“ผมว่าทุนนี้ใจดีที่สุดในโลก!” เล่าเส้นทางรัฐศาสตร์ มธ. สู่นักการทูต ก่อนลุยต่อโทที่ ‘ANU’ ยูอันดับ 1 ของออสเตรเลีย

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ขอเสียงคนอยากเรียนต่อออสเตรเลียหน่อยค่ะ! มีคนไทยจำนวนมากที่เริ่มจากการไปแลกเปลี่ยน เรียนภาษา หรือเข้าร่วมโครงการยอดนิยมอย่าง Work & Holiday เพื่อเก็บประสบการณ์และสำรวจชีวิตในแดนจิงโจ้กันก่อน

และหากใครอยากลุยเรียนต่อมหาวิทยาลัยแบบจริงจัง จะมีหนึ่งในทุนสุดปังอย่าง Australia Awards – Mekong-Australia Partnership (MAP) ที่กลับมาเปิดให้คนไทยสมัครได้ช่วงไม่กี่ปีให้หลัง ซึ่งเราจะขอพาไปรู้จักทุนดังกล่าวนี้ผ่านเรื่องราวของ “พี่ยะห์ยา” ศิษย์เก่าสิงห์แดง (คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์) ที่ทำตามความฝันแรกอย่างการเป็นนักการทูตได้สำเร็จทันทีหลังจบ ก่อนจะเดินหน้าทำอีกความฝันให้สำเร็จ นั่นคือ “การไปเรียนต่อต่างประเทศ”

ในที่สุดทุนเต็มจำนวนก็พาพี่ยะห์ยาไปเปิดโลกใบใหญ่ที่  Australian National University (ANU) ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของออสเตรเลีย โดดเด่นสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations; IR) และตั้งอยู่ในเมืองที่เอื้อต่อการเรียนสายนี้สุดๆ! เล่าให้ฟังเพลินๆ จากจุดเริ่มต้นเส้นทางสายรัฐศาสตร์ การเตรียมสมัครทุนที่พี่ยะห์ยาเล่าว่า “เป็นทุนที่ใจดีที่สุดในโลก” ชีวิตนักศึกษาในยูดังของออสฯ และอัปเดตงานปัจจุบัน จะเข้มข้นจัดเต็มแค่ไหน ตามไปเริ่มกันเลยค่ะ!

. . . . . . . .

จุดเริ่มต้นเส้นทางสิงห์แดงอินเตอร์
คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ชวนทักทายผู้อ่านกันก่อน

สวัสดีครับ ชื่อ “พี่ยะห์ยา” นะครับ จบ ป.ตรี โปรแกรม BMIR ซึ่งก็คือรัฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษของ ม.ธรรมศาสตร์* ก่อนจะไปต่อ ป.โท Master of Engaging Asia ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australia National University; ANU) ครับ

ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อโปรแกรมจาก “BMIR” เป็น “BIR” ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์หลักสูตรโดยตรง  https://polsci.tu.ac.th/bir-polsci/ 

จุดเริ่มต้นเส้นทางสายรัฐศาสตร์

ตอนมัธยมผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเชื่ออะไรง่าย ๆ แต่มักจะตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวบ่อยๆ (มารู้ทีหลังว่าคือสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการมี Critical Thinking) ส่วนวิชาโปรดของผมคือสังคมศึกษา โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สนใจทั้งสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เลยรู้สึกว่าคณะรัฐศาสตร์น่าจะเหมาะที่สุด

ผมเรียนโรงเรียนไทยมาตลอด แต่ก็ enjoy กับภาษาอังกฤษและทำคะแนนได้ดีครับ ปัจจัยสำคัญมากคือครูที่ทำให้ผมไม่กลัวเวลาต้องเรียนหรือต้องใช้จริง แล้วก็โชคดีมากที่ตอนนั้นโปรแกรม BMIR เปิดรับรุ่นแรกพอดี ความสนใจกับภาษาเลยมาลงตัวที่คณะนี้พอดี!

