อันยองฮาเซโย~ ชาว Dek-D วันนี้ขอพาทุกคนขึ้นเครื่องไปเปิดน่านฟ้าการเรียนที่แดนโสมกับ ‘พี่โอเว่น – กฤติโชค รัตนขอดสกุล’ หนึ่งในคนไทยที่คว้าทุนรัฐบาลเกาหลี (GKS) แบบ University Track ไปเรียนต่อป.ตรี สาขา Aerospace Engineering ที่ Pusan National University
เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นกับชื่อ “ปูซาน” (부산시) ใช่มั้ยล่ะคะ เพราะเป็นเมืองชายทะเลที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติและอาหารสุดฟิน แต่ถ้ามองจากมุมนักเรียนต่างชาติ บอกเลยว่าชีวิตไม่ได้ชิลเหมือนมาตากอากาศแน่นอน! ตลอดเส้นทางพี่โอเว่นต้องปรับตัวกับระบบการเรียน ภาษา และวัฒนธรรมที่แตกต่างสุดขั้ว แต่สุดท้ายก็แลนดิ้งจบป.ตรี อย่างเท่ๆ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง ก่อนก้าวสู่แล็บวิจัยป.โท สาขาวิศวะเครื่องกลที่ KAIST สถาบันวิจัยด้านวิทย์และเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของเกาหลีใต้

ในนี้จะรีวิวตั้งแต่การเตรียมสมัครทุน ช่วงปีปรับภาษา ชีวิตการเรียน 4 ปี ไปจนถึงบทบาทประธานสมาคมนักเรียนไทยในสาธารณรัฐเกาหลี Thai Student Association in the Republic of Korea (TSAK) วาระที่ 2 ด้วย
น้องๆ ทุกคนรัดเข็มขัดให้แน่น เตรียมขึ้นบินไปสำรวจและเก็บแรงบันดาลใจกันเลยค่ะ!
. . . . . . . .
ขึ้นเครื่องจากสนามบินที่เชียงใหม่
ไปเรียนต่อ Aerospace ถึงเกาหลี
สวัสดีครับ ชื่อ “โอเว่น-กฤติโชค รัตนขอดสกุล” จบสายวิทย์-คณิตจาก รร.สาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมัครติดทุนรัฐบาลเกาหลี GKS-U (University Track) ไปเรียนต่อป.ตรี PNU Aerospace Engineering ครับ
ต้องเท้าความว่าช่วงม.ปลาย ผมชอบฟิสิกส์กับคณิต โดยเฉพาะเรื่องพลศาสตร์กับของไหล ซึ่งถ้าเรียนต่อด้าน Aerospace จะได้เจาะลึกเรื่องนี้เต็มๆ ถือเป็นสาขาที่แปลกใหม่ในไทยด้วย อีกอย่างพี่สาวทำงานสายการบิน ผมเลยได้เห็นบรรยากาศสนามบินบ่อยๆ จนรู้สึกผูกพันและอยากเรียนต่อทางนี้ครับ
ถ้าเป็นสาขานี้ที่ Pusan National University ถือว่าดังติดอันดับต้นๆ ของประเทศ ในวิดีโอแนะนำคณะยังบอกด้วยว่านักศึกษาจะได้ขึ้นเครื่องบินเล็กไปเก็บ Data Flight มาวิเคราะห์ ทำให้ผมยิ่งสนใจขึ้นไปอีก ซึ่งตอนหลังก็ได้เจอประสบการณ์นั้นจริงๆ ในวิชาสาย Control ตอนปี 3 ครับ
. . . . . . . .
รีวิวสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี
ทำเกรดให้ดี & อ่านระเบียบการให้ละเอียด
ทุนรัฐบาลเกาหลี GKS เป็นทุนเต็มจำนวนที่ซัปพอร์ตแทบทุกอย่าง ทั้งค่าเทอม ค่าครองชีพ ตั๋วเครื่องบิน ประกันสุขภาพ ฯลฯ และหลังเรียนจบจะได้จดหมายรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการเกาหลี ใช้ขอ Resident Visa เพื่ออยู่ทำงานต่อได้ เป็นการเปิดโอกาสให้ต่างชาติใช้ชีวิตต่อที่นี่แบบถูกกฎหมาย ซึ่งผมว่าสิทธิประโยชน์นี้ค่อนข้างพิเศษและหาได้ยากในทุนอื่นๆ (ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะไทยเคยช่วยรบในสงครามเกาหลี)
ผมใช้เวลาเตรียมตัวประมาณเดือนนึง ตอนนั้นยื่น IELTS 5.5 / คะแนน TOPIK I / GPAX 3.98 ครับ กะว่าจะสู้ด้วยเกรดกับประสบการณ์ที่ไปแข่งทักษะวิทย์ฯ ตอนม.ปลายนี่แหละ *เท่าที่ทราบคือระเบียบการสมัครเปลี่ยนไปจากรุ่นผม เข้มงวดขึ้น และเน้นสาย STEM มากขึ้น


