สวัสดีค่ะชาว Dek-D ใครตั้งเป้าหมายจะต่อ ป.ตรี มหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา หรือแคนาดา แต่อยากรู้ว่ามีช่องทางไหนช่วยให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายขึ้นได้บ้าง วันนี้จะพาไปรู้จัก “ระบบการศึกษาข้ามชาติ” หรือ Transnational Education (TNE) ของ Singapore Institute of Management (SIM) ที่จับมือกับมหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์หลายแห่งในต่างประเทศ เปิดหลักสูตรที่เชื่อมต่อการเรียนตั้งแต่ Foundation และ Diploma สู่การเรียนต่อในระดับ ป.ตรี และ ป.โท ได้โดยตรง แถมยังได้รับวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับโลกช่วยขยายโอกาสการทำงานให้กว้างขึ้นไปอีกด้วย~
และที่น่าสนใจสุดๆ ก็คือหลักสูตร Diploma ของ SIM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยปรับพื้นฐานวิชาเฉพาะก่อนที่จะเรียน ป.ตรี ปี 2 ในสาขาที่เกี่ยวข้องได้เลย โดยที่ไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่!
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราจะชวนไปรู้จักเส้นทางเรียนนี้ให้มากขึ้นผ่านรีวิวจาก “พี่ไข่มุก” คนไทยที่จบไฮสคูลในอเมริกา แล้วมาเริ่มต้นเรียนต่อสิงคโปร์กับหลักสูตร Diploma ของ SIM // แชร์ครบทั้งประสบการณ์สมัคร รีวิวการเรียน ชีวิตความเป็นอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้
อะไรคือเหตุผลที่จากเรียนต่ออเมริกาอยู่ดีๆ ถึงตัดสินใจย้ายมาเรียน Diploma ที่สิงคโปร์แทน และวุฒินี้จาก SIM ช่วยต่อยอดเส้นทางการศึกษายังไงได้บ้าง ใครกำลังวางแผนเรียนต่อ ป.ตรี ในต่างประเทศอยู่ ตามไปเก็บข้อมูลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกกันเลยค่ะ

Hi, I’m Kaimook!
สวัสดีค่า ไข่มุกนะคะ ตอนนี้กำลังเรียนโปรแกรม Diploma in Management Studies (DMS) ที่ Singapore Institute of Management ในสิงคโปร์ค่ะ หลักสูตรนี้ใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี 3 เดือน ตอนนี้มาถึงครึ่งทางแล้วค่ะ เย้~
เท้าความก่อนว่าไข่มุกจบมัธยมต้นจากโรงเรียนมารีย์วิทยา นครราชสีมา ตอนนั้นยังไม่ได้คิดจริงจังเรื่องไปเรียนต่างประเทศเลย แต่ได้แรงบันดาลใจเพราะพี่สาวกลับจากแลกเปลี่ยนอเมริกา แล้วมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ทำให้เติบโตขึ้นมากๆ ทางบ้านเลยให้เราลองสมัครชิงทุนไปแลกเปลี่ยนดูบ้างค่ะ
พอเข้าปี 2021-2022 ไข่มุกก็ได้ทุนไปแลกเปลี่ยนระดับชั้น Sophomore (เกรด 10 หรือ ม.4 ของไทย) ที่โรงเรียนในรัฐ Michigan, USA ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็รู้เลยว่าเราชอบระบบการเรียนที่ต่างประเทศมากกว่า ครอบครัวเลยสนับสนุนให้เรียนต่ออีก 2 ปีจนจบ ม.ปลายที่อเมริกา โดยย้ายไปเรียนที่ Prep School ที่เน้นเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นเจอเพื่อนเก่งๆ เต็มไปหมด จนรู้สึกตัวเองต้องขยันขึ้นเพื่อเรียนตามเพื่อนให้ทันค่ะ 5555

จากมิชิแกน แลนดิ้งสู่สิงคโปร์