เด็กที่เรียน BMIR มักอยากทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ (เรื่องคอนเน็กชันก็เป็นโบนัสหนึ่งเลย) ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากเป็น “นักการทูต” ในกระทรวงการต่างประเทศ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่านักการทูตที่ประจำอยู่ตามสถานทูตไทยทั่วโลก ก็สังกัดกระทรวงนี้แหละ ซึ่งการแข่งขันเข้าทำงานถือว่าสูงมาก ดังนั้นพอจบออกมาแล้วสอบเป็นนักการทูตสำเร็จ เลยรู้สึกว่าเป็นอีกก้าวสำคัญในชีวิตที่น่าภูมิใจครับ

ผมเป็นนักการทูต (สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ) ประมาณ 6-7 ปีก่อนจะ “ลาเรียน” ไปต่อ ป.โท ที่ออสเตรเลีย ก่อนจะกลับมาเป็นนักการทูตจนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับเหตุผลที่เลือก ANU ในแคนเบอร์รา เดี๋ยวมาเล่าต่อหลังพาร์ตสมัครทุน Australia Awards ครับ

จากประสบการณ์ตรง ถ้าสนใจคณะนี้ แนะนำให้เรียนภาษาต่างประเทศอื่นนอกจากไทยและอังกฤษ + สกิลยุคใหม่อย่าง Data Science, AI ฯลฯ ควบคู่ด้วย เพราะจะเป็นเขี้ยวเล็บที่ทำให้เราได้เปรียบในการทำงานจริง

. . . . . . . .

รีวิวสมัครทุน Australia Awards
ซัปพอร์ตดี เรียนฟรีด้วย

“ผมว่าทุน Australia Awards เป็นทุนที่ใจดีที่สุดในโลกเลยนะ”

ชื่อเต็มของทุนที่ผมได้คือ Australia Awards – Mekong-Australia Partnership (MAP) สำหรับในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงโดยเฉพาะ มีเปิดเป็นระยะ และผมเป็นรุ่น 1 ของทุน Mekong ที่เพิ่งกลับมาเปิดไม่นานมานี้

(แต่ทำไมถึงบอกว่าใจดี?) ผมว่าทุนนี้เปิดกว้างและซัปพอร์ตเราดีมากจริงๆ เช่น

  • ทุนเต็มจำนวน เรียนฟรีตลอดหลักสูตร
  • ไม่จำกัดสาขา แต่กลับมาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศในสายงานนั้นๆ
  • ไม่ใช่แค่ให้ตั๋วเครื่องบินไปเรียนและกลับจากเรียนครั้งเดียวจบ แต่สมมติเรียนหลักสูตร 2 ปี หลังจบก็จะมีให้ตั๋วเราบินกลับไทยด้วย
  • ก่อนไปมีเงินสนับสนุนประมาณ 5,000 AUD (≈106,000 บาท) ให้ซื้ออุปกรณ์การเรียนในช่วงเริ่มต้น
  • ประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทุกอย่างตลอดระยะเวลาเรียน
  • มีจัด Workshop หรือ Training ตลอดปี
  • ก่อนเดินทาง ทุนจะมี Pre-departure Training ให้ด้วย ตัวอย่างหัวข้อที่ได้อบรม เช่น ภาวะผู้นำ (Leadership) จริยธรรมทางวิชาการ (Academic Integrity) การใช้ชีวิตในออสเตรเลีย การสร้างเครือข่าย (Networking) เทคนิคการเขียน Essay ให้ถูกหลักวิชากา และอื่นๆ

ทุนนี้เค้าอยากให้เราพร้อมทั้งเรื่อง วิชาการ กฎหมาย และชีวิตความเป็นอยู่ จะได้ไม่ fail ระหว่างทางครับ (แต่รุ่นผมเจอโควิดพอดี เลยปรับมาเป็นอบรมออนไลน์)

