สวัสดีค่ะชาว Dek-D ช่วงนี้กระแสจีนมาแรงไม่มีตก ทั้งซีรีส์ เพลง อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ไปจนถึงวัฒนธรรมที่แผ่พลัง Soft Power มาถึงไทยเต็มๆ จนทำให้หลายคนอยากจัดสักทริปหรือสมัครสักทุนไปเรียนต่อสักครั้ง ซึ่งข้อดีคือจีนมีทุนให้ต่างชาติเยอะมากกกก ทั้งของรัฐบาลจีน มหาวิทยาลัย องค์กรต่างๆ หรือบางหลักสูตรที่ไทยก็ co กับมหาลัยในจีนอีกค่ะ
วันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่เดียร์” เจ้าของช่องยูทูบ “เดียร์สอนจีน” ที่จุดเริ่มต้นคือการหลงเสน่ห์ตัวอักษรจีนจนตัดสินใจไปเรียนต่อ ป.โท สาขาการสอนภาษาจีน ที่ Beijing Language and Culture University (BLCU) ต่อด้วยทุน China Studies Program (新汉学计划) เรียนต่อ ป.เอก สายวิจัยด้านการแปลและการล่าม Shanghai International Studies University (SISU)
จากเด็กที่ชอบวาดตัวอักษรจีนในสมุดเรียน สู่เหล่าซือและยูทูบเบอร์ที่อยากออกแบบสื่อเพื่อทำให้การเรียนภาษาจีนกลายเป็นเรื่องสนุก! ชีวิตเด็กไทยในประเทศจีนของพี่เดียร์จะสนุกและท้าทายแค่ไหน ไปเริ่มกันเลยค่ะ~

. . . . . . . .
รักแรกพบกับอักษรจีน
สวยเหมือนกับภาพวาด!
ตอน ม.4 เดียร์ลังเลงว่าจะเรียนแผนศิลป์-ภาษาจีนหรือญี่ปุ่นดี เลยลองไปร้านหนังสือเปิดดูเล่มที่สอนสองภาษานี้ แล้วก็สะดุดกับภาษาจีนที่ตัวอักษรสวยเหมือนเป็นภาพวาด!! ยิ่งตัวเองชอบวาดภาพอยู่แล้วยิ่งใจบางค่ะ T﹏T อีกอย่างคือรู้สึกเสียงภาษาจีนเข้ากับหน้าตัวเองมากกว่าภาษาญี่ปุ่น (คิดว่านะคะ 555)

พอมาเข้าเรียนศิลป์-จีนก็ยิ่งสนุก ช่วงแรกๆ โรงเรียนจะเน้นปูพื้นฐาน Pinyin ให้แน่น เพราะจะทำให้ออกเสียงสื่อสารได้ถูกและเข้าใจได้เร็ว และตอนสอนคัดตัวอักษรก็ให้เราใช้จินตนาการว่าคำนี้เหมือนอะไร สร้างสตอรี่ของตัวเองไว้จำ แถมพอเราคัดลายมือดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งภูมิใจไปอีก
เหตุผลที่ทำให้ชอบจีนขึ้นเรื่อยๆ ก็คือครู เพราะเราเจอทั้งครูคนไทยที่สอนแบบใจเย็น ละเอียด เข้าใจนักเรียน แล้วก็มีครูคนจีนมาเสริมพาร์ตปฏิบัติด้วยวิธีสอนสนุกๆ ได้ฝึกกับเค้าอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
หลักๆ เดียร์เน้นอ่านหนังสือเพิ่ม เพราะจะมีเล่มที่อาจารย์เขียน ซึ่งเค้าออกแบบให้คนต่างชาติอ่านแล้วเข้าใจง่าย แต่ความท้าทายคือยุคนั้นยังไม่มี WeTV, iQiyi หรือ YouTube ยังไม่ค่อยมีสื่อจีน ส่วนซีรีส์พากย์จีนที่มีซับไทยก็ยังมีน้อย เราก็ต้องสวมบทนักสืบนิดนึง เข้าไปเสิร์ชหาใน Google แต่ส่วนใหญ่ได้ดูซีรีส์ไต้หวันอย่าง “ปิ๊งรักสลับขั้ว” เปิดซับไตเติลภาษาจีนให้คุ้นตาไปด้วย
ส่วนตัวชอบสำเนียงของจีนแผ่นดินใหญ่ตรงที่เสียงนุ่มลึกกว่า เช่นคำว่า “อะไร” ที่พูดว่า “เฉินเหม่อะ” หลังๆ เข้ายูทูบก็เริ่มหาเพลงจีนฟังแล้ว ยุคนั้น Jay Chou, Rainie Yang, Fahrenheit กำลังดัง // ถ้าใครจะฝึกแนะนำเพลงอวี่อ้าย (Rainy Love) ของเรนนี่หยาง เพราะเป็นเพลงช้าที่เพราะและใช้คำไม่ยากค่ะ~
พอขึ้นป.ตรี เดียร์เรียนต่อคณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาจีน ม.เชียงใหม่ ระหว่างเรียนเริ่มไปทำ Part-time หลายอย่างเพื่อให้มีโอกาสใช้ภาษาจริงๆ เช่น เป็นบาริสต้าในคาเฟ่ที่มีนักท่องเที่ยวจีนเยอะ แปลซับไตเติล รับงานไกด์กรุ๊ปทัวร์เล็กๆ และเริ่มสอนพิเศษตั้งแต่ปี 2 เทอม 1
. . . . . . . .
