜) ที่ตักเองได้เป็นเครื่องเคียง อบอุ่นเหมือนกินข้าวบ้านครอบครัวเล
    - ถ้าใครไปกรุงโซล “ร้านแม่ใหญ่ ส.” เป็นร้านอาหารไทยที่ถูกต้องมาก
    - ส่วนใครกลับไทยแล้วคิดถึงอาหารเกาหลี ลองดูที่  “BHC Chicken Thailand” ได้นะคะ
    - เมนูเกาหลีที่เลิฟสุดๆ คือ “จิมดัก” (찜닭) ไก่ตุ๋นซอสดำๆ ใส่เส้น มันฝรั่ง แครร์อต รสชาตินัวๆ กินแล้วติดใจยาวๆ

พูดถึงอาหารเกาหลี คนไทยมาที่นี่อาจต้องปรับตัวบ้าง อย่างตอนแรกเฟิร์นเห็น “ต๊อกบกกี” (떡볶이) ในซีรีส์แล้วดูน่ากินสุดๆ แต่พอได้ลองจริงกลับรู้สึกไม่ค่อยโดนเส้นอย่างที่คิด กลายเป็นเมนูที่กินไม่บ่อยค่ะ 555 แต่ถึงอย่างนั้นก็กิจกรรมของมหาลัยที่ให้ใส่ชุดฮันบกแล้วลงมือทำต๊อกเองด้วยนะ เป็นอีกประสบการณ์ที่สนุกดีเหมือนกันค่า

และๆๆๆ อีกไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้!

ที่ ม.เชจู มีเทศกาลดนตรีใหญ่ประจำปี Ara-Daedongje Festival (아라대동제) บรรยากาศสนุกมากกก ทุกคนจะมาเปิดบูทขายของกัน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ของทำมือเต็มไปหมด แล้วมหาลัยก็จัดใหญ่ด้วยการเชิญศิลปิน K-POP มาขึ้นเวทีเหมือนคอนเสิร์ตย่อมๆ

เฟิร์นไปทุกปีเลยนะ เพราะรู้สึกว่าเป็นไฮไลต์ใหญ่ของเด็กมหาลัยจริงๆ แต่ปีที่ประทับใจที่สุดคือวันที่ DAY6 มาร้องสดในงาน ตอนนั้นเห็นตัวจริงใกล้ๆ ครั้งแรกคือกรี๊ดในใจแรงมาก นี่เราได้เจอศิลปินที่ชอบสุดๆ อยู่ตรงหน้าเลยหรอ แฟนคลับอย่างเราก็ใจฟูเลย บรรยากาศก็โคตรดี น่าจะเป็นโมเมนต์ที่ไม่น่าจะหาได้จากที่ไหนอีกแล้วค่ะ~

. . . . . . . .

5

ปิดท้ายด้วย Fun Facts
รีวิวเกาหลี 7 ข้อจากประสบการณ์ส่วนตัว

1) คัลเจอร์ช็อกเล็กๆ แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

บางเรื่องจะต่างจากไทยบ้างค่ะ อย่างเช่นที่เกาหลีจะเห็นคนสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมากกว่าที่เคยชิน หรือห้องน้ำที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่มีสายฉีด ก็เลยต้องปรับตัวใช้วิธีอื่นแทน เวลาไปทะเลแล้วใช้ห้องอาบน้ำรวมก็แอบแปลกใหม่สำหรับเรา เพราะจะเป็นห้องชาวเวอร์แบบเปิด มีฝักบัวเรียงรอบห้อง ทุกคนก็อาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดตรงนั้นเลย คล้ายบรรยากาศออนเซนในแบบของเกาหลี แต่เรื่องนึงที่เป็น Culture Shock ในด้านที่ประทับใจมาก คือการข้ามถนน รถที่นี่จะหยุดให้คนเดินเสมอ โดยเฉพาะตรงทางม้าลาย รู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะเลย~

 สำหรับใครที่จะมาอยู่ เฟิร์นแนะนำเลยว่าควรพก “ขันน้ำ” มาด้วย เพราะห้องน้ำที่นี่ไม่มีสายฉีด จะได้สบายใจเหมือนอยู่บ้านค่ะ 5555