แชร์โพรไฟล์และวิธีสมัครทุน

ตอนสมัครผมมีประสบการณ์ทำงานแล้วกว่า 5 ปี รวมถึงเกรดเฉลี่ยระดับปริญญาตรี (GPA) ได้เกียรตินิยมครับ ส่วน IELTS ตอนนั้นได้ Overall 7.0 (รุ่นที่ผมสมัครต้องอย่างน้อย 6.5 ขึ้นไป) แนะนำให้น้องๆ เช็กคุณสมบัติให้ดีทุกปีนะครับ เพราะรายละเอียดอาจมีเปลี่ยนบ้าง

กระบวนการสมัครจะยื่นออนไลน์ทั้งหมดเลยครับ กรอกข้อมูล ตอบคำถาม พร้อมแนบเอกสารที่จำเป็น คำถามจะมีประมาณ 3-4 ข้อ ผมเจอแนว “เล่าภาวะผู้นำของตัวเอง” กับ “ถ้าได้ทุนจะกลับมาทำอะไรให้ประเทศบ้าง”

คนไทยที่ได้รับทุน Australia Awards ในปีนั้น
คนไทยที่ได้รับทุน Australia Awards ในปีนั้น 

ต้องสมัครมหาวิทยาลัยไหม?

เราต้องสมัครทุนก่อน แล้วค่อยเลือกสาขา/มหาวิทยาลัยภายหลัง ถ้าผลทุนออกว่าเราได้รับเลือก ทางโครงการจะช่วยประสานกับมหาวิทยาลัยให้โดยตรง เราไม่ต้องยื่นมหาลัยแยกอีกครับ ถือเป็นทุนที่อำนวยความสะดวกให้มากๆ!

(ถามความเห็น) ถ้าจะสมัครทุน ป.โท
ควรมีประสบการณ์ทำงานก่อนไหม?

ส่วนตัวผมคิดว่าการมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนช่วยได้มากครับ เพราะทุนน่าจะมองหา “Authenticity” หรือความเป็นตัวตนของผู้สมัคร คนที่รู้ว่าตัวเองสนใจเรื่องอะไร และมีภาพชัดเจนว่าอยากพัฒนาอะไรต่อ ซึ่งการทำงานช่วยให้เราตอบคำถามในใบสมัครหรือเขียนเรียงความได้ตรงจุดมากขึ้น ทั้งในแง่ของสิ่งที่เคยทำ สิ่งที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม และแนวทางที่จะนำความรู้กลับมาใช้

ที่สำคัญคือเวลาไปเรียน เราจะเข้าใจประเด็นต่างๆ ได้ลึกขึ้น มองภาพรวมได้เป็นระบบ และนึกออกว่าเนื้อหามีส่วนที่น่าจะเชื่อมกับงานหรือเป้าหมายของเราอย่างไรบ้างครับ

. . . . . . . .

เปิดความปังของ IR ที่ ANU
ทั้งแง่การเรียนและโลเคชัน

บรรยากาศมหาวิทยาลัยในช่วงบ่ายแก่ๆ // เวลาส่วนมากก็จะอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือเเละทำรายงาน ห้องสมุดที่นี่จะเปิด 24 ชั่วโมง
บรรยากาศมหาวิทยาลัยในช่วงบ่ายแก่ๆ // เวลาส่วนมากก็จะอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือเเละทำรายงาน ห้องสมุดที่นี่จะเปิด 24 ชั่วโมง

ANU เป็นมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นด้าน IR และตั้งอยู่ใน “แคนเบอร์รา” (Canberra) เมืองหลวงของออสเตรเลียที่ผมว่าเงียบสงบ (ถ้าเทียบกับเมืองใหญ่อย่างซิดนีย์หรือเมลเบิร์น) ทำให้โฟกัสกับตัวเองได้เต็มที่ เดินทางสะดวก ปลอดภัย ใช้ชีวิตแบบ slow life ได้บ้าง