สอนจนเข้าใจด่านยากสำหรับคนไทย
จุดประกายสู่การสมัคร ป.โท
ช่วงที่เริ่มสอนน้องมัธยมตามบ้าน เรารู้สึกสนุกมากๆ กับการถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองเรียนมาตลอด มาเป็นฉบับที่เข้าใจง่ายเหมือนให้ทางลัดกับรุ่นน้อง จากนั้นก็มีโอกาสสอนหลายกลุ่ม ทั้งเด็กประถม มัธยม รุ่นพี่ปี 4 ที่อยากเสริมภาษาจีน ไปจนถึงคนทำงานอย่างพนักงานต้อนรับ ปรับบทเรียนให้เหมาะกับพื้นฐานและเป้าหมายของแต่ละคนค่ะ
ภาษาจีนจะมีด่านความยากให้ผ่านทีละขั้น ตั้งแต่
- Stage 1 การออกเสียง เดียร์เริ่มเห็นชัดว่าความยากของภาษาจีนสำหรับคนไทยอยู่ที่เสียงพยัญชนะอย่าง r, z, ch, sh ซึ่งไม่มีในภาษาไทย หรือบางเสียงก็ใกล้กันจนฟังแทบไม่ออก ต้องอาศัยการฝึกฟังและพูดซ้ำๆ ถึงจะเริ่มจับความต่างได้
- Stage 2 ตัวอักษรและคำศัพท์ ขั้นนี้ทำให้หลายคนยอมแพ้กับตัวอักษรจีน แต่เดียร์ชอบคัดแล้วคัดอีก แต่เพื่อนๆ หรือนักเรียนที่สอนจะไม่ค่อยชอบคัด คัดแล้วไม่เข้าใจว่าทำไมออกเสียงแบบนี้
- Stage 3 ไวยากรณ์ พอคนชินกับตัวองค์ประกอบตัวอักษรจีน ด่านต่อไปคือไวยากรณ์ค่ะ เพราะโครงสร้างประโยคต่างกัน บางคนเข้าใจว่าง่ายเพราะเรียงเหมือนไทย แต่เรียนไปเรียนมาจะรู้ว่ามีจุดที่ไม่เหมือนเยอะขึ้นเรื่อยๆ เช่น การบอกตำแหน่งของการกระทำ เช่น (ไทย) “ฉันกินข้าวที่โรงเรียน” -> (จีน) ฉันที่โรงเรียนกินข้าว หรือ (ไทย) “ฉันไปดูหนังกับเพื่อน” -> (จีน) “ฉันกับเพื่อนไปดูหนัง” เป็นต้น
- Stage 4 ขั้นแอดวานซ์คือภาษาหนังสือและการฟังเจ้าของภาษาที่พูดเร็วมากกก มีการใช้สำนวน สแลง วลีเฉพาะ คำศัพท์ที่ใกล้กันก็เยอะอีก
หลังเรียนจบ เดียร์ทำงานในบริษัททัวร์จีนราว 10 เดือน พร้อมสอนพิเศษต่ออีก 3-4 ปี จนถึงจุดที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้รู้ลึกมากพอจะเรียกตัวเองว่า “เหล่าซือ” ได้เต็มปาก อยากพัฒนาการสอนให้เป็นระบบตามหลักวิชาการมากขึ้น เลยตัดสินในสมัครป.โท ด้านการสอนภาษาจีนที่ Beijing Language and Culture University (หลังจากนี้ขอเรียกสั้นๆ ว่า “BLCU”) เพราะตั้งแต่มัธยมถึงป.ตรี หนังสือเรียนที่ใช้แทบทั้งหมดก็มาจากสำนักพิมพ์ของมหาลัยนี้ คุ้นเคยดีจนเหมือนโตมาด้วยกันเลยค่ะ 5555
สิ่งที่ควรคิดก่อนเรียนต่อคือ ต้องตอบให้ได้ว่า “เราอยากรู้อะไร” และ “อยากแก้ปัญหาอะไร” เพื่อวางแนวทางการเรียนและวิจัยให้ชัด ถ้าเลือกสายการศึกษา หัวข้อวิจัยจะสำคัญมาก เพราะถ้าเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวอาจไม่หนักแน่นพอสำหรับแวดวงวิชาการค่ะ
. . . . . . . .
