สวัสดีค่ะชาว Dek-D หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “1 วัน 4 ฤดู” ที่ใช้นิยามอากาศสุดแปรปรวนของเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งก็ไม่ต่างจากชีวิตเด็กนอกที่ต้องปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน และมุมมองใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะอยู่บนโลกใบเดิม
วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ “พี่หนึ่ง" บัณฑิตคณะบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ ผู้คว้าทุนรัฐบาลไทย (UIS) ไปเรียนต่อปริญญาโทใบแรกที่อังกฤษ สาขา Accounting and Finance ก่อนจะกลับมาทำงานสายภาษี และเริ่มตั้งคำถามกับ “เบื้องหลังนโยบาย” ที่อยู่ในตัวเลขที่ต้องตรวจสอบในชีวิตจริง ซึ่งหลังจากที่พี่หนึ่งทำงานได้ระยะนึง ก็ตัดสินใจสมัครทุนรัฐบาลออสเตรเลีย ไปเรียนต่อปริญญาโทใบที่สอง สาขา Public Policy and Management ที่ University of Melbourne เมืองที่ทั้งอากาศและวัฒนธรรมก็พร้อมจะท้าทายทุกการปรับตัว
แต่ละฤดูของชีวิตนักเรียนทุนจะท้าทายขนาดไหน ไปฟังกันเลยค่ะ!
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ "พี่หนึ่ง" ตัวจริงได้ในวันอาทิตย์ที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ รอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย ก.พ. และ ทุน UIS, CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN Scholarships (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards (ออสเตรเลีย), และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน

. . . . . . .
หอบความฝันไปเริ่มก้าวใหม่ที่ UK
สมัครทุนรัฐบาลฯ UIS เรียนต่อไฟแนนซ์
สวัสดีค่า ชื่อพี่หนึ่งนะคะ ปัจจุบันกำลังทำงานเป็นนักตรวจสอบภาษี สังกัดกรมสรรพากรค่ะ
ก่อนเรียนต่อออสฯ พี่จบ ป.ตรี คณะบัญชีฯ ม.ธรรมศาสตร์ (รุ่น 52) ตอนนั้นเลือกลงวิชาโทเป็น Finance เพราะสนใจทางนี้ ซึ่งก็เป็นแนวคำนวณหนักๆ แล้วยังเสริมให้เข้าใจฝั่งบัญชีขึ้นด้วย พอขึ้นปี 3 พี่ก็ได้ทุน UIS จบออกมาบรรจุที่กรมสรรพากร ก่อนไปต่อ ป.โท สาขา Accounting and Finance ที่ University of Exeter ที่อังกฤษ (United Kingdom: UK) การเรียนส่วนใหญ่คือต้องอ่านล่วงหน้าเพื่อเตรียมดิสคัสในห้อง ซึ่งพื้นฐานภาษาอังกฤษตอนนั้นของพี่คือ “ฟัง-อ่าน” ได้ แต่ไม่ถนัด “พูด-เขียน” แล้วปรากฏว่าสิ่งที่ไม่ถนัดต้องใช้เยอะมากกกทั้งตอนเรียน สอบ หรือทำการบ้าน ใบนี้ก็เลยจบมาแบบสู้ชีวิตนิดนึง
เรื่องที่พี่ว่าตัวเองพลาดตอนเรียน UK ก็คืออยู่กับเพื่อนคนไทยเยอะไป ทำให้สกิลภาษาอังกฤษแทบไม่ไปไหน ดังนั้นพอมีด้านที่อยากไปต่อ ป.โท ก็เลยตั้งใจว่าครั้งนี้จะใช้ชีวิตให้ต่างจากเดิมเพื่อให้ฝึกภาษาได้จริงๆ
. . . . . . .
ทำงานใช้ทุน & อยากเข้าใจมาตรการภาษี
เลยไปต่อ ป.โท Public Policy เป็นใบที่สอง
พอกลับจากไทย พี่ก็มาทำงานใช้ทุนค่ะ ซึ่งทางสำนักงาน ก.พ. เขามีระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance and Potential System : HiPPS) ช่วยพัฒนาข้าราชการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ผ่านกลไกการเรียนรู้ การพัฒนา และการสั่งสมประสบการณ์ผ่าน “กรอบการสะสมประสบการณ์” (Experience Accumulation Framework; EAF) อย่างในกรณีของพี่ทำงานเป็นนักตรวจภาษี ก็ได้เวียนไปปฏิบัติราชการในสำนักงานสรรพากรภาค / ส่วนกลาง / สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ทำให้เข้าใจงานตรวจสอบภาษีในหลายๆ หน้างาน ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
หลังจากได้เจอเคสผู้เสียภาษีหลายแบบ ก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรการภาษีบางอย่าง เช่น “มาตรการภาษีเงินบริจาคที่สามารถนำไปลดหย่อนได้ 2 เท่า” เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? ใครคือกลุ่มเป้าหมาย? มีการผ่านกระบวนการอะไรมาบ้างก่อนจะประกาศใช้ ฯลฯ ซึ่งมาตรการภาษีลักษณะนี้ถือเป็น “นโยบายสาธารณะ” (Public Policy) ด้วยเช่นกัน
พี่ทำงานในระบบภาษีก่อนมาเรียน รู้สึกว่าถ้าอยากให้มาตรการภาษีช่วยคนได้จริง เราควรรู้บริบทเบื้องหลังนโยบาย ที่มาของกฎหมายแต่ละตัว ฯลฯ อยากเรียนเรื่องนี้ให้ลึกขึ้นเพื่อพัฒนางานและองค์กรเราต่อไป