เริ่มต้นด้วย Diploma ปรับตัวแบบซอฟต์ๆ
หลังจบไฮสคูลที่อเมริกา ไข่มุกก็สอบติดมหาวิทยาลัยหลายที่ในสหรัฐฯ แต่พอคุยกับที่บ้าน เขาก็กังวลว่าถ้าเรียน ป.ตรี ต่ออีก จะต้องอยู่ไกลข้ามทวีปรวมๆ แล้วเกือบสิบปี เราก็เลยลองมองหาทางเลือกที่ใกล้บ้านขึ้น แล้วบังเอิญพี่สาวเห็นโพสต์ของ Singapore Institute of Management (SIM) บนโซเชียล ก็เลยส่งมาให้เราลองดูค่ะ
พอเข้าไปอ่านข้อมูล SIM รู้สึกน่าสนใจตรงที่พาร์ตเนอร์เขาเยอะมากกก หนึ่งในนั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ไข่มุกเคยอยากเข้าเรียนก่อนหน้านี้ด้วย ก็เลยลองติดต่อไปสอบถามก่อนค่ะ แล้วได้รู้จักเจ้าหน้าที่คนไทยของสถาบัน (ชื่อพี่ภู) คอยให้คำปรึกษาและดูแลการสมัครทุกขั้นตอนอย่างละเอียด จนเรามั่นใจเลยว่าไม่มีเอกสารอะไรตกหล่นแน่ๆ
บางคนที่มีวุฒิพร้อมและรู้ตัวเร็วก็สามารถเข้าโปรแกรม ป.ตรี โดยตรงเลยก็ได้เหมือนกันค่ะ แต่ในกรณีของไข่มุก เลือกเริ่มจาก Diploma ก่อน เพราะเจ้าหน้าที่แนะนำว่าเรียนจบไว ต่อยอดได้เร็ว เน้นปฏิบัติจริง และถือเป็นโอกาสดีในการลองก่อนว่าเราชอบด้านนี้จริงไหม
ไข่มุกเลือกเรียน Diploma in Management Studies (DMS) ใช้เวลาแค่ 1.3 ปี จบแล้วสามารถนำวุฒิไปยื่นสมัครงานได้ หรือ ยื่นสมัคร ป.ตรีปี 2 ที่ SIM ได้เลยแบบไม่ต้องเริ่มใหม่ (มหาวิทยาลัยจะ waive หรือยกเว้นการเรียน ป.ตรี ปีแรกให้ แถมไม่ต้องเสียค่าสมัครเรียนอีกค่ะ) เท่ากับว่าเรียนเพิ่มอีกแค่ 1.5 ปี ก็จะจบ ป.ตรี พร้อมได้วุฒิจากทั้งสิงคโปร์และมหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ พอเทียบกับเวลาและค่าใช้จ่ายแล้ว ไข่มุกว่าคุ้มหลายต่อ เลยตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ค่ะ
หลักสูตร Diploma ที่ SIM เปิดสอนมีอะไรบ้าง?
- Diploma in Accounting (DAC) ระยะเวลาเรียน 15 เดือน
- Diploma in Banking and Finance (DBF) ระยะเวลาเรียน 15 เดือน
- Diploma in International Business (DIB) ระยะเวลาเรียน 15 เดือน
- Diploma in Information Technology (DIT) ระยะเวลาเรียน 12 เดือน
- Diploma in Management Studies (DMS) ระยะเวลาเรียน 15 เดือน *ไข่มุกเรียนโปรแกรมนี้ค่ะ
สรุป! ข้อดีของการเรียนต่อ Diploma -> ป.ตรี Top-Up
- ประหยัดเวลา ใช้เวลาเรียนรวมประมาณ 3 ปี ก็จบได้ทั้งวุฒิ Diploma และปริญญาตรี
- ได้วุฒิจาก 2 สถาบัน ทั้งจาก SIM และมหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์ (ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่เลือก)
- คุมงบได้ดี ช่วงเรียน Diploma ค่าเทอมจะเบากว่า ป.ตรี ปกติ แถมต่อ Top-up ก็ไม่ต้องเสียค่าสมัครมหาวิทยาลัยอีก
- เนื้อหาเรียนยังไม่หนัก เหมาะกับนักเรียนต่างชาติที่อยากค่อยๆ โฟกัสการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่
- ได้ทดลองก่อนตัดสินใจจริง เรียน Diploma ไปแล้วจะรู้เลยว่าสนใจและชอบสายนี้จริงไหม แล้ว SIM ก็มีตัวเลือกเยอะมากให้เลือกต่อยอดได้หลากหลายค่ะ
SIM เป็นพาร์ตเนอร์กับที่ไหนบ้าง?