รีวิวสมัครทุนรัฐบาลจีน CSC
(เตรียมเนิ่นๆ บางอย่างต้องใช้เวลา)
หลังจากหาข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งกรุ๊ป Facebook “Thai CSC” และถามรุ่นพี่ที่เคยได้ทุนมาก่อน เดียร์ก็เริ่มเตรียมเอกสารทั้งหมดค่ะ // น้องๆ อย่าลืมเข้าไปอัปเดตข้อมูลปีที่เราจะสมัคร เพราะรายละเอียดบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงหรือมีเอกสารบางรายการที่ต้องส่งเพิ่ม
- เดียร์ยื่นคะแนนภาษา HSK 5 และเขียน Study Plan เป็นภาษาจีน ถ้าสมัครป.โท ประมาณ 800 ตัวอักษร ส่วนป.เอก ไม่น้อยกว่า 1,500 ตัวอักษร โดยเนื้อหาควรอธิบายให้ชัดว่า ทำไมอยากเรียนด้านนี้” “อยากทำวิจัยเรื่องอะไร” “ต่อไปอยากต่อยอดยังไงบ้าง” อย่างเดียร์ก็เล่าว่าสนใจปัญหาการเรียนการสอนภาษาจีนในไทย เพราะอยากพัฒนาแนวทางการสอน ซึ่งจริง ถ้าใครจะสมัคร ไม่ต้องกำหนดหัวข้อเป๊ะก็ได้ แต่อย่างน้อยควรสะท้อนให้เห็นมุมมองแบบ “นักวิจัย"
Note: ตอนนี้บางมหาวิทยาลัยระดับป.เอก เริ่มมี requirement ว่าต้องเคยตีพิมพ์งานวิจัยมาก่อนด้วย ขึ้นอยู่กับแต่ละสาขานะคะ**
- จดหมายแนะนำจากอาจารย์ (Recommendation Letter) ใช้ 2 ฉบับ จากอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย (ควรเป็น ดร. หรือ ผศ. ขึ้นไป) แนะนำให้ไปคุยกับอาจารย์ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ควรกระชั้นชิดแล้วกดดันเรื่องเวลา
- เอกสารที่มักจะใช้เวลาเตรียมนาน ก็คือ ใบตรวจสุขภาพ (ต้องไปขอที่โรงพยาบาล) และ เอกสารที่ต้องรับรองโดยหน่วยงานไทย เช่น Transcript หรือเอกสารยืนยันตัวตน (เดียร์ไปรับรองที่ศูนย์ราชการ) บางกรณีจะต้องแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษก่อนนำไปรับรองด้วย
พอเอกสารครบแล้วจะไปสมัครในเว็บไซต์ของ China Scholarship Council (CSC) ระบบจะให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและเลือกมหาวิทยาลัย โดยทุน CSC จะมี 2 แบบ คือ
- Type A ยื่นผ่านสถานทูตหรือกงสุลจีน เอกสารจะถูกส่งไปที่กงสุลเพื่อคัดเลือก *เดียร์ยื่นช่องทางนี้ เพราะรีบเตรียมเอกสารเร็ว > ติดต่อมหาลัย > ได้ใบตอบรับเข้าศึกษาต่อจาก BLCU เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้ามีจะเพิ่มโอกาสให้เราได้ทุนสูงกว่าค่ะ ทางมหาลัยเองก็แนะนำเหมือนกัน
- Type B สมัครโดยตรงกับมหาวิทยาลัย ต้องกรอกข้อมูลทั้งในระบบ CSC และในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยด้วย
. . . . . . . .