พอลองนั่งหาว่ามีหลักสูตรแนวๆ นี้เปิดสอนมั้ย ก็มารู้จากพี่ที่รู้จักว่า เฮ้ย มีจริงค่ะ! แล้วก็นั่งหาหลักสูตรจากมหาลัยประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพราะตั้งใจจะพัฒนาภาษา พอดีกับที่ทุนรัฐบาลออสเตรเลีย Australia Awards – Mekong-Australia Partnership เปิดรับสมัคร ก็เลยยื่นเป็น ป.โท สาขา Public Policy ที่ University of Melbourne (UniMelb) ซึ่งเด่นด้านที่พี่สนใจด้วย
อีกเหตุผลคือที่ตั้ง พี่เลือก “เมลเบิร์น” (Melbourne) เพราะอากาศค่อนข้างทึม พี่อาจจะตรงข้ามกับคนอื่น บางคนเจอแบบนี้เข้าไปก็อาจเศร้าๆ เนือยๆ ยมๆ แต่พี่กลับฮึดตื่นมาแล้วอยากอ่านหนังสือ แล้วข้อดีคือในเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ พื้นที่สีเขียวเยอะ สวนสาธารณะต่างๆ มีห้องสมุดที่ดังมากอย่าง ‘State Library Victoria’ ในรัฐวิกตอเรีย หลายคนจะรู้จักจากโดมสวยๆ แต่พี่ชอบเพราะเงียบสงบ นั่งทำงานหรืออ่านหนังสือได้ทั้งวันค่ะ