- University of London (อังกฤษ)
- University of Stirling (อังกฤษ)
- University of Birmingham (อังกฤษ)
- University at Buffalo (SUNY) (อเมริกา)
- University of Alberta (แคนาดา)
- Monash College (ออสเตรเลีย)
- RMIT University (ออสเตรเลีย)
- University of Wollongong (ออสเตรเลีย)
แต่ละแห่งก็มีโปรแกรมที่เปิดร่วมกับ SIM หลากหลายไปอีก หลักสูตรคุณภาพระดับโลก มีให้เลือกเรียนทั้งสายธุรกิจ ไอที วิทยาการคอมพิวเตอร์ สังคม จิตวิทยา นิเทศศาสตร์ เป็นต้น (เช็กหลักสูตรทั้งหมดที่นี่) สิ่งสำคัญคือต้องเช็กว่าเขากำหนด Requirement ว่าต้องยื่นวุฒิ Diploma ของสายไหนค่ะ
อ่านเกี่ยวกับ Diploma ของ SIMตัดสินใจสมัครนาทีสุดท้าย
(แต่แนะนำให้เตรียมล่วงหน้าสักหน่อยจะดีกว่า)
ถ้าถามว่า Diploma in Management Studies ตรงกับสิ่งที่ไข่มุกสนใจเลยไหม เอาจริงๆ ตอนนั้นยังไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้ชอบเลขหรือวางแผนจะเรียนสายจัดการโดยตรงอยู่แล้ว แต่ตอนอยู่อเมริกาเคยเรียนวิชาอย่างพื้นฐานการเงิน (Finance), บัญชี (Accounting), เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) เรารู้สึกว่าเรียนได้ แล้วต่อยอดได้เยอะ เลยตัดสินใจสมัครค่ะ
ถ้ารวมขั้นตอนทั้งหมดจนได้ offer ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน เอกสารที่ใช้หลักๆ ก็มี Transcript จากโรงเรียน, GPA (ตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 3.2x), หนังสือรับรองการเป็นนักเรียน (วุฒิ ม.6)
ไข่มุกสมัครตอนใกล้หมดเขตแล้ว แต่แนะนำให้ควรลองศึกษาไว้ล่วงหน้าแล้วเผื่อเวลา เพราะคุณสมบัติบางคนอาจผ่านเงื่อนไขได้ทุนส่วนลด ช่วยประหยัดค่าเรียนไปอีก (เพื่อนคนไทยหลายคนก็ได้ทุนด้วยนะคะ)
. . . . . . . .
รีวิวชีวิตเด็กโปรแกรม DMS
เจาะเรื่องสังคม การเรียน และเส้นทางไปต่อ
บรรยากาศในคลาส & เพื่อนร่วมรุ่นเป็นยังไงบ้าง?