นี่แหละรสชาติการเรียนสุดท้าทาย
เมื่อข้ามไปสายวิจัยแบบเต็มตัว
บรรยากาศแบบ UN ย่อส่วน
BLCU เป็นมหาลัยที่หลายคนเรียกว่า “UN แบบย่อส่วน” เพราะมีนักศึกษาต่างชาติเยอะมาก เดียร์มีเพื่อนจากทั้งกาน่า แอฟริกาใต้ เกาหลี ญี่ปุ่น ไปจนถึงยุโรป ได้เห็นมุมมองการเรียนภาษาที่แตกต่าง เช่น ไวยากรณ์จีนที่คนไทยมองว่าง่าย แต่เพื่อนบางประเทศกลับว่ายากสุดๆ ขึ้นอยู่กับความคล้ายคลึงกับภาษาแม่ของคนแต่ละชาติ
บรรยากาศในคลาสสนุกและอบอุ่นมาก ทุกคนกลายเป็นเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เรียน กินข้าว เที่ยวด้วยกันแทบตลอด ช่วงป.โทถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่สนุกที่สุด มีกิจกรรมให้เข้าร่วมตลอด ทั้งงานโชว์วัฒนธรรม เวทีแสดงความสามารถ และกิจกรรมระหว่างประเทศที่เปิดโอกาสให้เราได้โชว์ความเป็นไทยเต็มที่
หลักสูตร MTCSOL เรียนประมาณไหน?
หลักสูตรที่เดียร์เรียนคือ MTCSOL (Master of Teaching Chinese to Speakers of Other Languages) ระยะเวลา 2 ปี เน้นทั้งทฤษฎีและการฝึกสอนจริง วิชาหลักมีทั้งภาษาศาสตร์ การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม วรรณคดีจีน และวิชาฝึกสอน เช่น สอนคำศัพท์จากบริบท สอนไวยากรณ์ให้เข้าใจโดยไม่ต้องท่อง หรือสอนเขียนโดยคำนึงถึงโครงสร้างและน้ำเสียง ไฮไลต์คือ “สอบสอน” ที่ต้องออกแบบแผนเองและสอนจริงต่อหน้าอาจารย์กับเพื่อนๆ เป็นบททดสอบใหญ่ที่ได้เห็นภาพรวมของการสอนครบทุกมุม
เล่าตรงๆ คือตอนป.ตรี เดียร์ไม่ค่อยตั้งใจเรียน “ระเบียบวิธีวิจัย” พอมาเจอจริงในป.โทก็เหมือนเริ่มจากศูนย์ ต้องงมเองทุกขั้น แต่โชคดีที่ได้อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยแนะนำเยอะมาก ทำให้เริ่มเข้าใจว่างานวิจัยทางภาษาคืออะไร และควรเก็บข้อมูลแบบไหน
เว็บไซต์หลักสูตร MTCSOL @ BLCUเปิดช่องยูทูบ & จุดเริ่มต้นหัวข้อวิจัย
ตอนนั้นเดียร์เลือกทำหัวข้อเกี่ยวกับ “ปัญหาการเรียนการสอนภาษาจีนในไทย” เพราะอยากพัฒนาแนวทางการสอนให้ดีขึ้น แต่ระหว่างเรียนก็ได้เจอแนวคิดใหม่อย่าง Computer-Assisted Teaching และ Autonomous Learning ที่พูดถึงการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านเทคโนโลยี ซึ่งพอดีกับช่วงที่เดียร์เริ่มทำช่อง YouTube เดียร์สอนจีน ก็คิดต่อว่าจะออกแบบสื่อการเรียนภาษาจีนยังไงให้มีประสิทธิภาพและคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจริงๆ
เมื่อ 7 ปีก่อนแนวคิดนี้ยังใหม่มาก อาจารย์ที่ปรึกษาเดียร์ถนัดสายไวยากรณ์ (Syntax) เราก็เลยแลกเปลี่ยนว่า งานวิจัยของเราไม่ได้เน้นแค่การสอนในห้องเรียน แต่เน้น “ออกแบบสื่อที่ทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม” เดียร์เก็บข้อมูลจากวิดีโอสอน วิเคราะห์ว่าแต่ละพาร์ตควรจัดแบบไหนถึงจะกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากโต้ตอบและเรียนรู้ได้ดีที่สุด
จากจุดนั้น เดียร์มองว่า “เหล่าซือ” ไม่ได้มีหน้าที่สอนอย่างเดียว แต่ต้องสร้างเครื่องมือหรือพื้นที่ให้คนเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ด้วย ความคิดนี้เป็นแนวคิดหลักในการทำงานสอนและงานวิทยากรของเดียร์ค่ะ
. . . . . . . .