นอกจากบรรยากาศน่าเรียนแล้ว แคนเบอร์รายังเป็นศูนย์รวมของหน่วยงานรัฐและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สถานทูต กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึง “Think tank” หรือสถาบันวิจัยเชิงนโยบายที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ประเด็นทั้งในประเทศและระดับโลก เช่น “The Australia Institute” หรือในมหาวิทยาลัยเองก็มี “ANU National Security College” อยู่ด้วย

สำหรับคนที่สนใจด้าน IR, Policy หรือ Social Science ผมว่าเหมาะมากๆ เพราะมีโอกาสได้ไปดูงานหรือเข้าร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานจริงอยู่ตลอดครับ

เรียนเกี่ยวกับอะไร?

ผมว่าสาขานี้เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ทำงานครับ เรียนเน้นวิเคราะห์ประเด็นร่วมสมัยที่เกิดขึ้นและทำความเข้าใจเอเชียในมิติต่างๆ ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แล้วหาแนวทางบรรเทาหรือแก้ปัญหาที่ Practical ใช้ได้จริง

ปัญหาที่หยิบมาคุยกันก็จะซับซ้อน เช่น “สถานการณ์ลุ่มแม่น้ำโขง” ที่ครอบคลุมหลายประเทศ และกระทบทั้งในมิติของชาวบ้านในชุมชน รัฐ ไปจนถึงนโยบายระหว่างประเทศ เช่น สัตว์น้ำสูญพันธุ์ ชาวบ้านอพยพ การเมือง การค้า ยาเสพติด ฯลฯ บางแง่มุมอาจนึกไม่ถึง แต่จริงๆ ทุกมิติสัมพันธ์กันหมด แล้วยังได้เห็นมุมมองที่ออสเตรเลียมองมายังเอเชียด้วย

ตัวอย่างวิชาเรียน

  • วิชา Asia Pacific Environmental Conflict วิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย เช่น หากมีการเผาและเกิดปัญหาหมอกควัน หรือลมพัดไฟลามไปประเทศอื่นๆ จนกลายเป็นปัญหาข้ามพรมแดน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดการปัญหานี้อย่างไร มีวิธีรับมือไหนเป็นไปได้บ้าง
     
  • วิชา International Relations in Asia & Pacific วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก เรียนทั้งทฤษฎี มีประวัติศาสตร์แทรกนิดหน่อย และเรียนเกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนว่าจะรับมือกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างรบ้าง (เช่น ข้อพิพาททะเลจีนใต้)
     
  • วิชา China’s Global Engagement วิเคราะห์บทบาทของจีนในเวทีโลก // ปกติเรามักจะถูกสื่อจากอีกซีกโลกนึงครอบให้มองจีนอีกแบบนึง วิชานี้ทำให้เรามองอย่างเป็นกลางที่สุด

แล้วจะมีวิชาพิเศษที่มหาลัยที่เปิดรับทุกคณะ (ชื่อวิชา Unravelling Complexity) แต่มหาลัยจะมีกำหนดโควตาจำนวนจำกัดนักเรียนที่รับได้ในแต่ละเทอม และคัดเลือกด้วย Essay ผมโชคดีที่ได้รับคัดเลือกเข้าไปเรียนวิชานี้ ซึ่งได้วิเคราะห์ปัญหาระดับโลกที่ซับซ้อนมากๆ คลาสนี้เลยสนุกตรงที่เราจะได้ฟังมุมมองที่ต่างกันจากเพื่อนหลายคณะ เช่น แพทย์ วิศวะ สังคม ฯลฯ ได้เรียนรู้เครื่องมือแก้ไขปัญหา บางครั้งก็เชิญรัฐบาลท้องถิ่นมาร่วมฟัง Presentation ด้วย

ดูวิชาเรียน Master of Engaging Asia

รีวิวเรียลๆ ชีวิตนักศึกษาเป็นแบบไหน?