เขียน SOP และ Study Plan ประมาณไหน?
ผมร่างเป็นภาษาไทยก่อนทั้ง 2 แบบ เพื่อดึงข้อมูลทุกอย่างออกมาให้หมดแล้วค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษ เน้นตอบสิ่งที่เค้าถามให้ครบ ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม ที่สำคัญคือต้องเป็นตัวของตัวเองครับ
โดยรวมคือผมเป็นเด็กกิจกรรมจ๋ามากๆ ใน SOP ผมเลยเล่าเรื่องกิจกรรมที่ทำแล้วเชื่อมโยงกับคณะที่จะเข้า พร้อมบอกว่าเราเรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ทำบ้างครับ เช่น โรงเรียนผมมีให้ลงวิชาอิสระเพิ่มเติมตอน ม.5 ผมก็ลง Robot ทำให้รู้สึกสนใจและอยากเจาะลึกในจุดนี้จริงๆ นอกนั้นก็เล่าว่าเป็นประธานนักเรียน ดูแลการจัดกิจกรรมทั้งหมด เช่น Sport Day, New Year, Freshy Game เคยได้รางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติประจำปี เคยแข่งเพชรยอดมงกุฎเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ
ใน Study Plan ผมเขียนว่าอยากทำงานที่เกาหลี หรือ ฝึกงานแอร์บัสหรือโบอิ้งทางยุโรป/อเมริกา ก็เลยอยากเรียนให้ถึงระดับสูงสุด ถ้าพอจะมีเวลาจะมาช่วยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ส่วนการวางแผนเรียนภาษา ผมอธิบายแผนโดยแบ่งเป็น 3 ช่วง คือก่อนไปเกาหลีจะฝึกบทสนทนาในชีวิตประจำวัน ระหว่างเรียนจะหาเพื่อน Native Speaker คนเกาหลีจริงๆ และอาจไป Club/Volunteer เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและฝึกทักษะการสื่อสาร นอกจากนี้หลังจากเรียนครึ่งปีแรก จะพยายามให้ผ่าน TOPIK4 ครับ
ติดรอบเอกสาร ไปต่อกับรอบสัมภาษณ์
ผมสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนั้นคิดว่าคงไม่ได้แน่ๆ เพราะเค้าประกาศกระชั้นมาก แต่ปรากฏว่าได้อีเมลนัดสัมภาษณ์วันจันทร์ แล้วผมมาทราบวันศุกร์ เลยใช้เวลาช่วงเสาร์อาทิตย์เตรียมแบบเร่งรีบมากครับ นั่งลิสต์คำถามที่มีโอกาสเจอ (อ่านรีวิวจากในเน็ต) ลองเขียนตอบกับตัวเองแล้วฝึกพูดจนคล่อง พอถึงเวลาก็เจอค่อนข้างตรงกับที่เก็งไว้
หลังจากรู้ว่าติดทุน ก็เริ่มเตรียมภาษาและเรียนศัพท์เกาหลี ฝึกบทสนทนาที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ถึงเวลาจะได้ไม่รู้สึกกดดันมากครับ
Tips:
- ถ้าสนใจเรียนต่อเกาหลีหรืออยากขอทุนนี้ แนะนำว่าอย่าทิ้งเกรด เพราะเกาหลีให้ความสำคัญกับผลการเรียนมากๆ และจะดูว่า Ranking ของเราอยู่ประมาณลำดับเท่าไหร่ของรุ่น
- อยากให้เตรียมตัวตั้งแน่เนิ่นๆ ยิ่งเตรียมตัวดี โอกาสยิ่งมาก คอยติดตามทางเว็บของไทยและศูนย์เกาหลีทุกๆ วัน ถ้าส่งใบสมัครแล้วหมั่นเช็กอีเมลบ่อยๆ ทั้งกล่องอีเมลปกติและ spam ที่สำคัญพยายามทำกิจกรรมและสิ่งที่สนใจเยอะๆ จะได้ค้นหาตัวเองว่าอยากเรียนด้านไหนมากที่สุด