ที่ SIM นักเรียนต่างชาติเยอะเพราะเป็นสถาบันเอกชน เพื่อนร่วมรุ่น DMS ของไข่มุก คลาสนึงมีประมาณ 30-40 คน มาจากหลายประเทศ เช่น จีน (เยอะสุด), อินโดนีเซีย, ไทย, ไต้หวัน ฯลฯ ส่วนคนสิงคโปร์มีบ้างแต่ไม่เยอะ
ดังนั้นสิ่งที่ต้องปรับตัวมากช่วงแรกคือเรื่อง “สำเนียงภาษา” ตอนไฮสคูลเคยเจอ American English ล้วนๆ แต่พอมาที่นี่จะได้ยินหลายสำเนียงมาก บางทีก็ต้องขอให้เพื่อนช่วยพูดซ้ำ แต่พออยู่ไปสักพักก็เริ่มชินและฟังออกมาขึ้นเอง
สภาพแวดล้อมหลากหลาย แต่หาเพื่อนได้ไม่ยาก~
จริงๆ ตอนแรกก็แอบกังวลค่ะ ถึงจะเป็นคนเฟรนด์ลี่แต่ไม่ค่อยถนัดเปิดบทสนทนาเท่าไหร่ พอเปิดเทอมจริงกลับมีเพื่อนตั้งแต่วันแรก แถมสนิทกันเร็วมากเพราะเรียนด้วยกันทุกวัน
ส่วนนอกคลาสแนะนำให้เข้ากิจกรรมกับชมรมค่ะ ที่นี่มีชมรมให้เลือกเข้าเยอะทั้งกีฬา ดนตรี ไปจนถึงสายวัฒนธรรม อย่างปีนี้ไข่มุกเพิ่งเข้า "ชมรม SIM International Multicultural Mix (IMMIX) club” ซึ่งรวมกลุ่มนักเรียนจากหลายเชื้อชาติ ทำให้ได้เจอเพื่อนใหม่เยอะขึ้น โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่กระจายตามโปรแกรมต่างๆ ที่สำคัญคือได้มีโอกาสรับหน้าที่ช่วย support การจัด Event ด้วยค่ะ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ

โหมดวิชาการ = ON
โปรแกรมนี้เรียนอะไรบ้าง?
Diploma in Management Studies (DMS) จะได้เรียนเรื่องการบริหารและเสริมทักษะการจัดการแบบรอบด้าน เหมาะกับคนที่อยากเป็นผู้บริหารหรือทำธุรกิจของตัวเองในอนาคต ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 15 เดือน แบ่งเป็น 5 เทอม ทุกคนจะเรียนวิชาเหมือนกันหมดตั้งแต่ต้นจนจบ (แต่อาจมีเพื่อนหายไประหว่างทางบ้าง เพราะถ้าคะแนนรวมไม่ผ่านเกณฑ์ต้องลงซ้ำ ทำให้จบช้ากว่าเพื่อน
ถ้าเทียบกับไฮสคูล DMS ตารางไม่แน่นมาก เรียนวันละประมาณ 3 ชั่วโมง การบ้านน้อยลงแต่ต้องคิดวิเคราะห์ลึกขึ้น แล้วแทบทุกวิชาจะมี Project ใหญ่ประจำวิชา นักเรียนต้องเตรียมอุปกรณ์มาเอง เช่น โน้ตบุ๊กหรือไอแพด เพราะส่วนใหญ่จะเรียนแบบเลกเชอร์เป็นหลัก
Note: บอกเลยว่ามหาวิทยาลัยปลุกไฟขยันตั้งแต่วันแรก เพราะวันปฐมนิเทศมีขึ้นจอให้ดูเลยว่าแต่ละวิชามี % คนไม่ผ่านเท่าไหร่ กดดันหน่อยแต่ก็ช่วยให้เตรียมตั้งรับได้ดีขึ้นค่ะ 555
รีวิว DMS ได้เรียนวิชาอะไรบ้าง?