Photo by Damien Tait on Unsplash

Photo by Slava Abramovitch on Unsplash
ทุน Australia Awards – MAP ครอบคลุมอะไรบ้าง?
ทุนเต็มจำนวนที่เรียนฟรี มีค่าครองชีพให้ และไม่ต้องใช้คืน ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มการศึกษาจนจบหลักสูตร รวมถึงการฝึกอบรมเบื้องต้น
ผู้รับทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้:
- ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
- ค่าใช้จ่ายในการตั้งรกราก เมื่อเดินทางถึงออสเตรเลียในตอนแรก
- ค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน
- เงินสนับสนุนค่าครองชีพ
- โปรแกรมปฐมนิเทศทางวิชาการ
- ประกันสุขภาพสำหรับนักศึกษาต่างชาติ (ตลอดระยะเวลาของทุนการศึกษา)
- ค่าสนับสนุนทางวิชาการเพิ่มเติม
- ค่าใช้จ่ายสำหรับการวิจัยภาคสนาม (สำหรับนักศึกษาหลักสูตรวิจัยและหลักสูตรที่มีส่วนประกอบภาคสนามบังคับ)
- ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมส่งเสริมการเรียนรู้ Mekong-Leaders Network (โปรแกรมที่พัฒนาทักษะความเป็นผู้นำและสร้างคอนเน็กชันกันระหว่างนักเรียนทุน MAP)
รีวิวสมัครทุน Australia Awards
(Mekong-Australia Partnership)
สมัครยังไง? เลือกมหาลัยได้ตอนไหน?
พี่เริ่มจากสมัครทุนก่อน > สอบเก็บคะแนน IELTS ให้ผ่านเกณฑ์ > เขียน Essay ส่ง > พอได้รับอีเมลว่าผ่านเข้ารอบ Shortlist ก็เตรียมตัวสัมภาษณ์ต่อ > รอลุ้นผลรอบสุดท้าย
ในเรียงความสมัครทุน (Essay) พี่เขียนเป้าหมายไว้ชัดมากว่าอยากเรียนอะไร คาดหวังว่าจะได้อะไรกลับมา แล้วจะเอาความรู้ตรงนี้ไปต่อยอดเพื่อพัฒนาประเทศไทยได้ยังไงบ้าง ซึ่งความตั้งใจพี่ตอนนั้นคืออยากพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยกับออสเตรเลียในด้านนโยบายภาษีให้ดีขึ้นอีกค่ะ
แล้วในนั้นเขาจะให้เราลิสต์สาขาและมหาลัยที่อยากเรียนต่อ (ถ้าจำไม่ผิดตอนพี่จะให้เลือก 3 อันดับ) แล้วถ้าติดทุนขึ้นมา เขาจะช่วยประสานเรื่องการสมัครมหาลัยให้เสร็จสรรพเลย เราไม่ต้องสมัครแยกอีกนะคะ ถือเป็นทุนที่อำนวยความสะดวกให้เรามากๆ

. . . . . . .
รีวิวการเรียน 1.5 ปีสุดเข้มข้น
สาขา Public Policy @ UniMelb
ปกติที่ระบบการเรียนที่ออสฯ จะแบ่ง 1 ปีออกเป็น 3 เทอม หรือ 2 เทอม แล้วแต่มหาลัย แต่ของ UniMelb 1 ปีแบ่งเป็น 2 เทอม แล้วสาขา Public Policy แต่ละคนก็จะใช้เวลาเรียนไม่เท่ากันด้วย บางคนอยู่นานถึง 2 ปี ส่วนพี่ได้ offer 1.5 ปี แล้วแต่มหาลัยจะพิจารณาให้ offer จากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ เช่น work experience หรือ prior study ค่ะ
หลักสูตรที่เรียนเป็นแบบ Coursework ล้วน ไม่มีทำ Dissertation ค่ะ แต่ก็ไม่ได้เบาเลย เพราะแต่ละวิชาจะมีงานเขียนให้ส่งตลอด โดยเฉพาะพวก Core Subject จะอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 คำต่อชิ้น ส่วนวิชาเลือก (Elective) ก็มีตั้งแต่ 1,000-2,000 คำ ไปจนถึง 6,000 คำ แล้วแต่ความเข้มข้นของเนื้อหา