เมื่อครูไปลองทำงานล่าม
ก็ได้ค้นพบความจริงอีกข้อ
หลังจบป.โท เดียร์กลับมาทำงานที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงค่ะ ช่วงนั้นได้ทำหลายอย่าง ทั้งสอนภาษาจีน จัดกิจกรรมให้กับนักศึกษา ควบกับทำวิจัยด้วย ได้ใช้สกิลที่เรียนมาแบบเต็มที่สุดๆ แล้วต่อมาก็ย้ายกลับมากรุงเทพฯ ทำงานที่มหาวิทยาลัยเกริก ช่วงนั้นเองที่เริ่มรับงานล่ามและแปลภาษาจีนจริงจังเป็นครั้งแรก
ความเข้าใจเมื่อก่อนคิดว่าพูดภาษาจีนได้ ก็ทำงานล่ามไหวแล้ว แต่สุดท้ายค้นพบว่าถึงตัวเองจะสอบ HSK6 ผ่าน ยังรู้สึกเหมือนเป็นเด็กแรกเกิด เราไม่เคยฝึกแปลเนื้อหาสดๆ แบบนี้มาก่อน มีครั้งนึงไปลงแข่งแปลและล่ามที่จัดโดยสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยประเทศจีน (TACU) เขาเปิดคลิป 3 นาทีเรื่องขยะในทะเล แล้วให้เราแปลทันที ปรากฏว่าศัพท์เฉพาะเยอะมากกกค่ะ ฟังไม่ทัน คิดไม่ทัน จุดนั้นเรารู้แล้วว่าโอเค เราขาดทักษะนี้จริงๆ
จากความขายหน้า(ที่ตัวเองรู้สึก) เป็นแรงผลักดันให้เดียร์ไปลงเรียนคอร์สล่ามโดยเฉพาะ ทำให้เรียนรู้ว่าการล่ามไม่ใช่แค่พูดให้ถูก แต่ต้อง “ฝึกสมาธิ ฝึกหู และปล่อยตัวเองให้พูดได้โดยไม่คิดนานเกินไป” เพราะคนที่มาจากสายครูอย่างพี่จะติดนิสัยวางโครงในหัวก่อนพูด แต่ถ้าเป็นงานล่ามต้องถ่ายทอดได้ทันที แล้วก็ต้องฟังเสียงตัวเองว่าสิ่งที่กำลังพูดถูกต้องไหม
เดียร์เบนเข็มมาทำงานล่ามและฝึกจริงต่อเนื่องกว่า 1 ปี เพราะสิ่งสำคัญของการล่ามไม่ใช่แค่ภาษา แต่คือ “ชั่วโมงบิน” และ “คลังคำศัพท์” ที่ต้องสั่งสมจากการลงการทำซ้ำๆ จนคล่อง ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดคำถามว่า “ทำไมคนที่ปฏิบัติงานจริงกับนักวิจัยถึงมักแยกกัน ทั้งที่ควรเชื่อมต่อกันได้” เดียร์อยากหาคำตอบว่าทำไมบางคนสอบผ่านระดับภาษาสูงแล้ว แต่ยังทำได้ไม่ดีในฐานะล่าม แล้วเราจะพัฒนาการสอนที่ไทยยังไงให้ได้พัฒนาทั้งสองฝั่งควบคู่กัน เลยตัดสินใจยื่นเรียนต่อเอกด้าน “การแปลและการล่าม” ค่ะ
. . . . . . . .
ก้าวสู่ PhD การแปลและล่าม
งานรอบด้านแต่ยัง(เพิ่ม)ได้อีก!