(อัปเดตข้อมูลเมื่อ ส.ค. 68)
1. General Studies
- Business Communication
- Business Mathematics
- English for Business
2. Broad Business Modules
- Business Finance
- Business Law
- Business Statistics
- Financial Accounting
- Information Systems for Business
- Macroeconomics
- Managerial Accounting
- Managing Human Resources
- Managing People & Organisations
- Microeconomics
- Operations Management
- Principles of Marketing
ส่องวิชาปราบเซียน แต่ก็เรียนผ่านมาได้
โดยรวมหลายวิชาเรียนลึกกว่าที่คิด ต้องอ่านและทำความเข้าใจด้วยตัวเองพอสมควร อย่าง Business Law ก็หนักตรงที่ต้องจำทั้งกฎหมายของสิงคโปร์และระดับสากล แล้ววิเคราะห์ว่าแต่ละกรณีต้องใช้กฎหมายไหนบ้าง
แต่ถ้าถามว่าวิชาไหนยากสุดสำหรับเรา ไข่มุกให้ Accounting เลยค่ะ! ความยากเต็ม 10 ให้ 8 (เพื่อนบางคนบอกว่าง่ายนะ แต่เราเห็นต่าง 555) เนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องการทำบัญชี รายรับรายจ่ายทั่วไป แต่เราจะมึนตรงเดบิต-เครดิตนี่แหละ ต้องเข้าใจว่าจะเอาตัวเลขไหนมาใส่ฝั่งไหน ไม่ใช่แค่จำสูตรอย่างเดียว
ส่วนวิชาที่เราว่าโอเค แต่เพื่อนหลายคนบอกว่ายาก ก็คือ Macroeconomics หรือเศรษฐศาสตร์มหภาคค่ะ เป็นวิชาเรียนภาพรวมเศรษฐกิจ เช่น GDP, เงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน, นโยบายการเงิน/การคลัง รวมถึงการวิเคราะห์ด้วย IS-LM Model เน้นทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจมากกว่าแค่ท่องจำ มีเลขนิดหน่อยแต่ยังอยู่ในระดับที่พอไหวค่ะ
นี่แหละ! การเรียนแบบ SIM Style
- หลักๆ จะเรียนแบบเลกเชอร์ ยังไม่ค่อยมีอภิปราย (Discussion) แต่มีคะแนนการมีส่วนร่วม (Participation) จากการยกมือแสดงความคิดเห็นหรือช่วยตอบคำถามในคลาส
- แทบทุกวิชาจะมี Group Project ให้ทำ บางวิชาเข้มข้นมากๆ เช่น Microeconomics ที่ต้องทำรีเสิร์ชแล้วเชื่อมโยงกลับเข้าทฤษฎี // แนะนำว่าใครไม่ถนัด Excel ให้เริ่มฝึกไว้เลย เพราะได้ใช้บ่อยมาก! ค่อนข้างบ่อย
- ช่วงที่หนักที่สุดก็จะเป็นตอนสอบและเดดไลน์งานนี่แหละค่ะ การตัดเกรด Final Exam จะคิดเป็นประมาณ 50% ที่เหลืออีก 30–40% มาจาก Assignment และ Project ต่างๆ แล้วแต่รายวิชา

เรียนไม่ถึงปี แต่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด!
ชัดที่สุดเลยคือ Public Speaking เพราะทุกเทอมจะมี Project กลุ่มที่ต้องพรีเซนต์หน้าห้อง ฝึกบ่อยจนชินแบบเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อีกอย่างคือ Time Management หรือทักษะการจัดการเวลา เพราะพอเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะมีทั้งงานเดี่ยว งานกลุ่ม และเรื่องส่วนตัว ถ้าไม่จัดเวลาให้ดีมีรวนแน่นอน
อาจารย์ที่สอนเป็นยังไงบ้าง?
ด้วยความที่ DMS จะเป็นหลักสูตรของ SIM เอง เราจะได้เรียนกับอาจารย์ชาวสิงคโปร์ทั้งหมด ส่วนถ้าใครเรียนต่อระดับ ป.ตรีแบบ Top-up เช่น โปรแกรมของ RMIT Universityจะมีบางคาบที่อาจารย์จากที่นั่นบินมาสอนโดยตรงนะคะ (ก็คือได้คุณภาพการสอนเดียวกันเลย!)