. . . . . . . .
ปรับภาษาที่ม.คอนยาง
ผ่านไปปีเดียว จากกึบ 1 > 6
ถ้าเป็นเด็กทุน GKS ที่ไม่ได้ยื่นคะแนนภาษา TOPIK กึบ 5 ขึ้นไป จะต้องเรียนปรับภาษาเกาหลีก่อน 1 ปี และสอบผ่านขั้นต่ำกึบ 3 ถึงจะขึ้นระดับมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งมีบางคนที่เหนื่อยหรือไปต่อไม่ไหวจริงๆ นะครับ
ถ้ารุ่นผมเค้าให้ไปเรียนสถาบันภาษาที่อยู่คนละเมืองกับมหาลัยที่จะไปเรียนป.ตรี อย่างตอนนั้นผมไปเรียนที่ม.คอนยาง จังหวัดนนซาน -> ก่อนจะย้ายมาเรียนป.ตรี ที่ม.ปูซาน [แต่ตอนนี้ข้อกำหนดทุนเปลี่ยนแล้ว] เราจะได้เรียนสถาบันภาษาของมหาลัยที่เรากำลังจะไปเรียนเลย
ถึงเจอช่วงโควิด-19 เรียนออนไลน์จากหอ แต่ก็สนุกอยู่ดี
เพราะเป็นช่วงที่เรามาเกาหลีเจออะไรใหม่ๆ ตื่นตาตื่นใจไปหมด ทุกคนในคลาสคือต่างชาติที่มาเริ่มนับหนึ่งไปด้วยกันทั้งภาษาและสภาพแวดล้อม


พอไปถึงสอบวัดระดับแบ่งห้อง ผมก็ไปเริ่มที่คลาสระดับต้น ส่วนใหญ่ตอนเรียนเจอศัพท์ในชีวิตประจำวัน และส่วนใหญ่เป็นแนววัฒนธรรมกับประวัติศาสตร์ แต่จะยังไม่เจอศัพท์วิทย์เท่าไหร่ นอกจากนี้ก็มีคลาสเสริมที่ติว TOPIK โดยเฉพาะ ส่วนนอกคลาสผมฝึกโดยการดูซีรีส์ ตื่นมาดูข่าวทุกเช้า และมหาลัยมีจับคู่บัดดี้กับเพื่อนเกาหลี ทำให้มีโอกาสใช้ภาษามากขึ้น
หลังจากเรียนไป 4-5 เดือน ผมได้กึบ 3 โล่งใจขึ้นมาเปลาะนึง แต่มีเรื่องเล่าว่ารุ่นผมเจอช่วงโควิด-19 ที่รอบสอบ TOPIK ลดน้อยไปอีก แล้วผมก็ดันเสียอีกหนึ่งรอบไปฟรีๆ เพราะเพิ่งเห็นชื่อภาษาอังกฤษในระบบตัวเองผิด ทำให้ไม่ได้สอบรอบนั้นครับ เลยอยากเตือนให้ตรวจสอบข้อมูลกับศูนย์สอบให้ดีตอนที่ยังแก้ไขทัน
พอกลับมาสอบอีกครั้งเดือนธันวาคม
ผมได้กึบ 6 แล้วครับ!
ถ้าถามความรู้สึก ผมว่าเป็น 1 ปีที่ภาษาก้าวกระโดดมากในแง่การสื่อสารในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าจะขึ้นปี 1 ไปเจอภาษาเกาหลีเชิงวิชาการเพื่อเรียนวิศวะฯ เลยก็อาจจะยังน้า ต้องใช้ความพยายามและตั้งใจอ่านหนังสือเยอะๆ ครับ