ช่วงที่ยากสุดคือเทอมแรก เพราะต้องปรับตัวกับวัฒนธรรมการเรียนที่นี่
- พี่เคยชินกับการสอบหรือทำงานกับตัวเลขมาตลอด พอต้องมานั่งเขียน Assignments เป็นเรียงความยาวๆ ก็เลยท้าทายไม่น้อย
- ที่นี่ก็ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อสอบ แต่เน้นอ่านแล้วมาดิสคัสในห้อง เวลาเขียนต้องมี Critical Thinking วิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผล พอเทอมสองจับจังหวะได้ดีขึ้น ไม่เครียดหรือรู้สึกกดดันเท่าช่วงแรกๆ (อีกอย่างคือเราเองก็ตั้งใจมาเพื่อพัฒนาภาษาอยู่แล้ว)
- แต่ละวิชาจะมี Syllabus ที่ระบุว่าเราต้องอ่านเปเปอร์ไหนมาก่อนล่วงหน้า เพราะเวลาเรียนคือมาดิสคัสกันแบบเดือดๆ เข้มข้นมาก เสมือนหนึ่งว่าทุกคนต้องอ่านเปเปอร์มาแล้ว ถ้าไม่อ่านมาคืองงเลยว่าในห้องคุยอะไรกัน
พอเทอมสองก็เริ่มจับจังหวะได้ เลยรู้สึกเครียดน้อยลง (อีกอย่างเพราะเรามีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากมาพัฒนาภาษา) ตอนหลังก็พบว่าสกิลการเขียนและการคิดวิเคราะห์ดีขึ้น // พี่ประทับใจอาจารย์ที่นี่มากด้วยค่ะ เขาน่ารักและคอยซัปพอร์ตดีมาก เวลาคอมเมนต์งานจะเป็นลักษณะ Constructive Feedback ที่นำไปพัฒนาได้จริง เช่น ถ้าเพิ่มสิ่งนี้เข้าไป จะช่วยให้งานเราดีขึ้นยังไงบ้าง
ส่วนเพื่อนร่วมคลาสก็มาจากหลายประเทศและสายงาน ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ นักวิชาการ NGO หรือสายสังคม เวลาเรียนทุกคนจะโยงสิ่งที่เรียนกับประสบการณ์จริง เช่น บางคนที่ทำงานด้านภาษีก็เล่าถึงมาตรการที่เคยใช้แล้วถูกยกเลิก บางคนโยงเรื่องความเหลื่อมล้ำกับ Gender Equality หรือ Policy ด้านอื่นๆ ทำให้เห็นมุมมองที่หลากหลายทั้งจากอาเซียน ยุโรป อเมริกา ไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิกเลย และอีกมุมนึงก็เป็นประสบการณ์ร่วมที่มาแชร์กันได้แบบสบายใจ