2) เรียนรู้ความเร็วและความเป๊ะสไตล์คนแดนโสม

สิ่งที่เฟิร์นซึมซับจากที่นี่อย่างแรกคือ “ความเร็ว” คนเกาหลีทำอะไรก็เร็วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน บริการ หรือชีวิตประจำวัน อีกอย่างคือ “ความเป๊ะ” โดยเฉพาะเรื่องเวลา ถ้าเป็นนัดกับเพื่อนๆ ที่เชจูก็อาจจะมีสายบ้าง แต่พอมีเหตุผลก็เข้าใจกันได้ แต่ถ้าเป็นนัดกับผู้ใหญ่จะต้องระวังมากกว่าหน่อย เพราะที่นี่จริงจังเรื่องเวลาและระบบอาวุโส ถือเป็นเรื่องมารยาททางสังคมที่สำคัญ

3) สไตล์การแต่งตัว

ตอนอยู่ไทยเฟิร์นใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส ชมพู แดง แต่พอไปถึงเกาหลี เพื่อนบอกเลยว่าดูออกทันทีว่าเป็นต่างชาติ เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่คุมโทนเสื้อผ้า ขาว ดำ เทา เบจ รู้ตัวอีกทีเฟิร์นก็แต่งตัวกลมกลืนกับคนที่นี่ไปแล้ว 555

4) การแต่งหน้าและสกินแคร์

การแต่งหน้าที่นี่ก็ต่างจากที่เราเคยชินนะคะ คนไทยมักจะกรีดอายไลเนอร์ตั้งแต่หัวตาไปจนถึงหางตา แต่เกาหลีจะกรีดแค่หางตาให้ดูเป็นธรรมชาติ ถึงลุคจะเบาแต่เบื้องหลังมีหลายขั้นตอนมาก แต่ใดๆ “แสงเกาหลี” โกงสุดๆ!!! ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็เหมือนมีสตูดิโอส่วนตัว เวลาเซลฟี่หรือถ่ายรูปออกมาสวยตลอดค่าา

สิ่งที่ต้องระวังคือปัจจัยเรื่องอากาศ/อุณหภูมิ ทำให้สกินแคร์บางตัวใช้ที่เกาหลีแล้วเวิร์ก แต่กลับมาไทยใช้แล้วอาจมันเยิ้ม หรือในทางกลับกัน บางตัวก็เหมาะกับใช้ตอนอยู่ที่ไทยค่ะ  ตอนอยู่ไทยเฟิร์นใช้เซรั่มตัวเดียวทุกวัน มาที่นี่เปลี่ยนใช้สกินแคร์หลากหลายขึ้น มีสลับบ้าง บางวันก็อากาศดีจนไม่แต่งหน้าเลยก็มีนะคะ

จริงๆ เฟิร์นรู้สึกว่าความงามคือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมรูปแบบนึง คนไทยเห็นเกาหลีก็อยากลองแต่งตาม ซื้อเครื่องสำอางเกาหลีมาใช้ แต่เพื่อนเกาหลีที่มาไทยก็สนใจสไตล์การแต่งหน้าของคนไทยเหมือนกัน

. . . . . . . .

เฟิร์นบอกว่าประทับใจกับทุกอย่างที่เกาหลีจริงๆ ช่วงแรกก็มีนอยด์ๆ รู้สึกว่าปรับตัวยาก เรียนยาก แต่พอผ่านไปได้ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่อดทนจนได้มาเจอเนื้อหาเรียนที่สนุก สังคมเพื่อนดี อาจารย์เก่งๆ และธรรมชาติที่ไม่เคยเจอมาก่อน เหมือนได้เปิดโลกและกลายเป็นอีกคนนึงไปเลยค่ะ

. . . . . . . .

[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา

เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่!  พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง

  • 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
  • ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอกตัวจริง
  • แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
  • IELTS Mock Test ฟรี  (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
  • Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
  • โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
  • จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
มาเถอะ อยากเจอ~ ดูรายละเอียดงานที่นี่
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น