[ รีวิว SIM ]
ทีมสายซัพ ปรับตัวไว อุ่นใจม้ากกก
การซัปพอร์ตของ SIM เป็นจุดที่ไข่มุกประทับใจมากค่ะ เช่น
- ทีม Career Connect คอยแนะนำและจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานและการสมัครงาน
- หน่วย International Student Office (ISO) คอยต้อนรับและบริการให้คำปรึกษา ช่วยวางแผนการใช้ชีวิตในสิงคโปร์ราบรื่นมากยิ่งขึ้น
- Student Wellness Center สำหรับดูแลสุขภาพจิตโดยเฉพาะ บางทีเค้าจะจัดกิจกรรมให้หยุดเรื่องเรียนเรื่องงานไว้ก่อน แล้วมาดูแลตัวเองกันเต็มที่เลยค่ะ
จบ Dip. ที่นี่ ไปต่อได้หลายทาง
ตอนนี้ไข่มุกเรียน DMS เข้าสู่เดือนที่ 8-9 แล้วค่ะ กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะต่อ ป.ตรี สายการจัดการที่ RMIT University ดีไหม กำลังดูหลายปัจจัยประกอบกันค่ะ ส่วนก่อนหน้านี้ SIM ก็มีจัดแนะแนวในคลาส คอยให้ข้อมูลเรื่องเส้นทางเรียนต่อ รวมถึงช่วยเตือนเดดไลน์ของแต่ละโปรแกรม แล้วอย่างคนที่เรียน Diploma ของ SIM จะได้รับพิจารณาก่อน ถือเป็นอีกข้อได้เปรียบของเด็กที่นี่
ศึกษาหลักสูตร DMS ที่ SIMอ่านรีวิวเรียนต่อ SIM-RMIT

. . . . . . . .
#รีวิวสิงคโปร์
สายอินดี้ ก็เรียนแบบแฮปปี้ได้!
ช่วงแรกๆ ตื่นเต้น~~ เป็นประเทศที่ 2 ในชีวิตที่ได้มาอยู่ยาวๆ แบบนี้ ส่วนตัวรู้สึกว่าสิงคโปร์กับอเมริกาต่างกันมากทั้งเรื่องวัฒนธรรม ความเร็วของเมือง และไลฟ์สไตล์
ที่ตั้ง
- ตัวโรงเรียนจะอยู่แถวถนน Clementi ที่นี่มีสิ่งอำนวยและห้างร้านต่างๆ ครบ เช่น ฟิตเนส โรงอาหาร ห้องสมุด ฯลฯ
- ห้องสมุดที่นี่เงียบสงบมาก มีที่นั่งเพียงพอ แต่อาจเต็มช่วงที่มีเด็กโปรแกรมเตรียมสอบกัน ( โดยเฉพาะ Diploma ที่จำนวนประชากรเยอะสุด)
- ระบบขนส่งสาธารณะที่นี่ดีมากๆ ส่วนใหญ่ไข่มุกนั่งรถบัสเป็นหลัก แต่แนะนำว่าให้ลองมาก่อนเปิดเทอมสัก 1 สัปดาห์ จะได้ลองนั่งรถและสำรวจพื้นที่รอบสถาบันก่อน จะได้ไม่หลงทางเหมือนไข่มุกตอนสัปดาห์แรกค่ะ 555
สภาพอากาศ
สิงคโปร์ฝนตกบ่อยมากกก! ฟ้าร้องแรงแบบจริงจังจนรู้สึกเหมือนพายุเข้า บางวันก็เลยรู้สึกซึมๆ นิดนึง // แอบแปลกใจว่าตอนอยู่อเมริกาไม่ homesick แต่พอย้ายมาใกล้กว่าเดิมแล้วกลับยิ่งคิดถึงบ้านขึ้นไปอีกค่ะ TT
ผู้คน
จากประสบการณ์ของไข่มุก ยังไม่เคยเจอใครใจร้ายเลยนะ~ คนที่นี่จะออกแนว independent ไม่ได้เฟรนด์ลี่แบบคนอเมริกัน แต่ก็ให้เกียรติและสุภาพดีมากกก