. . . . . . . .
ตัดภาพมาที่ชีวิตปี 1 ในม.ปูซาน
ผมไปเรียนต่อป.ตรี ด้านการบิน (Aerospace Engineering) ที่ Pusan National University เป็นหลักสูตร 4 ปีครับ เงื่อนไขการจบคือต้องเรียนให้ครบตามหน่วยกิตที่กำหนด สอบได้ TOPIK 4 ขึ้นไป และทำเกรดได้ไม่ต่ำกว่าที่มาตรฐานของคณะ (ถ้าต่ำกว่านั้นอาจโดนตัดสิทธิ์ทุนหรือไม่ได้รับอนุญาตให้จบตามหลักสูตรครับ) *แต่จะไม่มีบังคับฝึกงานนะ


เข้าไปเป็นต่างชาติคนเดียวในรุ่น!
ที่ ม.ปูซาน จะเป็นภาษาเกาหลีไปแล้ว 98% มีวิชาส่วนน้อยมากๆ ประมาณ 2% ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนในคลาสเป็นคนเกาหลีทั้งหมด โดยที่อาจารย์จะถือว่าเราได้สกิลเทียบเท่าเจ้าของภาษาแล้วครับ 555 เค้าจะสอนไปเร็วและบางคนมีสำเนียงหรือภาษาถิ่นปนมาบ้าง โชคดีที่ส่วนใหญ่หนังสือเค้าจะแปลจาก textbook ภาษาอังกฤษ ผมก็เลยไปอ่านเทียบตอนหลังได้
เทอมแรกยังเป็นออนไลน์ 100%
เน้นกักตัวอ่านหนังสือเองในห้อง แล้วค่อยปรับมาเป็นออนไซต์บางวิชาตอนเทอมสอง ตารางเรียนเฉลี่ยไม่แน่นมาก ส่วนใหญ่ 09.00–18.00 น. วิชาละราวชั่วโมงครึ่ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ความยากคืออาจารย์จะสอนเฉพาะแนวคิดและสูตร พอตอนสอบเป็นประยุกต์หมด ต้องเข้าใจหลักจริงๆ ถึงจะทำได้ เทคนิคของผมคือสมมติเรียนวิชาไหนแล้วมีส่วนที่ไม่เข้าใจ เราจะไม่ปล่อยให้ค้างคาครับ พยายามเข้าใจให้ได้ภายในวันนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ผมเข้าไปถามอาจารย์ตรงๆ
ด้วยความที่ช่วงแรกๆ ที่ภาษายังไม่แข็ง ผมเคยเข้าไปคุยกับอาจารย์ว่าขอเขียนการบ้านและตอบข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษได้ไหม ซึ่งอาจารย์ก็อนุโลมให้ครับ แล้วตอนหลังก็เขียนธีสิสเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วย แต่ย้ำนะครับว่าต้องคุยกับอาจารย์ให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เพราะอาจไม่ได้อนุโลมทุกกรณีก็ได้ครับ