ตอนป.เอก เดียร์ได้ทุน China Studies Program (新汉学计划) ของรัฐบาลจีน ไปเรียนที่ Shanghai International Studies University (SISU) สาขา Graduate Institute of Translation and Interpretation จริงๆ ที่นี่มี 2 แคมปัส คอร์สภาษาระยะสั้น-ยาว สาขาการสอนภาษาจีน และสาขาของเดียร์เรียนที่แคมปัสหงโข่ว (Hongkou) แต่ถ้าคณะอื่นๆ เช่น ตะวันออกศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะเรียนที่แคมปัสซงเจียง (Songjiang)


โครงสร้างหลักสูตรจะเรียน Coursework ประมาณ 1 ปี อีก 3 ปีจะเป็นช่วงทำวิจัยและเก็บ Requirements เช่น การตีพิมพ์งานวิจัยและเข้าร่วมประชุมนานาชาติ // มีการเรียนสองภาษาควบคู่กันเพราะเอกสารประกอบการเรียนส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษค่ะ
ความน่าสนใจที่ค้นพบ ก็คือจีนมองการแปลเป็นศาสตร์ที่เชื่อมทั้ง ภาษาศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม ดังนั้นหลักสูตรจึงไม่ได้สอนแค่ให้เราถอดคำจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งได้ แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ฟังและสังคม ต้องคำนึงทั้งมุมผู้ฟังและผลลัพธ์ เช่น ถ้า 2 ประเทศมีประเด็นทางการเมืองกัน นักแปลที่อยู่ตรงกลางต้องเลือกคำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระทบความสัมพันธ์ อีกมุมหนึ่งคือการแปลข้อมูลทางประวัติศาสตร์หรือพิพิธภัณฑ์ ว่าจะถ่ายทอดยังไงให้ชาวต่างชาติที่มาเรียนรู้วัฒนธรรมจีนเข้าใจภาพรวมได้ถูกต้องด้วยค่ะ
เรียนพร้อมพัฒนาหลักสูตรการล่ามทางกฎหมาย
เดียร์มีโอกาสลงเรียนเพิ่มหลายวิชา มีครั้งนึงกลับไทยจังหวะพอดีกับที่กระทรวงยุติธรรม ส่วนล่ามและการแปล สำนักการต่างประเทศ สำนักงานศาลยุติธรรม จัดอบรมล่ามภาษาจีนสำหรับศาลอาญา ก็เลยสมัครเข้าอบรมทันทีเพราะอยากเห็นการทำงานล่ามในระบบกฎหมายจริงๆ พอได้เรียนก็เห็นภาพว่าประเทศจีนพัฒนาเรื่องนี้ไปไกลมาก โดยเฉพาะสาย Legal Interpreting ที่วางรากฐานไว้แน่นและเป็นระบบมาก เลยเป็นที่มาของโจทย์วิจัยของเดียร์ในที่สุดว่าจะทำยังไงให้การล่ามภาษาจีนในแวดวงกฎหมายของไทยพัฒนาไปอีกขั้นได้ค่ะ

. . . . . . . .
อยากเรียนต่อป.โท-เอก ให้รอด
ต้องเริ่มจากชอบ & ตั้งเป้าหมายให้ชัด
Q: ถ้ามีน้องๆ มาปรึกษาว่าจะเรียนต่อโท-เอกดีไหม?
สิ่งแรกที่ควรถามตัวเองให้ได้ก่อนคือ “เรียนไปเพื่ออะไร” เพราะระดับนี้ไม่ใช่แค่เรียนต่อ แต่คือการทุ่มทั้งเวลาและแรงใจให้กับสิ่งที่จะอยู่ด้วยไปอีกหลายปี ลองดูว่าอยากทำงานแบบไหนในอนาคต ถ้างานที่ตั้งใจไว้ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิระดับนั้นก็อาจไม่คุ้ม เพราะบางสายงานไม่ได้เปิดรับคนจบสูงถึงขั้นนั้น แต่ถ้าแน่ใจว่าจะใช้ความรู้ได้จริง เช่น งานสายสอน วิจัย หรือเชิงวิชาการ ก็ไปให้สุดในสิ่งที่อยากเรียนเลยค่ะ เพราะแรงขับจากความชอบจะพาเราอยู่รอดในวันที่เหนื่อยที่สุด
(พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ป.โทเดียร์เขียนวิทยานิพนธ์ประมาณ 30,000 ตัวอักษร แต่ป.เอกคือ 100,000 ตัวอักษรเต็มๆ ต้องบริหารทั้งเวลา ความอดทน และการทำวิจัยควบไปกับการนำเสนองานประชุมวิชาการหรือฝึกงานตามแผนที่อาจารย์อนุมัติ)
ส่วนความต่างระหว่างป.โท กับ ป.เอก เดียร์ว่าหลักๆ คือ “ระดับความลึกของการวิจัย” ป.โทจะศึกษาเชิงสำรวจ เช่น ดูปัญหาหรืออุปสรรคในภาพรวม แต่ป.เอกต้องเจาะลึกลงไปอีกขั้น เพื่อหาทางแก้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้วงการ เช่น ถ้าทำเรื่องการแปล ต้องชัดเจนว่าแปลแบบไหน และงานของเราช่วยเติมเต็มตรงไหน
เดียร์ร้องไห้แทบทุกเทอมเลยค่ะ (;_;) สำหรับเดียร์ ป.เอก เลยไม่ใช่แค่การเรียนให้จบ แต่เป็นช่วงที่ได้ฝึกกระบวนการฝึกตัวเองให้แข็งแกร่งและเข้าใจลึกไปอีกขั้น เพราะจากสายการสอนมาเรียนด้านใหม่ ต้องทำความเข้าใจทั้งภาพใหญ่และรายละเอียดเฉพาะในเวลาจำกัด เพื่อนหลายคนก็มีพื้นฐานแน่นกว่า ทำให้มีช่วงที่สงสัยว่าเราอยู่ถูกที่ไหมนะ โดยเฉพาะตอนทำพาร์ตทบทวนวรรณกรรมทบทวน ใช้พลังเยอะมากที่สุดในชีวิต!