ถ้าผมเองก็คือหมกตัวอยู่ในห้องสมุดแทบทุกวันครับ สาขานี้ไม่มีสอบ ไม่มีธีสิส แต่จะมี Essay, Presentation และ Final Paper บางวิชาอาจมีเปเปอร์ 3-4 ชิ้น รวมแล้วเกือบ 10,000 คำต่อวิชา ซึ่งต้องอ้างอิงแหล่งข้อมูลให้ชัดเจนด้วยเพราะที่ต่างประเทศจะซีเรียสเรื่องนี้มาก

การเรียนจะเป็นคลาสเล็ก 10-20 คนแล้วแต่วิชา ส่วนมากเพื่อนๆ มาจากแวดวงราชการ ทั้งคนเอเชีย แอฟริกา และยุโรปบ้าง ส่วนใหญ่ก็คือคนในอาเซียน ซึ่งรุ่นผมมีอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว ฯลฯ เเละข้าราชการจากออสเตรเลีย 

ช่วงแรกๆ ที่มาถึง อาจรู้สึกสนุกเพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่พอเข้ากลางเทอมจะมาทั้งการบ้าน งานเขียน ฯลฯ พุ่งเข้ามาพร้อมกัน กลายเป็น routine ที่เข้มข้น แต่จริงๆ ก็สนุกและฝึกวินัยได้ดีมากเหมือนกันนะ สมมติเรียนช่วงบ่าย กลับมาก็ต้องเตรียมอ่านสำหรับวันถัดไป วางแผนส่ง Assignments ให้ทันตามเดดไลน์ด้วย

แต่ละวิชาต้องอ่าน Academic และ Journal Articles เยอะมาก เขามีกำหนด Reading List ไว้ชัดเจนเลยว่าสัปดาห์ไหนต้องอ่านอะไรล่วงหน้า เพื่อเตรียมไปดิสคัสในคลาส เนื้อหาที่เรียนก็จะมีทั้งเคสจริง เคสใกล้เคียง หรือบางครั้งก็ย้อนดูบทเรียนจากอดีต รวมถึงมองว่าจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร

การเรียนคณะนี้ช่วยให้ผมมองปัญหาได้ลึกและรอบด้านมากขึ้น ได้พยายามทำความเข้าใจบริบทของแต่ละประเทศว่าทำไมถึงเลือกใช้นโยบายแบบนั้น อะไรเป็นเหตุผลเบื้องหลัง ประวัติศาสตร์หรือประสบการณ์ในอดีตส่งผลอย่างไร และที่ดีมากคือพื้นที่ในห้องเรียนมันเปิดกว้างครับ ถึงจะเป็นประเด็นที่อ่อนไหว เราก็สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ ตราบใดที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและความเคารพซึ่งกันและกัน

Academic Integrity คืออะไร?

ที่นี่สอนเรื่อง Academic Integrity คือ “ความซื่อสัตย์ทางวิชาการ” แบบเจาะลึกและจริงจังมากกก ตอนแรกผมนึกไม่ถึงว่าเพราะอะไร แต่ตอนหลังถึงเข้าใจว่าเป็นการปลูกฝังความซื่อสัตย์ทุกเรื่องในชีวิต เวลาจะทำอะไรก็ตามจะคำนึงเรื่องจริยธรรม อะไรควร/ไม่ควร ถูก/ผิด ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงงานวิจัย การให้เครดิตตอนเขียนรายงานหรือสอบ เราควรทำให้ถูกต้อง หรือเรื่องการจ้างคนอื่นเขียน Essay ที่เมืองไทยอาจมองเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ต่างประเทศถือว่าร้ายแรงมาก ถึงขั้นโดนถูกเชิญออกได้เลยครับ
 