รีแคปชีวิตแต่ละปี
- ปี 1 วิชาพื้นฐานเหมือนตอนม.ปลาย เช่น Math 1, Physics 1, Calculus (ผมค้นพบว่าเพื่อนที่เกาหลีเค้าเรียนแคลคูลัสกันมาตั้งแต่ ม.4 แล้ว!) นอกจากนี้ก็มี Introduction to Aerospace และวิชา Culture ช่วงนี้อาจจะยังไม่เครียดเพราะเหมือนมาทบทวนพื้นฐาน แค่มีบางวิชาที่ต้องจำเยอะโดยที่ไม่รู้บริบทเกาหลีมาก่อน
- ปี 2 เน้นประยุกต์แบบจริงจัง คิดต่อหลายชั้น เช่น Mechanics of Fluids, Coding, AutoCAD หรือพวก Structure เบื้องต้น
- พอขึ้นปี 3 ยิ่งลงลึกและเจาะเฉพาะทางมาก โดยเฉพาะสาขา Aerospace ที่ผมเรียนจะมีพวก Aircraft Structure, Aerodynamics, Aircraft Control อะไรแบบนี้ ซึ่ง specific มากๆ ถ้าใครชอบเครื่องบินอยู่แล้วจะรู้สึกว่าสนุกมาก แต่ถ้าไม่ได้อินขนาดนั้นก็จะเหนื่อยหน่อยครับ
- สุดท้ายคือปี 4 ยังคงเน้นทฤษฎีแต่ได้ออกฟิลด์บ่อยขึ้น ถ้าอยากฝึกปฏิบัติเพิ่มหรือทำโพรเจกต์เฉพาะทางก็จะต้องไปศึกษาต่อยอดเอง หรือบางคนก็ลาเรียนไปฝึกงานเลย (หลักสูตรไม่มีบังคับฝึกงาน)


รีวิวตัวอย่างวิชาที่โดนเส้นโอเว่น
ผมชอบวิชา Aircraft Performance ปกติเวลานั่งเครื่องบินเราก็รู้แค่ว่าขึ้นแล้วก็ลง แต่พอมาเรียนจริงๆ เราต้องคำนวณเลยว่าจากจุดนี้ไปจุดนี้ใช้น้ำมันเท่าไหร่ การคำนวณระยะ runway ของแต่ละเครื่องบินที่จำเป็นต่อการ take-off และ landing ฯลฯ พอเรียนวิชานี้แล้วความคิดตอนนั่งเครื่องบินของเราก็จะเปลี่ยนไปครับ
อีกวิชาที่ชอบคือ Aircraft Structure เพราะได้เรียนเรื่องโครงสร้างเครื่องบินแบบละเอียด รวมถึงการคิดคำนวณแรงต่างๆ ที่ส่งผลต่อโครงสร้างเครื่องบิน และที่สำคัญเป็นวิชาที่ได้เกริ่นถึงเรื่อง fatigue (รอยแตก รอยร้าว การล้าของวัสดุ) ที่ทำให้ผมสนใจ และได้นำมาเป็นหัวข้อหลักในการเขียนวิจัยตัวจบ รวมถึงต่อยอดในการเรียนต่อของปริญญาโทอีกด้วยครับ



ส่วนมากในการเรียนปริญญาตรีสาขานี้ เราอาจไม่ได้เทสต์ของจริง แต่จะต้องทำการวิเคราะห์ในโปรแกรมแทน ซึ่งก็ใช้ทักษะคณิต ฟิสิกส์ และตรรกะเข้ามาช่วยเยอะมาก ผมว่าช่วงป.ตรี ได้เรียนรู้ว่าถ้าจะไปต่อกับสายอาชีพนี้ ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้าง แต่ถ้าป.โท-เอก เค้าจะเน้นให้เราต่อยอดจากแก่นตรงนี้ไปอีกระดับ