อาจมีเหนื่อยหรือร้องไห้บ้างไม่เป็นไร เมื่อผ่านมาได้จะรู้เลยว่าตัวเองเติบโตขึ้นมากๆ และเพราะอะไรถึงอยากอยู่เส้นทางนี้ตั้งแต่แรกค่ะ
. . . . . . .
รีวิวเสน่ห์ประเทศจีน
เมืองไหนก็เก๋ สะดวกสบายแบบไปสุด
“ปักกิ่ง” เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม
ประทับใจที่สุดคือความสมบูรณ์ของวัฒนธรรมค่ะ เมืองนี้มีความเป็นจีนดั้งเดิมชัดมากกก เพราะเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เดินไปไหนก็มีแต่สถานที่ทางประวัติศาสตร์ให้เห็น ทั้งพระราชวังต้องห้าม เทียนอันเหมิน กำแพงเมืองจีน วัดเก่าๆ หรือสถาปัตยกรรมอลังการที่ทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้แบบจับต้องได้
ที่นี่คือสวรรค์สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมอย่างเดียร์ ถึงขั้นมีคำพูดว่า “ถ้าไม่ได้เหยียบกำแพงเมืองจีน ถือว่ายังไม่ใช่ผู้กล้าหาญ” ซึ่งพอได้ไปจริงก็รู้สึกคุ้มมาก
ส่วนเรื่องใกล้ตัวบ้างอย่าง “อากาศ” ปักกิ่งแทบไม่ค่อยมีฝน ตากผ้าแป๊บเดียวแห้ง แต่หน้าหนาวนี่หนาวสุดใจ ถ้าทนได้ก็อยู่สบายเลยค่ะ
“เซี่ยงไฮ้” เมืองแฟชันที่เปิดรับความหลากหลาย
ถ้าอยากสัมผัสความเก่าแก่ของจีนให้ไปปักกิ่ง แต่ถ้าอยากอยู่ในเมืองที่ก้าวหน้าสุดๆ มีฟีลยุโรป คาเฟ่เยอะ ห้างเยอะ เดินแล้วรู้สึกโมเดิร์น ก็ต้องเซี่ยงไฮ้เลยค่ะ ตอนเรียนป.เอกที่ SISU เดียร์อยู่แถวเรียนอยู่แถวเขตหงโข่ว (Hongkou District) แม้จะอยู่นอกเมืองไปบ้าง แต่มีทั้งห้างและร้านกาแฟให้นั่ง มีสวนสวยๆ ให้เดินเล่น อีกทั้งการเดินทางเข้าเมือง หรือไปเจอเพื่อนๆ มหาวิทยาลัยอื่นก็สะดวกสบายมากค่ะ
ตอนแรกที่มาจีนก็มี homesick เหมือนกัน เพราะเมืองเต็มไปด้วยตึกสูง ห้างเยอะ คนแต่งตัวแฟชันจัดเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ประทับใจคือความเปิดกว้างของคนที่นี่ค่ะ เค้าเปิดรับความหลากหลายมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชัน เพศ หรือบุคลิก ถนนในเมืองยังมีคนคอสเพลย์เดินผ่านแบบชิลๆ แม้แต่คุณลุงคุณป้ายังแต่งตัวดีสุดๆ หรืออย่างเดียร์เป็นลุคทอมบอยนิดๆ ก็ไม่เคยรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ แม้จะเดินเข้าห้องน้ำหญิงก็ตามค่ะ



เที่ยวฉ่ำๆ สัมผัสเสน่ห์แต่ละเมือง