ตัวอย่างวิชาเรียนที่ประทับใจ
ถ้าเป็นในไทย คนอาจเข้าใจว่า ‘Public Policy’ จะได้เรียนเศรษฐศาสตร์นโยบายสาธารณะอย่างเดียว แต่ขอบเขตจริงๆ กว้างกว่านั้นและผสมผสานหลายมิติ ทั้งเศรษฐศาสตร์ สังคม การเมือง ยิ่งการเมืองคือเรื่องใหญ่เลยค่ะ พอมาเรียนแล้วพบว่าถ้าพูดถึง “นโยบาย” ยังไงก็หนีการเมืองไม่พ้น อย่างเช่น วิชา Public Policy Analysis ที่เน้นวิเคราะห์ว่ากว่ามาตรการนึงจะออกมาให้ได้ใช้จริง ต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง มีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อการตัดสินใจให้มาตรการหนึ่งๆ ได้ออกมาบังคับใช้ นอกจากนี้ แม้แต่ Crisis Management ที่เป็นวิชาที่พูดเกี่ยวเรื่องการจัดการวิกฤตสารพัดรูปแบบ ทั้งหมดนี้ มีปัจจัยของเรื่องการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
มีอยู่คลาสนึงที่ชอบมาก คือวิชา Innovative Design and Service Delivery อาจารย์เป็นอดีตข้าราชการที่เคยทำนโยบายสาธารณะจริงๆ เขามาแชร์มุมมองของการทำงานภาครัฐ เทคนิคการออกแบบนวัตกรรมและการให้บริการสาธารณะ เน้นการทำความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน (design thinking) เพื่อสร้างบริการใหม่ในภาคสาธารณะแบบมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชนจริงๆ ฟังแล้วรู้สึกว่าว้าวมากกกก ว่าการทำนโยบายมันมีชั้นเชิงและความซับซ้อนมากกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย
- วิชา Public Policy in the Asian Century วิชานี้จะศึกษานโยบายของแต่ละประเทศในเอเชีย วิเคราะห์ว่ามีจุดแข็งจุดอ่อนยังไง // เซอร์ไพรซ์มากค่ะ ตอนเรียนเขามียกเรื่องนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของไทยมาเล่าเป็นกรณีศึกษาด้วย เพราะในต่างประเทศเขาดิสคัสกันจริงจังว่านี่คือ Health Policy ที่ดีมากๆ นโยบายนึงของโลกค่ะ
- วิชา Public Consultation and Policy Negotiation จริงๆ ไม่ใช่วิชาบังคับ แต่ตอนเจอในลิสต์แล้วรู้สึกน่าสนใจก็เลยลองลงดู ปรากฏว่าสนุกมากกก! คลาสนี้พูดถึงวิธีการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างนโยบายสาธารณะ เช่น เวลาเราจะออกนโยบายหรือกฎหมายอะไร ต้องผ่านขั้นตอนที่ให้ประชาชนคนทั่วไปได้แสดงความเห็นก่อน ในคลาสก็ยกตัวอย่างหลายรูปแบบ เช่น ที่ประเทศไทยเราคุ้นเคยคือ การทำประชามติ (Referendum) การสำรวจความคิดเห็นแบบไตร่ตรอง หรือ “deliberative polling” ที่เป็นการทำโพลแบบมีข้อมูลประกอบก่อนแสดงความเห็น เพื่อให้ได้ผลที่ลึกและรอบด้านมากขึ้น ซึ่งอาจจะยังไม่ได้นำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยเท่าที่ควร
คาบสุดท้ายของวิชานี้มีกิจกรรม role play คือจำลองสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในเมียนมา เป็นกรณีของ Special Economic Zone (SEZ) ที่จะมีการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัยจริงๆ นักเรียนในคลาสถูกแบ่งเป็นกลุ่ม เช่น NGO นักลงทุน ชาวบ้าน ฯลน ซึ่งพี่ได้รับบทเป็น “NGO” เน้นปกป้องผลประโยชน์ของชาวบ้านให้มากที่สุด ส่วนเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจก็จะพยายามเสนอแผนการลงทุนในโซนนั้นเพื่อดึงประโยชน์ให้ฝั่งตัวเอง เป็นต้น ทำให้เราได้เห็นมุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ว่าใครคิดยังไง ให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง ผลกระทบคืออะไร พอจบเขาก็จะให้เราเขียน Assignment วิเคราะห์บทบาทว่าจุดไหนใครทำได้ดี หรืออะไรที่ยังพัฒนาได้อีกบ้าง
จากเครื่องด่าสู่คนตั้งคำถาม
เมื่อก่อนตอนดูข่าวพี่จะมีอารมณ์ร่วมมากกก อาจจะด่าๆๆๆ หรือไม่ก็อวยตามกระแสข่าว 555 แต่พอมาเรียนแล้ว เรามองอะไรเป็นระบบขึ้น และเริ่มฉุกคิดขึ้นมาว่า “เอ๊ะ มันต้องมีปัจจัยอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังรึเปล่า?” “ทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนั้น?” อย่างเวลาบางทีเห็นคนพูดว่านโยบายนี้ดีมากๆ ก็จะไม่ได้เชื่อตามเลยทันที แต่จะเริ่มถามตัวเองว่า “แล้วมีจุดอ่อนตรงไหนมั้ย?” “จะพัฒนาได้ยังไงอีก?” ซึ่งพี่ว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญและเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตจริง
แม้ว่างานปัจจุบันจะไม่ได้ต่อยอดสิ่งที่เรียนโดยตรงอย่าง 100% แต่ทุกอย่างที่เรียนสามารถประยุกต์ใช้เข้ากับงานปัจจุบันได้หมด เราได้สังเกตเบื้องหลังของนโยบายว่าทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้ ใครมีส่วนเกี่ยวข้อง และจะออกแบบยังไงให้ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้จริง ที่สำคัญคือได้สกิล Critical Thinking ที่ช่วยให้เรามองปัญหาได้รอบด้าน และสกิลการทำงานร่วมกับคนที่มีเงื่อนไขชีวิตต่างกันค่ะ