และนี่คือวิชาที่หินสุดสำหรับผมก็คือออ
วิชา Compressible Fluid Flow เนื้อหาจะพูดถึงอากาศในสภาวะ Supersonic กับ Hypersonic คือเร็วมากๆ จนมองภาพไม่ออก ตอนนั้นเป็นวิชา open book ด้วย เอาคอมพ์เข้าไปได้หมดแต่ก็ไม่ได้ง่าย มันจะไม่ใช่แค่การแทนค่าตัวเลข แต่ต้องเข้าใจว่าแต่ละสูตรหมายถึงปรากฏการณ์อะไร // ยากตรงนี้แหละครับ แถมเรียนเป็นภาษาเกาหลีหมดด้วย ต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจครับ


ฝึกใช้โปรแกรม & เตรียมพื้นฐานไว้แน่นๆ
โดยรวมสาขานี้คำนวณเยอะจริงและเน้นประยุกต์ ใครที่สนใจสายนี้ ผมว่าถ้ามีพื้นฐานคณิต ฟิสิกส์ แล้วก็ลองเล่นบางโปรแกรมไว้
หลักๆ มหาลัยจะมีสอนใช้โปรแกรมพื้นฐานให้เราไปฝึกต่อเองอีกที ส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาเล่นบ่อยๆ ถึงจะคล่องอยู่แล้ว ตัวอย่างที่ผมใช้บ่อยๆ เช่น AutoCAD เอาไว้ทำ Modeling ออกแบบโครงสร้างต่างๆ และ MATLAB ใช้วาดกราฟ คำนวณ และจำลองสมการทางคณิตศาสตร์
ส่วนสาย Aerospace โดยเฉพาะก็จะมีเรียน CFD หรือ Computational Fluid Dynamics ใช้จำลองการไหลของอากาศรอบวัตถุ เช่น ตัวเครื่องบิน หรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อวิเคราะห์แรงและการเคลื่อนไหว ซึ่งตรงนี้จะต้องใช้ความเข้าใจค่อนข้างเยอะ เพราะบางสมการซับซ้อนเกินจะคำนวณด้วยมือ ต้องใช้ coding เข้ามาช่วย เช่นการทำ Mathematical Coding เพื่อให้ระบบประมวลผล Big Data ได้เร็วขึ้น



. . . . . . . .
เรียนหนัก
แต่รักกิจกรรมไม่เปลี่ยนแปลง
ระหว่างเรียนผมมีทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น เข้าชมรมตอนปี 1 เทอม 2 ทำให้ได้รู้จักรุ่นพี่และเพื่อนต่างคณะ (ทุกวันนี้ก็ยัง keep contact กันอยู่) พอขึ้นปี 2 ไปเข้าร่วม Overseas Volunteer Program ของมหาวิทยาลัย เค้าจะแบ่งทีมกันไปทำงานอาสา เช่น สอนโค้ดดิ้ง อาร์ต หรือโดรน ฯลฯ อย่างทีมผมได้สอนภาษาเกาหลีให้นักเรียนไทย ซึ่งโรงเรียนที่ว่านี้น้องๆ ไม่มีพื้นฐานมาก่อนเพราะไม่เคยมีคลาสเกาหลี นอกจากนี้ก็เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยช่วยให้ข้อมูลกับผู้ปกครอง และช่วยดูแลประสานงานกับมหาลัยให้ราบรื่นด้วย



ช่วงปี 3 เรียนหนักที่สุดครับ เลยขอถือโอกาสไปพักผ่อนสมองบ้าง แล้วพอขึ้นปี 4 ก็ไปลงแข่ง Drone Contest ระดับประเทศ ท้าทายพอสมควรเพราะต้องแบ่งเวลาทำธีสิสด้วย