- ตอนป.โทยังได้เที่ยวบ่อย แต่พอขึ้นป.เอกเรียนหนักขึ้นจนนานๆ ได้ออกที 555 เคยไปหลายเมือง เช่น เทียนจิน ซีอาน แชงกรีล่า คุนหมิง กุ้ยโจว กวางโจว ซูโจว หางโจว ฯลฯ แต่ละที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวชอบแนวเมืองวัฒนธรรมอย่างซีอานกับแชงกรีล่าที่สุดค่ะ
- สิ่งที่ชอบที่สุดในจีนคือ “ความสะดวกของการใช้ชีวิต” โดยเฉพาะระบบดิจิทัลที่มือถือเครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง ทั้งจ่ายเงิน เรียกรถ ซื้อของ ส่งของ ระบบขนส่งก็ยอดเยี่ยม รถไฟใต้ดินทั่วถึง รวดเร็ว รถเมล์มีเลนของตัวเอง ราคาถูก สกูตเตอร์ไฟฟ้าก็มีเต็มไปหมด

อาหารก็อร่อยเกินคาด โดยเฉพาะเมนูไก่อบขิงที่ถูกปากคนไทยมาก ((((กระซิบ: น้ำหนักขึ้นไป 8 โลเต็มๆ)))) ส่วนเรื่องภาษาจีน พอมาอยู่แล้วเข้าใจเลยว่ที่เรียนทั้งหมดป.ตรี เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะไปถึงอาจารย์พูดเร็ว เพื่อนพูดสแลงจนเราได้จดศัพท์ใหม่ทุกวัน แล้วคนที่นี่ก็นิยมใช้สำนวนด้วยนะคะ สรุปคือสภาพแวดล้อมทำให้ภาาษาเราพัฒนาจากตอนแรกขึ้นไปอีก
. . . . . . . .
จุดเริ่มต้นของ “เดียร์สอนจีน”
ช่องยูทูบสอนภาษา
เดียร์เริ่มทำช่องตอนปี 4 ที่ม.เชียงใหม่ค่ะ ตอนนั้นเห็นว่าคนเริ่มสนใจเรียนภาษาจีนกันเยอะขึ้น แต่สื่อเรียนรู้ที่เข้าใจง่ายยังไม่ค่อยมี พอคิดย้อนกลับไปตอนเด็กก็รู้สึกเหมือนกันว่า “อยากเรียนแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน” ก็เลยอยากลองทำช่องเล็กๆ ที่ช่วยให้คนเข้าถึงภาษาจีนได้ง่ายขึ้นในแบบของเราค่ะ น้องๆ ที่ติดตามหลายคนบอกว่าดูคลิปจากช่องเราแล้วเข้าใจขั้นตอนขอทุนจีนมากขึ้น เห็นภาพชัดขึ้น จนบางคนได้ทุนจริงๆ แล้วกลับมาขอบคุณ ใจฟูเลย~~~~ ช่วยให้น้องๆ ทำตามความฝันได้
หลังๆ ก็ขยับขยายมาทำช่อง TikTok: dearlaoshi โดยยังคงคอนเซปต์เดิมคือแชร์ภาษาจีนที่อยู่นอกตำรา เพราะสไตล์เดียร์จะสอนจีน ทั้งคำสแลง คำศัพท์ในชีวิตประจำวัน รวมถึงแนวติวสอบ HSK กับ A-Level ภาษาจีน ส่วนคอนเทนต์วัฒนธรรมจะไม่ค่อยทำ แต่ถ้ามีโอกาสออกไปเที่ยวที่ไหน ก็จะเก็บบรรยากาศมาทำเป็น vlog คั่นอารมณ์ชิลๆ ให้คนดูได้เห็นชีวิตจริงในจีนบ้าง ลองเข้ามาติดตามกันได้นะคะ
เดียร์สอนจีนยังไง?
ตามไปเรียนกัน!
TikTok: dearlaoshi

YouTube: เดียร์สอนจีน Dearsornjeen

0 ความคิดเห็น