การได้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เพื่อนร่วมคลาสมาจากหลากหลายประเทศ และไม่ได้อยู่กับโฮสต์เหมือนตอนแลกเปลี่ยน ทำให้ต้องดูแลตัวเองแทบทุกอย่าง ทั้งเรื่องชีวิตประจำวัน เวลาเรียน และการจัดการตารางชีวิตให้ลงตัว ที่สำคัญคือเพื่อนแต่ละคนตารางเรียนไม่ตรงกันทั้งหมด และคนสิงคโปร์ก็มีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้ไข่มุกต้องใช้ชีวิตและเดินทางคนเดียวบ่อยๆ จากที่เคยคิดว่าเป็นคน extrovert สุดๆ พอมาอยู่ที่นี่กลับรู้ว่าอยู่คนเดียวก็แฮปปี้ได้เหมือนกันค่ะ


ค่าใช้จ่ายต่อเดือน
- ใช้จ่ายเยอะสุดกับค่าเช่าบ้านค่ะ ไข่มุกอยู่กับ housemate 1 คน แยกห้องนอน/ห้องน้ำส่วนตัว ตกเดือนละประมาณ 40,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าของใช้ ฯลฯ ถ้าอยู่แบบสบายๆ ก็เดือนละประมาณ 20,000 บาท
Tips: ถ้าในโรงเรียนจะมีอาหารสิงคโปร์และตัวเลือกอาหารหลากหลายชาติ ส่วนใหญ่ราคาไม่เกิน 5-6 SGD ต่อมื้อ (≈135-160 บาท) แต่ถ้าไปกินตามห้าง ราคาอาจพุ่งขึ้นไปถึง 15-20 SGD (≈ 400–540 บาท) ต่างกันพอสมควรค่ะ
*อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน 1 SGD ≈ 27 บาท (ข้อมูลเมื่อเดือนสิงหาคม 2025)
#ชี้เป้าร้านอร่อย
ไปเรียนสิงคโปร์ กินอะไรดี?
- LeNu Chef Wai’s Noodle Bar ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังจากสิงคโปร์ เพื่อนบางคนบอกว่าเฉยๆ แต่เราว่าอร่อยมากและสะดวกสุด อยู่ห้างใกล้บ้าน นั่งรถไฟแค่สถานีเดียวก็ถึงเลยค่ะ
- Kok Sen ร้านอาหารจีน-กวางตุ้งเก่าแก่ย่าน Chinatown ได้รางวัล Michelin Bib Gourmand เมนูสไตล์ Cze Char รสชาติต้นตำรับ ไข่มุกรู้จักร้านนี้จากเพื่อนที่ไปทำงานพาร์ตไทม์ บอกเลยว่าอร่อยจริง แนะนำให้จองล่วงหน้าค่ะ
- Tipo Pasta Bar — Waterloo ร้านพาสต้าเส้นสด ใกล้โซน Bugis/Haji Lane เหมาะมากถ้าใครไปเที่ยวแถวนั้นแล้วอยากหาร้านนั่งชิล เส้นเหนียวนุ่ม ซอสเข้มข้น ร้านตกแต่งน่านั่งมาก
หนึ่งในที่โปรดของไข่มุกคือ Marina Bay เลยค่ะ ชอบไปเดินเล่น เปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งคาเฟ่บ้าง หรือถ้ามีเวลาว่างหน่อยก็ชวนเพื่อนปั่นจักรยานรอบเมือง เพราะข้อดีของสิงคโปร์คือประเทศเล็ก เดินทางง่าย อยากไปไหนก็ปั่นถึงแบบชิลๆ ค่ะ~

0 ความคิดเห็น