ประธานเครือข่ายนักเรียนไทยใน PNU
ตอนเรียนผมได้เป็น President ของ Thailand Alumni Association at PNU International หลักๆ คือดูแลและเมเนจกิจกรรมสำหรับนักเรียนไทยที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เช่นอาจจะนัดรวมตัว กินเลี้ยง หรือกิจกรรมอื่นๆ โดยได้งบสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยด้วย
ประธานสมาคมนักเรียนไทยในสาธารณรัฐเกาหลี Thai Student Association in the Republic of Korea (TSAK) วาระที่ 2
ราวนี้จะยกระดับเป็นดูแลนักเรียนไทยในเกาหลีแบบครอบคลุมทั่วประเทศ ภาระงานก็ใหญ่ขึ้นพอสมควรครับ หน้าที่หลักคือเป็นศูนย์กลางประสานงานระหว่างนักเรียนไทยกับสถานทูต รวมถึงองค์กรทั้งภายในและภายนอกของเกาหลี เพื่อให้การซัปพอร์ตนักเรียนไทยในเกาหลีเป็นไปได้ดีที่สุด
ล่าสุดเรามีจัดกิจกรรม “First Meet” ของสมาคมฯ ซึ่งได้เกียรติจากเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล มาเป็นประธานเปิดงานด้วย นอกจากนี้สมาคมยังช่วยแนะนำข้อมูลพื้นฐานให้กับน้องๆ ที่เพิ่งมาใหม่ เช่น ใช้แอปอะไรในการเดินทาง ซื้อบัตรโดยสารยังไง หาบ้านยังไง หรือวิธีใช้ชีวิตประจำวันในเกาหลี ซึ่งถึงแม้คนในสมาคมจะมีเวลาไม่มาก แต่เราก็พยายามช่วยกันเต็มที่เพื่อให้ระบบซัปพอร์ตน้องๆ ดีที่สุดครับ
เพจสมาคมนักเรียนไทยในเกาหลี

. . . . . . . .
โค้งสุดท้ายก่อนจบปี 4
ตัดสินใจเรียนต่อที่ KAIST
ย้อนไปช่วงก่อนหน้าจะเรียนจบป.ตรี จากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตอนปี 4 จะเริ่มต้องคิดว่าจะเอายังไงต่อดี ซึ่งตอนแรกใจผมเอนไปทางหางาน แต่ก็ยอมรับว่าเส้นทางไม่ง่ายเลย สุดท้ายก็ตัดสินใจสู้ต่ออีก 4-5 เดือนครับ ผมเลยคุยกับที่บ้านว่าจะโฟกัสการหางาน 70% และหาวิธีอยู่ต่อโดยการศึกษาต่อ 30% ถือเป็นโอกาสได้พัฒนาสกิลวิจัยและต่อยอดหัวข้อที่ทำไว้ตอนป.ตรี ด้วย
แนะนำการสมัครป.โท
ผมเองจะคุ้นเคยกับระบบเกาหลีมากกว่าที่ไทย (ไม่แน่ใจว่าเหมือนกันมั้ยนะครับ) ที่นี่ก่อนส่งใบสมัครเรียนต่อป.โท เราจะต้องติดต่อไปแนะนำตัวและขอ consult กับ Professor ที่เราอยากให้เค้ามาเป็นที่ปรึกษา เล่าว่าเราอยากทำหัวข้อวิจัยอะไร เป้าหมายตรงกับแล็บนี้ไหม แล้วกลุ่มแล็บอาจารย์ยังรับคนเพิ่มได้อีกหรือเปล่า เป็นต้น ถ้าไม่คุยก่อนแล้วส่งใบสมัครเลย มีโอกาสถูก reject สูงครับ
ตอนสมัครผมยื่น Consult กับ Professor 3 ท่านทั้งจาก SNU (Seoul National University) และ KAIST ซึ่งแต่ละท่านตอบกลับดีมากๆ จนทำให้ผมเปลี่ยนมาโฟกัสการเรียนต่อเต็มที่ครับ ส่วนที่เลือก Mechanical Engineering เพราะตอนปี 4 ผมทำธีสิสหัวข้อ 항공기 엔진 파일론의 구조 안전성 평가 [Structural Safety Assessment of Aircraft Engine Pylon] ซึ่งเป็นการประเมินความปลอดภัยของการทดสอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ทำให้ได้เมกชัวร์ว่าเราสนใจเรื่องโครงสร้างจริงๆ ชอบวิเคราะห์เชิงเทคนิค ก็เลยเลือก KAIST ตรงที่สุด
ตอนนี้ผมกำลังทำวิจัยป.โท ที่แล็บ iCaRE Lab (in-situ Characterization and Reliability Evaluation Laboratory) ของ KAIST ที่เมืองแดจอน (Daejeon)