ผมเองเป็นข้าราชการคนหนึ่ง สิ่งที่ได้จาก Academic Integrity ทำให้ผมใส่ใจเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ใช้งบประมาณราชการที่มาจากภาษีประชาชน ผมคิดเสมอว่ามันต้องอธิบายได้ว่าทำไมถึงตัดสินใจใช้ โปร่งใสตรวจสอบได้มั้ย และไม่ใช้เงินนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนตน
 

ท้ายที่สุด เวลาเราทำงานภาครัฐ ออกนโยบาย หรือใช้งบประมาณ เราควรยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมคิดว่ารากฐานแบบนี้แหละที่เมืองนอกปลูกฝังไว้ตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย และเป็นสิ่งที่เราควรเรียนรู้มาใช้กับระบบของเราครับ

 

ในช่วงระหว่างเรียนรัฐบาลออสเตรเลียจัดฝึกอบรมภาวะความเป็นผู้นำให้ผู้ได้รับทุนด้วย
ในช่วงระหว่างเรียนรัฐบาลออสเตรเลียจัดฝึกอบรมภาวะความเป็นผู้นำให้ผู้ได้รับทุนด้วย 

. . . . . . . .

เรียนเป็นหลัก พักค่อยเที่ยว 
มีช่วงว่างก็เลี้ยวสำรวจเมืองดัง

[จากซ้าย] Flinder Central Station, Melbourne / State Library Victoria, Melbourne / Melbourne Law School
[จากซ้าย] Flinder Central Station, Melbourne / State Library Victoria, Melbourne / Melbourne Law School

ถึงจะเรียนหนัก ระบบที่นี่ก็มีช่วงปิดเทอมสั้น-ยาวให้พักบ้าง ผมเลยได้เที่ยวในออสเตรเลียหลายเมืองครับ อย่าง “เมลเบิร์น” (Melbourne) ที่นี่จะออกแนวคึกคัก และมีสีสันวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากยุโรป

แต่ถ้าถามว่าชอบที่ไหนสุด ผมว่า “แทสมาเนีย” (Tasmania) ครับ ที่นี่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย ธรรมชาติก็ยังคงความสมบูรณ์ไว้ได้ดี อย่างตอนนั้นผมเช่ารถขับ road trip กับเพื่อน มีจุดชมวิวสวยมากๆ อย่างตอนที่ขึ้นไปจุดสูงสุดของ Mount Wellington มองลงมาจะเห็นเมืองโฮบาร์ต (Hobart) ทั้งเมืองจากมุมสูง แล้วก็ไปเดินดูทะเลสาบแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ

ผมยังรู้สึกได้ว่าคนที่นี่เฟรนด์ลี่กับต่างชาติมากๆ อาจเพราะนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวและคนต่างชาติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยส่วนหนึ่งครับ

[จากซ้าย] 
[จากซ้าย] 
- จุดชมวิว Mount Wellington มองเห็นเมือง Hobart  เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ชอบมากที่สุดแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย
- Richmond Bridge is the oldest stone span bridge in Australia
- Fresh Oyster จากฟาร์ม ผมชอบทานมากกก ราคาไม่แพงเลยครับ

. . . . . . . .

เคยได้รับเลือกให้ขึ้นกล่าวสปีช
ในงานเลี้ยงส่งสุดพิเศษของทุน!

เล่าให้ฟังว่าวันนั้นเป็นงานเลี้ยงส่งก่อนนักเรียนทุน Australia Awards ก่อนเรียนจบและแยกย้ายกันกลับประเทศครับ จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศเเละการค้าของออสเตรเลีย

เริ่มจากคัดเลือก potential candidates สุดท้ายผมได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของผู้รับทุน Australia Awards ในกรุงแคนเบอร์รา ซึ่งหมายถึงการขึ้นพูดแทนนักเรียนทุนจากหลายประเทศ รู้สึกเป็นเกียรติมากกกก แน่นอนว่าอีกความรู้สึกนึงคือกดดัน มีเวลาเตรียมตัวไม่มากแต่อยากทำออกมาให้ดีที่สุด