. . . . . . .
ประเทศที่รายล้อมด้วยโอกาส
เหลือแค่รอให้เราคว้าก็เท่านั้น
ความรู้สึกที่มาถึงออสฯ คือ “ตื่นเต้น!!” พอตั้งเป้าหมายว่าอยากพัฒนาภาษา ก็มุ่งตรงไปสมัครงาน Part-time เป็น Guest Service และพนักงานเสิร์ฟ ซึ่งเป็นสถานการณ์บังคับว่าเราจะต้องสื่อสารกับลูกค้า รับออเดอร์ หรืออย่างน้อยก็ต้องตอบเวลามีคนมาถามทาง เพราะพี่ทำงานในศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ที่คึกคักพอสมควรเลยค่า
เราจะไม่ได้แค่มาเรียนแน่นอนค่ะ กิจกรรมมหาลัยเยอะมากๆ เหมือนกับที่ออสฯ เขาจะเชื่อว่า “จัดไปเหอะ เดี๋ยวคนก็มารู้จักกันเองแหละ!" ซึ่งเวิร์กจริงนะ ที่นี่มีอีเวนต์ทุกสัปดาห์ เข้าร่วมง่าย บรรยากาศทำให้เรากล้าพูดคุยกับคนอื่นได้แบบไม่กดดัน ขนาดพี่ไปทาง Introvert ก็ไม่รู้สึกฝืน ถ้าเกิดเหนื่อยก็แค่เดินออกมาค่ะ
และนอกจากทุน Australia Awards จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่ให้เราใช้ชีวิตได้เต็มที่ เขาจัดกิจกรรมบ่อยๆ เช่น ดินเนอร์เด็กทุน, งานแชร์ประสบการณ์, Workshop ในต่างเมืองเพื่อพัฒนาตัวเอง ซึ่งมีประโยชน์มากๆ และแสดงให้เห็นว่า ทุน Australia Awards สนับสนุนให้นักเรียนทุนพัฒนาให้ทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านการเรียน แนวคิด วิธีการใช้ชีวิต สอนให้รู้จักตัวเอง ฯลฯ ซึ่งการตัดสินใจรับทุนนี้ ไม่เคยมีวันไหนที่รู้สึกผิดหวังเลยค่ะ
อย่างมีครั้งนึงพี่ได้ไปเวิร์กชอปที่แคนเบอร์รา (Canberra) หัวข้อ “Put the right man in the right job” ให้เราเรียนรู้เรื่องการเลือกคนให้เหมาะกับงาน เขาจะมี Quiz ให้ทดสอบว่าเราเป็นคนประเภทไหน เหมาะกับอะไรบ้าง ฯลฯ ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น รวมถึงรู้วิธีดีลกับคนหลากหลายประเภท


. . . . . . .
เสน่ห์ของเมลเบิร์น
ประเทศที่หนึ่งวันอาจเจอได้สี่ฤดู
เมืองนี้มีเสน่ห์แบบ “หนึ่งวันสี่ฤดู” แถมช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็สวยมาก มีที่เที่ยวครบทุกแนว จะสายธรรมชาติชอบกลิ่นอายทะเลแบบ Great Ocean Road หรือสาย Road Trip ก็ขับรถชมวิวได้สบายใจ อากาศก็ดี เมืองปลอดภัย ไม่วุ่นวายเกินไป
สำหรับคนไม่ใช่สายลุย เมลเบิร์นก็มีคาเฟ่กระจายอยู่ทั่วเมือง และวัฒนธรรมการกินกาแฟของเขาเข้มข้นมากค่ะ
ถ้าเป็นเรื่องกินคือหายห่วงได้เลย เพราะมีอาหารทุกชาติให้เลือก (ปกติพี่ทำกับข้าวกินเองเป็นหลักเพราะประหยัดและได้รสชาติถูกปาก 555) แต่ถ้าให้แนะนำร้านอาหารไทยที่ชอบสุดก็คือ “Thai Town” อาหารแซ่บๆ กับอีกร้านคือ “นานา หมูกะทะ” ที่พอช่วยให้หายคิดถึงบ้านได้ค่ะ


Photo by Heidi Fin on Unsplash

Photo by Julian Varon on Unsplash
. . . . . . .
[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอกตัวจริง
- แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
- IELTS Mock Test ฟรี (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
- Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
- โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
0 ความคิดเห็น