จุดเด่นต่างกันแต่ลงตัวทั้งคู่
ผมประทับใจที่ PNU แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดว่าการศึกษาในฟิลด์นี้ต้องใช้งบประมาณสูงมากๆ เราอาจได้เรียนแบบจำลอง หรือเรียนรู้องค์ประกอบของเครื่องบินแยกกัน ในขณะที่ KAIST ขึ้นชื่อว่าเป็น “สถาบันวิจัย” ทำให้พร้อมมากในแง่เครื่องมือและการซัปพอร์ต แต่ในเมืองแดจอนอาจไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวหวือหวาเหมือนเมืองใหญ่อย่างกรุงโซล เพราะรัฐบาลตั้งใจพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเกาหลี ที่นี่จะเต็มไปด้วยบริษัท Tech. และองค์กรวิจัยดังๆ ของเกาหลีครับ
Note: ที่เกาหลีจะเด่นเรื่อง Applied ถ้ามาเรียนสาย Mechanical หรือ Electrical จะเหมาะมากครับ ส่วนใครที่อยากมองหาตัวเลือกอื่นของสาย Aerospace ผมว่าอเมริกาเด่นสุดเพราะตีพิมพ์ธีสิสเยอะมาก และที่คนไทยอาจยังไม่รู้คือ “อินเดีย” โดยเฉพาะสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย หรือ Indian Institutes of Technology เค้าว่ากันว่าเก่งจริงและสอบเข้ายากสุดๆ ครับ!

. . . . . . . .
ชวนป้ายยา
มาปูซานอย่าพลาดอะไร?
- ปูซานไม่ใช่เมืองแบบเมืองจ๋า อากาศพอดีไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป แถมอาหารก็อร่อยครับ // ส่วนตัวผมยกให้เมนู “ข้าวต้มหมู” เป็นนัมเบอร์วัน ถ้าอยู่เกาหลีนานๆ แล้วไปชิมหลายเมือง จะรู้เลยว่าข้าวต้มหมูที่ปูซานถูกปากคนไทยสุดๆ โดยเฉพาะร้านแถวสถานีปูซานมีชื่อเสียงหลายร้าน
และอาจจะฟังดูแปลกหน่อยนะครับ ผมอยากแนะนำ “อาหารญี่ปุ่น” ของที่นี่ด้วย เพราะปูซานอยู่ใกล้ประเทศญี่ปุ่น ร้านซูชิหรือข้าวหน้าหมูเด็ดๆ เยอะ เหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนรสชาติจากอาหารเกาหลีบ้าง
- สถานที่ท่องเที่ยวก็ต้องทะเลครับ อากาศดี วิวสวย เดินชิลได้ทั้งวัน แต่ถ้าใครจะช้อปปิ้งอย่าลืมเช็กเวลา เพราะห้างที่นี่ปิดเร็วมาก ประมาณสองถึงสามทุ่มครับ
ขอปิดท้ายด้วยภาพบรรยากาศ
จุดแพสชันคนอยากมาเที่ยวครับ อิอิ











. . . . . . . .
อยากรู้ชีวิตเด็ก KAIST ตัวจริงเป็นยังไง?
รุ่นพี่คนไทยรอแชร์ประสบการณ์ให้ฟังในเซสชันนี้!

0 ความคิดเห็น