(คิดว่าทำไมพี่ยะห์ยาถึงได้รับเลือก?) น่าจะเส้นทาง journey ของผมตั้งแต่สมัครทุนจนมาถึงจุดนี้ พอเล่าออกมาแล้วดูเรียลและสู้ชีวิตก็ได้ครับ ผมเล่าว่าตัวเองผมเติบโตจากครอบครัวชนชั้นกลาง จบโรงเรียนไทย มีความฝันตั้งแต่วัยเด็ก 2 อย่างคือ การได้เป็นนักการทูต และ การเรียนต่อต่างประเทศ ในวันนี้ผมได้ทำสำเร็จทั้งสองอย่างแล้วครับ

ผมรู้สึกขอบคุณรัฐบาลออสเตรเลียมากที่ให้โอกาส ได้ทุนที่ดูแลดีและมอบประสบการณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้ ไม่ใช่แค่ด้านวิชาการ แต่รวมถึงวิธีคิด ชีวิต และการทำงาน จริงๆ วันนั้นเลยถือเป็นโอกาสพิเศษที่ได้พูดจากใจ และขอบคุณทุกคนที่มีส่วนในเส้นทางเดินนี้ด้วยครับ

. . . . . . . .

อัปเดตชีวิตปัจจุบัน
และความท้าทายฉบับ “นักการทูต”

ก่อนหน้านี้ผมเคยประจำอยู่ที่อิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน ปัจจุบันย้ายมาทำงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก (Republic of Mozambique) ครับ หน้าที่หลักของนักการทูตคือการดูแลและคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยในต่างแดน รวมถึงทำหน้าที่เป็นหนึ่งในตัวแทนของประเทศไทยในการส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมกับประเทศเจ้าบ้าน

เมื่อพูดถึง “แอฟริกา” หลายคนอาจนึกถึงภาพจำแบบทะเลทราย ความอดอยาก หรือความล้าหลัง ซึ่งอาจเป็นความจริงในบางพื้นที่ แต่ก็ไม่ใช่ภาพสะท้อนของทั้งทวีป เพราะจริงๆ แล้วแอฟริกาเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในอนาคตที่จะมีประชากรเพิ่มขึ้นมาก และมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ด้วยครับ

และผมว่าหลายคนก็คงไม่คุ้นกับชื่อประเทศโมซัมบิกเช่นกัน แต่เล่าให้ฟังว่าเมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งจะมีขุดพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่ในอนาคตอาจทำให้โมซัมบิกเป็น Top 10 ประเทศที่มีศักยภาพการส่งออกด้านพลังงานในระดับโลกได้เลย นอกจากนี้ โมซัมบิกยังเป็นหนึ่งในประเทศในภูมิภาคแอฟริกาที่มีภาคเอกชนไทยลงทุนสูงที่สุดอีกด้วย

ถ้าถามว่าการเรียนที่ ANU เชื่อมโยงกับงานปัจจุบันอย่างไร

สำหรับผม สิ่งสำคัญคือการได้ฝึกมองภาพใหญ่ เข้าใจบริบทระหว่างประเทศ และความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ต่างๆ บนเวทีโลกมากขึ้น พอเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น ไม่ว่าจะในระดับภูมิภาคหรือระดับโลก เราจะมองออกว่าไทยอยู่ตรงไหนในสมการนั้น ควรดำเนินท่าทีอย่างไร และใช้เครื่องมือทางการทูตแบบไหนให้เหมาะกับสถานการณ์ที่สุดครับ

เข้าร่วมโครงการ Young Asian Diplomats จัดโดย Asia Foundation ที่สหรัฐอเมริกา
เข้าร่วมโครงการ Young Asian Diplomats จัดโดย Asia Foundation ที่สหรัฐอเมริกา 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น